วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

พระพุทธรูป.๔ พระพุทธนาคน้อย

พระพุทธนาคน้อย 



พระพุทธนาคน้อย วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

   พระพุทธนาคน้อย หรือหลวงพ่อนาค ที่ชาวจีนนิยมเรียกว่า "ลักน้อย" หรือ "ซำปอกง" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ วัสดุที่ใช้สร้างพระเป็นพระเนื้อนากปิดทอง หน้าตักกว้าง ๔.๒๕ เมตร หรือ ๘ ศอก ๑๒ นิ้ว สูง ๕.๓๐ เมตร ศิลปะแบบสุโขทัย ได้อัญเชิญลงมาจากสุโขทัย

สถานที่ประดิษฐาน

   ประดิษยฐาน ณ พระวิหาร วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร เชิงสะพานพุทธฯฝั่งธนบุรี กรุงเทพ มหานคร

   พระพุทธนาคน้อย เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย อัญเชิญมาจากจังหวัดสุโขทัย ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งยังไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่าอัญเชิญมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช หรือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลักฐานมีอยู่สองประการคือ

๑. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครั้งที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระพุทธรูปต่างๆ จากหัวเมือง เหนือ จำนวน ๑๒๔๘ องค์ ไปยังกรุงเทพฯ เพื่อบูรณะซ่อมแปลงให้งดงามบริบูรณ์แล้วพระราชทานไปประดิษฐานตามพระอารามต่างๆ สันนิษฐานว่าพระพุทธนาคน้อยคงจะอัญเชิญมาพร้อมกันในครั้งนี้ พร้อมกับพระศรีศากยมุนี ซึ่งประดิษฐานในพระวิหารวัดสุทัศนเทพ วราราม และเรียกพระนามสามัญว่า พระพุทธนาคใหญ่

พระพุทธนาคน้อย

๒.วัดประยุรวงศาวาสนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศบุนนาค) เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าพระยาคลังว่าที่พระคลังและว่าที่สมุห กลาโหม ได้อุทิศสวนกาแฟสร้างวัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๑ แล้วถวายเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ พระบาทสมเด็จพระนั่ง เกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามว่า วัดประยุรวงศาวาส มีคำบอกเล่าสืบต่อกันมาอีกกระแสหนึ่งว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญ เชิญพระพุทธนาคน้อยมาจากสุโขทัย ในปี พ.ศ. ๒๓๗๔ แล้วพระราชทานให้เป็นพระประทานในพระวิหาร วัดประยุรวงศาวาสสืบมา


สาเหตุที่เรียกว่า พระพุทธนาคน้อยหรือ หลวงพ่อนาค นั้นนอกจากข้อสันนิษฐานที่ว่าอัญเชิญมาจากสุโขทัยพร้อมกับพระศรีศากยมุนี หรือพระพุทธนาคใหญ่ที่ประดิษฐานในพระวิหารวัดสุทัศนเทพวรารามแล้ว ยังมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า

     ครั้งหนึ่งทำนั่งร้าน ไม้นั่งร้านไปกระแทกถูกแก้มพระ ปูนแตกกระเทาะ พบว่าเนื้อองค์พระเป็นนาก จึงพอกปูนไว้ตามเดิม พระพุทธนาคน้อยนี้เป็นที่นับถือ และเคารพบูชาของทั้งพุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวจีนเชื้อสายไทย ด้วยเห็นความมหัศจรรย์และอภินิหารหลายอย่างของท่านเชื่อ กันว่ามีเทพยดาหลายองค์สถิตอยู่ในองค์พระในหมู่ชาวจีนเชื้อสายไทยต่างเรียกพระนามพระพุทธนาคน้อยว่า ลักน้อย ซึ่งแปลว่ากลีบ บัว ๖ ชั้น อันประดับอยู่ใต้ฐานชุกชีและนิยมยกย่องเรียกเป็น ซำปอกง


วิหารพระพุทธนาคศักดิ์สิทธิ์

     พระวิหารหลวงพ่อพระพุทธนาคเป็นสถาปัตยกรรมแบบทรงไทย กว้าง 16.99 เมตร ยาว 20.19 เมตร เป็นวิหาร 5 ห้อง หลังคาลด 2 ชั้น หน้าบันสลักลวดลายดอกไม้สวยสดงดงามและปิดทองประดับกระจกแพรวพราว มีซุ้มประตู 4 ประตู บานประตูประดับมุก

     พระวิหารนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง 4.25 เมตร สูง 5.70 เมตร มีพระนามว่า พระพุทธนาค ประชาชนเรียกกันว่า พระพุทธนาคน้อย  เป็นพระพุทธรูปโบราณคู่กับพระศรีศากยมุนี พระประธานในพระวิหารวัดสุทัศนเทพวราราม พระพุทธรูปทั้งสองนี้ ประกอบด้วยพระพุทธลักษณะสมัยสุโขทัยเหมือนกัน คือ มีพระรัศมีเปลวแต่ไม่มีไรพระสก ชายผ้ารัดประคตเป็นเขี้ยวตะขาบและประทับนั่งขัดสมาธิราบเช่นเดียวกับ พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก พระพุทธนาคนี้ได้รับอัญเชิญจากจังหวัดสุโขทัยมาประดิษฐานไว้ ณ พระวิหารวัดประยุรวงศาวาส เมื่อ พ.ศ. 2374

     พุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวจีน ให้ความเคารพบูชาในความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธนาคเป็นอย่างยิ่ง ด้วยได้รับสิ่งที่เป็นอัศจรรย์หลายประการ และโดยทั่วไปมักเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระพุทธนาคน้อย เพื่อให้คู่กับพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม ที่เรียกว่า พระพุทธนาคใหญ่ พุทธศาสนิกชนชาวจีนได้ขนานนาม พระพุทธนาค นี้ว่า " ลักน้อย " แปลว่า กลีบบัว 6 ชั้น 
     พุทธศาสนิกชนชาวไทยเชื้อสายจีนนิยมเรียกพระพุทธนาคน้อยว่า ซำปอกง (หลวงพ่อโต) 

วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนพระวิหารและพระพุทธนาคเป็นศิลปโบราณสถานวัตถุของชาติและพระศาสนา ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 66 ตอนที่ 64 วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492

ใน พ.ศ. 2550 พระพรหมบัณฑิตขณะยังเป็นพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส รูปปัจจุบัน ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับจากประเทศศรีลังกา พม่า และที่ค้นพบในพระบรมธาตุมหาเจดีย์ วัดประยุรวงศาวาส มาประดิษฐานในพระวิหาร






ที่มา...ประวัติวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และ วิกิพิเดีย




วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

นึกเรื่อง เล่าความหลังฯ๖ ขนมสมัยก่อน

นึกเรื่องเก่า เล่า ความหลัง กินของขม ชมเด็กสาว
..แปลว่า..เริ่มแก่แล้ว..๖
ขนมสมัยก่อน
ท่านที่ชอบนึกเรื่องเก่าเล่าความหลังนี้ แต่พยายามฝืนที่จะไม่กินของขม และยังไม่ชมเด็กสาว(ให้เห็น) อย่างนี้จะนับว่าเริ่มแก่แล้วหรือยัง คาดว่าท่านทั้งหลายคงจะตอบว่ายังไม่แก่อย่างแน่นอน ดังนั้นเรามานึกเรื่องเก่าเล่าความหลังกันให้พอเคลิ้มๆ

  เมื่อนึกเรื่องเก่าเล่าความหลังไปถึงเรื่องของกินสมัยก่อนที่ไม่ไกลนักแล้ว ยิ่งนึกก็ยิ่งพบว่าของกินของรับประทานสมัยก่อนนั้น ได้สูญหายหรือกลายพันธุ์ไปมาก หมายถึงที่ผู้เขียนเกิดทันยุคกับที่เคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าเรื่องเก่าๆให้ฟังพอพยายามค้นหาภาพเก่าๆมาประกอบเรื่อง ก็ยิ่งรู้สึกว่า ผู้เขียนและคนไทยเราไม่ค่อยสนใจเก็บภาพถ่ายภาพบันทึกอดีตกันสักเท่าไร เพราะภาพถ่ายที่ได้มักเป็นของที่ฝรั่งเขาถ่ายเอาไว้ ของหลายๆอย่างผู้เขียนยังจำได้แม่น แต่หาภาพมาลงประกอบไม่ได้เลย ต่อไปตั้งใจว่าจะขออนุญาตเข้าไปค้นที่หอสมุดแห่งชาติ

