วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พระพุทธรูป.๖ หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใหญ่ใน

พระพุทธรูป ๖
หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน

หลวงพ่อโตบางพลี


 วัดบางพลีใหญ่ในนี้ชาวบ้านใกล้ไกลแทบทุกคนมักจะเรียกกันว่า วัดหลวงพ่อโต เหตุที่เรียกกันดังนี้ ก็เพราะว่ามีพระพุทธรูปปางมารวิชัย (สะดุ้งมาร)ที่มีขนาดใหญ่โตมาก เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ หน้าตักกว้าง ๓ ศอก ๑ คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถของวัดบางพลีใหญ่ใน  ตามตำนานประวัติของหลวงพ่อโต ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า

     ประมาณกาล ๒๐๐ กว่าปีล่วงมาแล้วได้มีพระพุทธรูป ๓ องค์ ปาฏิหาริย์ลงมาจากทางเหนือ ลอยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดมา พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์นี้เข้าใจว่าปวงชนในกรุงศรีอยุธยาคงอาราธนาท่านลงสู่แม่น้ำเพื่อหลบหนีข้าศึกด้วยในสมัยนั้นบ้านเมืองได้เกิดสภาวะสงครามขึ้นกับพม่า พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ ได้แสดงอภินิหารลอยล่องมาตามลำแม่น้ำ และบางครั้งก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ผุดให้ผู้คนเห็นตามลำดับ จนเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

     จนล่วงมาถึงตำบลๆหนึ่งท่านก็ได้ผุดให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ พวกเหล่าประชาชนในตำบลนั้นต่างก็พร้อมใจกันทำพิธีอาราธนาท่านขึ้นสู่ฝั่ง ฝูงชนประมาณสามแสนคนช่วยกันฉุดลากชะลอองค์ท่านขึ้นมาบนฝั่ง ก็ไม่สามารถนำท่านขึ้นสู่ฝั่งได้ และท่านก็กลับจมลงหายในแม่น้ำอีก ยังความเศร้าโศกเสียดายของประชาชนในตำบลนั้นเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาตำบลนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่า ตำบลสามแสนแต่ต่อมาก็ถูกเรียกกลับกลายเป็นสามเสน ตำบลสามเสน มาจนกระทั่งบัดนี้ 


         พระพุทธรูปได้ล่องลอยทวนน้ำมาทั้ง ๓ องค์ โดยลำดับ ครั้งหนึ่งปรากฏว่าได้ล่องลอยไปจนถึงวัดฉะเชิงเทรา แสดงอภินิหารปรากฏให้ผู้คนเห็นอีกประชาชนต่างก็ได้ช่วยกันอาราธนาและฉุดชะลอท่านขึ้นจากลำน้ำแต่ก็ไม่สำเร็จอีก    
 
          พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ ได้ลอยทวนน้ำและจมหายไป ณ ที่แห่งนั้น จึงได้ชื่อว่า สามพระทวน แต่ต่อมาก็ได้เรียกกันเป็น สัมปทวน คือตรงบริเวณหน้าวัดสัมปทวน อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทราในปัจจุบัน

     พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ ท่านล่องลอยผ่าน ณ ที่ใด ที่นั่นก็จะมีชื่อเรียกกันใหม่ทุกครั้ง ดังเช่น ท่านได้แสดงอภินิหารล่องลอยให้ผู้คนเห็นเป็นอัศจรรย์เรื่อยมาในแม่น้ำบางปะกง ผู้คนมากมายอีกตำบลหนึ่งพยายามที่จะอาราธนาท่านขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จอีก ณ สถานที่นั้นจึงได้มีเรียกชื่อกันว่า บางพระ ซึ่งเรียกว่า คลองบางพระในปัจจุบัน

          ครั้นต่อมาภายหลังปรากฏว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่งไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่ วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม และต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกันพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งก็ไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา และอีกองค์หนึ่งได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา   ปาฏิหาริย์ลอยวกเข้ามาในลำคลองสำโรง ประชาชนพบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่วถึงความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหาร พร้อมกับพากันอาราธนาท่านขึ้นที่ปากคลองสำโรงนั้น แต่ท่านก็ไม่ยอมขึ้น

          ในที่นั้นได้มีผู้มีปัญญาดีคนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่านแม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยตามลำน้ำสำโรงและอธิษฐานว่า หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใดก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด

     เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องดีกันดังนั้นแล้ว ก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่านแล้วใช้เรือซึ่งสมัยนั้นเป็นเรือพายทั้งสิ้น ช่วยกันจ้ำพายจูงแพลอยเรื่อยมาตามลำคลอง เรือที่ใช้ลากจูงแพมานั้นมีชื่อแปลกต่างๆ กันเช่นชื่อ ม้าน้ำ เป็ดน้ำ ตุ๊กแก และอื่นๆ เป็นต้น และจัดให้มีการละเล่นต่างๆ มีละครเจ้ากรับรำถวายมาตลอดทาง และยังมีการละเล่นอื่น ๆ ครึกครื้นมาตลอดทั้งลำน้ำ       

             ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงครามหรือวัดบางพลีใหญ่ใน แพที่ผูกชะลอองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่ง คนทั้งหลายพยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่     ประชาชนที่มากับเรือและชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่ด้วยความเคารพ และเปี่ยมด้วยสักการะ จึงได้พร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้วก็ ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด

     แล้วก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากเพียงใช้คนไม่มาก ก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่านเป็นอย่างยิ่ง และได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในพระวิหารนั้นเรื่อยมา

     การชะลอหลวงพ่อโตมาประดิษฐานที่พระวิหารนั้น เนื่องจากประตูพระวิหารมีขนาดเล็กกว่าองค์หลวงพ่อโต และขณะนั้นยังไม่ได้สร้างหลังคา จึงต้องชะลอยกหลวงพ่อโตข้ามผนังพระวิหารไปประดิษฐาน ซึ่งเหล่าพุทธศาสนิกชนต่างพร้อมใจกันสามัคคียกหลวงพ่อโตข้ามผนังไปประดิษฐานได้สำเร็จ     

     ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นอีกเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ เพื่อเป็นพระประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน การที่ท่านได้พระนามว่า หลวงพ่อโตนั้นคงเป็นเพราะองค์ของท่านใหญ่โตสมกับที่ประชาชนเรียก คือ ใหญ่โตกว่าองค์ที่ลอยน้ำมาด้วยกันอีก ๒ องค์ จึงถือเป็นนิมิตอันดีให้ประชาชนพากันถวายนามว่า หลวงพ่อโตเป็นสิ่งที่เคารพสักการะของชาวบางพลี และเป็นมิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ในมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ประชาชนนิยมเรียกท่านว่ าหลวงพ่อโตบางพลี หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน


         การลำดับว่าในพระพุทธรูป ๓ องค์ที่ลอยน้ำมานั้น องค์ไหนองค์พี่ องค์กลาง องค์น้อง เข้าใจว่าคงจะนับเอาองค์ที่อาราธนาขึ้นจากน้ำเรียงกันตามลำดับคือ องค์ที่ขึ้นจากน้ำได้ก่อนเป็นองค์พี่ ขึ้นจากน้ำองค์ที่ ๒ เป็นองค์กลาง ขึ้นจากน้ำองค์ที่ ๓ เป็นองค์น้อง ตามลำดับคือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม อาราธนาขึ้นจากน้ำเป็นองค์ที่ ๑ หลวงพ่อโสธร วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา อาราธนาขึ้นจากน้ำเป็นองค์ที่ ๒ และหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการ อาราธนาขึ้นจากน้ำเป็นองค์ที่ ๓

 ปาฏิหาริย์หลวงพ่อโตเนื้อนิ่ม

          ประชาชนที่มากราบนมัสการหลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ในนั้นมีมากมาย ต่างก็เชื่อว่าบุญบารมีอภินิหารของหลวงพ่อโตจะช่วยเหลือคราวเดือดร้อนได้ ในแต่ละวันจึงมีประชาชนทั่วทุกสารทิศมากราบและอธิษฐานขอพรหลวงพ่อโตกันมาก

           วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ชวนให้พิศวงอัศจรรย์ใจยิ่งคือ ในขณะที่ประชาชนหลั่งไหลกันมาปิดทองที่องค์หลวงพ่อโตนั้น

             อยู่ๆองค์หลวงพ่อโตที่เป็นโลหะเนื้อสัมฤทธิ์นั้น  เกิดปาฏิหารย์กลายเป็นเนื้อนิ่มขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์ใจ ประชาชนที่มาปิดทองต่างทดลองเอามือกดลงตรงผิวของหลวงพ่อโต ปรากฏว่าจากเนื้อโลหะแข็งกลับกลายเป็นเนื้อนิ่ม
               ข่าวหลวงพ่อโตเนื้อนิ่มกลายเป็นข่าวมงคลที่สาธุชนต้องการพิสูจน์ และนมัสการหลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน แล้วต่างก็ต้องพบว่าหลวงพ่อโตเนื้อนิ่มจริงๆ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๒๒ เกิดปรากฏการณ์หลวงพ่อโตเนื้อนิ่มเหมือนเช่นเคย  อัศจรรย์จริงๆ

ประเพณีรับบัวหลวงพ่อโตบางพลี

     ที่วัดหลวงพ่อโตบางพลีหรือวัดบางพลีใหญ่ใน มีประเพณีรับบัวซึ่งเป็นเพียงหนึ่งเดียวในโลก ประเพณีนี้มีประวัติความเป็นมาจากความรักใคร่กลมเกลียวกันระหว่างชาวไทยและชาวมอญ มีประวัติความเป็นมาดังนี้

     เดิมแถบอำเภอบางพลีมีชาวไทย ชาวลาว และชาวรามัญ ตั้งถิ่นฐานอยู่ร่วมกัน ต่อมาได้ร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นและหาทางขยายที่ทำกิน ต่างช่วยกันถากถางที่รกร้างและดูแลคูคลอง จนทำกันขยายวงมาถึงสามแยกที่ลำคลอง ๓ สายมาบรรจบกันคือ คลองสลุด คลองชวดลากข้าว และคลองลาดกระบัง

     จากนั้นจึงได้แยกกันขยับขยายไปตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้น โดยชาวไทยอยู่ที่คลองชวดลากข้าว ชาวลาวไปอยู่คลองสลุด ชาวรามัญไปอยู่คลองลาดกระบัง

     ต่อมาชาวรามัญที่คลองลาดกระบังประสบปัญหาเรื่องศัตรูพืช จึงคิดย้ายกลับไปยังถิ่นฐานเดิมที่มีชาวรามัญอยู่ ซึ่งก็คือที่ปากลัดอำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ

     กำหนดการเดินทางคือย่ำรุ่งของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ โดยชาวรามัญเก็บดอกบัวนำไปเพื่อจะไปถวายบูชาพระคาถาพันที่จุดหมายปลายทาง ชาวรามัญขอให้ในปีต่อๆไปขอให้ชาวไทยช่วยรวบรวมดอกบัวนำไปไว้ที่หลวงพ่อโตบางพลี เพื่อที่ชาวรามัญจะเดินทางมารับดอกบัวนำไปบูชาพระคาถาพัน และอัญเชิญน้ำมนต์หลวงพ่อโตไปเป็นศิริมงคลด้วย

     ในปีต่อมาเมื่อถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ชาวไทยที่บางพลีได้พร้อมใจกันเก็บดอกบัวมาไว้ที่วัดหลวงพ่อโตบางพลี ตามที่ได้สัญญากันไว้กับชาวรามัญ และชาวรามัญก็ได้เดินทางมารับดอกบัวที่วัดหลวงพ่อโตบางพลี ในระหว่างช่วงเวลา ๐๓:๐๐ – ๐๔:๐๐ นาฬิกา โดยจัดเรือลำใหญ่หลายสิบลำเป็นพาหนะ

     ระหว่างการเดินทางชาวรามัญจะร้องรำทำเพลงกันเป็นที่สนุกสนาน ชาวไทยก็จัดสำรับอาหารคาวหวานนาๆชนิดไว้เลี้ยงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีจิตอันดีงาม เมื่อรับประทานอิ่มหนำกันดีแล้ว ก็นำดอกบัวไปไหว้หลวงพ่อโตบางพลีก่อน เสร็จแล้วจึงอัญเชิญน้ำมนต์หลวงพ่อโตบางพลีเพื่อไปเป็นศิริมงคล พร้อมทั้งนำดอกบัวบางส่วนกลับไปบูชาพระคาถาพันที่วัดของชาวรามัญ




     ประเพณีรับบัวหลวงพ่อโตบางพลียังทำกันสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ และมีเพียงที่เดียวในโลก

     
   
    ( เรียบเรียงจากประวัติวัดบางพลีใหญ่ใน, น.ส.พ.รอยธรรม)



วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย ๒..บุญเพ็งหีบเหล็ก

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย ๒
บุญเพ็งหีบเหล็ก..The Murderer Iron Box

ภาพนี้คุณเอนก นาวิกมูล เผยแพร่ไว้

นายบุญเพ็ง



คดีสยองขวัญที่โด่งดังในอดีตของไทยต้องนับว่าไม่มีคดีใดเกินคดีบุญเพ็ง หีบเหล็ก คดีนี้เป็นคดีสยองขวัญที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ในครั้งนั้นทางราชการได้ทำการสืบหาฆาตกรในหลายช่องทาง แม้แต่ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ ในที่สุดก็สามารถสืบจนพบและจับกุมตัวนายบุญเพ็ง ซึ่งได้รับฉายาว่า บุญเพ็งหีบเหล็ก 

     คดีนี้เปรียบเทียบได้กับคดีของฆาตกรดังระดับโลก ถึงขนาดว่าฝรั่งยังรู้จักและเรียกบุญเพ็ง หีบเหล็ก ว่า "The Murderer Iron Box" 

     คดีบุญเพ็งหีบเหล็กเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นการฆาตกรรม ๒ ศพ มีข้อสงสัยว่า นายบุญเพ็งอาจทำการฆาตกรรมถึง ๗ ศพ แต่ไม่มีหลักฐาน จึงต้องให้น้ำหนักไปว่าทำฆาตกรรมไปแล้ว ๒ ศพ ซึ่งเป็น ๒ ศพที่มีหลักฐานมัดฆาตกรอย่างแน่นหนา 


     บุญเพ็งเกิดเมื่อปีขาล ที่ท่าอุเทน มณฑลอุดร บิดาเป็นชาวจีน มารดานัยว่าเป็นคนมณฑลอุดรนั้นเอง บุญเพ็งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ โดยได้อาศัยอยู่กับตายายแถบบางปะกอก ว่ากันว่าบิดามารดาเสียไปตั้งแต่บุญเพ็งยังเล็ก แต่เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด เพียงแต่มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าบุญเพ็งกำพร้าทั้งพ่อและแม่

