วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สุขภาพดีไม่มีขาย จึง ต้องทำเอง.9 ปวดตา

ปวดตา เพราะ จ้องนาน..ละมั๊ง
โรค Computer Vision Syndrome


ในยุคดิจิตอลนี้เรื่องของการสื่อสารสะดวกมาก เรียกได้ว่าแทบจะทุกพื้นที่เราก็สามารถที่จะสื่อสารกันได้อย่างง่ายๆ เทคโนโลยีมันก้าวไปไกลล้ำสมัยสุดๆ

   คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆนั้นต้องสร้างด้วยงบประมาณที่สูงมากๆ ที่มีประสิทธิภาพดีเลิศนั้น จะมีขนาดใหญ่ประมาณว่ารถยนต์คันหนึ่ง ยิ่งถ้าเป็นแบบทำนองซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ยุคแรกด้วยแล้ว ขนาดก็ห้องทั้งห้องหรือบ้านหลังย่อมๆกันเลยทีเดียว พอมาถึงยุคนี้คอมพิวเตอร์ดีๆมีขนาดเพียงหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น หรือแค่สมุดฉีกเล่มเล็ก


คอมพิวเตอร์เครื่องแรกชื่อ ENIAC

ระบบคอมพิวเตอร์ยุคแรก


   โทรศัพท์ในสมัยก่อนนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากเอามากๆ เพราะกว่าจะขอมีโทรศัพท์สักเครื่องต้องใช้เวลาเป็นปีๆถึงจะได้ และพกพาโทรศัพท์ไปไหนก็ไม่ได้ เพราะยังไม่มีระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ พอเริ่มมีระบบโทรศัทพ์เคลื่อนที่เข้ามาในช่วงแรกๆ เครื่องโทรศัพท์ก็ใหญ่ขนาดถังแกลลอน ต้องหิ้วกันไหล่แทบหลุด แต่พอถึงสมัยนี้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีขนาดแค่นิดเดียว เล็กขนาดใช้มือข้างเดียวถือได้สบายๆ เราเลยเรียกกันแบบไทยๆว่า โทรศัพท์มือถือ และในที่สุดเหลือแค่เรียกมือถือ ซึ่งฝรั่งเขาเรียก mobile

โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคแรกๆที่เริ่มทันสมัย

เห็นอย่างนี้ราคาเป็นแสนๆ

   ปัจจุบันนี้ใครไม่มีมือถือไม่มีคอมพิวเตอร์นี่จะกลายเป็นคนตกโลกไปเสียแล้ว ก็ขนาดเด็กเล็กๆเขายังใช้คอมพิวเตอร์กันได้ ใช้โทรศัพท์มือถือกันเป็น คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตไปโดยปริยาย

   สิ่งที่เหลือเชื่อที่ต้องเชื่อก็คือ การใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นเหมือนสิ่งเสพติด ติดกันถึงขนาดว่าพอจะใช้แล้วเกิดเน็ตล่มสัญญาณหลุด รับรองว่าต้องอารมณ์เสียกันทุกคน หลายๆท่านถึงกับออกอาการยั๊วะกันสุดๆ การใช้คอมพิวเตอร์และเล่นโทรศัพท์มือถือนั้น ก็ใช้กันแบบนานสุดๆ

   ที่ตามมากับการใช้คอมพิวเตอร์ใช้โทรศัพท์มือถือนานๆก็คือ จะเกิดอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกล้ามเนื้อตา เพราะเราต้องจ้องมองจอของคอมพิวเตอร์หรือจอโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ เราโดนทั้งแสงจากหน้าจอและระยะของสายตาที่เพ่งดูที่ระยะห่างเพียงระยะเดียวนานๆ อาการที่ตามมาอย่างชัดเจนก็คืออาการปวดตา รู้สึกว่าสายตาพร่า เมื่อยต้นคอ อาการที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์นานๆนี้มีศัพท์เรียกกันว่าเกิด “โรค Computer Vision Syndrome

   โรค Computer Vision Syndrome หรือ CVS ซีวีเอส กลายเป็นโรคยอดฮิตสามัญประจำบ้านของคนยุคดิจิตอลไปแล้ว ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหันมาเอาใจใส่กับอาการปวดตากันแล้ว



จากสำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

 นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เนื่องจากมีความทันสมัยและสะดวกรวดเร็ว แต่การใช้งานที่มากเกินความจำเป็น  อาจส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งหนึ่งในโรคที่อาจส่งกระทบต่อสุขภาพ คือ "คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม" (Computer Vision Syndrome) หรือ "โรคซีวีเอส" คนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น เกินสองถึงสามชั่วโมง มักจะมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัวร่วมด้วย อาการทางสายตาเหล่านี้เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป อาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75  ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า40 ปี อาการในบางคนอาจเป็นเล็กๆน้อยๆ ไม่บั่นทอนการทำงาน หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์สักครู่ก็หายไป บางคนอาจต้องว่างเว้นการใช้เป็นวันก็หายไป บางรายอาจต้องใช้ยาระงับอาการ

สาเหตุของโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมเกิดจาก การใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนานๆ และไม่ค่อยกระพริบตา  หากเราอ่านหนังสือหรือนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบจะลดลง ประกอบกับแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์  ทำให้ตาเมื่อยล้า  ทั้งแสงจ้าและแสงสะท้อนมายังจอภาพ อาจเกิดจากแสงสว่างไม่พอเหมาะ มีไฟส่องเข้าหน้าหรือหลังจอภาพโดยตรง หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างปะทะหน้าจอภาพโดยตรง ก่อให้เกิดแสงจ้าและแสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้ ทำให้เมื่อยล้าตาง่าย ระยะทำงานที่ห่างจากจอภาพไม่เหมาะสม   มีสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวไม่มากโดยการทำงานตามปกติไม่ก่อให้เกิดอาการ แต่ถ้ามาทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะก่ออาการเมื่อยล้าตาได้ โรคตาบางอย่างประจำตัวอยู่ เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ตลอดจนโรคทางกาย เช่น ไซนัสอักเสบ โรคหวัด ภูมิแพ้เรื้อรัง หรือ ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่อต้องปรับสายตามากเวลาใช้คอมพิวเตอร์ จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยตาได้ง่าย การทำงานจ้องจอภาพนานเกินไป ย่อมเกิดอาการทางตาได้ง่ายจากการเกร็งกล้ามเนื้อตาตลอดเวลา

ปวดตาจากดูจอคอมพิวเตอร์นานๆ

ปวดตาเพราะจ้องจอโทรศัพท์มือถือ

   สำหรับการแก้ไขกันและป้องกันคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมหรือโรคซีวีเอส คือ ฝึกกระพริบบ่อยๆ ตาขณะทำงานหน้าจอ และหากแสบตามาก อาจใช้น้ำตาเทียมช่วย ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ ควรปรับห้องและบริเวณทำงาน อย่าให้มีแสงสะท้อนจากหน้าต่าง หลอดไฟบริเวณเพดานห้อง ไม่ควรให้แสงสะท้อนเข้าตา และไม่หันจอภาพเข้าหน้าต่าง ควรใช้แผ่นกรองแสงวางหน้าจอหรือใส่แว่นกรองแสง จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม  ในระยะที่ตามองได้สบายๆ ปรับเก้าอี้นั่งให้พอเหมาะ  โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ใช้แว่นตา 2ชั้น จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตา เพื่อจะได้ตรงกับเลนส์แว่นตาส่วนที่ใช้มองใกล้   ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆต่อเนื่อง ควรปรึกษาจักษุแพทย์  ใช้แว่นตาเฉพาะดูได้ทั้งระยะอ่านหนังสือ  ระยะจอภาพ และระยะไกล เป็นกรณีพิเศษ

   หากมีสายตาผิดปกติหรือโรคตาบางอย่างอยู่ ควรแก้ไขและรักษาโรคตาที่เป็นอยู่ควบคู่ไปด้วย และหากงานในหน้าที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทุก12ชม.ควรมีการพักสายตาโดยละสายตาจากหน้าจอแล้วมองออกไปไกลๆหรือหลับตาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่

       ที่มา : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข





ต่อไปเป็นสรุปบทความดีๆจาก เกร็ดความรู้.net

สาเหตุของอาการปวดตา
อาการปวดตาในปัจจุบันส่วนใหญ่นั้นเป็นผลมาจากการจ้องจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เป็นเวลานาน รวมถึงการอยู่ภายใต้ภาวะแสงที่จ้ามากเกินไป ซึ่งเต็มไปด้วยรังสีต่างๆมากมายที่คอยทำร้ายดวงตา อีกทั้งแสงสว่างที่มากเกินไปทำให้สายตาเมื่อยล้าขึ้นได้