   พ่อค้าขายเต้าหู้ทอด สังเกตป่อเปี๊ยะชิ้นเบ้อเร้อ ภาพจาก www.fickr.com
            
  มันปิ้งชิ้นยาวเฟื้อย ภาพจาก www.fickr.com
   นึกถึงของกินพวกหาบเร่แผงลอยในอดีตแล้ว นึกได้ว่าเต้าหู้กับป่อเปี๊ยะทอดสมัยนี้ก็ต่างจากสมัยก่อน คือสมัยก่อนนั้นเต้าหู้ทอดป่อเปี๊ยะทอด จะมีขนาดใหญ่กว่าสมัยนี้มาก ใหญ่ขนาดว่ารับประทานแค่ชิ้นสองชิ้นก็อิ่มแล้ว แต่สมัยนี้เต้าหู้ทอดเหลือชิ้นเล็กนิดเดียว ต้องรับประทานกันทีละเป็นถุง ป่อเปี๊ยะทอดสมัยก่อนอันหนึ่งต้องหั่นเป็นชิ้นๆจึงจะรับประทานได้ แต่เดี๋ยวนี้ป่อเปี๊ยะทอดมีขนาดเหลือแค่อันละคำ

   ตอนซื้อป่อเปี๊ยะหรือเต้าหู้ทอดนั้น เขาจะเอาป่อเปี๊ยะใส่ไว้ในกระทงใบตองแห้ง เราต้องตัดสินใจว่าจะเอาน้ำจิ้มหวานหรือเผ็ด เพราะจะต้องราดลงไปเลย เนื่องจากยังไม่มีถุงพลาสติกมาใส่น้ำจิ้ม ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ ขนมที่เขาหาบขายกันนั้น ถ้าเป็นคนจีนขายก็มักจะใช้กระทงที่ทำจากใบตองแห้ง ทำมาสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเป็นพ่อค้าแม่ค้าคนไทย ก็มักจะใช้กระทงที่ทำจากใบตองสด มิหนำซ้ำยังมานั่งห่อกระทงกลัดกระทงกันให้เห็นกันต่อหน้าต่อตา ตอนเด็กผู้เขียนยังนั่งดูแม่ค้าขายกล้วยปิ้งเจ้าประจำกลัดกระทงใบตองสดที่หน้าบ้านผู้เขียนบ่อยๆ คือกินขนมไปดูแกกลัดกระทงไป แกทำกระทงได้รวดเร็วมาก

   กระทงสมัยนั้นใช้ไม้กลัดเป็นตัวยึด ไม่ได้ใช้ลวดแม๊กเย็บเอาอย่างปัจจุบัน การใช้ไม้กลัดนี้ต้องนับว่ามีความปลอดภัยต่อลูกค้ามาก เพราะจะไม่หลุดเข้าไปในปากในคอเลย เนื่องจากไม้กลัดงี้อันยาวเกิน๑นิ้วกว่าๆ จะกินขนมยังไงก็รับรองว่าไม่มีทางเผลอกลืนไม้กลัดเลย แต่ขนมใส่กระทงหรือใส่ถุงสมัยนี้ เผลอนิดเดียวเจอลวดแม๊กทิ่มปาก

   มันปิ้งหรือมันเผาเป็นของกินที่ทั้งกินเล่นหรือกินอิ่มก็ได้ ตอนผู้เขียนยังเด็กจะต้องยืนรอหาบขายมันปิ้งกล้วยปิ้ง ที่แม่ค้าจะหาบมาขายถึงหน้าบ้าน มันปิ้งสมัยนั้นมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่ประมาณหนึ่งคืบของผู้ใหญ่เป็นอย่างน้อย แต่มันปิ้งสมัยนี้เขาขายกันชิ้นเล็กลงไปมาก ดูเผินๆนึกว่าขนมปังพายของฝรั่ง

   มันปิ้งในสมัยนั้นแม่ค้าจะเอามันปิ้งที่ปิ้งได้ที่แล้ว เอามาหนีบให้เป็นแผ่น เครื่องหนีบนี้ก็เป็นไม้สองแผ่นเท่านั้น แถมไม้หนีบยังมีศิลปะเล็กๆน้อยๆด้วย โดยแกะลวดลายหรือทำรูปทรงน่าดู  แม่ค้าจะหนีบมันปิ้งให้แบนแล้วจุ่มลงในน้ำเชื่อมที่อยู่ในหม้อเคลือบใบเล็ก น้ำเชื่อมเป็นสูตรใครสูตรมันด้วย น้ำเชื่อมนี้เขาทำจากน้ำตาลปี๊บแบบวันต่อวันจึงหอมๆ พอรับประทานหรือกินเล่นจะพบว่า มันปิ้งอร่อยมากทั้งหอมทั้งหวานผสมเค็มนิดๆ
  
   ซาเล้งขายน้ำแข็งไสและรวมมิตรภาพจาก www.fickr.com  
   ถ้าเป็นของรับประทานแบบเย็นเจี๊ยบก็มีน้ำแข็งกดราดน้ำหวาน คือเอาน้ำแข็งไสใส่ลงไปในถ้วยแล้วเอาไม้เล็กๆเสียบลงไปตรงกลางสำหรับให้ถือได้ เสร็จแล้วจึงคว่ำถ้วยเพื่อดึงน้ำแข็งที่มีไม้เสียบออกมา จะเหมือนไอติมแท่ง แล้วจึงเอาน้ำหวานค่อยๆเทลงไปบนน้ำแข็ง การเทน้ำหวานต้องเทไปหมุนแท่งน้ำแข็งไป เพื่อให้น้ำหวานค่อยๆซึมลงไปอย่างทั่วถึง บางทีใช้น้ำหวานหลายสีทำเป็นชั้นๆดูแล้วสวยน่ารักน่าชิม นับว่าต้องใช้ความชำนาญเหมือนกัน  เสร็จแล้วก็กลายเป็นน้ำแข็งกดที่มีสีสวยสดใส

 น้ำแข็งกดย้อนยุค สมัยก่อนก็ทำแบบนี้ แต่ไม้ถือจะเล็กๆ
                             
   น้ำแข็งกดนี้เป็นแค่ของขายเล็กๆน้อยๆแบบออปชั่น เพราะที่จริงแล้วเขาจะขายน้ำแข็งไสรวมมิตรหรือบ๊อกเกี้ย  คือไสน้ำแข็งให้เป็นเกล็ดเล็กๆโปะลงไปบนขนมผลไม้ที่ปนกันหลายๆอย่าง ส่วนมากเป็นของเชื่อมเช่น ถั่วแดง มัน ขนุน ลูกชิด แห้ว บ๊ะจ่าง ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด และอีกหลายอย่าง เนื่องจากมีขนมรวมหลายๆอย่างในชามเดียวกันจึงเรียกว่ารวมมิตร คนจีนเรียกบ๊อกเกี้ยหรือโบ๊กเกี้ย  แล้วราดด้วยน้ำเชื่อมหรือน้ำกะทิ ขนมรวมมิตรนี้ถ้าจะให้ครบเครื่องจริงๆต้องมีบะหมี่หวานกับลูกแป้งใส่ด้วย ลูกแป้งนี้ก็คือตัวโบ๊กเกี้ยนั่นเอง ปัจจุบันถ้าจะรับประทานแบบมีเครื่องให้เลือกเยอะๆ ก็คงต้องไปตลาดท่าดินแดง ซึ่งมีร้านเดียวคนแน่นขนัดเลย อีกที่ๆผู้เขียนรู้จักอยู่แถวๆบางลำพู รสชาดยังอร่อยทั้งสองเจ้า



แป้งเส้นขาวๆนี่แหละคือตัวโบ๊กเกี้ยหรือบ๊อกเกี้ย

   ของกินเย็นๆที่ไม่ได้หมายถึงเอาไปกินตอนช่วงเย็นก่อนค่ำนั้น แน่นอนว่าไอศครีมต้องรวมอยู่ในของกินเย็นๆยอดฮิตด้วย ไอศกรีมนี้แต่ก่อนเรียกกันง่ายๆว่าไอติม ก็มีไอติมหลอด ไอติมตัด กับไอติมควัก ไอติมหลอดกับไอติมตัดเป็นไอติมแบบแท่ง ส่วนไอติมควักก็คือไอศครีมซาเล้งที่ใช้ช้อนที่ทำมาโดยเฉพาะสำหรับตักหรือควักไอศครีม ก็คือไอศรีมแบบสเวนเซ่นในปัจจุบันนั่นเอง 