     บุญเพ็งได้รับการเลี้ยงดูจากตาสุกและยายเพียรจนโตเป็นหนุ่ม ว่ากันว่าบุญเพ็งเป็นคนมีรูปร่างน่าตาดี มีกิริยานอบน้อม เจรจาพาทีไพเราะปากหวานเจ้าคารม เป็นที่ต้องตาต้องใจของสาวๆทั้งหลาย แต่บุญเพ็งเป็นคนที่ไม่เอาการเอางาน แม้ตายายจะสั่งสอนอย่างไรก็ไม่ค่อยรับฟัง บุญเพ็งสนใจวิชาทางด้านไสยศาสตร์ ได้ไปขอเรียนวิชากับตาไปล่ สัปเหร่อวัดไผ่เคาะ ซึ่งเชื่อว่ามีวิชาดีทางภูตผีปีศาจ เสน่ห์ยาแฝด และหมอดู

     ความที่บุญเพ็งชอบไสยศาสตร์ไปในทางไสยดำ จึงถูกตายายดุด่าห้ามปรามไม่ให้เล่นวิชาไสยศาสตร์ บุญเพ็งไม่ยอมเชื่อฟัง ในที่สุดจึงหนีแยกไปอยู่ที่บางลำพู พระนคร(กรุงเทพฯ) ในเวลาต่อมาได้หาเลี้ยงชีพโดยตั้งสำนักแบบหมอไสยศาสตร์หมอผี อยู่ในสวนแถบคลองบางลำพู ทำการดูดวงสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ทั้งยังรับทำเสน่ห์ยาแฝด  และทำทุกอย่างที่เป็นไสยศาสตร์มนต์ดำ 


          บุญเพ็งได้บวชเป็นภิกษุที่วัดเทวราชกุญชรซึ่งอยู่ย่านเทเวศร์ แต่ต่อมาถูกขับไล่ออกจากวัดเพราะประพฤติตนไม่ดี เลยมาขอจำพรรษาที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งเจ้าอาวาสไม่อนุญาต บุญเพ็งให้สัญญาว่าจะกลับตัวประพฤติดี แต่แล้วในที่สุดก็ต้องถูกจับสึก เพราะท่านเจ้าอาวาสเอาจริง คือไม่ยอมให้ย้ายไปอยู่วัดอื่น เพราะถึงย้ายไปแล้วบุญเพ็งก็คงต้องทำผิดวินัยสงฆ์อยู่ดี จึงจับสึกเสีย

     ก่อนที่บุญเพ็งจะสึกนั้น ในพ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๒ กลางสมัยรัชการที่ ๖ บุญเพ็งได้ก่อคดีฆ่าคนโดยการยัดศพใส่หีบเหล็กถ่วงน้ำ ๒ ศพ  คือศพนายล้อมและนางปริก โดยทั้งหมดฆ่าเพียงชิงทรัพย์เพื่อเอาเงินไปซื้อสุรามาดื่มกินและไปเล่นพนันในวัด ซึ่งถือว่าเป็นพระภิกษุที่ประพฤติชั่ว เป็นการผิดถึงขั้นปาราชิกไม่สมควรจะอยู่ในร่มเงาของศาสนา

     หีบที่ใส่เหยื่อรายแรกลอยตามน้ำและปรากฏขึ้นเมื่อปลาย พ.ศ.๒๔๖๐ พบโดยชาวบ้านที่หากินด้วยการงมกุ้งตามแม่น้ำลำคลอง ได้พบหีบเหล็กใบหนึ่งจมอยู่ก้นคลองบางกอกน้อย(บ้างก็ว่าเป็นที่คลองบางลำพู) เมื่อเปิดหีบออกมาดูก็พบศพชายคนหนึ่งบรรจุอยู่ในนั้น ทราบภายหลังว่าคือนายล้อม พ่อค้าเพชรพลอย จากการสืบสวนพบว่าของมีค่าติดตัวได้หายไปทั้งหมด จึงสันนิษฐานได้ว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์

     ต่อมาไม่นาน เวลาโพล้เพล้ของวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ ชาวบ้านย่านวัดไทรม้า จังหวัดนนทบุรีผู้หนึ่ง ก็พบหีบเหล็กใบหนึ่งลอยอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัด เมื่อช่วยกันกับชาวบ้านอีกคนชักลากหีบขึ้นมาเปิดก็พบว่า ในหีบมีศพผู้หญิงถูกมัดมือมัดเท้านั่งยองๆ ยัดใส่อยู่ในหีบใบนั้นพร้อมมีมุ้งคลุมศพ และก้อนอิฐถ่วงหีบศพอีก ๘ ก้อน     เรื่องการฆ่ายัดหีบเหล็กของบุญเพ็งนี้บ้างก็ว่าหั่นศพเป็นท่อนๆ ทั้งยังฆ่าไปหลายศพแต่พบหีบเหล็กเพียงสองหรือสามใบเท่านั้น

     อำมาตย์เอกพระยานนทบุรี นครบาลจังหวัดนนทบุรี ได้ประกาศหาผู้ปกครองของหญิงเคราะห์ร้ายที่ถูกฆาตกรรมยัดหีบเหล็กโดยแจ้งลงในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพฯ เดลิเมล์ ประจำวันอังคารที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ และเพียงวันเดียวคดีก็คลี่คลาย มารดาของผู้ตาย เข้าแจ้งกับตำรวจว่า นางปริกลูกสาว แต่งตัวไปเที่ยวแล้วหายตัวไป




     นางปริกเป็นภรรยาขุนสิทธิคดี(ปลั่ง) เป็นคนรวย มีทรัพย์สินมากคนหนึ่ง เช่าห้องอยู่ที่ตึกแถวย่านที่ขายมุ้งหมอนข้างถนนพาหุรัด

     นางปริกหายตัวไปตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม โดยก่อนออกจากบ้านวันนั้น นางปริกได้รับจดหมายจากนายบุญเพ็ง ซึ่งรู้จักกันและมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่นายบุญเพ็งยังบวชอยู่ นายบุญเพ็งให้ไปรับสร้อยที่ได้ยืมไป 

     นางปริกออกจากบ้านไป โดยที่ข้อมือทั้งสองข้างใส่สร้อยข้อมือทองคำไปด้วย มีนำ้หนักทองคำข้างละ ๑๐ บาท หลังจากนั้นนางปริกก็หายไปไม่กลับบ้าน จึงตั้งข้อสงสัยว่านายบุญเพ็งนี้ต้องเป็นผู้ฆ่าชิงสร้อยข้อมือนางปริกซึ่งเป็นทองคำมีน้ำหนักถึงข้างละ ๑๐ บาท

     เล่ากันว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นายบุญเพ็งทำการฆาตกรรมนางปริกก็คือ นางปริกมีความสัมพันธ์กับนายบุญเพ็งจนตั้งท้อง นางปริกต้องการให้นายบุญเพ็งรับผิดชอบ นายบุญเพ็งจึงฆ่านางปริก

รูปนี้ตามที่มาไม่เจอแล้ว ดีที่มีรายละเอียดบอกท่านผู้เก็บรักษารูปและคุณเอนก

     ตำรวจออกตามจับบุญเพ็งทันที ขณะนั้นนายบุญเพ็งเพิ่งสึกและกำลังจะแต่งงานกับนางสาวตาด ตำรวจได้จับกุมบุญเพ็งได้ที่บ้านนางบัว ตำบลถนนตรีทอง 

     จากรูปคดีการฆาตกรรมที่มีการใช้หีบเหล็กใส่ศพนางปริก ตำรวจได้สืบจนกระทั่งสามารถโยงไปถึงคดีนายล้อม ซึ่งมีรูปแบบคดีเหมือนกันมากคือ พบศพนายล้อมอยู่ในหีบเหล็กจมน้ำ เหมือนกับที่เจอศพนางปริกอยู่ในหีบเหล็ก

     จากการสืบสวนหลักฐานชี้ไปถึงว่าผู้ต้องหามีคนเดียวคือนายบุญเพ็ง นายบุญเพ็งรับสารภาพว่าได้ล่อลวงนายล้อมและนางปริกไปฆ่า เพื่อชิงทรัพย์มาเป็นทุนแต่งงานกับนางตาด จากการสืบสวนพบว่าบุญเพ็งได้ร่วมมือกับเพื่อนเพื่อฆ่าเหยื่อและช่วยกันเอาหีบถ่วงน้ำ

     คดีฆ่านายล้อม บุญเพ็งได้ร่วมมือกับนายพัน อายุ ๑๙ ปี ที่เข้าไปมั่วสุมเล่นโปกำโปปั่นในกุฏิ ในขณะนั้นนายบุญเพ็งยังเป็นพระ นายบุญเพ็งและพวกได้ฆ่านายล้อม ร่วมกันเอาศพนายล้อมใส่ไว้ในหีบเหล็ก จากนั้นจึงนำหีบเหล็กใส่รถเจ๊กลากจากวัดสุทัศน์เพื่อนำไปถ่วงน้ำซ่อนอำพรางคดี 

     ศาลตัดสินประหารชีวิตนายบุญเพ็งโดยการตัดศีรษะที่ตะแลงแกงวัดภาษี

     วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๒  (บ้างก็ว่าวันที่ ๑๙ สิงหาคม) ได้มีประหารบุญเพ็งโดยการตัดศีรษะ ซึ่งเชื่อกันว่านายบุญเพ็งเป็นนักโทษที่ถูกประหารด้วยการตัดหัวเป็นคนสุดท้าย สถานที่ทำการประหารคือที่วัดภาษี มีเรื่องเล่าว่าในช่วงประหารชีวิตบุญเพ็งนั้น  เพชฌฆาตได้ฟันคอบุญเพ็งแต่ฟันไม่เข้า เพชฌฆาตต้องให้บุญเพ็งเอาของขลังออกก่อน จากนั้นจึงลงดาบตัดคอบุญเพ็งขาดกระเด็น 

     แต่จากหนังสือบันทึกเรื่องเล่าของหม่อมเจ้าเริงจิตรแจรง พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้บันทึกไว้ว่า วันประหารบุญเพ็งหีบเหล็กนั้น เสด็จเตี่ยทรงพาไปดูการประหารด้วย เพื่อฝึกให้พระโอรสพระธิดามีจิตใจเข้มแข็งกล้าหาญ 

     หม่อมเจ้าเริงจิตรแจรงบันทึกเล่าว่า ตอนที่เพชฌฆาตลงดาบแรกนั้นฟันพลาดไม่ถึงตาย บุญเพ็งชูมือขึ้นก็มีเลือดไหลออกมา ยังไม่ทันที่บุญเพ็งจะได้พูด เพชฌฆาตก็ฟันดาบสองตัดศีรษะบุญเพ็งขาดกระเด็น













     จากภาพการประหารชีวิตด้วยการตัดคอชุดนี้ เชื่อกันว่าเป็นภาพการประหารชีวิตนายบุญเพ็ง แต่เมื่อพิจารณาดูในละเอียดแล้ว น่าจะมีภาพการประหารชีวิตนายบุญเพ็งเพียงภาพเดียวที่น่าจะใช่นายบุญเพ็งจริงๆ ให้สังเกตจากใบหน้า




ภาพที่น่าจะเป็นนายบุญเพ็ง

      ศพของนายบุญเพ็ง หีบเหล็ก ถูกนำไปฝังไว้ในป่าช้าวัดภาษีนั่นเอง ภายหลังมีญาติมาจัดการเผาศพตามประเพณี และได้เก็บกระดูกไว้ในเจดีย์ข้างโบสถ์วัดภาษี 

     เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๖ ทางวัดภาษีมีการรื้อเจดีย์ที่เก็บกระดูกนายบุญเพ็ง ทางวัดภาษีได้ให้ช่างปั้นรูปปั้นจำลองไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่า ครั้งหนึ่งในอดีตที่วัดภาษีนี้เคยเป็นสถานที่ประหารชีวิตนักโทษโดยการตัดศีรษะ ได้มีการปั้นรูปจำลองนายบุญเพ็งและตั้งไว้ในศาลเล็กๆติดกับวิหาร และเรียกศาลว่า "ศาลปู่บุญเพ็ง" มีหีบเหล็กอยู่ด้วยซึ่งคนเชื่อกันเองว่าเป็นหีบที่นายบุญเพ็งใช้ใส่ศพเหยื่อฆาตกรรม

     หีบเหล็กแบบที่ใช้ใส่ศพได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาภและเชื่อกันว่าวิญญาณของนายบุญเพ็ง หีบเหล็ก ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ยังคงวนเวียนอยู่ที่วัดนั้นเอง ทั้งยังเชื่อว่าถ้าไปบนบานแล้ว ดวงวิญญาณของนายบุญเพ็งจะช่วยเหลือได้

     ปัจจุบัน ศาลบุญเพ็ง หีบเหล็ก ตั้งอยู่ที่ วัดภาษี ซอยเอกมัย๒๓ แขวงคลองตันเหนือ กรุงเทพมหานคร



ภาพจาก pantip
       

ภาพจาก www.manager.co.th ศาลบุญเพ็งหีบเหล็กที่วัดภาษี เอกมัย
 ขอขอบคุณภาพต่างๆจากอินเตอร์เน็ต


กฏแห่งกรรม เรื่องที่ ๑๒..คนมีบาป

กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว..ท.เลียงพิบูลย์
เรื่องที่ ๑๒
คนมีบาป


  เมื่อต้นสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๖  ข้าพเจ้าได้รู้จักชายพิการหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวผู้หนึ่ง  ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของแผลเป็น  นัยน์ตาข้างหนึ่งแหกหลบลงต่ำกว่าอีกข้างหนึ่ง  แขนซ้ายคอก  ขาข้างหนึ่งลีบ  ตามตัวเต็มไปด้วยแผลเป็น  เห็นแล้วขยะแขยง  น่าเกลียด  และน่าสังเวช  เวลาจะเดินต้องใช้ไม้ยันรักแร้สองข้าง  จะเดินแต่ละก้าวก็ต้องโยกตัวด้วยความลำบาก

     ตามปกติแกจะชอบมานั่งที่ห้องแถวร้านปากซอยติดถนนเจริญกรุงเสมอ  ห้องแถวนี้หลังคามุงด้วยจาก  เดิมมีผู้เช่าทำการค้าแต่ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น  ต่อจากนั้นก็ไม่มีผู้มาเช่า  ต้องทิ้งร้างจนหลังคาจากบางส่วนที่มุงผุพัง  ไม่สามารถจะกันฝนได้  เจ้าของก็ไม่ยอมซ่อมเพราะคิดว่าซ่อมแล้วก็ไม่มีใครเช่า  จะเป็นด้วยตรงกันข้ามฟากถนนมีตรอกซอยเล็กๆตรงพอดีกับห้องแถวนี้  ชาวจีนที่ถือลางก็ไม่กล้ามาเช่าอยู่หรือทำการค้า  เพราะพากันเข้าใจว่าไม่เป็นมงคล  และไม่ทำให้เกิดความเจริญกับผู้เช่าอยู่  