วิธีแก้ปวดตา
   วิธีแก้อาการปวดตาที่ดีนั้นควรหมั่นดูแลบำรุงรักษาดวงตาให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. บริหารดวงตา
ด้วยการกรอกตาไปมา และนวดบริเวณดวงตาเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยดวงตารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

2. พักสายตา
   การพักสายตาจำเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเราใช้สายตาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ได้พักเลยนั้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดตาได้อย่างดีเลยทีเดียว ดังนั้นควรพักสายตาทุกๆ ชั่วโมง เพื่อให้ดวงตาได้มีโอกาสปรับสภาพ

3. น้ำตาเทียม
   น้ำตามเทียมช่วยให้อาการปวดตาดีขึ้นได้ เมื่อรู้สึกว่ามีอาการปวดตา สิ่งที่ต้องทำคือ หยอดน้ำตาเทียมนั่นเอง จะช่วยป้องกันไม่ให้ตาแห้ง และช่วยกำจัดสิ่งสกปรกในตาได้เป็นอย่างดี

4. รับประทานอาหารเสริมบำรุงสายตา
   โดยเฉพาะวิตามิน A และเบต้าแคโรทีน ที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น และดูแลสุขภาพดวงตาให้แข็งแรงได้
เพียงเท่านี้คุณก็ไม่ต้องทนทรมานกับอาการปวดตาอีกต่อไป แต่ถ้าลองทำตามวิธีแก้ปวดตาเหล่านี้แล้ว อาการปวดตายังไม่บรรเทาลง ควรรีบพบแพทย์ในทันที เพราะอาการปวดตาที่เกิดขึ้นอาจมีสาเหตุมาจากโรคอย่างอื่นก็เป็นได้ จะได้ทำการหาสาเหตุและรักษาได้ทันเวลา


ท่าบริหารดวงตาจาก kapook.com

1. ประคบดวงตาด้วยฝ่ามือ
           
   ท่าแรกเริ่มกันง่าย ๆ ในขณะที่คุณนั่งทำงานอยู่ แล้วรู้สึกล้าสายตาขึ้นมา ให้ถูฝ่ามือทั้งสองข้างพอให้เกิดความร้อนหน่อยๆ จากนั้นหลับตา แล้วทำมือเป็นรูปทรงคล้ายถ้วย มาประคบดวงตาทั้งสองข้างทิ้งไว้สักครู่ ให้ไออุ่นจากฝ่ามือคลายกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาที่เครียดเกร็งจากการเพ่งจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ

 
ภาพจากwww.herb-health.com

 2. กะพริบตาทุก 4 วินาที
           
          สาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเพลียสายตา และทำให้ตาแห้งแสบก็เป็นเพราะเราไม่ยอมกะพริบตานั่นเอง ยิ่งในขณะที่ใช้สมาธิทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะลืมกะพริบตาโดยไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตาแห้ง จนต้องเพ่งสายตาทำงานมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำให้คุณกะพริบตาทุก ๆ 4 วินาที 



 3. กลอกตาทุก ๆ ชั่วโมง
           
   อีกท่าบริหารสายตาง่ายๆ เพียงแค่หลับตา แล้วกลอกตาเป็นวงกลมประมาณ 1 นาทีเป็นอย่างต่ำ นอกจากจะเป็นการพักเบรกสายตาจากแสงและรังสีของคอมพิวเตอร์แล้ว ท่าบริหารท่านี้ยังเหมือนการนวดดวงตาให้คลายความเกร็งเครียดได้อีกด้วยนะ อ้อ ! แต่ถ้าอยากผ่อนคลายขึ้นอีกขั้น ลองเงยหน้าแล้วหมุนคอเป็นวงกลมด้วยก็จะรู้สึกสบายสุดๆ





 4. กวาดสายตาระยะไกล

  ในขณะที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และกำลังมีสมาธิเพ่งเนื้อหางานที่ทำอยู่ บางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้จอมากแค่ไหน ซึ่งการที่เราใช้สายตาในระยะใกล้ๆแบบนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่พาให้สายตาล้าและเพลียมาก ๆ เช่นกัน

    ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า ให้คุณช่วยบำรุงสายตาด้วยการถอยห่างออกจากจอคอมพิวเตอร์เท่าที่จะเป็นไปได้ และปรับระยะโฟกัสสายตาด้วยตัวเองบ่อย ๆ โดยวิธีก็แค่ถอยออกไปอยู่หน้าประตูห้อง หรือมุมไหนของห้องก็ได้ที่จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมของห้องกว้างที่สุด แล้วกวาดสายตามองสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในห้องเป็นแนววงกลม อาจจะไล่มองจากทีวี โซฟา โต๊ะทำงาน หน้าต่าง โมบาย หรืออื่น ๆ เป็นต้น แค่นี้ก็เหมือนได้ยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อตาได้
มองไกลหน่อย

นี่ก็มองไกลที่เดี๋ยวก็ใกล้

 5. ละสายตาไปมองอย่างอื่นทุกชั่วโมง
           
   การใช้เวลาเพ่งสายตาอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินหนึ่งชั่วโมง ก็ทำให้เกิดความเมื่อยล้าตาได้ง่าย ๆ เช่นกัน ฉะนั้นอย่างน้อยทุกๆ 1 ชั่วโมง คุณควรละสายตาจากหน้าจอไปมองอย่างอื่นบ้าง หรือลุกออกไปเดินเล่นสักพัก ถือโอกาสขยับแข้งขาไล่ความปวดเมื่อยไปด้วยซะเลย




 6. ซิทอัพดวงตา
           
   ในคราวที่รู้สึกปวดตาจนร้อนกระบอกตาผ่าว ให้คุณหลับตาลงแล้วเหลือบตาขึ้น-ลงสักพัก จากนั้นลืมตาขึ้นแล้วกวาดสายตามองผ่าน ๆ ประมาณ 1 นาที เสร็จแล้วเริ่มยกใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ให้หลับตาแล้วเหลือบตาไปด้านซ้าย-ขวา ประมาณ 1 นาที จากนั้นลืมตาขึ้น แล้วมองผ่าน ๆ อีกรอบ เว้นระยะห่างสัก 2-3 นาที แล้วเริ่มบริหารตาใหม่อีกครั้ง หรือจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
ภาพจาก mykoreabuddy.com

      ท่านที่จำเป็นต้องดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือชอบเล่นโทรศัพท์มือถือนานๆ ควรที่จะต้องเอาใจใส่ดวงตาของตนเองให้มาก แค่การบริหารดวงตาแบบง่ายๆข้างต้นนี้แล้ว ในบางกรณีอาจยังไม่พอด้วยซ้ำ อาจถึงกับต้องรีบไปพบจักษุแพทย์ ซึ่งถ้าถึงขั้นนี้แล้วก็คงหนักหนาเอาการ ดวงตาของเรามีคู่เดียวจึงต้องถนอมให้ดีที่สุด





ภาพจาก oknation.com

ภาพจาก boadpostjung.com


ภาพจาก boadpostjung.com
เกมเมอร์สาว คุณ Li Bingjie





ภาพ vcharkarn.com


วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย.๖ ผีกระสือ

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย
ผีกระสือ
Ghost - Krasue (Head Ghost)

ภาพจากละคร กระสือ




ผีกระสือ
   ผีที่เป็นตำนานในระดับต้นๆของไทยนั้นต้องนับเอาผีกระสือรวมอยู่ด้วย แต่ผีกระสือในความเข้าใจของคนยุคปัจจุบันนั้น ความจริงแล้วผิดเพี้ยนไปจากผีกระสือดั้งเดิมมาก ผิดไปขนาดว่าถ้าผีกระสือยุคเก่ามาเห็นผีกระสือยุคนี้ ผีกระสือยุคเก่าคงต้องงงว่านี่มันผีอะไรวะ ผีกระสือระดับบรรพบุรุษของผีกระสือยุคนี้ ถ้าได้โคจรมาเจอกันเข้า ผีกระสือโบราณคงต้องอึ้งทึ่งตะลึงไปกับผีกระสือยุคใหม่ อาจขำกลิ้งหรือวิ่งหนีป่าราบ