   ไอติมหลอดเป็นไอติมหวานเย็น โดยจะใส่ไว้ในกระติกแก้วมีตะกร้าหวายสำหรับหิ้วได้ ไอติมหลอดจะมีหลายรสแบบไทยๆคือ ใส่ลอดช่อง ถั่วดำ ขนุน จำได้ว่าตอนเด็กซื้อแท่งละ ๒๕ สตางค์ คนขายมีเครื่องล่อให้เด็กและผู้ใหญ่ซื้อไอติมด้วย โดยถ้ากินไอติมแล้วเจอไม้ไอติมที่แต้มสีแดง ก็จะแถมไอติมให้ฟรีๆอีกหนึ่งแท่ง แต่ผู้เขียนจำได้แม่นว่าตั้งแต่กินไอติมหลอดมานั้น ยังไม่เคยเจอไม้แดงเลย





   ไอติมตัดเป็นของกินเย็นๆยอดฮิตอย่างหนึ่งในวัยเด็ก แต่ไอติมตัดนี้ไม่มีแบบที่ใส่เม็ดสาคู ถั่วดำ ลอดช่อง แต่ทำเป็นไอติมรสชาติทำนองฝรั่ง ตอนผู้เขียนยังเด็กฟังชื่อรสของไอติมตัดแล้ว รู้สึกว่าไอติมตัดมันช่างทันสมัยดีแท้ คือมีเป็น รสวนิลา รสนม รสสตรอเบอรี่ รสช็อคกาแล็ค รสกาแฟ 


   ของกินเย็นๆที่ไม่ได้หมายถึงเอาไปกินตอนช่วงเย็นก่อนค่ำนั้น แน่นอนว่าไอศครีมต้องรวมอยู่ในของกินเย็นๆยอดฮิตด้วย ไอศกรีมนี้แต่ก่อนเรียกกันง่ายๆว่าไอติม ก็มีไอติมหลอด ไอติมตัด กับไอติมควัก ไอติมหลอดกับไอติมตัดเป็นไอติมแบบแท่ง ส่วนไอติมควักก็คือไอศครีมซาเล้งที่ใช้ช้อนที่ทำมาโดยเฉพาะสำหรับตักหรือควักไอศครีม ก็คือไอศรีมแบบสเวนเซ่นในปัจจุบันนั่นเอง 

   ไอติมตัดนี่จะกินต้องมีพิธีรีตองหน่อย เริ่มจากต้องตัดไอติมออกมาจากท่อนไอติม คือไอติมตัดนี้เป็นไอศกรีมแบบไอศกรีมวอลล์ในปัจจุบันนี่แหละ แต่ไอติมตัดนี้เขาจะทำไอศรีมในลักษณะเป็นแท่งยาวหรือเป็นก้อนๆ มีกระดาษว่าวม้วนไอศกรีมให้หยิบง่ายๆ พอขายก็ขายตามราคาโดยเอามีดตัดเอา คนซื้อก็ต้องแกะกระดาษห่อไอติมออกก่อนจึงจะกินได้ เวลากินก็มีเทคนิคประกอบคือต้องกินไปเลียไปจนกระทั่งอมในปากได้ คนที่มีเทคนิคในการกินสูงนั้นจะอมไอติมจนกลมเลยทีเดียว



   เด็กๆจะรู้ว่าไอติมมาขายแล้วจากการได้ยินเสียงกระดิ่งไอติม คนขายเขาจะมีกระดิ่งทองเหลืองอันเล็กๆที่มีด้ามจับ เวลาเดินสะพายกระติกไอติมก็เขย่ากระดิ่งไปด้วย เดี๋ยวก็มีเด็กๆวิ่งมาซื้อ ตอนนี้ทั้งไอติมหลอดไอติมตัดมีการทำย้อนยุคมาขายแล้ว ไอติมหลอดไอติมตัดคงไม่สูญพันธุ์ แต่ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า ไอติมหลอดไอติมตัดยุคนี้หน้าตาไอติมไม่คุ้นเคยยังไงชอบกล

   ไอติมยอดฮิตอีกชนิดหนึ่งก็คือไอติมควัก ไอติมแบบนี้จะมีคนถีบซาเล้งมาขาย จะมีอยู่สองพวกคือไอติมซาเล้งที่เป็นของไทยๆ กับไอติมซาเล้งมียี่ห้อฝรั่ง ความแตกต่างอยู่ที่ไอติมควักแบบไทยๆนั้น จะมีเครื่องเคราใส่มาบนไอติม จะเป็นพวกเต้าส่วน ข้าวเหนียว ลูกชิด ถั่วดำ สัปรดเชื่อม มันเชื่อม ฯลฯ แล้วแต่ที่คนขายจะมีติดซาเล้งมา ทั้งยังมีพิเศษแบบทำเป็นไอติมฮอตดอก โดยผ่าขนมปังให้แบะออก แล้วเอาไอติมใส่ตรงรอยที่ผ่าไว้ โรยถั่วลิสงกับราดด้วยนมสดกระป๋อง แบบนี้เวลาหิวๆกินแล้วหายหิวได้ในระดับหนึ่ง แถมอีกด้วยน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบที่ไปเปิดก๊อกท้ายรถซาเล้งใส่ถ้วยดื่มได้เลย

   ไอติมควักแบบที่เป็นยี่ห้อฝรั่งขายแบบฝรั่งนั้น จำได้ว่ายี่ห้อไอติมตราเป็ดเป็นไอติมที่มาก่อนเลย มีชื่อเรียกว่าไอติมป๊อบ แล้วค่อยๆเรียกเป็นไอศครีมป๊อบ ไอติมป๊อบนี้ที่ว่าขายแบบฝรั่งก็คือ เป็นไอศครีมรสต่างๆที่บรรจุไว้ในถ้วยมีฝาปิดมาเรียบร้อย ไม่ต้องให้คนขายมานั่งควักหรือขูดไอศครีมใส่ถ้วยอีก ถ้วยที่ใส่ไอศครีมเป็นถ้วยกระดาษเคลือบขี้ผึ้งพาราฟีน ต่อมาอีกหลายปีถึงค่อยมีไอติมโฟโมสต์ การเรียกไอติมว่าไอศครีมกันอย่างค่อนข้างจริงจัง รู้สึกว่าก็เริ่มมาตั้งแต่ตอนมีไอศครีมยี่ห้อแบบฝรั่งนั่นเอง


ช้อนควักหรือขูดไอศครีมแบบดีดไอศครีมได้

ช้อนขูดไอศครีมแบบนี้ต้องเคาะไอศครีมออกมา

   ไอติมโบราณทีผู้เขียนไม่เจอมานานเกือบสี่สิบปีแล้วก็คือไอศกรีมไข่แข็ง แล้วไอศกรีมไข่แข็งนี้ไม่ค่อยมีใครเรียกว่าไอติม จะเรียกเป็นกรณีพิเศษว่าไอศกรีม ข้อนี้ไม่ทราบว่าทำไม  ที่เห็นว่าไอศกรีมไข่แข็งที่พอจะมีขายกันในปัจจุบันบ้างนั้น หน้าตามันไม่ใช่ไอศกรีมไข่แข็งแบบที่เคยกินเลย

   ไอศกรีมไข่แข็งของจริง(อย่าคิดมาก)นั้น จะเป็นไอศกรีมใส่มาในถ้วยไอครีมโดยตรง คือเป็นถ้วยแก้วที่ทำมาให้ใส่ไอศครีมโดยเฉพาะแบบไอศครีมฝรั่ง ต้องนับว่าไอศครีมไข่แข็งนี้เป็นไอศกรีมที่มีชนชั้นเสียด้วย ไอศครีมจะใส่มาในถ้วยแก้วไอศครีมสวยๆ แล้วมีไข่ไก่ที่แช่เย็นเสียจนไข่แข็งโป๊ก(นี่ก็อย่าคิดมาก) หั่นไข่ไก่ออกเป็นสี่ส่วนวางบนเนื้อไอศกรีม รสชาติของการกินไอศรีมกับไข่ไก่ที่แช่เย็นจนแข็งนั้น จะมีความหวานมันของไอศครีม ผสมกับรสชาติแปลกๆของไข่ไก่ที่ทั้งเย็นทั้งแข็ง รสชาติของการกินไอศครีมไข่แข็งนั้นบอกไม่ถูก มันหวานๆมันๆปะแล่มๆ แต่ผู้เขียนชอบมาก เคยพาเพื่อนรักไปชิมปรากฏว่าเพื่อนรักอ้วกแตกเลย ทำให้ผู้เขียนเลยไม่กล้าพาเพื่อนสาวๆของผู้เขียนในสมัยนั้นไปชิมไอศครีมไข่แข็งดังกล่าว