     ทั้งๆที่ผู้เช่าเดิมก็เป็นคนจีนได้แขวนรูปหัวสิงห์คาบกั้นหยั่นจีน  ทำด้วยไม้ทาสีตัดของเป็นแปดมุม  แขวนไว้หน้าห้องแถวให้ตรงกับปากตรอก  ใช้เป็นเครื่องรางป้องกันอัปมงคล  เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข  แต่ก็ต้องย้ายไป  เมื่อย้ายก็มิได้แกะรูปหัวสิงห์ไปด้วย  เห็นจะเป็นเหตุนี้เองจึงไม่มีใครกล้ามาเช่าจึงต้องร้าง  ต่อมาหน้าห้องแถวหลังนี้ยกพื้นเป็นม้าสูงสำหรับตั้งขวดโหลวางของขาย  และยังมีลังไม้เก่า ๆที่แข็งแรงพอที่จะนั่งเล่นได้อย่างสบายอีกลังหนึ่ง  ซึ่งผู้เช่าเดิมทิ้งไว้  คงตั้งใจทิ้งไว้ให้ผู้เดินทางใช้เป็นที่นั่งพักแดดพักฝนก็ได้

     ชายพิการอัปลักษณ์ผู้นี้ได้มาอาศัยนั่งที่ห้องแถวร้านนี้ตามเคย  แกนั่งดูคนสัญจรไปมาจนถึงเวลาเย็น  แกก็กลับไปวัดซึ่งเป็นที่พักอาศัย  ชายผู้นี้ข้าพเจ้าเรียกแกว่า  ลุงตาล”  เด็กๆแถวนั้นชอบเรียกแกว่า  ตาตาลผีดิบ   เพราะรูปร่างแกเหมือนครึ่งผีครึ่งคน  มีเด็กแก่นๆชอบล้อเลียนเอาก้อนดินขว้างปาแกเล่นเป็นการสนุก  ทำให้ลุงตาลมีอารมณ์ขุ่นเคืองและโกรธแค้น  บางครั้งแกใช้คำที่ไม่สุภาพกับเด็กๆเหล่านั้นไปบ้าง  เพื่อคลายอารมณ์โกรธ  เห็นแล้วก็อดสงสารแกไม่ได้ 

     ข้าพเจ้าพยายามทำความสนิทสนมกับเด็กเหล่านั้น  แล้วก็ขอร้องให้เลิกการล้อเลียนขว้างปาลุงตาล  และชี้ให้เห็นเคราะห์กรรมที่แกได้รับอยู่นี้มักก็หนักมากอยู่แล้ว  อย่าไปซ้ำเดิมแกเลย  เท่าที่ร่างกายแกพิกลพิการน่าเกลียด  ต้องใช้ไม้ยันเวลาเดิน  บ้านช่องไม่มีจะอยู่  ต้องอาศัยศาลาวัด  อาศัยข้าวพระเลี้ยงท้องเพื่อยังชีวิต  การที่พวกเราล้อเลียนแกมาก  บางครั้งทำให้แกน้ำตาตก  และเราก็ขว้างปาแกเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น  โดยที่แกไม่มีความผิด  ไม่มีทางจะหลบหรือต่อสู้เลย  เพราะแขนขาพิการ  บาปกรรมอันนี้มันจะตามมาทันเรา  เราอาจจะต้องเป็นอย่างแกบ้าง  ถ้าแขนขาเราพิการเดินก็ลำบาก  วิ่งก็ไม่ได้  เมื่อมีคนมาขว้างปาเราบ้าง  จะทำอย่างไร

     คำขอร้องของข้าพเจ้าที่ประกอบไปด้วยเหตุผลนั้น  ได้ผลสำหรับเด็กหัวอ่อนที่เห็นจริง  พลอยเห็นใจและสงสารไปด้วย  แต่เด็กหัวแข็งดื้อด้านบางคนก็ไม่ยอมเชื่อ  กลับหัวเราะเยอะความคิดของข้าพเจ้า  แต่กระนั้นการล้อเลียนขว้างปาก็สงบลงไปมาก  ทำให้ลุงตาลมีอารมณ์ดีขึ้น  สายตาของแกที่มองข้าพเจ้านั้นก็เป็นมิตรและรู้คุณ  ความสนิทสนมของข้าพเจ้ากับลุงตาลก็เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ 

     ที่จริงก่อนนี้ข้าพเจ้าเห็นลุงตาลก็เพียงแต่รู้สึกสมเพชแกเท่านั้น  ไม่เคยคิดว่าจะไปสนิทสนมด้วย  ต่อมามีผู้ใหญ่บางคนบอกข้าพเจ้าว่า  ลุงตาลคนนี้  เดิมก่อนจะพิการนั้นแกเคยมั่งมีและมีชื่อเสียงมาก่อน  พอแกพิการฐานะของแกก็กลับหน้ามือเป็นหลังมือ   ไม่มีใครรู้เบื้องหลังชีวิตอันแท้จริงของแกเลย  เหตุนี้เองทำให้ข้าพเจ้าเพิ่มความสนใจในตัวแกขึ้นมา  เพราะความอยากรู้  คิดว่ามีเรื่องที่น่าศึกษามาก  ข้าพเจ้าจึงพยายามให้ความสนิทสนมกับแก  ซึ่งไม่เคยมีใครกล้าสนิทสนมกับแก่มาก่อนเลย  เพราะหน้าตาแกน่าเกลียดน่ากลัว

     เมื่อได้สนทนาปราศรัยใกล้ชิดกันแล้ว  ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่า  ลุงตาลเป็นคนมีความรู้ดีคนหนึ่งในสมัยนั้นในเรื่องหนังสือไทย  และยังอ่านหนังสือขอมได้ไม่แพ้หนังสือไทยอีกด้วย   นอกจากนั้นก็สามารถแต่งโคลง  ฉันท์  กาพย์  กลอน  ได้ดี  แกเคยว่าแหล่เทศน์ให้ข้าพเจ้าฟังปากเปล่าเสมอ  และที่ข้าพเจ้าชอบมากก็คือ  แหล่เรื่องเรือรบฝรั่งเศสบุกมาทางสมุทรปราการ  และเกิดต่อสู้กับทหารไทยที่รักษาป้อม 

      ทางด้านความรู้ทางประวัติศาสตร์ก็มีความรู้อย่างดี  แกเล่าเรื่องกรุงศรีอยุธยาล่มถูกพม่าเผาเมือง  และเรื่องพระเจ้าตากสินสู้รบพม่ากู้ชาติ  จนถึงตอนที่มีพระสติฟั่นเฟือนและถูกสำเร็จโทษ  ลุงตาลเล่าได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง  บางครั้งข้าพเจ้าติดขัดในวิชาที่เรียน  เคยไปถามลุงตาล  แกก็อธิบายให้ความเห็นและเหตุผลอย่างน่าฟัง  เช่นครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถามแกว่า  ก่อนนี้ที่พวกเรานิยมเรียนหนังสือขอมนั้นเพราะเหตุใด  หนังสือไทยเราก็มีอยู่แล้ว  และเป็นหนังสือที่เรียนง่าย  เป็นหนังสือประจำชาติอีกด้วย  ลุงตาลยิ้มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วก็ให้ความเห็นว่า

     “ลุงคิดว่า  เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตกและเข้าเมืองได้นั้น  ได้เผาตำรับตำราเก่าแก่จนแทบไม่มีอะไรเหลือ  จะมีบ้างก็เป็นเมืองที่พม่าไม่ได้ผ่าน  ซึ่งเป็นส่วนน้อยเหลือเกิน  ฉะนั้น  เมื่อมาสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นใหม่  จำเป็นต้องหาตำรับตำราเมื่อครั้งก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา  จะไปหาที่ไหนก็คงไม่ได้เหมือนตำราหนังสือขอม  หรือประเทศเขมรเพื่อนบ้านของเรา   ซึ่งเมื่อครั้งก่อนเราเคยแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ซึ่งกันและกันเสมอ   ตำราต่าง ๆ ของไทยที่แปลเป็นภาษาขอมก็มาก   ฉะนั้น  เมื่อของเราถูกเผาก็จำเป็นต้องไปขอลอกมาจากขอม  มาแปลเป็นไทยอีกครั้งหนึ่ง  ตำราที่เอามาจากเขมรนั้นเป็นตำราหนังสือขอมมีมากมาย  แต่คนที่รู้หนังสือขอมมีเพียงไม่กี่คน  ฉะนั้น  เราจึงต้องเรียนหนังสือขอม  ซึ่งเรียนไม่ค่อยยาก  เพราะมันคล้ายหนังสือไทย  ฉะนั้น คนไทยจึงอ่านหนังสือขอมออกเสียงเป็นภาษาไทยเข้าใจกันดี  แต่พูดภาษาเขมรไม่ได้  เพราะไม่ได้อ่านเป็นภาษาเขมร

     ข้าพเจ้าได้รับความรู้เพิ่มขึ้นจากลุงตาลมิใช่น้อย  ทำให้ข้าพเจ้าเพิ่มความเคารพนับถือในวิชาความรู้ของชายพิการผู้นี้ยิ่งขึ้น   แต่นั้นมาข้าพเจ้ากับลุงตาลก็สนิทสนมกันยิ่งขึ้น  ข้าพเจ้าไม่มีความรังเกียจว่าลุงตาลจะมีร่างกายพิกลพิการอย่างใด  เพื่อนบางคนหัวเราะเยาะและบอกว่า  คุยกับคนบ้าอย่างลุงตาลจะได้ประโยชน์อะไร  ข้าพเจ้าอธิบายให้เขาฟังว่า  ลุงตาลไม่ใช่คนบ้า  แกเป็นคนมีความรู้ดีอย่างจะหาคนรุ่นเดียวกันในละแวกบ้านนี้เหมือนแกยาก  แต่ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า  ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้มาสนิทสนมกับลุงตาล  ข้าพเจ้าก็คงคิดเหมือนคนอื่นว่าลุงตาลคนพิการนี้คงไม่มีความรู้ความสามารถอะไร  

     แม้ว่าลุงตาลจะพิการถึงเพียงนี้  แกก็ยังทะนงตัวไม่ขอทานใคร  ซึ่งตามธรรมดาคนพิการที่มีสภาพเช่นนี้แล้ว  ไม่มีปัญญาจะทำงานอะไร  นอกจากขอทาน  แม้หน้าตาแกจะเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัว  แต่แกก็พยายามจะแต่งกายสะอาด  เท่าที่คนพิการอย่างแกสามารถจะทำได้ 

     ลุงตาลมีรายได้จากการรับจ้างจารหนังสือ   โดยใช้เหล็กปลายแหลมขีดไปบนใบลาน  ใช้เวลาทำงานในเวลากลางคืน  ถึงแขนจะคอกไปข้างหนึ่ง  แต่ตัวหนังสือที่แกจารออกมานั้นสวยและเรียบร้อยสม่ำเสมอกัน  ราวกับอักษรที่พิมพ์ออกมาจากแท่นพิมพ์  แกรับจ้างจารหนังสือไทยและขอม  ชาวบ้านและพระสงฆ์ต่างนิยมในฝีมือแกมาก  บ้างก็ให้ลอกตำรา  บ้างก็เอาตำราขอมมาแปลงเป็นไทย  บ้างก็ให้ลอกแหล่เทศน์  สุดแต่ใครจะจ้าง  แกรับทั้งนั้น  ค่าจ้างนั้นผูกหนึ่งหรือมัดหนึ่งก็ไม่แพง   ด้วยงานนี้ทำให้ลุงตาลพอจะมีเงินใช้จ่ายซื้อหมากพลูไปวันหนึ่งๆ โดยไม่ต้องพึ่งพระเสียทุกอย่าง

     ข้าพเจ้าเคยบอกกับแกว่า   ถ้าลุงจะไปรับจ้างสอนหนังสือเด็กตามบ้าน หรือทำอะไรๆเกี่ยวกับหนังสือ  คงจะมีคนต้องการ  และลุงก็คงให้ความรู้แก่ศิษย์ได้ดี

     แกตอบว่า   หลานเอ๋ย  ลุงเป็นคนมีกรรม  แม้แต่ลุงจารหนังสือก็เพียงได้เงินมาพอซื้อหมากพลูเท่านั้น   ถ้าทำเกินกว่านั้นมันก็ให้มีอันเป็นไปทุกคราว  มือไม้สั่นบ้างละ ปวดหัวมัวตามองไม่เห็นบ้าง  นี่เป็นกรรมอันหนึ่งซึ่งลุงรู้ตัว  หลานจะให้ลุงไปสอนหนังสือตามบ้าน  ใครที่ไหนเขาจะจ้างลุง  แล้วเด็กที่ไหนจะยอมเรียน  ยอมเป็นศิษย์ของลุงที่อัปมงคล”   แกพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ  ข้าพเจ้าเห็นจริงกับแก  เลยหยุดพูดเรื่องนี้  เพื่อไม่ให้แกต้องสะเทือนใจอีกต่อไป

     วันหนึ่ง  หลังจากผ่านพ้นวันออกพรรษามาไม่กี่วัน  ข้าพเจ้าได้ไปสนทนากับลุงตาลที่ห้องแถวร้างตามเคย  บังเอิญ  วันนั้นมีกฐินพระราชทานเป็นขบวนรถม้าผ่านมา   ท่านเจ้าของกฐินหรือผู้ที่ได้รับพระราชทานเป็นขบวนรถม้าผ่านมา  ท่านเจ้าของกฐินหรือผู้ที่ได้รับพระราชทานซึ่งเป็นข้าราชการหรือ    ขุนนางเจ้ากระทรวงได้นำขบวนมาด้วย  มีเครื่องอัฐบริขารสงฆ์แต่เพียงน้อย  ขบวนเป็นรถม้าคู่ดูสง่างามน่าดู  ไม่มีการแห่แหนอึกทึกเหมือนกฐินชาวบ้านหรือกฐินเรี่ยไร

     ตั้งแต่รู้จักสนิทสนมกันมา  ข้าพเจ้าพึ่งเห็นลุงตาลตื่นเต้นมากในวันนั้นเอง  แกจ้องดูข้าราชการผู้นำขบวนจนขบวนผ่านไปจนหมด  ส่วนข้าราชการผู้นั้นหันมามองเพียงแวบเดียว   แต่เมื่อเห็นร่างกายลุงตาลเข้าก็รีบเบือนหน้าไปทางอื่น  ข้าพเจ้าเห็นลุงตาลน้ำตาไหล  คิดว่าแกคงน้อยใจในวาสนาตัวเอง  เมื่อเทียบกับข้าราชการผู้นั้น  แต่แล้วก็ได้ยินเสียงแกพึมพำกับตัวเองว่า

พี่ใหญ่ซึ่งทำแต่คุณงามความดี  ชาตินี้เราคงไม่มีโอกาสพบกันอีกแล้ว  อ้ายตาลเป็นคนมีบาป  เพราะทำแต่กรรมชั่วอันเลวร้าย