ตำนานผีกระสือยุคใหม่ซึ่งความจริงในสมัยนี้ก็ไม่ใหม่แล้ว เพราะเรื่องมันผ่านมาก็ร่วมๆจะ ๕๐ ปีเข้าไปแล้ว ตำนานผีกระสือดังกล่าวนี้ทำให้คนไทยเราเชื่อว่า ผีกระสือเป็นผีผู้หญิง รูปร่างก็ดูแปลกประหลาดดูน่ากลัวสยองน่าตกอกตกใจ เพราะมีแต่หัวกับกระเพาะลำไส้ นับว่าเป็นผีที่มีรูปร่างน่ากลัวแบบครึ่งๆกลางๆไม่ครบตัว ไม่ต้องเน่าเฟะอะไรเลย แค่มีหัวกับเครื่องในแค่นี้ไม่ต้องทำอะไรก็สยองขวัญมากแล้ว

เชื่อกันว่า ผีกระสือนี้ต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์เป็นผีกระสือได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะข้อนี้สิทธิสตรีมีสูงกว่าบุรุษ ผู้ชายจะไปเป็นผีกระสือไม่ได้อย่างเด็ดขาด ที่ผู้ชายเป็นได้ก็คือเป็นผีกระหัง ซึ่งเป็นเพื่อนรักของผีกระสือ แต่ผีกระหังนี่ลำบากหน่อยตอนแปลงกาย เพราะกว่าที่จะแปลงกายเป็นผีกระหังได้นั้น ต้องหากระด้งมาทำปีก หาสากตำข้าวเอามาทำเป็นหาง 

กระสือยายสาย ป้า น้ำเงิน บุญหนัก


ภาพ ละครกระสือ

   ตามความเชื่อเรื่องผีกระสือใช้ชั้นหลังนั้น เชื่อว่าผีกระสือเป็นผู้หญิง โดยเป็นผีไปในแบบที่ยังไม่ได้ตายไปจริงๆ แต่จะกลายเป็นผีกระสือได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำนองครึ่งผีครึ่งคน ในตอนกลางวันก็เป็นคนธรรมดาๆ แต่พอถึงเวลากลางคืนก็จะกลายเป็นผีกระสือ วิธีที่กลายเป็นผีกระสือก็คือต้องถอดศีรษะแยกออกมาจากร่าง ตอนที่ถอดศีรษะออกมานั้น จะมีหลอดอาหารติดศีรษะออกมาด้วย ซึ่งจะลากเอากระเพาะอาหารและลำไส้ออกมาด้วย ดังนั้นเวลาผีกระสือจะไปหากิน ก็จะมีหัวกับกระเพาะลำไส้ติดตามไปด้วย น่าสยองยิ่งนัก

      ผีกระสือนั้นเป็นแล้วเป็นเลย ถึงจะแก่สักเท่าไรก็ไม่ตายอย่างเด็ดขาด ถ้าเบื่อความเป็นผีกระสือเกิดอยากตายขึ้นมาก็ยังตายไม่ได้ ถึงร่างที่เป็นมนุษย์จะเจ็บไข้ได้ป่วยหนักเท่าไรก็ไม่มีทางตาย นอกจากจะหาคนมาเป็นผีกระสือแทนตัวเองได้แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถตายได้ คือต้องหาคนมาเป็นทายาทกระสือ รับเอาความเป็นผีกระสือของตนเองให้ได้ก่อน เมื่อถ่ายทอดความเป็นผีกระสือให้ทายาทกระสือแล้วถึงจะตายได้

   การถ่ายทอดความเป็นผีกระสือก็ทำได้ง่ายๆคือ ให้ผู้รับเป็นทายาทกระสือกินน้ำลายของผีกระสือ แค่นี้ก็กลายเป็นผีกระสือรับช่วงต่อไปได้ ส่วนผีกระสือตนเดิมก็จะตายไป



ละครกระสือ คุณ รชนีกร พันธุ์มณี

   อาหารของผีกระสือจะเป็นของเหม็นๆคาวๆ เช่นเครื่องใน เลือด ผีกระสือที่ออกมาล่าเหยื่อนั้น จะกินแค่เครื่องในเท่านั้น ส่วนเนื้อดีๆเช่น เนื้อสันใน คอหมูย่าง คากิ หมูกรอบ ทีโบน อย่างนี้ผีกระสือไม่ชอบไม่กิน ผีกระสือจะกินแต่ของคาวๆของเน่าเหม็นเป็นอาหาร ถ้าผีกระสือหาอะไรกินไม่ได้จริงๆแล้ว ก็จะไปแอบกินอุจจาระตามส้วม