    ไอศครีมไข่แข็งขนานแท้และดั้งเดิมนั้น เจ้าสุดท้ายที่ผู้เขียนได้รับประทานก็ปาเข้าไปนานถึงสามสิบกว่าปี เป็นร้านแถวๆสะพานเหล็ก ตอนนี้ร้านนี้เลิกขายไปแล้วเป็นสิบๆปีแล้ว และยังไม่เคยพบร้านขายไอศครีมไข่แข็งชนิดดั้งเดิมอีกเลย มีแต่ไอศครีมไข่แข็งที่ดัดแปลงจากแบบเดิมซึ่งคนก็ไม่ค่อยรู้จักเสียอีก แต่จะว่าไปแล้วไอศครีมไข่แข็งแบบนี้ก็เป็นไอศครีมยุคเก่าเหมือนกัน

     ไอศครีมไข่แข็งยุคเดิมใช้ไข่ไก่ทั้งฟองแช่เย็น จะต้องแช่เย็นจนไข่ขาวและไข่แดงเย็นจนกระทั่งกลายเป็นไข่แข็งโป๊ก(อย่าคิดมากนะครับท่าน) แล้วใส่ลงไปในไอศครีมทั้งลูก ส่วนไอศครีมไข่แข็งที่ดัดแปลงใหม่นั้น จะใช้แค่ไข่แดงเทบางๆลงไปในถังไอศครีม พอไข่แดงชั้นบางๆโดนเนื้อไอศครีมที่เย็นเจี๊ยบ ไข่แดงเลยแข็งตัว จากนั้นค่อยตักไอศครีมที่มีไข่แดงติดขึ้นนมา แบบนี้บางทีรับประทานแล้วยังไม่รู้ตัวว่าเลยว่าเป็นไอศครีมใส่ไข่
ไอศครีมไข่แข็งขนานแท้และดั้งเดิมกลายเป็นไอศครีมลึกลับไปแล้ว เลยยังไม่สามารถหารูปมาให้ดูได้

ไอศครีมไข่แข็งแบบดัดแปลง

                                          ขอขอบคุณรูปจากwww.fickr.com , เว็บพันทิป 



วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

สุขภาพดีไม่มีขาย..จึง..ต้องทำเอง.2 โรคหัวใจ

กลุ่มโรคหัวใจ   Heart Diseases
อาการน่าสงสัยว่าจะเป็นโรคหัวใจ


   โรคหัวใจเป็นโรคยอดฮิตโรคหนึ่งซึ่งไม่มีใครที่เป็นแล้วจะดีใจแน่  ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักกับโรคหัวใจ เพื่อที่จะระวังป้องกันการเป็นโรคหัวใจนี้
**ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็บ กระปุก...อีกอย่างภรรยาเป็นพยาบาลเขาตรวจทานให้ด้วย

หัวใจคนเรามี 4 ห้อง แบ่งซ้าย - ขวา โดยผนังของกล้ามเนื้อหัวใจ และแบ่งเป็นห้องบน ล่างโดยลิ้นหัวใจ ในทุกๆ วัน หัวใจคนเราจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง และสูบฉีดเลือดประมาณวันละ 2,000 แกลลอน
อาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ซึ่งอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่า มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น โรคหัวใจ สามารถแบ่งได้หลายชนิด ดังนี้

 โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน  คือ อาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ที่บ่งชี้ว่าอาจเป็น โรคหัวใจ พบบ่อยในคนทั่วไป ที่คิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี ทั้งที่ความจริงอาจเป็นโรคหัวใจในระยะแรกเริ่ม มีดังนี้   
     
1.ออกกำลังกายแล้วเหนื่อย หัวใจทําหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขณะที่เราออกกําลังกาย หัวใจจะทํางานหนักมากขึ้น ปกติเวลาที่เราออกกำลังกายไปถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกเหนื่อย แต่ในรายของคนที่มีอาการเริ่มต้นของ โรคหัวใจ แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย จะรู้สึกเหนื่อยผิดปกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นหากออกกำลังกาย แล้วรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า คุณอาจเป็น โรคหัวใจ..จากกระปุก          




2. เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก มักพบบ่อยในคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ อาการดังกล่าวจะมีลักษณะเฉพาะคือ รู้สึกเหมือนหายใจอึดอัด และแน่นบริเวณกลางหน้าอก เหมือนมีของหนักทับอยู่ หรือรัดไว้ให้ขยายตัวเวลาหายใจ โดยมากอาการนี้ จะแสดงออกเวลาที่หัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ระหว่างการออกกำลังกาย หรือใช้แรงมากๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่า อาจเป็น โรคหัวใจ..จากกระปุก
     



3. ภาวะหัวใจล้มเหลว เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างของร่างกายได้อย่างเพียงพอ โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อย ทั้งที่ออกกำลังกายเพียงนิดหน่อย หรือเหนื่อยทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ ในกรณีที่เป็นมาก อาจทำให้ไม่สามารถนอนราบได้เหมือนปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจ และอึดอัดตรงหน้าอก นอกจากนั้น อาจมีอาการหอบจนต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึกอีกด้วย อาการภาวะหัวใจล้มเหลวนี้ หากไม่รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้..จากกระปุก

* ข้อนี้เคยเห็นรุ่นน้องเป็นมาแล้วคือ พอนอนแล้วรู้สึกเหมือนจะตาย ต้องนั่งหลับถึงจะได้ ต่อมาก็เสียชีวิต




4. ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปกติหัวใจของเราจะเต้นด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอประมาณ 60 -100 ครั้ง/นาที แต่สำหรับคนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจขยับไปถึง150 -250 ครั้ง/นาที ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอนี้ จะทำให้เหนื่อยง่าย ใจสั่น หายใจไม่ทัน..จากกระปุก

                                                     ภาพจากwww.bumrungrad.com

"บทความจากwww.bumrungrad.com

+  ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น มีผนังหัวใจหนามาก ผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะที่อายุน้อย ๆ มักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด
+  ความผิดปกติทางร่างกายที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจ อาทิ เบาหวานความดันโลหิต ไขมันในเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูงไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ซึ่งมักพบในผู้ป่วยกลุ่มที่เป็นผู้สูงอายุ
+  อาหารบางอย่าง เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต
+  ยารักษาโรคบางชนิด อาทิ ยาที่มีส่วนประกอบของแอมเฟตามีน ยารักษาโรคหอบหืด
+  ความผิดปกติอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ อาทิ ภาวะต่อม ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ อิเล็กโทรไลต์ในร่างกายผิดปกติ เช่น แมกนีเซียม โพแทสเซียม เป็นต้น
+  ความเครียดและความวิตกกังวล

      ปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อระบบไฟฟ้าในหัวใจ ทำให้กระแสไฟฟ้าในหัวใจเปลี่ยนไป เกิดคลื่นไฟฟ้าหมุนวน หรือทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในห้องหัวใจที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ซึ่งหากเป็นการเต้นเร็วผิดปกติ จากหัวใจห้องบนแบบเต้นพลิ้วก็อาจทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ซึ่งถ้าลิ่มเลือดนี้หลุดไปที่สมองก็มีโอกาสทำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดปกติก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่ดี และหาก ปล่อยไว้นานหัวใจก็อาจจะเต้นพลิ้วและอาจจะหยุดเต้นได้
      อย่างไรก็ตาม นพ. โชติกร อธิบายว่า อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้นไม่ได้เป็นอันตรายไปเสียทั้งหมด เมื่อเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นแพทย์จะวิเคราะห์ว่าเป็นหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดใด เช่น หากเป็นการเต้น แทรกธรรมดาจากห้องข้างบนหรือห้องข้างล่างของหัวใจ แต่ตรวจแล้วไม่พบสัญญาณของหลอดเลือดอุดตัน หรือ หัวใจอ่อนแรง ก็ไม่เป็นอันตรายแต่ถ้าเป็นหัวใจเต้นพลิ้ว หรือ Atrial Fibrillation ซึ่งมักพบในผู้ป่วย สูงอายุ พวกนี้เป็นอันตรายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง"


 5.เป็นลมหมดสติ คืออีกหนึ่งอาการที่เตือนว่าคุณอาจเป็น โรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นลมหมดสติสูง เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ เพราะเซลล์ซึ่งทำหน้าที่ให้จังหวะไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพ ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง และส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จนทำให้เป็นลมไปชั่วคราวได้ ทั้งนี้ การเป็นลมหมดสติ มักจะเกิดในท่ายืนมากกว่านั่ง ทำให้ขณะล้มลงศีรษะมีโอกาสฟาดพื้น และเกิดการกระทบกระเทือนต่อสมองได้มากกว่า ดังนั้น ใครที่เป็นลมบ่อยๆ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็น โรคหัวใจได้..จากกระปุก