     ข้าพเจ้าจึงถามแกว่า   ลุงจ้องดูข้าราชการคนนั้นแล้วร้องไห้ทำไมจ๊ะแล้วใครคือพี่ใหญ่  ท่านเป็นพี่ของลุงหรือ

     แกไม่ได้ตอบข้าพเจ้าทันที  เพราะมัวหยิบชายผ้าขาวม้าที่คาดเอวไว้  ขึ้นมาเช็ดน้ำตาจนแห้ง  แล้วก็พูดด้วยเสียงสั่นเครือปนสะอื้นว่า

     “ท่านข้าราชการคนนั้นกับลุง  เคยเป็นเพื่อนรักกันมาแต่ก่อน”  เสียงของแกต่ำและเบากว่าธรรมดา  ลุงเรียกตามทุกๆคนที่พากันเรียกว่า  พี่ใหญ่  เราเคยเรียนหนังสือร่วมสำนักอาจารย์เดียวกัน

    หยุดเว้นระยะนิดหนึ่ง  แล้วก็พูดต่อไปว่า  ที่ลุงร้องไห้นั้น  เพราะลุงเห็นท่านผู้นั้นแล้วอดหวนระลึกถึงพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์  ซึ่งได้เคยถ่ายทอดความรู้ให้เป็นวิทยาทาน   ท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์       ผุดผ่อง  จิตใจของท่านเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา  สมกับที่ท่านได้สละแล้วทุกสิ่งทางโลก  บรรดาศิษย์ของท่านมีทั้งบุตรขุนนาง  บุตรเศรษฐี  บุตรคนยากจนเข็ญใจ  ท่านมิได้มีใจลำเอียงต่อศิษย์ผู้ใดเลย  ได้ถ่ายทอดวิชาให้เหมือนกันหมด  สุดแต่ว่าใครจะมีความขยันหมั่นเพียร  และมีสติปัญญารับไปได้แค่ไหน 

     ท่านไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทนเลย  หากมีผู้ศรัทธานำปัจจัยไปถวายท่าน  ท่านก็นำไปบำรุงวัดและพระศาสนา กับศิษย์ที่ยากจนไม่สามารถหาเครื่องเรียนได้  ท่านก็ช่วยหาให้เท่าที่ปัจจัยที่เขาถวายท่าน  ไม่เคยนำไปทำประโยชน์ส่วนตัว  

     ทุกวันโกนท่านอบรมให้โอวาทแก่ศิษย์ให้มีศีลธรรม  มีจิตใจเมตตา  กรุณา  ละอายต่อการทำบาป  และให้ศิษย์ทุกคนถือศีล ๕   เป็นประจำตลอดไป   เพื่อความเจริญเป็นมงคลต่อตัวเอง  ในเวลานั้นลุงไม่เคยเอาใจใส่ในโอวาทของท่านเลย  ยังนึกติท่านว่าไม่ควรเอาเรื่องศีลธรรมมาสอนแก่พวกเด็กๆรุ่นหนุ่มสาว  และไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ  และควรเป็นเรื่องของคนเฒ่าคนแก่  ลุงคิดว่าเมื่อแก่เฒ่าเข้าวัดวาคงจะรู้ไปเอง  เพราะฉะนั้นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและศีลธรรมจึงไม่เคยซึมซาบไปถึงจิตใจของลุง  เห็นใส่บาตรก็ใส่บ้าง  เห็นเขาไหว้พระก็ไหว้บ้าง  รู้แต่ว่าได้บุญไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น  ประเพณีทำมาอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น  ฉะนั้น  เมื่อถึงวันโกนซึ่งเป็นวันอบรมให้โอวาท  ลุงจึงหาโอกาสคอยหลบเลี่ยงหนีกลับบ้านหรือไปเที่ยวเสีย  ครั้งถึงวันพระซึ่งเป็นวันหยุดเรียนเพื่อให้ศิษย์ได้ฟังเทศน์  ลุงก็ไม่เคยไป”  แกหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อไปว่า

     “นี่แหละหลานเอ๋ย  ที่ลุงน้อยใจและเสียใจมาจนบัดนี้ว่า  ลุงมันโง่เซ่อไม่รู้ถึงรสพระธรรม  เพราะคิดผิด

     ข้าพเจ้านิ่งฟังแกด้วยความเห็นใจ  เมื่อเห็นแกหยุดนิ่งไป  ข้าพเจ้าจึงถามขึ้นว่า   ท่านข้าราชการคนนั้นคงจะเรียนเก่งมากนะลุง”  แกถอนใจแล้วพูดว่า  เมื่อพูดถึงการเล่าเรียนแล้ว  พูดไปก็เหมือนกับยกตัวเอง  แต่ก็เป็นความจริง  ลุงเป็นเยี่ยมในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน  ถึงพูดถึงทางศาสนาและศีลธรรมแล้ว  ท่านผู้นั้นเป็นเยี่ยมกว่าศิษย์อื่นๆ   ท่านปฏิบัติและจดจำคำสั่งสอนของพระผู้เป็นอาจารย์  และถือศีล ๕ อยู่เป็นประจำ  ท่านเป็นคนดี  มีเมตตาจิตรักเพื่อนฝูง  ช่วยเหลือเพื่อนที่ตกทุกข์ได้ยากที่เข้าไปหา  มีความกตัญญูกตเวทีต่ออาจารย์อย่างน่าสรรเสริญ 

     บัดนี้  ลุงรู้แล้วว่า  วิชาความรู้นั้นต้องควบคู่ไปกับศีลธรรม  เมื่อก่อนลุงเคยทะนงตัวว่า  เป็นผู้มีความเจนจัดทั้งหนังสือไทยและขอม  แต่แล้วจิตใจชั่วมันก็เข้ามาแทรกแซง  เพราะว่าลุงไม่มีศีลธรรมเป็นหลักที่จะเตือนให้เกรงกลัวละอายต่อบาป  ตกที่นั่งคำโบราณที่ว่า  ความรู้ท่วมหัว  เอาตัวไม่รอด”  แกพูดแล้วน้ำตาก็ซึมออกมา

     ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคนแก่ร้องไห้มาก่อน  วันนี้ได้เห็นถึง ๒ ครั้ง  ทำให้จิตใจพลอยสลดหดหู่ไปด้วย  น้ำตาก็พาลไหลออกมาด้วยความสงสาร   ข้าพเจ้าจึงบอกแกว่า

     “ถ้าลุงจะไปหาท่านข้าราชการคนนั้น  แล้วแสดงตัวชี้แจงให้ท่านทราบว่า  ลุงคือใคร  ได้รับเคราะห์กรรมอย่างไรจึงพิการอย่างนี้  หลานเชื่อว่าถ้าท่านเป็นคนดีจริง  คงให้ความเมตตาบ้างไม่มากก็น้อย

     ลุงตาลสั่นศีรษะช้า ๆ อย่างอ่อนใจ แล้วพูดว่า

     “โบราณว่า  มีเงินเขาก็เรียกว่าน้อง  มีทองก็นับเป็นพี่  เดี๋ยวนี้ลุงไม่มีอะไรเหลือแล้ว  ต้องอาศัยวัดเป็นที่นอน  อาศัยข้าวพระเลี้ยงชีวิต  ทุกๆสิ่งลุงได้สูญสิ้นไปหมด  มันสมหวังแล้วที่จะได้รับเคราะห์กรรมที่ลุงก่อมันขึ้นเอง  จนพิการอย่างนี้  ไม่มีใครจำลุงได้แม้เพื่อนสนิท  ถ้าหากลุงไปแสดงตัวและขอความช่วยเหลือจากท่านผู้นั้น  ลุงเชื่อว่าท่านต้องช่วยเหลือ  เพราะน้ำใจท่านนั้นประเสริฐสุดจริงๆ แต่ลุงรู้ตัวดีว่า ลุงเป็นคนเลว  เป็นคนผิด  เป็นคนมีบาปติดตัว  ลุงจะไม่ยอมให้ใครรู้ว่าลุงเป็นเพื่อนกับท่านผู้นั้น  และจะไม่ยอมให้ท่านผู้นั้นรู้ว่าลุงคือใคร  ท่านผู้นั้นเปรียบเหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ไม่มีจุดด่างดำ  ลุงเหมือนผ้าที่สกปรกเต็มไปด้วยสิ่งโสโครก  แม้เข้าไปใกล้ผ้าขาวก็จะทำให้ผ้าขาวนั้นต้องมัวหมองไปด้วย 

     ศิษย์ทุกคนของอาจารย์ล้วนแล้วแต่ประกอบกรรมดีกันทั้งสิ้น  เขาเหล่านั้นจึงเจริญและพบแต่ความสุข  ส่วนลุงสิ  ลุงคนเดียวที่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง  เพราะลุงประกอบแต่กรรมชั่ว  ความพิการได้เปลี่ยนแปลงรูปเดิมของลุงหมด   แต่เป็นการดีจะได้ไม่มีใครจำลุงได้  ท่านผู้นี้ผิดกับลุงเหมือนฟ้ากับดิน  ท่านเหมือนอยู่ในสวรรค์  แต่ลุงสร้างแต่ความชั่ว  ได้รับผลสนองจนต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนอยู่ในนรก  แม้ว่าลุงยังมีชีวิตอยู่ในโลก  ระหว่างท่านกับลุงก็เหมือนตายจากกันแล้วในชาตินี้  ไม่มีโอกาสพบและเป็นเพื่อนกันอีก

     วันนั้น   ข้าพเจ้าสนทนากับลุงตาลด้วยความสลดใจ  และเป็นวันที่ลุงตาลต้องสะเทือนใจมากที่สุด  นับแต่ข้าพเจ้าได้รู้จักกับแกมา  ข้าพเจ้าพยายามปลอบโยนแกตามที่เด็กอย่างข้าพเจ้าจะทำได้  ข้าพเจ้าออกความเห็นว่า

     “ลุงน่าจะไปหาพระภิกษุซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของลุง  บางทีท่านอาจจะแนะนำทางที่เป็นมงคลให้ลุงได้บ้าง

      ข้าพเจ้าพูดแล้วก็มองดูหน้าแก  หน้าที่เศร้าสลดอยู่แล้วยิ่งดูหมองเศร้าน่าสมเพชยิ่งขึ้น  น้ำตาไหลพราก  แกพูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ

     “ท่านอาจารย์ได้มรณภาพไปแล้ว  และท่านข้าราชการผู้นั้นเป็นเจ้าภาพจัดงานฌาปนกิจศพท่านอย่างสมเกียรติ  ทุกคนที่เป็นศิษย์ และผู้ที่คุ้นเคย  ต่างก็เศร้าโศกเสียดายในการมรณภาพของท่าน  แม้ว่าตัวของท่านจะจากไป  แต่ความดีของท่านยังฝังแน่นอยู่ในจิตใจของศิษย์ทุกคน ไม่รู้ลืม” 

     แกหันมามองข้าพเจ้าแวบหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ

     “หลานจำไว้นะ  ถ้าเติบโตไปภายภาคหน้า  แม้จะมีวิชาความรู้เพียงใดก็ขอให้จิตใจมีศีลธรรม  เกรงกลัวต่อบาป  รู้จักเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์กันบ้าง  จงมีความเมตตากรุณา  และข้อสำคัญคือถือศีล ๕ ไว้ให้ดี  หลานจะมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป  เหมือนกับที่อาจารย์เคยสอนลุงไว้แล้วในอดีต  แต่ลุงไม่เคยเอาใจใส่เอง  คนที่เชื่อฟังเอาใจใส่ก็ได้ดิบได้ดีไปหมด  หลานเอ๋ย  การสร้างความดีนั้นกว่าจะเห็นผล  มันกินเวลานานนัก  แต่การทำความชั่วเพียงครั้งเดียว  มันก็สามารถลบล้างความดีที่เราอุตส่าห์ทำมาเป็นสิบๆปีได้  เปรียบเหมือนการสร้างโบสถ์สร้างวัด  จะต้องใช้เวลาอดทน  ขนหิน  ขนปูน  ใช้เวลาแรมปีกว่าจะสำเร็จงดงามขึ้นมาได้  แต่การทำลายลงให้พินาศนั้น  ใช้เวลาไม่นานนักก็จะทำลายได้

     ข้าพเจ้ารับคำแก  รู้สึกสงสารและเห็นใจแกมาก  เพราะแม้ว่าแกจะเป็นอะไรก็ตาม  แกก็ยังให้คติธรรมที่น่าฟังแก่ข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าอยากทราบเรื่องราวหนหลังของแก  จึงตัดสินใจขอร้องแกว่า

     “ลุงจ๋า  หลานอยากรู้เรื่องในอดีตของลุง  ถ้าลุงไม่รังเกียจว่าเป็นการรบกวน

     ข้าพเจ้าเห็นแกนิ่งเงียบไป  ข้าพเจ้าก็ไม่สบายใจ  คิดว่าแกคงโกรธ  และไม่อยากเปิดเผยชีวิตของแกก็เป็นได้  ยิ่งเห็นแกนั่งนิ่งนานเท่าใด  ข้าพเจ้าก็ไม่สบายใจเท่านั้น  แต่แล้วแกก็หยิบกล่องบุหรี่  แล้วก็ยกขึ้นจุดสูบอย่างช้าๆ ท่าทางครุ่นคิด  สายตาเหม่อมองออกไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย  แกอมควันบุหรี่แล้วพ่นออกมาสองสามครั้ง   พอไฟลามบุหรี่ใบจากครึ่งมวนแกก็ขว้างทิ้ง  หันมาทางข้าพเจ้า  แล้วพูดขึ้นช้า ๆ เต็มไปด้วยความตรึกตรองว่า

     “ลุงตกลงใจแล้วว่า  จะเปิดเผยเรื่องราวชีวิตแต่หนหลังให้หลานทราบ  แต่หลานต้องให้สัญญากับลุงก่อนที่จะทราบเรื่องราวของลุง

     ข้าพเจ้าดีใจมากที่แกจะเล่าเรื่องของแกให้ฟัง  เพราะข้าพเจ้ารอคอยมานานด้วยความอยากรู้  จึงรีบรับปากแกทันที

     “หลานจำไว้ว่า  เรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ฟังเวลานี้ก็ดี  และในโอกาสต่อไปที่ลุงจะเปิดเผยให้ฟังก็ดี  เมื่อหลานทราบแล้วต้องไม่เอาไปเล่าให้ใครฟังอีกเป็นอันขาด  ในเมื่อเวลาที่ลุงยังมีชีวิตอยู่  หากลุงหาชีวิตไม่แล้ว  หลานจะนำไปเล่าให้ใครฟังก็ได้  นับว่าหมดข้อผูกพันตามที่ตกลงกันไว้  หลานจะรับคำสัญญาได้ไหม?”