   อาหารที่ผีกระสือชอบเป็นที่สุดก็คือรกเด็ก โดยจะแอบไปกินรกของเด็กแรกเกิด พอคนรู้ว่าผีกระสือชอบกินรกเด็กแรกเกิด ก็เลยหาทางป้องกันโดยการเอาเถาวัลย์ประเภทที่มีหนามมาสุม เพื่อป้องกันผีกระสืบแอบเข้ามากินรกเด็ก หรือสุมไม้ที่มีหนามเอาไว้ที่คอกสัตว์ เพื่อป้องกันผีกระสือเข้ามากัดกินสัตว์เลี้ยง เชื่อว่าผีกระสือจะไม่กล้าบุกเข้ามา เพราะจะโดนหนามเกี่ยวลำไส้ให้ติดคากับดัก

กระสือยายสายกำลังถอดหัว
กระสือกำลังถอดหัว กระสือตนนี้สวย

   เมื่อผีกระสือถอดศีรษะออกจากร่างได้แล้ว ก็จะลอยไปแบบมีศีรษะพร้อมมีกระเพาะลำไส้ห้อยโตงเตงไปด้วย โดยจะลอยไปลอยมาพร้อมมีแสงกระพริบคล้ายหิ่งห้อยตัวใหญ่ยักษ์ แสงของกระสือนี้เล่ากันว่ามีทั้งแสงสีแดงสีเขียว จะเห็นลอยกระพริบสูงประมาณไม่เกินยอดไม้





ภาพยนตร์ กระสือสาว ป้าพิศมัย วิไลศักดิ์

   ลีลาการล่าเหยื่อกัดกินเหยื่อของผีกระสือก็น่ากลัวไม่น้อย ผีกระสือจะกัดที่คอให้เลือดไหลจนตาย แล้วจึงกัดที่ท้องให้ท้องแตกฉีกมีลำไส้ไหลออกมา อย่างนี้ก็จะกินเครื่องในได้อย่างง่ายๆและเอร็ดอร่อย แต่ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่เช่นวัวควาย ผีกระสือก็จะกัดที่รูก้น แล้วกระชากลากเอาลำไส้ออกมาทางก้น จากนั้นจึงกิน


   ผีกระสือที่กินอิ่มแล้วก็จะกลับบ้านพร้อมใบหน้าที่เปรอะเปื้อนคราบจากซากที่กิน ถ้าผีกระสือลอยผ่านไปทางบ้านที่ตากผ้าทิ้งไว้ ผีกระสือก็จะแวะเข้าไปใช้ผ้าที่ตากนั้นเช็ดปาก พอตอนเช้าเจ้าของบ้านจะมาเก็บผ้า ก็จะเห็นคราบสปรกที่ผ้านั้น ถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นผีกระสือก็ใช้วิธีง่ายๆคือ เอาผ้าที่ผีกระสือเช็ดปากไปต้มในน้ำเดือด ผีกระสือตนนั้นจะร้อนปากจนปากพอง ทำให้สังเกตได้ว่าใครเป็นผีกระสือ

ความจริงแล้วนั้น ผีกระสือในแบบที่มีแต่หัวกับลำไส้ลอยไปลอยมานี้ เป็นเรื่องที่จินตนาการแต่งขึ้นโดยนักเขียนการ์ตูนรุ่นเก่ามากๆท่านหนึ่ง ท่านผู้นี้ใช้นามปากกาว่า ทวี วิษณุกร  นามจริงว่า คุณทวี เย็นฉ่ำ โดยเขียนเป็นการ์ตูนเรื่องยาวชื่อเรื่องว่า กระสือสาว เป็นการ์ตูนฮิตในหนังสือการตูนหนูจ๋า ตัวเอกของเรื่องที่เป็นผีกระสือนั้นมีชื่อว่า บัวคลี่ เป็นคนดีแต่มีกรรมเก่าที่ต้องมาเป็นผีกระสือ การ์ตูนเรื่องกระสือสาวนี้มีอายุเก่าแก่ ไปๆมาๆคนในชั้นหลังเลยคิดกันไปว่า ผีกระสือต้องมีแต่หัวกับลำไส้ลอยไปลอยมา