"จากwww.doctor.or.th
ถ้าเป็นลมเนื่องจากโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมอง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้การรักษาตามสาเหตุ โดยใช้ยา เช่น ยาควบคุมเบาหวาน ความดันเลือด ไขมันในเลือด ยาต้านภาวะหัวใจล้มเหลว ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น แอสไพริน) เป็นต้น บางราย (เช่น ผู้ป่วยลิ้นหัวใจตีบ หลอดเลือดหัวใจตีบ) อาจต้องผ่าตัดผู้ป่วยกลุ่มนี้ ในช่วงแรกอาจต้องรับตัวรักษาไว้ในโรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด"

6. หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ในกรณีนี้มักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจโดยตรง และมักเกิดกับคนปกติที่ไม่มีอาการของโรคหัวใจมาก่อนล่วงหน้า ซึ่งหากมีอาการหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือที่รวดเร็ว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้....จากกระปุก



ต่อไปจาก www.wearenurse.com
การเสียชีวิตอย่างกะทันหันจากหัวใจหยุดทำงานมักเกิดจาก 2 สาเหตุ ใหญ่ ได้แก่ 
(1) จากภาวะของโรคหัวใจโดยตรง เช่นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน, โรคลิ้นหัวใจอักเสบ, โรคผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนา, โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นต้น บุคคลที่มีพยาธิสภาพของโรคหัวใจดังกล่าวมักจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ในการ ดูแลและป้องกันภาวะที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างกะทันหันที่เรียกว่า Sudden Cardiac Death (SCD)    

 (2) จากภาวะหัวใจหยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีสุขภาพ แข็งแรงและมักจะยังมีอายุไม่มากนัก ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Pokkuri หรือ Sudden Unexplained Death Syndrome (SUDS) หรือที่รู้จักกันในภาษาไทยว่าโรคไหลตาย"

โรคหัวใจที่สังเกตอาการผิดปกติที่ได้จากร่างกาย  
     นอกจากความผิดปกติชนิดเฉียบพลันแล้ว อาการบ่งชี้ที่สังเกตได้จากร่างกายของเราเอง ก็เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่เตือนให้รู้ว่า คุณอาจเป็น โรคหัวใจ และควรไปพบแพทย์โดยด่วนได้เช่นกัน เป็นต้นว่า...

1. ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อกดดูแล้วมีรอยบุ๋มตามนิ้วที่กดลงไป ซึ่งหากเกิดขึ้นกับใคร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คโดยด่วน เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า เวลานี้คุณอาจอยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลวโดยที่ไม่รู้ตัว..จากกระปุก

จากwww.manager.co.th
โรคหัวใจ อาการขาบวมเกิดจากการที่ร่างกายมีเกลือโซเดียม และน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย อาจเกิดจากโรคหัวใจบางชนิด อาการบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรังก็ให้อาการเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีอาการขาบวม แพทย์จำเป็นต้องตรวจหลายระบบเพื่อหาสาเหตุ แล้วจึงให้การรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป




   2. ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีลักษณะเขียวคล้ำ อาการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ทางเดินของเลือดในหัวใจห้องขวากับห้องซ้ายมีการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการผสมของเลือดแดงกับเลือดดํา และทําให้ปริมาณของออกซิเจนในเลือดมีปริมาณน้อยลง..จากกระปุก

"จากwww.docter.or.th
ลิ้นเขียว ปากเขียว เล็บเขียว

                                          ลิ้นเขียวคล้ำเหมือนคนที่กินลูกหว้า(ผลไม้สีม่วง)

                                             ริมฝีปากเขียวคล้ำ เหมือนทาด้วยลิปสติกสีม่วง


     คนปกติทั่วไป สีของลิ้น ริมฝีปาก และเล็บมือเล้บเท้า จะออกแดงเรื่อๆ เนื่องจากมีเลือดแดงมาเลี้ยง เด็กในภาพจะเห็นว่า ทั้งลิ้น ริมฝีปาก และเล็บมือมีสีเขียวปนม่วง คล้ายกับคนที่กินลูกหว้า (ผลไม้สีม่วง ) หรือทาลิปสติกสีม่วง

ลักษณะเช่นนี้ ศัพท์แสงทางหมอเรียกว่า ภาวะเขียว หรือ ซัยยาโนสิส “( cyanosis )
เด็กคนนี้มีอาการเหนื่อยง่าย ลิ้นเขียว ปากเขียว เล็บเขียวมาตั้งแต่เกิด เนื่องจากเป็นโรคหัวใจพิการมาตั้งแต่กำเนิดชนิดหนึ่งที่ทำให้เลือดแดง ( หมายถึงเลือดที่มีก๊าซออกซิเจนจับตัวอยู่มาก)กับเลือดดำ( หมายถึง เลือดที่มีก๊าซออกซิเจนจับตัวอยู่น้อย แต่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเสียจับตัวอยู่มาก ) ผสมปนเปกันเป็นสีคล้ำๆแล้วถูกสูบฉีดไปทั่วร่างกาย จึงทำให้ส่วนต่างๆของ ร่างกายมีสีเขียวคล้ำไป

ถ้าท่านพบเด็กที่มีอาการวิ่งเล่นแล้วเหนื่อยง่าย และมีลิ้นเขียว ปากเขียว เล็บเขียว ก็พึงพาเด็กไปปรึกษาหมอ โรคหัวใจพืการบางอย่างอาจผ่าตัดแก้ไขได้ ถ้าได้ปรึกษาหมอแต่เนิ่นๆ"

การตรวจร่างกายแล้วพบสิ่งบอกว่าเป็นโรคหัวใจ 


       การไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถคาดคะเนความเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจ ได้ เช่น ตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็นเบาหวาน หรือมีไขมันในเลือดสูง ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้เช่นกัน หรือเอ็กซเรย์แล้วพบว่า ขนาดของหัวใจโตกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว และกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอ่อนกำลังลง ทำให้ห้องต่างๆ ของหัวใจขยายขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูง ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน





ป้องกันด้วยตัวเองก่อนที่จะเป็นโรคหัวใจ

 ได้มีการประชาสัมพันธ์ถึงการป้องกันโรคหัวใจกันอย่างแพร่หลาย พอจะสรุปได้ว่า ให้ระวังเรื่องอาหารการกินที่มีไขมันมาก รับประทานผักผลไม้มากขึ้น พยายามทำใจให้ผ่องใสไม่เครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็ลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจได้มากแล้ว..จากกระปุก









โรคหัวใจนี้เราทุกคนป้องกันได้ง่ายๆอย่างนี้แล้วจะไม่ลองทำเชียวหรือ

ขอขอบคุณภาพและข้อมูลดีๆจากเว็บไซต์




วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าฝรั่ง.2..แดร๊กคูล่า

แดร๊กคูล่า..Dracula


แดร๊กคูล่า
     ภาพยนตร์สยองขวัญที่เป็นตำนานนั้น ต้องนับว่าเรื่อง แดร๊กคูล่า จัดอยู่ในลำดับต้นๆด้วยเรื่องหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างหลายครั้งหลายตอน มีมาตั้งแต่ยุคภาพยนตร์ขาวดำยุคแรกๆด้วยซ้ำ ปัจจุบันภาพยนตร์ชุดแดร๊กคูล่ายุคแรกๆนับเป็นภาพยนตร์คลาสสิกของโลกนี้

     แดร๊กคูล่าถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์แบบมีภาคต่อๆมาหลายภาค นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีภาคต่อยุคแรกเลยก็ว่าได้ ทั้งยังมีการนำกลับมารีเม็คหรือสร้างใหม่นับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังมีการสร้างเป็นเกมส์คอมพิวเตอร์มาตั้งแต่มีเกมส์คอมฯยุคแรกๆ และสร้างต่อๆมามีในเครื่องเล่นเกมส์ทุกเวอร์ชั่น เกมส์แดร๊กคูล่าแบบที่ยึดโครงเรื่องดั้งเดิมนั้น ต้องเรียกว่าเล่นไปหนาวไป  ผู้เขียนเองก็เคยหนาวมาแล้ว ยิ่งเล่นเกมส์คนเดียวตอนดึกๆมีเสียวหลังวาบด้วย




     เรื่องแดร๊กคูล่าเป็นบทประพันธ์ของนักเขียนชาวไอริชชื่อ บราม สโตกเกอร์ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. ๑๘๙๗ หรือ พ.ศ. ๒๔๔๐ นับเป็นนวนิยายสยองขวัญที่มีอายุถึง ๑๑๘ ปีแล้ว

      เชื่อกันว่า บราม สโตกเกอร์(Bram Stoker) ได้อาศัยตำนานของเจ้าชายแห่งโรมาเนียในสมัยโบราณ แล้วแต่งเรื่องแดร๊กคูล่าให้โยงไปถึงเจ้าชายที่มีประวัติน่าสยองขวัญช่วงหนึ่ง ถึงขนาดว่าคนยุคนั้นเรียกเจ้าชายว่า จอมเสียบ
                                                             Bram Stoker