     ข้าพเจ้ารีบตกลงทันที  แล้วบอกว่า หลานขอรับรอง  จะรักษาความลับของลุงไว้ตลอดเวลาที่ลุงยังอยู่

     ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหน้าของลุงตาลค่อยแจ่มใสขึ้นบ้าง  แกถอนหายใจแล้วพูดว่า ลุงรู้ตัวดีว่า  ลุงได้ทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัยเลย  สมแล้วที่ได้รับกรรมเช่นนี้   ลุงยินดีรับกรรมต่อไป  แม้ว่าการเปิดเผยเรื่องราวของลุงจะทำให้ได้รับการสาปแช่งเพียงไร  ก็ไม่สมกับความผิดที่ลุงก่อขึ้น

     ข้าพเจ้ายิ่งกระหายอยากทราบเรื่องราวของแกมากขึ้น  รีบขอร้องให้แกเล่าให้ฟังโดยเร็ว  แกจึงบอกว่า เรื่องของลุงนั้นมันยืดยาว  ถ้าจะให้ละเอียดต้องกินเวลานาน  เพราะจะต้องรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ  ลุงอยากจะบันทึกไว้เป็นหนังสือข้อความที่บันทึกนี้ถ้าหลานข้องใจตอนใด  ลุงได้ตั้งใจแน่แล้วว่าจะเล่าให้หลานฟังทั้งหมด

     ข้าพเจ้ายินดีมาก   รีบบอกแกว่าจะหากระดาษและดินสอมาให้  แต่ลุงตาลปฏิเสธว่า  กระดาษดินสอนั้นแกไม่ได้เขียนมานานแล้ว  ตั้งแต่แขนพิการ  เริ่มเขียนใหม่ก็คงไม่สะดวกเหมือนจารหนังสือลงบนใบลานซึ่งแกชำนาญ  และขอให้ข้าพเจ้าหาใบลานที่เขาทำไว้เป็นผูก ๆ อย่างคัมภีร์พระเทศน์มาให้แก  ต่อมา  ข้าพเจ้าก็หามาให้ตามความประสงค์ของแก  ไม่นานนัก  ลุงตาลก็เริ่มเรื่องราวของแกจนเสร็จเรียบร้อย  หลังจากนั้นแกบอกกับข้าพเจ้าว่า  แกประหลาดใจว่า  เหตุใดแกจารประวัติชีวิตของแกเองคราวนี้  จึงไม่ปวดหัวมัวตามือไม้สั่น  เหมือนกับที่รับจ้างจารใบลานให้คนอื่น

     ต่อไปนี้  เป็นประวัติชีวิตของลุงตาลที่ได้บันทึกไว้บนใบลาน  ซึ่งข้าพเจ้าได้เรียบเรียงเพื่อให้เข้าใจง่าย  และเปลี่ยนแปลงคำพูดเพื่อให้เหมาะสมกับเวลาและสมัย       แต่เนื้อเรื่องหลักใหญ่ใจความยังคงเดิมทุกประการ

     “เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระพุทธเจ้าหลวง)  ทรงเสวยราชสมบัติได้ประมาณ  ๒๓ ปี  ลุงยังเด็กได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาเพียงผู้เดียว  บิดาของลุงเสียชีวิตก่อนที่อายุของลุงจะถึงขวบ  เมื่อบิดาของลุงสิ้นชีวิตลงนั้น  ไม่ได้เหลือทรัพย์สมบัติไว้ให้มากนัก  เพราะครอบครัวของลุงก็ไม่ใช่จะร่ำรวย  เพียงพอมีพอกินเหมือนชาวบ้านทั้งหลาย  ทั้งมารดาของลุงและลุงต้องได้รับความลำบากมาก 

     เราต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อนของแม่ในสวนใกล้ติดถนนใหญ่  เวลานั้นถนนเจริญกรุงบางแห่งข้างทางยังเป็นสวนและป่า   แม่ต้องทำงานโดยการสานกระบุง  ตะกร้า  กระจาดขาย  ถึงหน้าผลไม้ก็รับจ้างสานชะลอมใส่ผลไม้  ตามแต่ชาวสวนจะว่าจ้าง  เพื่อนำเงินที่หามาได้มาเลี้ยงดูลูกคนเดียวคือลุง

      แม่คิดการณ์ไกล  ไม่อยากให้ลูกลำบากหากินโดยต้องใช้กำลังกายอย่างชาวบ้านทั่วๆไป  ในสมัยนั้น  มีขึ้นหมาก  ขึ้นมะพร้าว  ขุดดินท้องร่องสวน   ทำนา  เป็นงานที่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อเลี้ยงชีพ คืออยากให้ลุงรู้หนังสือ   คนที่รู้หนังสือในสมัยนั้นมีน้อยคน  ยิ่งเป็นผู้หญิงชาวบ้านธรรมดายิ่งหาไม่พบ  คนรู้หนังสือมักเป็นขุนนางและทำงานเบา  แม่ของลุงจึงพยายามหาทางให้ลุงมีความรู้

     วันแรกที่แม่พาลุงไปฝากเรียนหนังสือกับอาจารย์นั้น  เป็นวันครูและเป็นวันข้างขึ้น แม่บอก  โบราณว่า  เรียนอะไรเรียนให้รู้เป็นครูเขา”    แม่จึงเลือกวันพฤหัสซึ่งเป็นวันครู  เลือกวันข้างขึ้นเพื่อให้ชีวิตจะได้แจ่มใส  ลุงจำได้ว่า  ก่อนรุ่งขึ้นจะถึงวันพฤหัส  ลุงตื่นเต้นที่จะได้ไปเรียนหนังสือ  ลุงตื่นแต่เช้าเพราะนอนไม่ค่อยหลับ   เห็นแม่กำลังหุงข้าวเพื่อใส่บาตร  แม้ว่าเราจะยากจนเพียงไรแต่แม่ไม่เคยเว้น  แม่ใส่บาตรเช้าเป็นประจำวันละ ๑ องค์  แม่บอกว่าเป็นน้ำพักน้ำแรงของแม่  จะได้อุทิศส่วนกุศลให้พ่อและตากับยาย 

     เมื่ออาบน้ำให้ลุงทาแป้งทาขมิ้นเกล้าจุกให้เรียบร้อย  ก่อนจะพาไปหาอาจารย์  แม่ได้หาดอกไม้ธูปเทียนให้ลุงไปบูชาครู  พอแต่งตัวกินข้าวเสร็จเรียบร้อย  แม่ก็พาออกเดินทางสู่ถนนใหญ่  แล้วเดินต่อไปอีกเป็นเวลานานกว่าจะถึงที่หมาย  เมื่อเขาเขตวัดเดินผ่านลานทราย  ก็พบต้นพิกุลเป็นจำนวนมากเรียงรายอยู่ข้างลาน  ดอกตกเกลื่อนอยู่ใต้ต้นส่งกลิ่นหอมเมื่อเราเดินผ่าน  ลุงยังไม่เคยเข้าวัดนี้มาก่อน  จึงดูแปลกตาเดินเหลียวหน้ามองหลัง  แม่มาเห็นเข้าก็จูงมือเดินให้เร็วขึ้น  แต่ลุงถ่วงให้ช้าลงเพราะชักจะกลัวอาจารย์

     เมื่อใกล้ถึงวัด  ลุงมองดูใต้ถุนกุฏิพระสูงโปร่ง  เห็นโลงศพเปล่าเก่าๆ ๒-๓ ใบ  วางอยู่ใต้นั้นระเกะระกะ  ลุงรีบเดินตามแม่ติดหลังขึ้นกระไดกุฏิใหญ่หลังหนึ่ง  เมื่อขึ้นไปถึงก็เห็นเป็นทางเดินยาว  สองข้างทางเป็นที่อยู่ของพระสงฆ์  แม่จูงลุงเดินผ่านไปจนถึงหอมีกลองใหญ่แขวนอยู่ ๑ ใบ  ถัดไปเป็นห้องกว้างใหญ่มีฝา  รู้ภายหลังว่าเป็นหอฉัน  ที่หอฉันนี้มีเด็กหลายคนนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น     ต่างคนต่างก็กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสืออยู่  จึงไม่ค่อยได้ยินเสียงดัง   เห็นสามเณรองค์หนึ่งกำลังจับมือเด็ก  ซึ่งตัวเล็กที่สุดในจำนวนนั้นให้เขียนหนังสือ   เมื่อลองนับดูเด็กที่นั่งนับได้  ๑๕ คนพอดี  เด็กเหล่านี้มีทั้งผมจุก  ผมแกละ   ซึ่งมีทั้ง ๒ แกละ และ ๓ แกละ  ทั้งหางเปียยาวคล้ายชาวจีนผู้ใหญ่  เมื่อแม่พาลุงเดินเข้าไป  เด็กพวกนั้นก็หันมามองเป็นตาเดียวกัน

     แม่เดินเข้าไปหาพระภิกษุรูปหนึ่ง  ซึ่งนั่งห่างจากเด็กพวกนี้ไปพอสมควร  ลุงเดินตามแม่ไปติดๆ ไม่ยอมห่างเพราะแปลกที่  พอไปถึงตรงหน้าท่านอาจารย์  แม่ก็ลงนั่งพับเพียบกราบลงตรงหน้าท่าน ๓ ครั้ง  

     ท่านยิ้มอย่างใจดีถามว่า  “สีกามีธุระอะไรกับอาตมาหรือ?”   

     แม่ยกมือพนมแค่อก  แล้วเรียนกับท่านว่า

     “อีฉันอยากจะมาขอฝากบุตรชายให้เป็นศิษย์ของท่านสักคนเจ้าค่ะ  อีฉันเคยกราบเรียนไว้แล้วครั้งหนึ่ง  มันกำพร้าพ่อมาแต่เล็กๆ อีฉันคิดว่า  ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือโตขึ้นก็ต้องทำงานหนัก  นาหรือสวนก็ไม่มีเป็นของตัวเอง  จึงอยากจะขอความกรุณาท่านเป็นที่พึ่งเจ้าค่ะ”  แม่พูดแล้วเรียกลุง  ซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังแม่ให้เข้าไปกราบท่าน  ลุงก็เข้าไปกราบท่านเหมือนกับที่แม่ของลุงทำเมื่อครู่นี้  ท่านบอกว่า  สีกาคิดถูกแล้ว  ชื่ออะไรล่ะ

     แม่รีบตอบเพราะเห็นลุงนั่งนิ่ง ชื่อตาลเจ้าค่ะ

     “อายุเท่าไหร่แล้ว  ท่านถามอีก  แม่นั่งนับนิ้วแล้วก็บอกท่านว่า ย่างเข้า ๑๑ ขวบปีนี้เจ้าค่ะ

     ขณะที่แม่กำลังพูดกับท่านอาจารย์  ลุงก็คลานออกมานั่งข้างหลังแม่  มองดูพวกเด็ก ๆ ซึ่งขนาดเท่าลุงนั่งเขียนหนังสือกัน  ลุงมองไปเจอเด็กสองแกละคนหนึ่ง  ซึ่งกำลังจ้องมองดูลุงอยู่ก่อนแล้ว  เพราะมันไม่ได้ดูหนังสือเหมือนเด็กอื่นๆ   พอลุงหันไปพบเข้า  เด็กคนนั้นก็แหกตาแลบลิ้นหลอก  ลุงนึกโกรธอยู่ในใจ  สะบัดหน้าไปทางอื่น  พอเผลอหันไปดูอีก  ก็เห็นมันแลบลิ้นหลอกอีก  ลุงคิดว่าอ้ายสองแกละนี้ต้องเป็นหัวโจกในพวกเด็กๆ ภายหลังลุงทราบชื่อเด็กคนนั้นว่า  ชื่อเจ้าแกละตามหัวของมัน  เพราะพ่อแม่ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้ดีกว่านี้

     ท่านอาจารย์จึงได้รับลุงไว้เป็นศิษย์อีกคนหนึ่ง  รวมทั้งหมดเป็น ๑๖ คน การเรียนของลุงอยู่ในขั้นดี  เพราะลุงขยันเรียนทั้งหนังสือไทยและขอม  ทั้งนี้เนื่องจากแม่เคยบอกว่า  คนที่ไม่มีความรู้นั้นโตขึ้นจะต้องลำบาก  ต้องทำงานหนักโดยใช้กำลังเหมือนควาย 

     ในเพื่อนๆรุ่นเดียวกันนี้  ลุงสนิทสนมกับสาย  ซึ่งอายุไล่เลี่ยกันกับลุง  เรารักกันมาก  และอีกคนหนึ่งลุงรักและนับถือมากเพราะเป็นคนดี  คอยเอาใจใส่ช่วยเหลือพวกเราเสมอเหมือนพี่ช่วยน้อง  เราจึงพากันเรียก  พี่ใหญ่

วันหนึ่งลุงเกิดเรื่องกับเจ้าแกละ  ลุงจำวันนั้นได้ไม่ลืมเลย  เมื่อถึงวันหยุดพักเรียน  พวกเด็กๆก็วิ่งลงไปเล่นที่ลานวัด  เพื่อให้พระท่านได้ฉันเพล  ลุงกับสายก็ลงมาเล่นทอยกองกันที่ใต้ต้นพิกุล  ขณะที่ลุงกำลังโน้มตัวลงกำลังจะทอยกอง  อ้ายแกละแกล้งวิ่งตรงมาที่ลุง  แล้วเอาขาปัดขาลุง  ลุงไม่ทันรู้ตัวจึงล้มอย่างไม่มีท่าที่กลางลานใต้ต้นพิกุลนั่นเอง  พอลุกขึ้นได้ด้วยความโกรธจัด  ลุงโดดมาชกหน้าอ้ายแกละ  ซึ่งไม่ทันระวังตัวเพราะมันกำลังหัวเราะชอบใจที่แกล้งลุงได้  เจ้าแกละก็เลยล้มไม่เป็นท่าเหมือนกัน  เจ้าแดงเพื่อนคู่หูของเจ้าแกละก็โดดเข้าชกลุงเพื่อช่วยเจ้าแกละ  สายเลยเข้าขวางไว้  สายบอกเจ้าแดงว่าให้เขาสู่กันตัวต่อตัวดีกว่า  พอดีเจ้าแกละหายงงลุกขึ้นได้  ก็ร้องห้ามว่า