   เรื่องผีกระสือที่มีแต่หัวกับไส้นั้นมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง ต่อมาคุณทวี วิษณุกร ต้องแจ้งความดำเนินคดีเรื่องละเมิดสิทธิ์

การ์ตูน กระสือสาว โดย ทวี วิษณุกร

ผีกระสือรุ่นเก่ากว่าและเป็นอีกคติหนึ่งนั้น จะไม่ยืนยันว่าเป็นผีกระสือที่มีแต่หัวกับกระเพาะลำไส้ แต่จะเป็นผีกระสือที่เป็นว่านชนิดหนึ่ง เรียกกันว่าว่านโพงหรือว่านกระสือ

   เล่ากันว่าว่านโพงหรือว่านกระสือมีวิญญาณสิงสู่อยู่ พอถึงกลางคืนก็จะเกิดเป็นอาถรรพ์ขึ้น โดยที่วิญญาณที่สิงอยู่ในว่านจะลอยออกมาเป็นดวงไฟ จะออกไปล่าเหยื่อมากินเป็นอาหาร วิธีกินส่วนใหญ่จะใช้วิธีกัดเหยื่อแล้วสูบเลือด ซึ่งคล้ายแดร๊กคูล่าผีดิบฝรั่งมาก

   ผีกระสือแบบที่เป็นผีที่สิงอยู่ในว่านกระสือหรือว่านโพงยังพิสดารอีก คือผีกระสือแบบนี้ถ้าลอยผ่านบ้านคนหรือผ่านคนบ่อยๆ ก็จะเกิดปฏิกิริยาแปลกพิศวงขึ้นมา โดยดวงไฟผีกระสือจะกลายเป็นใบหน้าคนขึ้นมาได้ ยิ่งถ้าเป็นว่านกระสือหรือว่านโพงที่มีคนเลี้ยงไว้ด้วยแล้ว ดวงไฟกระสือจะขึ้นเป็นใบหน้าของเจ้าของต้นว่านนั้นเอง ผีกระสือแบบนี้เห็นดวงแสงเป็นใบหน้าได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่จำเพาะว่าจะต้องเป็นใบหน้าผู้หญิงเพียงเพศเดียว

ภาพ magnolia.com ว่านโพงแบบที่มีผู้เลี้ยงไว้


เรื่องจริงจากพระธุดงค์

   พระอาจารย์รูปหนึ่งของผู้เขียนเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านยังหนุ่มยังแข็งแรง ท่านมักออกเดินธุดงค์บ่อยๆ ครั้งหนึ่งท่านเดินธุดงค์ผ่านไปทางเทือกเขาภูพานซึ่งยังเป็นป่าดงดิบรกทึบ ท่านผ่านไปถึงใกล้ลำธารที่มีความร่มรื่นเงียบสงัด มีทำเลดีมากมีน้ำท่าบริบูรณ์ ท่านจึงอธิษฐานจิตปักกลดที่บริเวณนั้น

   ท่านอยู่บำเพ็ญจิตในที่บริเวณนี้หลายวัน แล้วท่านก็สังเกตเห็นว่า ในตอนกลางคืนมักมีแสงลอยเป็นดวง โดยที่แสงนี้จะสว่างบ้างสลัวบ้างคล้ายกับว่าแสงกระพริบ ท่านเห็นแสงดวงนี้ลอยผ่านไปหลายครั้ง จึงนึกถึงคำที่คนโบราณว่าเป็นแสงจากผีกระสือ

   คืนหนึ่งท่านออกจากสมาธิได้สักครู่ แสงจากผีกระสือนี้ก็ลอยมาให้เห็นอีก ด้วยความอยากรู้พระอาจารย์จึงลุกออกจากกลด แล้วเดินตามแสงผีกระสือไป แสงผีกระสือก็ลอยหนีไปเรื่อยๆ จนในที่สุดแสงนี้ก็ไปลอยอยู่เหนือบริเวณดงไม้รกๆแล้วดับหายไป พระอาจารย์จึงทำเครื่องหมายไว้ตรงที่แสงผีกระสือหายไป จากนั้นจึงเดินกลับไปที่กลด