หนังสือDRACULA By Bram Stoker ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ.1897


                                  หนังสือ DRACULA ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในอเมริกา ค.ศ.1899

   ตามตำนานเก่าแก่ของโรมาเนียว่า ครั้งที่โรมาเนียแบ่งเป็นแคว้นทรานซิลวาเนีย กับแคว้นวาลาเคีย มีเจ้าชายองค์หนึ่ง ชื่อ "วลาดแห่งวาลาเคีย" ได้ทำการรบต่อสู้พวกเติร์กที่มาโจมตี เจ้าชายวลาดมีความกล้าหาญเป็นที่เลื่องลือ แต่ว่าสิ่งที่เลื่องลือมากกว่ากลับเป็นเรื่องที่เจ้าชายเหี้ยมโหดต่อศัตรูผู้รุกราน

   ครั้งนั้นชาวโรมาเนียเรียกเจ้าชายว่า "วลาด แดรคูล" แปลว่า "วลาด เจ้ามังกรผยองเดช" เพราะพระบิดาของเจ้าชายวลาดนั้น ได้รับการแต่งตั้งจากพระจักรพรรดิซิกิสมุนด์แห่งนูเรมเบิร์ก ให้เป็น "อัศวินมังกร" (Knight of Dragon's Order) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตกทอดถึงทายาทด้วย เมื่อเจ้าชายวลาดขึ้นครองวาลาเคีย และยังเป็นเจ้าชายนักรบผู้กล้า 

     ผู้คนจึงเรียกเขาอย่างภูมิใจว่า "วลาด แดรโค" (Vlad Draco) เพราะ "แดรโค" เป็นภาษาละตินแปลว่า "Dragon" หรือมังกรนั่นเอง ภายหลังจึงเพี้ยนเสียงเป็น "วลาด แดรคูล" (Vlad Dracul) 
 Vlad Draco
                         
   เหตุที่คนเรียกเจ้าชายวลาดว่าเจ้าชายจอมเสียบก็เพราะว่า เจ้าชายนิยมที่จะทรมานเชลย และจะจบลงด้วยการเอาไม้เสียบทะลุร่างของเชลยอย่างโหดเหี้ยม แล้วปักไม้โชว์ร่างไร้วิญญาณของเชลยอย่างชวนสยอง ว่ากันว่าระหว่างทรมานเชลยนั้น เจ้าชายจะทรงดื่มเหล้าเสวยพระกระยาหารพร้อมดูการทรมานไปด้วย จึงเป็นที่มาของฉายานาม "วลาด นักเสียบ" ( Vlad the Impaler )

เรื่องราวโดยละเอียดของเจ้าชายวลาด


เจ้าชายวลาดที่ 3 แห่งแคว้นวาลาเคีย (ค.ศ. 1431–1476/7) หรือที่รู้จักกันจากชื่อสกุล แดรกคิวลา พระองค์ทรงได้รับสมัญญาว่า วลาดนักเสียบ (อังกฤษ: Vlad the Impaler; โรมาเนีย: Vlad Țepeș) และทรงเป็นเจ้าครองวาลาเคีย 3 สมัย ระหว่าง ค.ศ. 1456 ถึง 1462 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่อาณาจักรออตโตมันเริ่มมีอำนาจเหนือดินแดนคาบสมุทรบอลข่าน แคว้นวาลาเคียเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างฮังการีและแคว้นโมลดาเวีย ทั้งยังอยู่ใกล้อาณาจักรออตโตมาน จึงเหมือนเป็นรัฐกันชน

   พระราชบิดาทรงพระนามว่า วลาดที่ 2 ดรากูล (Vlad II Dracul)  ทรงเป็นสมาชิกสมาคมมังกร (Order of the Dragon) ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อพิทักษ์ศาสนาคริสต์ในยุโรปตะวันออก หรือเรียกว่าเป็นอัศวินมังกร(Knight of Dragon's Order) 

   ชาวโรมาเนียให้การเคารพต่อเจ้าชายวลาดที่ 3 ในฐานะวีรบุรุษนักรบของโรมาเนีย ที่ปกป้องชาวโรมาเนียในช่วงสงครามรุกรานจากอาณาจักรออตโตมาน ภัยสงครามในครั้งนั้นทำให้ชาวโรมาเนียและบัลแกเรียจำนวนมากอพยพมาสู่แคว้นวาลาเคีย 
   จากการที่เจ้าชายวลาดทรงชอบใช้ไม้แหลมท่อนยาวเสียบร่างของศัตรูแขวนไว้ จึงทำให้ชื่อเสียงของพระองค์ในด้านความโหดเหี้ยมระบือไปทั่วยุโรป คนทั้งหลายจึงเรียกพระองค์ในภาษาโรมาเนียว่า Vlad tepes ภาษาอังกฤษว่า Vlad the Impaler(มาจากคำว่าimpalement=การเสียบ) 

เจ้าชายวลาดมีอีกพระนามหนึ่งคือ วลาดิสลาฟ ดรากูลา เป็นพระโอรสของ วลาดที่ 2 ดรากูล ซึ่งพระราชบิดานั้นได้รับตรากล้าหาญ Order of the Dragon จากพระจักรพรรดิซิกิสมุนด์
                                                                        วลาดที่ 2 พระบิดาของ วลาดนักเสียบ


 วลาด ดราคูล พระบิดาของวลาดที่ 3 เป็นผู้ครองแคว้นถูกกลุ่มการเมืองที่มีฮังการีหนุนหลังแย่งบัลลังก์ แต่ก็สามารถชิงกลับมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากจักรวรรดิออตโตมาน โดยการยอมอ่อนน้อมต่ออาณาจักรออตโตมานด้วยการส่งบรรณาการไปถวายสุลต่านของอาณาจักรออตโตมาน และส่งโอรส 2องค์คือ วลาดที่ 3 และอนุชาคือ ราดู (สมญานามราดูรูปงามหรือ Radu the Handsome , (Radu Cel Frumos) ไปเป็นองค์ประกัน

 เจ้าชายทั้งสองคือ วลาดที่ 3 และ ราดู ได้รับการศึกษาจากราชสำนักออตโตมาน เรียนรู้ภาษาเติร์กและวัฒนธรรมของออตโตมานเป็นอย่างดี แต่การยอมรับในอาณาจักรออตโตมานนั้นต่างกันสุดขั๊ว โดยเจ้าชายราดูทรงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและอภิเษกกับหญิงมุสลิม ทั้งยังกลายเป็นพระสหายและแม่ทัพของ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 แต่เจ้าชายวลาดที่ 3 นั้นกลับทรงมีความเกลียดชังจักรวรรดิออตโตมานมาก

   
                                 ราดูผู้รูปงาม                            

    
                                        สุลต่านเมห์เหม็ดที่2

     ต่อมาใน ค.ศ. 1447 ฮังการีเห็นว่าแคว้นวาลาเคียดูเหมือนเอนเอียงไปทางจักรวรรดิออตโตมาน จึงวางแผนให้ขุนนางในสังกัดฮังการีสังหาร วลาดที่ 2 และจับ เมียร์ชา ซึ่งเป็นเชษฐาของวลาดที่ 3 ฝังทั้งเป็น แต่จักรวรรดิออตโตมานที่เห็นแคว้นวาลาเคียเป็นเหมือนประเทศราชได้เข้าแทรกแซง โดยช่วยให้เจ้าชายวลาดที่ 3 ขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นวาลาเคีย( Wallachia) ขณะนั้นเจ้าชายวลาดที่ 3 มีพระชนม์ 17 พรรษา เป็นการขึ้นครองแคว้นครั้งที่ 1 



                               
                                    จอห์น ฮันยาดิ (ภาษาอังกฤษ)
  
     กษัตริย์ฮังการีทรงเห็นว่าจักรวรรดิออตโตมานครอบงำให้แคว้นวาลาเคียเอนเอียงไปข้างออตโตมาน จึงได้ส่งกองทัพโจมตีแคว้นวาลาเคีย โดยมี จอห์น ฮันยาดิ(ฮุนยาดิ ยานอช Hunyadi Janos)เป็นผู้นำทัพ ครั้งนี้แคว้นวาลาเคียมีเจ้าผู้ครองแคว้นใหม่คือ วลาดิสลาฟที่ 2  