     อย่า  ไอ้แดง  ปล่อยข้าคนเดียว  เอ็งเข้ามาช่วยมันไม่ยุติธรรม”  ลุงเตรียมระวังตัวจ้องดูเจ้าแกละว่ามันจะเล่นงานท่าไหน  แต่เมื่อได้ยินเจ้าแกละมันห้ามเจ้าแดง  ก็นึกชมมันอยู่ในใจว่า  ถึงมันจะทะลึ่งก็จริง  แต่มันยังมีน้ำใจเป็นลูกผู้ชาย  ยังไม่ทันปะทะกันเป็นครั้งที่ ๒  พี่ใหญ่เข้ามาห้าม  ถามว่าเรื่องอะไรกัน  ไม่ทันจะเล่าเรื่องให้พี่ใหญ่ฟัง  สามเณรก็ลงมาบอกว่าอาจารย์เรียกทั้ง ๔ คน  ลุงมีความเกรงกลัวอาจารย์มาก  เพราะเป็นครั้งแรกที่ท่านให้ไปหา  เพราะทำความผิด  เราทั้ง ๔ คนต่างก็มองหน้ากัน  ฉิวเจ้าแกละที่มันเป็นคนก่อเรื่องขึ้น  แต่เจ้าแกละไม่ได้โกรธลุงเลย  ซ้ำเมื่อเห็นลุงกลัวมาก  กลับเข้ามาปลอบว่า

     “ทำใจดีๆไว้  อาจารย์ท่านไม่เคยสั่งสอนด้วยการเฆี่ยนตีหรอก”  ลุงยังหมั่นไส้มันไม่หาย  เพราะอ้ายแกละทีเดียวเป็นต้นเหตุ  ยังมีหน้ามาพูดกับลุงอีก  เรา ๔ คนเดินตามเณรมาด้วยความไม่สบายใจ  พี่ใหญ่สงสารและเป็นห่วงเดินตามมาบอกว่า ท่านอาจารย์ชอบคนพูดความจริง  ถ้าสิ่งใดเป็นความจริงแล้วพูดไปเถิดไม่ต้องกลัว

     เมื่อมาถึงกุฏิ  ท่านอาจารย์นั่งคอยอยู่แล้ว  หน้าตาของท่านไม่บ่งบอกความโกรธเลย  ยังคงยิ้มแย้มเหมือนว่าเราขึ้นไปหาท่านตามธรรมดา  ทำให้ลุงคลายความกลัวลงบ้าง  เราทั้ง ๔ คนตรงเข้าไปนั่งกราบท่าน  แล้วก็ถอยมานั่งนิ่งด้วยหัวใจที่เต้นระทึก  คอยดูท่านจะว่าอะไร 

     แล้วท่านก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงธรรมดา พวกเธอทั้ง ๔ คน  มีเรื่องอะไรถึงได้ชกต่อยกัน  ขอให้พูดความจริงนะ  ยังไม่ทันจะมีใครพูดขึ้น  เจ้าแกละซึ่งเหมือนจะคอยสารภาพอยู่แล้ว  ก็ตรงเข้าไปกราบอาจารย์แล้วก็พูดขึ้นทันที

     “ผมเป็นคนผิดเองครับหลวงพ่อ  ผมตั้งใจจะแกล้งยั่วนายตาลเล่น  จึงวิ่งไปซัดขาเขาล้มลง  พอนายตาลลุกขึ้นได้ก็โกรธผม  จึงชกปากผมจนหงายล้มลงไป  นายแดงจะเข้ามาช่วยผมแต่นายสายห้ามไว้ ก็พอดีสามเณรไปบอกว่าหลวงพ่อให้มา  พวกผมก็พากันมานี่แหละครับ

     ท่านนิ่งฟังด้วยความสนใจ  เมื่อเจ้าแกละพูดจบ  ท่านก็ถามขึ้น เธอทั้ง ๔  ร่วมเรียนมาด้วยกัน  แต่ไม่มีความสามัคคีกลับแกล้งกันเอง  นอกจากหนังสือที่ฉันสอนให้พวกเธอแล้ว  ยังสอนให้พวกเธอมีความสามัคคีกัน  ให้รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง  ความสามัคคีเป็นสิ่งหนึ่งที่นำมาซึ่งความสำเร็จ  ถ้าเราร่วมมือ  ร่วมแรง  ร่วมใจ  ร่วมความคิดความเห็นกัน  มันจะนำมาซึ่งความเจริญ  บ้านใดประเทศใดมีความสามัคคีกัน  ก็จะมีแต่ความสุขความเจริญก้าวหน้า  และฉันได้สอนให้พวกเธอมีความเมตตากรุณา  ไม่เห็นแก่ตัว  และซื่อสัตย์สุจริตต่อตัวเองและคนทั่วไป  ขอให้ถือศีลห้าเป็นประจำ

     ขณะที่ท่านกำลังให้โอวาทสั่งสอนพวกเราอยู่นั้น  ก็มีชายคนหนึ่งท่าทางเป็นชาวสวน  เดินค้อมตัวไปนั่งกราบตรงหน้าท่าน  ทำให้ท่านงดการให้โอวาทพวกเรา  หันไปสนใจกับชายคนนั้น  เมื่อกราบแล้วชายผู้มาใหม่นั้นก็พูดว่า

     “กระผมได้ทราบว่า  สงกรานต์ปีนี้  ทางวัดจะมีงานและตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารทั่วไป  กระผมอยากจะช่วยด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง  กระผมทำน้ำตาลมะพร้าวไว้  และนำมาถวาย ๔ ปีบ  เผื่อท่านจะได้นำเอาไปใช้ประโยชน์ในงานด้วย  ท่านจะให้กระผมขนไปไว้ที่ไหน กระผมจะจัดการให้เรียบร้อย”  

     ท่านตอบชายผู้นั้นอย่างยิ้มแย้ม  ด้วยความยินดีในการทำบุญของเขา ขอบใจโยมมาก  ที่อุตส่าห์ทำน้ำตาลมาช่วยงาน  อาตมารู้สึกดีใจมาก  งานเช่นนี้ตามปกติต้องใช้น้ำตาลมาก  เพื่อประกอบอาหารหวานคาว  พอดีโยมนำมา  ถูกใจอาตมาจริง  ขออนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยนะโยม  ไม่ต้องขนไปไว้ที่ไหนหรอกโยม  เอาขึ้นไว้ที่ศาลาท่าน้ำที่เรือจอดก็แล้วกัน  แล้วอาตมาจะสั่งให้เขาจัดการภายหลัง

     ชายผู้นั้นนึกสงสัยแต่ไม่กล้าถามท่าน  รีบกราบท่านแล้วลงไปที่เรือจอดและจัดการตามที่ท่านสั่ง

     เมื่อชาวสวนผู้นั้นลงไปแล้ว  ท่านอาจารย์ก็หันมาทางเราทั้ง ๔ คน  แล้วกล่าวว่า

     “พวกเธอทั้ง ๔ คน  จะได้รู้คุณค่าของความสามัคคีที่ฉันพูดมาแล้ว  เพื่อจะได้ไถ่โทษที่พวกเธอทำผิด  ฉันขอร้องให้พวกเธอไปยกน้ำตาลปีบที่ศาลาท่าน้ำมาคนละปีบ  เอาไปไว้ที่ห้องเก็บของข้างหอระฆัง  อย่าลืมว่าเฉพาะเธอทั้ง ๔ คนเท่านั้นนะ  จะให้ใครช่วยไม่ได้  ถ้ายกคนละปีบไม่สำเร็จก็ให้ปรึกษากันได้  แต่น้ำตาลทั้ง ๔ ปีบต้องมาอยู่ในห้องเก็บของก็แล้วกัน

      เราสี่คนมองตากัน  ลุงนึกชังน้ำหน้าไอ้แกละขึ้นมาอีก  นึกอยู่ในใจว่าเพราะไอ้แกละคนเดียว  ทำให้พวกเราพลอยลำบากไปด้วย  เมื่อพากันกราบท่าน  ลุกออกมาแล้วก็ไปที่ท่าน้ำ  มองเห็นปีบน้ำตาลตั้งเรียงกัน  ๔ ปีบ   ต่างคนก็พยายามยกกันคนละปีบ  แต่มันหนักมาก  เด็กๆอย่างเราคนเดียวไม่มีทางจะยกขึ้นเลย  แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ยากที่จะยกขึ้น  เมื่อพยายามกันอยู่นานก็ไม่มีทางจะยกไหว  

     เจ้าแกละหัวโจกจึงพูดขึ้นว่า

     “หลวงพ่อบอกว่า  ถ้ายกคนเดียวไม่ไหวก็ต้องใช้ความสามัคคี  ลองช่วยกันยกปีบละ ๒ คน ๒ เที่ยวก็หมด”  ว่าแล้วเจ้าแกละกับเจ้าแดงก็ช่วยกันยก  เพียงแต่ยกขึ้นเท่านั้นจะยกเดินก็ไม่ไหวเพราะมันหนัก  ต่อเมื่อลุงกับสายช่วยกันอีก ๒ คน  รวมเป็น ๔ แรง  จึงค่อยยกสบายหน่อย  แต่ถ้าเดินไกลคงจะได้แต่ทนเจ็บมือไม่ไหว  เพราะต้องใช้มือหนึ่งช้อนก้นปีบ  อีกมือหนึ่งจับบนปีบซึ่งไม่ถนัด  เราจึงปรึกษากันว่า  ทำอย่างไรเราจึงขนน้ำตาล ๔ ปีบขึ้นไปบนห้องเก็บของข้างหอระฆังบนกุฏิได้

      เผอิญเจ้าแกละตาไวเหลือบไปเห็นสาแหรกคู่หนึ่งอยู่ในเรือประทุน  พอดีในเรือนั้นไม่มีคน  เจ้าแกละออกความเห็นว่า  ควรเอาปีบน้ำตาลใส่สาแหรกแล้วใช้ไม้คานหาม  โดยเรา ๔ คนช่วยกันหามคงจะสำเร็จแน่  พวกเราเห็นดีด้วย  เจ้าแกละจึงถือโอกาสหยิบสาแหรกออกมาข้างหนึ่ง  แล้วช่วยกันยกปีบน้ำตาลวางบนสาแหรกซึ่งก็วางได้พอดี  ส่วนไม้คานนั้นใช้แต่หาบถ้าใช้หามคงไม่ได้  เจ้าแดงเหลือบไปเห็นไม้พลองที่เจ๊กใช้หาบอิฐหาบปูน  ทิ้งไว้ใต้ถุนกุฏิอันหนึ่ง  ตกลงจึงใช้ไม้พลองสอดหูสาแหรก  แล้วพวกเราช่วยกันหามข้างละ ๒ คน

       แม้จะยกขึ้นเหนือพื้นดินเพียงเล็กน้อย  เพราะพวกเราตัวสูงกว่าสาแหรกไม่เท่าไหร่  แต่ก็เดินสบายกว่าคราวแรกมาก  จะเจ็บบ่าบ้างก็ไม่หนักหนาอะไร  ไม่ช้าน้ำตาลทั้ง ๔ ปีบก็ขึ้นไปอยู่บนห้องเก็บของโดยเรียบร้อย  ท่านอาจารย์ยืนมองดูและยิ้มด้วยความพอใจ  มันเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่ประทับใจลุงอย่างลืมไม่ได้เลย  ความโกรธเคืองที่ลุงมีต่อเจ้าแกละหายไปหมด ต่อมา  เราก็รักใคร่และเป็นเพื่อนสนิทสนมกัน  การทะเลาะชกต่อยกันนับแต่วันนั้นมา  ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลยในพวกศิษย์ของท่านอาจารย์

     เมื่อเราอายุได้พอสมควรที่จะตัดจุกได้แล้ว  ศิษย์ที่พ่อแม่เป็นคนร่ำรวยหรือเป็นพวกขุนนาง  ก็มีพิธีโกนจุกเป็นงานใหญ่โต  มีการเชิญแขกมาลงขัน  มีการฉลองเลี้ยงดูกันอย่างสนุกสนาน  การโกนจุกนั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง  สำหรับเด็กที่ไว้จุกในสมัยนั้น 

     สำหรับลุงนั้นแม่บอกว่าเป็นคนจน  จะโกนจุกที่บ้านก็ไม่มีเงิน  ฉะนั้น แม่จึงพาไปโกนจุกหมู่ที่โบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้า  ส่วนพวกที่ไว้แกละนั้นไม่สู้จะสำคัญนัก  จะโกนทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ต้องมีพิธี  แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไปโกนที่โบสถ์พราหมณ์  ส่วนเจ้าพวกไว้เปียนั้นคงไว้ตลอดมาจนโต  เพราะมีเชื้อสายเป็นจีน  เด็กและผู้ใหญ่ไว้อย่างเดียวกันหมด  เมื่อหลังจากโกนจุกแล้วร่างกายก็เติบโตย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม  การเรียนของลุงนั้นอยู่ในขั้นดีกว่าศิษย์ในรุ่นเดียวกัน  ส่วนเพื่อนของลุงคือสายนั้น  ตรงกันข้ามกับลุง  การเรียนของพี่ใหญ่อยู่ในขั้นพอใช้

     ที่กุฏิท่านอาจารย์ของเรานั้น  มีห้องสมุดใหญ่ห้องหนึ่ง  เมื่อโตขึ้นมีความรู้มากขึ้น ลุงก็ได้เข้าไปค้นคว้าหาความรู้ในห้องสมุดนี้  ซึ่งได้เพิ่มความรู้ขึ้นอีกมาก  สิ่งใดสงสัยก็ถามอาจารย์  ท่านก็ยินดีบอกและอธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้ง  รู้สึกว่าท่านพออกพอใจที่เห็นศิษย์ของท่านเอาใจใส่ค้นคว้าในการเล่าเรียน 

     ในห้องสมุดนั้นมีหนังสือตำรับตำราต่างๆ ส่วนมากเป็นสมุดข่อยทั้งดำและขาว  สมุดดำเขียนด้วยตัวรงค์สีเหลือง  เช่น  ตำราว่าด้วยสมุนไพร  ตำราหมอและอื่นๆ อีกจำนวนมาก  มีทั้งหนังสือไทย  ขอม  และหนังสือฝรั่ง  ท่านอาจารย์มีความรู้มาก  จนลุงคิดว่าถ้าท่านเป็นข้าราชการแล้ว  ตำแหน่งขุนนางชั้นพานทองคงไม่พ้นท่านแน่  แต่นี่ท่านได้สละแล้วซึ่ง ลาภ ยศ  หันมาทรงศีลอันบริสุทธิ์เที่ยงธรรม  สร้างคุณธรรมความดีที่ให้วิทยาทานแก่เด็ก ๆ และอบรมให้เด็กเหล่านั้นเป็นคนดีมาแต่เยาว์วัย  แต่สำหรับจิตใจของลุงเวลานั้น  นึกแต่เพียงว่าการถือศีลกินเพลนั้นไม่ใช่เรื่องของเด็ก  จึงไม่ได้เอาใจใส่  ดังนั้นรสพระธรรมอันสูงส่งของท่านอาจารย์  จึงไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในจิตใจของลุงเลย

     หลังจากเราต่างก็ย่างเข้าสู่วัยหนุ่มด้วยกันแล้ว  การเรียนก็สิ้นสุดลง  พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปด้วยความอาลัยรัก  พี่ใหญ่ได้กล่าวขึ้นในวันสุดท้ายว่า