   พอรุ่งเช้าพระอาจารย์ได้เดินสำรวจไปตามทิศทางที่เห็นแสงผีกระสือ เมื่อถึงจุดที่แสงผีกระสือหายไป ท่านยืนยันว่าจำได้แม่นเพราะมีเครื่องหมายที่ท่านทำไว้ พอพิจารณาดูก็เห็นเป็นดงว่านชนิดหนึ่งเรียกว่าว่านโพงหรือว่านโพลง ซึ่งบางที่เรียกว่านกระสือ

ภาพ magnolia.com ว่านโพงเหล็ก

   พระอาจารย์ท่านเห็นชัดๆเลยว่ากอว่านตรงจุดที่แสงผีกระสือหายไปนั้น มีรอยเลือดสีแดงซึ่งแห้งคล้ำแล้วติดที่ต้นว่าน ซึ่งเป็นไปตามตำนานที่คนโบราณเล่าขานกัน แต่ต้นว่านกระสือจะมีวิญญาณสิงจริงหรือไม่ ท่านว่าอย่าไปสนใจเพราะไม่มีประโยชน์

   พระอาจารย์ปักกลดอยู่หลายวัน ทั้งยังคงเห็นแสงผีกระสือลอยไปที่กอว่านดังกล่าวเหมือนเดิม จนกระทั่งท่านถอนกลดแล้วเดินธุดงค์ต่อไป ปัจจุบันท่านชราภาพแล้วจึงกลับไปอยู่ที่วัดในจ.มุกดาหาร



ตำนานผีกระสือเป็นตำนานยอดฮิตของผีไทยตำนานหนึ่ง มีคนกลัวผีกระสือกันมากโดยเฉพาะคุณผู้ชายที่มีเมีย เน้นแบบที่เมียชอบกินอาหารดิบๆหรือไม่ค่อยสุกดีนัก ตำนานนี้เล่ากันไปทั้งเป็นเรื่องตลกขบขันและเรื่องจริงสำหรับคนกลัวผี ทั้งยังเป็นเรื่องที่คนอยากเปลี่ยนเมียตั้งใจยอมเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง คือ

   เล่ากันว่าถ้าสังเกตเห็นว่าผัวหรือเมียชอบกินอาหารที่ดิบๆหรือครึ่งสุกครึ่งดิบ อย่างนี้ให้ระมัดระวังตัวไว้ก่อน ให้สังเกตดูว่าผัวหรือเมียที่กินอาหารแบบนี้มีอากัปกริยาเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ เช่น มีใบหน้าหมองคล้ำ ไม่ชอบแสงแดด ไม่สบตาคน ไม่ค่อยพูดจา ถ้าเป็นแบบนี้ให้สงสัยว่าอาจโดนผีกระสือสิงร่างไปแล้ว ต้องพิสูจน์ด้วยวิธีสุดท้าย



   วิธีพิสูจน์ขั้นสุดท้ายว่าเป็นผีกระสือหรือรวมทั้งผีกระหังด้วยก็คือ เวลานอนตอนกลางคืนให้นอนหันหลังให้กัน และห้ามเผลอหลับไปอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าขืนเผลอหลับเป็นต้องตายอย่างแน่นอน

   ที่ให้นอนหันหลังก็เพราะเป็นการอ่อยเหยื่อผีกระสือนั่นเอง โดยให้ยอมเสี่ยงว่าผัวหรือเมียจะเอามือมาจับที่ก้นเราหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งล้วงจับตรงรูก้น ถ้าปรากฏว่าผัวหรือเมียเอามือมาจับเมื่อไร แสดงว่ากำลังจะล้วงก้นเพื่อลากลำไส้เราออกมากินนั่นเอง

   ตำนานอย่างหลังนี้มีคนเชื่อกันจริงๆจังๆเสียด้วย โดยเฉพาะคนที่อยากเปลี่ยนผัวเปลี่ยนเมีย


   อย่างไรก็ตามตำนานผีกระสือก็ยังเป็นตำนานผียอดฮิตของไทยอยู่เสมอ และ ตลอดไป





















ขอขอบคุณภาพประกอบจากละครโทรทัศน์เรื่องกระสือ ภาพยนตร์ชุดกระสือเวอร์ชั่นต่างๆ ภาพจากเว็บไซต์