                                           วลาดิสลาฟที่ 2    


   เจ้าชายวลาดที่ 3 หนีไปอยู่ที่มอลดาเวีย โดยอยู่กับบ็อกดานที่ 2 ผู้เป็นลุง แต่ต่อมาที่มอลดาเวียเกิดสงครามกลางเมือง เจ้าชายบ็อกดานที่ 2 ถูกสังหาร ทำให้เจ้าชายวลาดต้องหนีไปยังฮังการี เมื่อ จอห์น ฮันยาดิ ทราบเรื่องก็สนับสนุนให้ วลาด ได้เป็นที่ปรึกษา เพราะฮันยาดิเห็นว่า วลาดมีความสามารถ และทราบเรื่องที่ความจริงแล้ว วลาด เกลียดสุลต่านเมห์เหม็ด

   ต่อมา จอห์น ฮันยาติ ถึงแก่กรรม วลาดจึงกลับไปยึดวาลาเคียคืนมาจาก วลาดิสลาฟที่ 2 ได้สำเร็จ เจ้าชายวลาดที่ 3 จึงขี้นครองแคว้นวาลาเคียอีกเป็นครั้งที่ 2

   เมื่อพระสันตะปาปาทรงเรียกร้องให้มีสงครามครูเสดเพื่อปกป้องยุโรปจากอาณาจักรออตโตมาน วลาดที่ 3 ก็หันมาร่วมมือกับกษัตริย์ฮังการี  ทางอาณาจักรออตโตมานได้ทวงถามบรรณาการจาก วลาดที่ 2 แต่วลาดปฏิเสธที่จะส่งบรรณาการทั้งเงินและทหารให้กับทางอาณาจักรออตโตมาน และกล่าวหาว่าทูตออตโตมานหลู่พระเกียรติด้วยการไม่ยอมถอดหมวกต่อหน้าพระพักตร์ ซึ่งเป็นการหาเหตุสังหารฑูตออตโตมานโดยตรง เพราะที่จริงหมวกที่ว่านั้นก็คือผ้าโพกศีรษะ  วลาดที่ 3 รับสั่งให้ประหารทูตด้วยการตอกตะปูลงบนศีรษะของทูต ทำให้สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ของอาณาจักรออตโตมานพิโรธส่งกองทัพบุกแคว้นวาลาเคีย 



                                   วลาดจับฑูตของจักรวรรดิออตโตมาน


   การรบในครั้งนี้นี่เองที่ วลาดที่ 3 ได้ตอบโต้จักรวรรดิออตโตมานอย่างโหดเหี้ยม คือ เอาไม้แหลมเสียบร่างของทหารออตโตมานปักไว้นับหมื่นคน ด้วยเหตุนี้เองตนทั้งหลายจึงเรียกวลาดที่ 2 ว่า The Impaler หรือ ผู้ชอบเสียบ โดยในระหว่างเอาไม้แหลมเสียบร่างศัตรูนั้น วลาดที่ 3 จะนั่งเสวยและทรงดื่มเหล้าท่ามกลางซากศพและการทรมานเชลยไปด้วย








      วลาดที่ 3 มีกำลังทหารน้อยกว่ามาก จึงใช้กลยุทธแบบกองโจรซุ่มโจมตีกองทัพออตโตมาน และอาศัยความโหดเหี้ยมในการสังหารข้าศึกเขย่าขวัญทหารออตโตมานไปด้วย  กองทัพออตโตมานกองทัพแรกที่ถูกวลาดที่ 2 ทำลายคือกองทัพทหารม้า 1,000 คน โดยถูกซุ่มโจมตีในระหว่างผ่านช่องแคบ ทหารเชลยส่วนใหญ่ถูกจับได้และถูกนำมา "เสียบร่างทั้งเป็น" คือใช้ไม้แหลมเสียบทะลุร่างกายของนักโทษทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

      นอกจากนี้ วลาดที่ 3 ยังใช้วิธีเผาทำลายเสบียงของกองทัพออตโตมาน โรยยาพิษในแม่น้ำ และสร้างทำนบกั้นเปลี่ยนทิศทางการไหลของแม่น้ำ ทั้งยังใช้สงครามเชื้อโรคโดยส่งคนที่เป็นโรคร้ายเข้าไปแพร่เชื้อในกองทัพออตโตมานอีกด้วย  


      เมื่อกองทัพออตโตมานที่อ่อนล้าเคลื่อนทัพมาถึงวาลาเคีย( Wallachia) กองทัพของวลาดที่ 3 จึงเข้าโจมตีกองทัพออตโตมานในเวลากลางคืน สร้างความเสียหายให้กับกองทัพออตโตมานอย่างหนัก  สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ตั้งพระทัยที่จะล้อมเมืองหลวงของวาลาเคีย แต่กลับพบประตูเมืองเปิดรอรับอยู่(หนังสือบางฉบับบอกว่าประตูเมืองไม่ได้ถูกเปิด แต่ที่รอบกำแพงเมืองมีร่างทหารที่ถูกเสียบเป็นปักอยู่) เมืองหลวงของวาลาเคียถูกปล่อยทิ้งร้าง ภายในเมืองมี "ป่าของคนที่ถูกเสียบทั้งเป็น" คือมีหลักที่มีร่างของทหารออตโตมานถูกเสียบทั้งเป็นปักอยู่ ราวๆ 20,000 หลัก บนหลักที่สูงที่สุดคือร่างแม่ทัพของออตโตมาน 


                                                                                       รูปการโจมตีกองทัพออตโตมาน
     
      วลาดที่ 3 อยู่กับชัยชนะได้ไม่นาน เพราะเสบียงและยุทธปัจจัยของแคว้นวาลาเคียมีน้อย ไม่เพียงพอที่จะทำสงครามยืดเยื้อ 

     ฝ่ายจักรวรรดิออตโตมานส่งกองทัพโจมตีแคว้นวาลาเคียอีก คราวนี้ผู้นำทัพของออตโตมานก็คือ ราดู ผู้เป็นอนุชาของ วลาดที่ 3 นั่นเอง ราดูเป็นผู้ที่ฝักใฝ่ในจักรวรนดิออตโตมานเป็นอย่างยิ่ง  ในที่สุด ราดู ก็สามารถยึดปราสาท Poenari ซึ่งเป็นที่มั่นสำคัญของ วลาดที่ 3 ได้ 

     ราดู ขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นวาลาเคีย( Wallachia) ในฐานะอาณานิคมของอาณาจักรออตโตมาน ส่วน วลาดที่ 3 หนีไปขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์ฮังการี ซึ่งเป็นบุตรของ จอห์น ฮันยาดิ แต่วลาดที่ 3 กลับถูกกษัตริย์ฮังการีซึ่งเป็นพันธมิตรจับขังไว้ในฮังการีเป็นเวลาหลายปี

      เมื่อราดูสิ้นพระชนม์ วลาดที่ 3 ได้ต่อรองกับกษัตริย์ฮังการีจนได้พ้นจากการถูกคุมขัง กลับไปยังแคว้นวาลาเคีย( Wallachia) และขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นอีกเป็นครั้งที่ 3 
     แต่ วลาดที่ 3 ครองแคว้นวาลาเคียเป็นเวลาสองเดือน แล้วสิ้นพระชนม์อย่างลึกลับ



                                                     ปราสาทบรานที่เจ้าชายวลาดเคยประทับ



                                                             
                                                                แผนที่โบราณแสดงดินแดนโรมาเนีย ซึ่งรวมถึง วาลาเคียด้วย




       เจ้าชายวลาดที่ 3 เป็นที่รู้จักทั่วทั้งยุโรปในฐานะของผู้ครองแคว้นที่โหดเหี้ยม ชอบการทรมาน ประวัติของเจ้าชายวลาดที่ 3 มีทั้งในด้านโหดเหี้ยมอำมหิตที่ชอบฆ่าเป็นศัตรูทางการเมืองและทหารฝ่ายตรงข้ามด้วยการเสียบทั้งเป็น ทั้งยังฆ่าพลเรือนออตโตมานโดยไม่เลือกว่าเป็นชายหญิงเด็กหรือคนแก่ 

     จากจดหมายของวลาดที่ 3 เองได้บอกว่า ครั้งหนึ่งได้ฆ่าจำนวนพลเรือนที่ตายมากถึงเกือบ 24,000 คนและทั้งหมดเป็นชาวนาชาวไร่ไม่ใช่ทหาร เป็นการใช้ประโยชน์จากความกลัวมาปกครอง ประเภทใครตามอยู่ ใครฝืนตาย

     ในขณะเดียวกันคนในยุโรปและชาวโรมาเนียก็มองว่า เจ้าชายวลาดที่ 3 เป็นวีรบุรุษ เจ้าชายวลาดที่ 3 เป็นผู้ต่อต้านการรุกรานของอาณาจักรออตโตมาน แต่แล้วในที่สุดเจ้าชายวลาดที่ 3 กลับถูกตอบแทนด้วยการถูกทรยศ 