     “พวกลูกศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน  ถ้าต่อไปในอนาคต  แม้นใครตกทุกข์ได้ยากอย่างใด  ก็ขออย่าให้ทอดทิ้งกัน  ใครได้ดีมั่งมีศรีสุขก็ขอให้ช่วยเพื่อนที่ตกทุกข์ได้ยาก  และควรจะพบกันอย่างน้อยปีละครั้ง คือในงานไหว้ครูของอาจารย์  ขอให้พวกเราทุกคนจงมาชุมนุมไหว้ครูและพบปะกันที่สำนักของท่านอาจารย์  หากใครมีทุกข์มีสุขอย่างไร  และอยู่ที่ใดจะได้รู้ทั่วกัน

     วันนั้น  ลุงจำได้ว่า  พวกเราต้องจากกันด้วยความอาลัยอย่างสุดแสน  ต่างพากันเข้าไปกราบลงท่านอาจารย์ด้วยน้ำตานองหน้าแทบทุกคน  ท่านอาจารย์ก็ให้ศีลให้พร  และให้โอวาทด้วยความตื้นตันใจในความสำเร็จของพวกลูกศิษย์  แล้วเราก็อำลาสำนักซึ่งเคยให้การศึกษา ให้ความร่มเย็นมาตั้งแต่น้อยจนใหญ่  ด้วยความจำใจ 
ต่อมาลุงก็เริ่มต้นชีวิตใหม่  แต่ยังไม่ทันไรลุงก็ได้รับความทุกข์อย่างหนัก  แม่ของลุงซึ่งยังไม่ทันจะได้ชื่นชมผลสำเร็จที่แม่ตั้งใจสร้างไว้  ก็มาด่วนถึงแก่กรรมลงก่อน  มันทำให้ลุงโศกเศร้ามาก  เพราะเราอยู่ด้วยกันเพียงสองคนแม่ลูกเท่านั้น   เมื่อแม่จากไป  ได้ทิ้งแต่ความว้าเหว่เศร้าโศกอาลัยไว้ให้กับลูก
  
     ในเวลานั้น  คนที่มีความรู้ก็มุ่งหวังที่จะเป็นข้าราชการ  เพราะเมื่อเป็นขุนนางจะได้เบี้ยหวัดเงินปี  ดูเหมือนจะมีสุภาษิตบทหนึ่งว่า  สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง”    สำหรับลุงมีความคิดแปลกไปกว่าคนอื่น  คืออยากจะเป็นพ่อค้า  แต่ไม่มีทุน  เพราะการเป็นพ่อค้านั้นย่อมจำเป็นจะต้องใช้ทุน  ลุงนึกถึง  สาย”  ขึ้นมาได้  สายซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักร่วมสำนักศึกษาเดียวกัน  ก็พอดีได้ทราบข่าวมาว่า  พ่อแม่ของสายได้ถึงแก่กรรมลงหมดแล้ว  สายเองก็ไม่มีพี่น้องและญาติที่ไหน  ดังนั้นมรดกจำนวนมากจึงตกอยู่กับสายคนเดียว  ลุงตกลงใจจะไปหาสายเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องเงิน

     เมื่อไปพบสาย  สายก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของลุงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง  ลุงได้เล่าถึงความตั้งใจอยากมีอาชีพเป็นพ่อค้า  บอกกำลังต้องการเงินก้อนหนึ่งไปทำทุน  สายได้ฟังก็หัวเราะเสียงดังลั่น  แล้วพูดขึ้นว่า

     “เฮ้ย!  ตาล  กันเห็นแต่ใคร ๆ เขาปรารถนาทำงานเป็นขุนนางกันทั้งนั้น  แต่แกมีความคิดแปลกดี  ดันจะไปเป็นพ่อค้า  เออ!  เรามากินเหล้ากันก่อนดีกว่า”    ว่าแล้วสายก็สั่งให้คนใช้ไปหาเหล้ายากับแกล้มมาทันที  ลุงชักกระสับกระส่าย  เพราะไม่แน่ใจว่าจะได้เงินจากสายหรือไม่  

     สายสังเกตเห็นกิริยาของลุง  คงจะรู้ว่าลุงไม่สบายใจเรื่องเงิน  จึงหัวเราะแล้วพูดว่า

     “ตาล  แกอย่านึกว่ากันไม่ช่วย  กันช่วยแกเต็มที่เลยเพื่อน  เอาไป ๕๐ ชั่ง พอไหม?”   

     ลุงได้ยินแทบไม่เชื่อหูว่าสายจะออกปากให้ยืม  ๕๐ ชั่ง  ไม่น่าจะเป็นไปได้  หัวใจแทบหยุดเต้น  แล้วลุงก็พูดตะกุกตะกักอ้อมแอ้ม  ขอบใจสายอยู่ในลำคอเพราะความตื่นเต้น  เนื่องจากลุงเป็นคนจนเงินชั่งสองชั่งก็ยังไม่เคยมี  แต่บัดนี้ลุงมี  ๕๐ ชั่ง  อาหารข้าวปลาที่คนใช้ยกมาวางตรงหน้า  ดูลานตาไปหมด  หูได้ยินแต่  ๕๐ ชั่ง….. ๕๐ ชั่ง……..๕๐ ชั่ง”  เท่านั้น  ไม่รู้ว่ารสอาหารมันเปรี้ยว  หวาน  มัน  เค็มอย่างไร 

     ความจริงลุงอยากจะเตือนสายว่า  พอออกจากสำนักเรียนก็กินเหล้าเมายาทีเดียว  เพราะเมื่ออยู่ในสำนักเรียนนั้น  ท่านอาจารย์ได้สั่งสอนให้ละเว้นจากการเสพสุรายาเมา  แต่แล้วก็ไม่ได้พูด  มัวตื่นเต้นเรื่องเงินเสีย  พลอยดื่มสุราไปด้วย  อยู่จนเวลาพอสมควรแล้วลุงก็ลากลับ  สายบอกให้เอาเงินไปด้วย  แล้วเรียกเจ้าหมัดคนขับรถม้า  ซึ่งเป็นแขกเข้าไปในบ้านกับคนใช้  สักครู่ก็ยกปีบใบหนึ่งมาขึ้นรถม้า  สายเข้ามากระซิบบอกลุงว่า  ในปีบนั้นบรรจุเงินเหรียญบาท  ๕๐ ชั่งพอดี  สายไม่ให้ลุงทำสัญญาใดๆทั้งสิ้น

     กลับมาถึงบ้าน  เจ้าหมัดก็ช่วยยกปีบเข้าไปในบ้าน  รู้สึกว่าหนักมาก  แต่ลุงกับเจ้าหมัดกำลังหนุ่มและแข็งแรงจึงยกได้ไม่ยากนัก  เมื่ออยู่คนเดียวลุงก็เปิดฝาปีบออก  เห็นเงินเหรียญบาท ห่อละ ๑๐ บาท  นับดูก็ครบ ๕๐ ชั่งพอดี  พอเห็นจำนวนเงินแล้วก็คิดว่ายังไม่ควรจะนำมานับ  แต่แม่ได้จากไปแล้ว  ลุงก็อยู่คนเดียว  เพื่อนของแม่ก็ไม่มีความรังเกียจที่จะให้ลุงอาศัยอยู่ด้วย  ลุงจึงซ่อนเงินจำนวนนี้ไว้ในบ้านก่อน  ตอนแรกก็รู้สึกเป็นห่วง  แต่มาคิดว่าคนทุกบ้านช่องก็ล้วนแต่มีศีลธรรม  ไม่เคยมีการลักขโมย  แม้ว่าจะเปิดประตูทิ้งไว้  ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีของหาย  จึงค่อยเบาใจ  ต่อจากนั้นลุงก็หาบ้านได้หลังหนึ่งอยู่ติดถนนใหญ่  จึงซื้อไว้ด้วยราคาพอสมควร  ที่ดินยังคงเป็นที่ดินของวัด  ต้องเช่นที่ดินเป็นรายปี  เงินค่าเช่าก็ไม่แพงนัก

     เมื่อซื้อบ้านแล้ว  ก็จัดแจงเปลี่ยนแปลงตกแต่งให้เหมาะที่เป็นเรือนร้านสำหรับค้าขาย  แล้วลุงก็ย้ายมาอยู่ในบ้านใหม่  พร้อมกับจ้างคนใช้มาไว้ประจำเพื่อขายสินค้า

     ลุงได้ไปติดต่อกับพวกจีนประจำเรือเดินทะเล  ซึ่งเดินทางค้าขายไปมาตามเมืองท่าใหญ่ๆในเอเชีย  มีบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งเป็นของฝรั่ง  มีเรือเดินทะเลเป็นจำนวนมาก  เรือทุกลำใช้ชื่อเป็นภาษาจีน โดยมาเป็นชื่อขุนนางและชื่อนายทหารในเรื่องแผ่นดินสามก๊ก  เช่น  ชื่อโจโฉ  ม้าเฉียว  สุมาอี้  ฮั่นตง  เป็นต้น  

     นับว่าเป็นความฉลาดของฝรั่ง  เพราะชาวจีนชอบลงเรือที่มีชื่อเป็นจีนมากกว่าจะลงเรือที่มีชื่อฝรั่ง เพราะชื่อเป็นฝรั่งเรียกยาก  คนจีนจำไม่ค่อยได้

      ลุงได้ทำการตกลงกับจีนซึ่งเป็นหัวหน้าประจำเรือเหล่านั้นแต่ละลำ  ขอให้ช่วยติดต่อสินค้าแปลกๆ ใหม่ๆ  ตามประเทศที่ผ่านมา  ก็ได้รับความร่วมมือช่วยเหลือจากจีนเหล่านั้นเป็นอย่างดี  ส่วนลุงก็ตกลงส่งสินค้าที่มีอยู่ในเมืองไทยไปขายต่างประเทศ  สิ่งที่ส่งไปขายมากก็คือ  ผลไม้ของเมืองไทย เช่น ส้มโอ  กล้วยหอม ฯลฯ  เพราะผลไม้นี้มีอยู่ตลอดปี  จึงสะดวกในการส่ง  ส่วนสินค้าตกเข้ามาก็มีเครื่องปั้นดินเผา  ตลอดจนเครื่องกังไสลายคราม ทั้งของเก่าและของใหม่ และสิ่งใดแปลกๆใหม่ๆก็สั่งมา  ร้านค้าของลุงก็เต็มไปด้วยสินค้านานาชนิด  คนงานก็เพิ่มขึ้นทั้งไทยและจีน

     ต่อมา  ก็มีพวกขุนนาง  ข้าราชการผู้ใหญ่และคนทั่วไปเข้าร้านลุงคับคั่ง  บางท่านก็ให้ติดต่อสั่งเครื่องลายครามชนิดเก่าๆสมัยแผ่นดินซ้อง  แผ่นดินเหม็งและหงวน  ลุงก็ได้ติดต่อคนเรือให้ทางเมืองจีนส่งมาให้  เป็นที่ชื่นชอบของพวกขุนนางและข้าราชการมาก

     จากทุนที่ยืมจากสาย  ๕๐ ชั่ง  รวมทั้งโรงค้าด้วย  ต่อมาก็เพิ่มเป็นร้อยชั่งและร้องห้าสิบชั่งตามลำดับ  ลุงจึงเริ่มเรียนภาษาจีนและลูกคิด  เพื่อสะดวกในการติดต่อค้าขาย

     สำหรับสายนั้นเมื่อได้รับมรดกแล้วก็ไม่ได้ทำการงานอะไรให้เป็นล่ำสัน  เพราะถือว่ามีเงิน  คบเพื่อนฝูงที่เป็นนักเลงการพนันและนักเลงสุรา  ลืมโอวาทของท่านอาจารย์ที่ให้ถือศีลห้า  และละเว้นสิ่งที่ชั่ว  สายเพลิดเพลินอยู่กับสุราและการพนัน  บางครั้งมาชวนลุงไปด้วย  ถ้าว่างตอนค่ำๆ ลุงก็ไปด้วยกับสายเพราะเกรงใจ  เมื่อไปถึงบ่อนก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าของบ่อน  ไม่ต้องไปเล่นปะปนกับคนอื่น  มีคนมารับใช้  จะแทงตัวไหนมีคนจัดการให้  เห็นจะเป็นด้วยสายเป็นขาประจำกระเป๋าหนัก  ขุนพัฒฯ เจ้าของบ่อนจึงจัดที่รับรองให้เป็นพิเศษ  มีการเลี้ยงเหล้า  อาหารต่างๆ เพื่อผูกใจไว้เป็นขาประจำต่อไป 

     ลุงไม่ค่อยชอบการพนันจึงถือโอกาสเลี่ยงออกมาดูงิ้วบ้าง  ละครบ้าง  ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆกับโรงบ่อน  เคยติดตามสายไปหลายครั้ง  จนไปพบสาวเข้าคนหนึ่ง  เธอตั้งโต๊ะขายหมากพลูบุหรี่อยู่ที่หน้าโรงงิ้วข้างบ่อนนั้นเอง  หล่อนชื่ออำแดงจำปี  รูปร่างขาวสมส่วน  ตัดผมทรงกระทุ่มเรียบร้อยงามเด่นกว่าแม่ค้าใดๆในแถบนั้น

     เมื่อลุงได้พบอำแดงจำปี  ก็รู้สึกต้องตาต้องใจมาก  คราวนี้หากว่าวันไหนสายไม่มาชวน  ลุงก็ไปเองเพราะทนความคิดถึงอำแดงจำปีไม่ไหว  ทำเป็นซื้อหมากกินแก้เขิน  ทั้งๆที่ลุงไม่เคยกินหมากมาก่อน  พอกินเข้าไปก็เกิดยันหมากเวียนหัว  หูแดง  หน้าร้อนผ่าวไปหมด  อำแดงจำปีมองเห็นเข้าก็หัวเราะชอบใจ  และคงจะเกิดความสงสารลุงบ้าง  ต่อมาก็สนิทกันมากขึ้น  ทำให้พวกหนุ่ม ๆ ที่เคยมาติดเนื้อต้องใจเกิดอิจฉาลุง  หากวันไหนไม่ได้ไปที่หน้าโรงบ่อน  อำแดงจำปีก็บ่นถึงและเป็นห่วง  ลุงรู้ว่าหล่อนก็ชอบลุงเหมือนกัน  เมื่อรู้ว่าเรามีหัวใจตรงกันเช่นนี้  ก็มีความสุขมากเหลือล้น

     ต่อมา  ลุงก็จัดการส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขออำแดงจำปี  ป้าของหล่อนซึ่งเป็นญาติผู้เดียวก็ไม่ขัดข้อง  หล่อนอยู่ด้วยกันกับป้าสองคนที่หลังโรงบ่อน  ป้าของหล่อนทำข้าวแกงขายที่หน้าโรงบ่อนนั้น  เมื่อลุงได้จัดการแต่งงานแล้ว  ก็ให้หล่อนและป้ามาอยู่ที่โรงค้ากับลุง   เลิกขายหมากพลูและข้าวแกง  พอลุงได้หญิงที่ลุงรักมาร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย  ลุงรู้สึกว่าชีวิตในระยะนั้นมีความสุขที่สุด