        ในที่สุดตระกูล วลาด แดรโค ก็กลายไปเป็น แดรคู และในที่สุดก็เป็น แดร๊กคูล่า






 จากประวัติของเจ้าชายวลาดจอมเสียบ ต่อมากลายไปเป็นตำนานแวมไพร์หรือผีดูดเลือด ที่ชาวโรมาเนียเล่าขานสืบต่อกันมา เมื่อ บราม สโตเกอร์ เขียนเรื่องแดร๊กคูล่าขึ้นมา จึงมีการเล่าว่า เรื่องแด๊กคูล่าผีดิบดูดเลือดนี้ เป็นการเอาประวัติของเจ้าชายวลาดที่3มาดัดแปลง

     แต่จากประวัติของ บราม สโตเกอร์ ได้บอกว่า บราม สโตเกอร์เกิดฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้นจึงได้แต่งเรื่อง แดร๊กคูล่า ซึ่งต่อมามีชื่อเสียงไปทั่วโลก
     
ประวัติ บราม สโตเกอร์....จากวิกิพีเดีย
     บราม สโตกเกอร์ Bram Stoker) มีชื่อจริงว่า อับราฮัม สโตกเกอร์ (Abraham Stoker) เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1847(พ.ศ.2390) ที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เป็นบุตรชายคนที่ 3 จากบรรดาพี่น้องทั้งหมด 7 คน บิดาของสโตกเกอร์เป็นข้าราชการ ส่วนมารดาซึ่งเป็นนักเรียกร้องสิทธิสตรีรุ่นแรก ๆ เมื่อวัยเด็กสโตกเกอร์เป็นเด็กร่างกายอ่อนแอมาก จนไม่สามารถที่จะยืนตัวตรงได้จนกระทั่งอายุ 7 ขวบ ทำให้เป็นคนช่างฝันและจินตนาการและชอบอ่านหนังสือ สโตกเกอร์ชื่นชอบในเรื่องประวัติศาสตร์ยุโรป, การเล่นแร่แปรธาตุ และที่ชอบมากที่สุดคือเรื่องเกี่ยวกับ แวมไพร์ ผีร้ายตามความเชื่อของชาวยุโรปในยุคกลาง ซึ่งได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานเขียนวรรณคดีชิ้นสำคัญต่อไป

เมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่น สโตกเกอร์กลับมีร่างกายแข็งแรงถึงขนาดเป็นนักกีฬาแชมเปี้ยนของโรงเรียนโดยเฉพาะฟุตบอล สโตกเกอร์เรียนจบจากทรินิตีคอลเลจในดับลิน (Trinity College, Dublin) จากนั้นก็เข้ารับราชการตามรอยบิดา พร้อมกับเริ่มเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ เดอะ ไอริช อีโค (The Irish Echo) และได้รู้จักกับเหล่านักเขียน นักแสดงจากลอนดอน ในที่สุดเมื่ออายุ 31 ปี เพื่อนนักแสดงละครเวทีของเช็คสเปียร์ชาวอังกฤษชื่อ เฮนรี่ ไอร์วิ่ง (Henry Irving) ช่วยให้เขาได้งานบริหารพิพิธภัณฑ์ไลเซียม เธียเตอร์ในลอนดอน (Lyceum Theatre, London) สโตเกอร์แต่งงาน มีลูกชายหนึ่งคน แต่ต่อมาก็อยู่แยกกับภรรยา แต่ก็ยังไปปรากฏตัวร่วมกันเมื่อออกงานสังคม

งานเขียนทั้งหมดของสโตกเกอร์มีทั้งหมด 32 เรื่อง ทั้งนวนิยาย, สารคดี, เรื่องสั้นและงานวิจารณ์ แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องไหนที่จะประสบความสำเร็จเท่า แดร๊กคูลาที่แต่งเมื่อในปี ค.ศ. 1897 ซึ่งกล่าวกันว่าสโตกเกอร์ได้แนวคิดเกี่ยวกับแวมไพร์นี้มาจากฝันร้ายของเขาเอง จากนั้นเขาก็ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องแวมไพร์นี้อย่างจริงจังในห้องสมุด

     สโตกเกอร์เสียชีวิตด้วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกเมื่ออายุได้ 64 ปี เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1912 ที่กรุงลอนดอน แต่ผลงานประพันธ์เรื่อง Dracula ยังคงเป็นตำนานอมตะแห่งผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ตลอดมา

 ภาพยนตร์เรื่อง แดร๊กคูล่า

ปีค.ศ.1931 ภาพยนตร์เรื่องแดร๊กคูล่าได้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมี Bela Lugosi แสดงนำเป็นท่านเคาท์แดร๊กคูล่า ภาพยนตร์เป็นหนังขาวดำ แต่ความเป็นหนังขาวดำยิ่งทำให้ดูแล้วเกิดความรู้สึกหวาดๆตามมา หลังจากนั้น Bela Lugosi ยังคงสวมบทบาทท่านเคาท์แดร๊กคูล่ามาอีกหลายเรื่อง เรียกว่าเล่นเป็นแดร๊กคูล่ามาจนแก่
     Bela Lugosi แสดงเป็นท่านเคาท์แดร๊กคูล่าได้อย่างแนบเนียบสุดยอด สายตาแสดงออกมาถึงความดุร้ายน่าสะพรึงกลัวโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดอะไรเลย 
     ต่อมา Christopher Lee เข้ามาสวมบทบาทท่านเคาท์แดร๊กคูล่า ซึ่งก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน การแสดงออกทางสายตาจะออกไปในทางกระหายเลือด

เนื้อเรื่องย่อของ Dracula By Bram Stoker

   โจนาธาน ฮากเกอร์ เดินทางจากลอนดอนไปทรานซิลเวเนีย เพื่อทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับเค้าท์แดร๊กคูล่า ระหว่างเดินทางได้เห็นสิ่งผิดปกติจากผู้คนที่เห็นคนใช้ของแดร๊กคูล่าที่มารับเขา เมื่อไปถึงปราสาทแล้วโจนาธานถูกเค้าท์แดร๊กคูลากักไว้ในปราสาทพร้อมกับแวมไพร์สาว 3 นาง แล้วเค๊าท์แดร๊กคูล่าได้ออกเดินทางจากทรานซิลเวเนียไปประเทศอังกฤษโดยทางเรือ พร้อมขนโลงศพใส่ดินของบริเวณปราสาทจำนวน 50 ใบไปด้วย








ขณะเดียวกัน มีนา คู่หมั้นสาวของโจนาธานรู้สึกเป็นกังวลที่โจนาธานหายตัวไป และลูซีเพื่อนสาวของเธอที่กำลังเข้าพิธีแต่งงานกับอาเธอร์ โฮล์มวูด มีพฤติกรรมแปลก ๆ จะเหม่อลอยในเวลาที่ตื่นและเดินละเมอในเวลาที่หลับ แล้วลูซีก็มีอาการเลือดหมดตัวไป จอห์น เซวาร์ด ร้อนใจมากจึงมีจดหมายไปหา ศาสตราจารย์อับราฮัม แวน เฮลซิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคประหลาด ศาสตราจารย์ แวน เฮลซิง เดินทางมาถึงลอนดอน ก็ต้องตกใจกับอาการของลูซี และลูซีก็กลายเป็นแวมไพร์ไปในที่สุด จึงต้องทำลายเธอลงด้วยการใช้ลิ่มตอกลงไปที่หัวใจ






   ภายหลังจากที่ลูซีตายแล้ว โจนาธานหลบหนีออกมาได้จากปราสาทแดร๊กคูล่าที่โรมาเนีย และได้กลับมาหามีนาที่อังกฤษ แต่มีนาถูกแดร๊กคูล่าสะกดจิตและกัดต้นคอดูดเลือด จนกลายเป็นบริวาร ต่อมาศาสตราจารย์ แวน เฮลซิง หาวิธีช่วยด้วยการเปลี่ยนถ่ายเลือด แล้วตามล่าแดร๊กคูล่าไปจนถึงโรมาเนีย

    กว่าจะปราบท่านเคาท์แดร๊กคูล่าได้ ก็ต้องเสียเพื่อนร่วมขบวนไปด้วยอย่างน่าเศร้าใจ

    แต่...ท่านเคาท์แดร๊กคูล่าก็สามารถฟื้นขึ้นมาในหนังภาคต่อไป และยังคงฟื้นขึ้นมาทุกภาคโดยจะต้องมีคนเอาเลือดมนุษย์ไปรดลงบนเถ้าของร่างท่านเคาท์แดร๊กคูล่า แล้วท่านเคาท์แดร๊กคูล่าก็จะลุกขึ้นมาสร้างความหวาดเสียวต่อเสมอ























*ภาพและเรื่องจากวิกิพิเดียหลายตอน แปลและเรียบเรียงใหม่