     วันหนึ่ง   อำแดงจำปีและป้าของหล่อนไม่อยู่  ไปทำธุระทางสำเพ็ง  สายได้ขึ้นรถม้ามาหาลุง  ให้เจ้าหมัดคนขับรถม้าถือห่อตามมาด้วย  ลุงดีใจที่เห็นเพื่อนมา  เราได้นั่งคุยกันทางหลังบ้านซึ่งเป็นที่ส่วนตัวและเงียบดี  เมื่อนายหมัดคนขับรถนำเอาห่อผ้าตามสายไปวางไว้หลังบ้านแล้วก็เดินออกไป  สายนั่งเรียบร้อยแล้วถามลุงว่า  เมียของลุงกับป้าของหล่อนไปไหน  ลุงบอกว่าไปธุระทางสำเพ็ง  สายทำท่ากิริยาโล่งใจ  แล้วบอกว่า

     “ตาล   กันเอาของมาฝากแกให้ช่วยรักษาไว้ด้วย  เพราะแกมีลูกเมียเป็นหลักฐานแล้ว  ส่วนกันยังโสดมีแต่พวกบ่าวไพร   แม้ว่าเขาจะจงรักภักดีต่อกันก็จริง  แต่กันยังไม่ไว้ใจเท่าแก

     ลุงจึงถามว่า  มีอะไรบ้างที่สายเอามาฝาก  สายยกห่อขึ้นเอาวางไว้บนโต๊ะ  แล้วเปิดห่อออก  มันเป็นห่อทองคำที่เป็นแท่งๆ มีจำนวนมาก  ลุงตะลึง  เพราะนับเป็นของมีราคาไม่น้อย  จึงถามสายว่า

     “นี่แกบอกให้ใครรู้หรือเปล่า  ที่เอาของมาฝากกันนี่น่ะ

     สายสั่นศีรษะ  แล้วบอกว่า ไม่มีใครรู้หรอก  กันไม่ได้บอกใครเลย 

     ลุงถามต่อไปอีกว่า แล้วเจ้าหมัดล่ะ  มันคงรู้ซิ  

     สายบอกว่า เจ้าหมัดเป็นคนซื่อ  มันก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน  กันไม่ได้บอกมัน

     ลุงพูดขึ้นว่า  อย่างนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย

     สายถามว่า  ทำไมถึงว่าค่อยยังชั่วล่ะ”  

     ลุงให้เหตุผลว่า ถ้ามีคนรู้ว่าแกเอาของมีค่ามาฝากกันไว้  มันก็ไม่ปลอดภัยสำหรับกัน  เพราะอาจมีคนโลภพาพรรคพวกมาบีบคอกันตายก็ได้  

     สายเห็นด้วยแล้วพูดว่า กันเองก็คบพวกนักเลงหลายคน  ยังไม่รู้ว่าใครจะซื่อต่อเราจริง  ถ้าพบคนที่ไม่ซื่อ กันก็ลำบาก  เพราะคนพวกนี้เข้าออกบ้านกันได้ตลอดเวลา  แม้สมบัติของกันจะซ่อนไว้มิดชิดก็จริง  แต่มันก็ไม่ค่อยปลอดภัยนัก  เพราะวันหนึ่งเจ้าพวกนี้อาจจะรู้ก็ได้  กันเบาใจที่เอามาฝากแกไว้

     วันนั้น  ลุงได้จัดอาหารและเหล้ามาเลี้ยงสายด้วย  และได้นำเอาทองคำแท่งของสายไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย  โดยไม่มีใครรู้แม้แต่เมียของลุง

     ต่อจากนั้นมา  สายก็มาเยี่ยมเยียนเสมอ  เพราะลุงไม่ค่อยได้มีเวลาไปไหน  นอกจากติดต่อเรื่องการค้า  ความสนิทสนมของสายกับจำปีเมียลุงก็มากขึ้น  มีการหยอกเย้าล้อเลียนกันอย่างสนิทสนม  ครั้งแรกก็ดีใจที่เพื่อนกับเมียสนิทสนมกันดี  ยิ่งนานความสนิทสนมก็มากขึ้น  มีการล้อเลียนจับมือถือแขน  ทั้งๆที่ต่อหน้าต่อตาลุง  ดูเหมือนเมียลุงก็เป็นใจยั่วด้วย  เมื่อไม่คิดก็ไม่มีอะไร  แต่ความรักเมียมากก็ยิ่งทำให้คิดมาก  ความหึงหวงก็เกิดขึ้นมาก  ยิ่งรักเมียมากก็ยิ่งโกรธมาก  ความรู้สึกสำนึกในบุญคุณและความเป็นเพื่อนค่อยๆจางลง  ยิ่งคิดยิ่งโกรธ 

     บางเวลาลุงกัดฟันบริภาษด้วยความโกรธสุดขีด  “อ้ายสายมันทรยศ  จะเป็นชู้กับเมียข้า

     ยิ่งคิดไป  ความโลภ  ความหลง  ความโกรธ  ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น  จิตใจเหี้ยมเกรียมขึ้น  คิดว่าถ้ากำจัดสายเสียแล้ว  นอกจากจะสบายใจขึ้น  ยังจะได้ทรัพย์สมบัติของสายที่นำมาฝากไว้  และลบล้างหนี้สิน  ๕๐ ชั่งด้วย

      ความหึงหวงบวกกับความโลภ  เหมือนกองไฟราดด้วยน้ำมันกรุ่นอยู่ในใจของลุงตลอดเวลา  ลุงแสดงกิริยาภายนอกกับสายและเมียของลุงอย่างปกติ  แต่ในใจของลุงนั้นคิดจะพิฆาตอยู่ทุกเวลา  การค้าเวลานั้นเจริญมาก  ผลไม้ก็ต้องเพิ่มจำนวนส่งออกเพราะขายดี  กล้วยหอมและส้มโอมีผู้ต้องการมาก  จนต้องเพิ่มจำนวนส่งมากขึ้นทุกเที่ยวเรือ  บางครั้งไม่พอส่ง  ต้องไปซื้อตามสวนใกล้เคียงพระนคร  ได้ไปติดต่อกับเจ้าของสวนแห่งหนึ่งทางฝั่งธนบุรี  ซึ่งส้มโอมีชื่อชั้นดี  เจ้าของสวนนี้มีบุตรสาวคนหนึ่งชื่ออำแดงสำลี  อายุเพิ่งได้รุ่นสาว  ร่างท้วมขาวสวย  พูดจาไพเราะ  ลุงก็นึกถึงสายขึ้นมาได้  ก็พาสายมาเที่ยวสวนส้มโอของอำแดงสำลีด้วย  สังเกตดูสายมีความพอใจในรูปโฉมของสำลีมาก

     เมื่อไปถึงคราวใด  เราก็มักไปพักที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง  ซึ่งมีสวนติดต่อกับสวนของอำแดงสำลี  และเพื่อนคนนั้นก็มักจะเลี้ยงอาหารและเหล้ายาปลาปิ้งทุกครั้งไป  และสายก็มักเมาทุกครั้งเหมือนกัน  ลุงสังเกตดูรู้สึกว่าอำแดงสำลีก็ไม่รังเกียจสาย  แต่สำหรับผู้ใหญ่ทางฝ่ายสำลีรู้สึกจะไม่พอใจ  ที่สายเป็นพวกขี้เหล้า เมายาและเป็นนักเลงการพนัน  แต่ฐานะของสายก็เป็นคนร่ำรวยมาก  จึงยังตัดสินใจไม่ถูก

     วันที่เกิดเหตุใหญ่นั้น  สาเหตุเกิดจากความหึงหวง และความโลภ  ความอิจฉาริษยาของลุงเป็นเหตุ  ความจริงถ้าลุงจะมีสติ มีความคิดบังคับใจของตนเองไม่ให้มีความโลภเข้าเป็นเจ้าหัวใจแล้ว  คงคิดได้ว่าถ้าอำแดงสำลีแต่งงานกับสายแล้ว  หนามยอกอกที่เข้าใจว่าสายเป็นชู้กับเมียลุงก็หายไปเอง  แต่นี่เพราะความโลภอยากได้สมบัติของสายมาเป็นของตัว  ทำให้ลุงไม่ยอมคิดอะไรทั้งสิ้น  แผนการที่จะทรยศต่อเพื่อนผู้มีพระคุณทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง  ลืมโอวาท  ลืมศีลธรรม  ลืมบาปกรรมทั้งสิ้น  มีแต่จิตใจที่จะคอยสังหารเพื่อนรักให้ได้อย่างเดียว  เพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติและบ่งหนามที่ยอกอกให้หลุดพ้น

     ในวันนั้นเองเวลาจวนบ่าย  สายได้มาชวนลุงไปสวนฝั่งธนบุรีเพื่อจะไปหาอำแดงสำลีคนรัก  ลุงตกลงไปด้วย  เราทั้งสองจึงขึ้นรถม้าคู่ที่เจ้าหมัดเป็นคนขับไป  และให้ไปจอดรออยู่ข้างโรงสีไฟของฝรั่งแห่งหนึ่ง  แล้วเราก็ลงเรือจ้างขาประจำ  คนแจวเรือชื่อตาหนูขี้ยา  แจวข้ามฟากเข้าคลองไปถึงบ้านเพื่อน  ซึ่งสวนอยู่ติดกับสวนของอำแดงสำลี  เพื่อนคนนี้ชอบพอกับสายและลุงมาก  เขาก็อยากจะช่วยเหลือให้สายกับอำแดงสำลีได้แต่งงานกัน  ทุกครั้งเรามักจะแวะบ้านเขาหลังจากไปบ้านอำแดงสำลีคนรักของสายแล้ว  วันนี้ก็เช่นกัน  เมื่อไปหาอำแดงสำลีแล้วเราก็มาแวะที่บ้านเพื่อนผู้นี้อีก  และเขาก็จัดการรับรองด้วยเหล้าและอาหารตามเคย

     ลุงพยายามกินแต่เพียงน้อยเพื่อไม่ให้เมา  แต่สายนั้นคงเมามากตามเคย  เมื่อจะลาเจ้าของบ้านกลับ  สายก็เดินไม่ตรงเสียแล้ว  ลุงพยายามจะช่วยพยุง  แต่สายเป็นคนที่มีทิฐิความถือดี  แม้จะเมาเพียงไรถึงหกล้มหกลุก  ก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองเมา  เพื่อนคนนั้นเห็นสายเมามาก  ก็ขอร้องให้นอนพักที่บ้านเขาก่อน  เมื่อสร่างดีแล้วค่อยไป  สายก็ไม่ยอม  ลุงเข้าไปพยุงก็สะบัดมือไม่ยอมให้พยุง  บอกว่าไม่เมา 

     พอมาถึงท่าน้ำซึ่งเรือจ้างจอดรออยู่นั้น  กว่าจะลงเรือได้แสนจะลำบาก  เกือบจะตกน้ำเสียหลายครั้ง  แต่ก็ยังดีที่ลงได้อย่างปลอดภัย  เมื่อนั่งในเรือเรียบร้อยแล้ว  ตาหนูคนแจวเรือก็ถ่อเรือออกจากท่ามาตามลำคลอง  เพราะใช้แจวไม่ได้  เนื่องจากน้ำแห้งขอดมาก  ถ่อมาจนถึงปากคลอง  ออกแม่น้ำเจ้าพระยาจึงได้ใส่หูแจว  แล้วแจวทวนน้ำขึ้นไปทางเหนือก่อนที่จะข้ามฟาก 

      เวลานั้นเป็นเดือน ๑๑-๑๒  น้ำเหนือไหลลงมาเชี่ยวมาก  จะแจวตัดตรงเหมือนเวลาธรรมดาไม่ได้  น้ำจะพัดเรือไปไกลจากที่หมาย  ลุงนึกในใจว่าแผนการที่คิดไว้คงสำเร็จคราวนี้แน่  อีกใจหนึ่งก็อยากเลิกล้มแผนการอุบาทว์นี้เสีย  แต่เหมือนมีมารร้ายมากระซิบเตือนอยู่เสมอว่า

     “ถ้าไม่ทำคราวนี้คงจะไม่มีโอกาสเสียแล้ว  ลงมือวันนี้  เดี๋ยวนี้  ทรัพย์สมบัติก็จะเป็นของแกหมด

     ทุกครั้งที่ลุงตัดสินใจ  ก็มีเสียงกระซิบตอนให้ลงมือเสมอ  ลุงคิดว่า  เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามอาจารย์สั่งสอน  ละทิ้งการประพฤติรักษาศีล ๕  ผีร้ายจึงดลใจให้คิดชั่วอยู่เสมอ  เพราะตัวเองก็มีความชั่วอยู่แล้ว  มันจึงถือโอกาสซ้ำเติมให้ขาดสติ   ขาดความยั้งคิดไปในทางที่ดี   มีแต่ความชั่ว  มารแห่งความชั่วมันได้มาสิงในกายของลุงเสียแล้ว

     ลุงเริ่มลงมือยั่วสายทันที  เฮ้ย!  เมามากก็นั่งให้มันดี ๆ หน่อย  เดี๋ยวจะตกน้ำตกท่าไป”  ลุงรู้นิสัยดีว่า  ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  สายพยายามยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางลำเรือ  เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เมา  

ลุงก็ตะโกนไปอีก  “อย่า!  สายอย่ายืน!

     แต่ในใจคิดว่ามันยืนได้นานเท่าไรก็ยิ่งดี  หรือถ้าจะตกน้ำลงไปก็ยิ่งดีใหญ่  ลุงจะได้ไม่ต้องลงมือฆ่าสายเอง  สายหลงกลเสียแล้ว  เพราะเขาไม่คิดว่าเพื่อนรักอย่างลุงจะกล้าทรยศ  พอตาหนูแจวขึ้นไปทางเหนือกะระยะข้ามไป  จึงเบนหัวเรือตัดเฉียงขึ้นเหนือ  เมื่อออกมาเกือบถึงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา  ก็พอดีมีเรือกลไฟของบริษัทป่าไม้ฝรั่งลำหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูง  บ่ายหน้าขึ้นมาทางเหนือ  ตาหนูเห็นสายยืนดังนั้น  ก็ร้องเตือนว่า

     “คุณครับ   นั่งลงเถอะ  เดี๋ยวคลื่นซัดเรือจะเปียกหมด  แล้วจะตกน้ำลงไป

     สายก็ยังคงไม่ยอมนั่งด้วยความอวดดี  ลุงชำเลืองดูเห็นตาหนูซึ่งเมื่อบอกสายไม่เชื่อแล้ว  ก็คอยระวังคัดหัวเรือออกรับคลื่น  มันเป็นโอกาสที่ดีครั้งสุดท้ายของลุงที่จะลงมือทำได้แล้ว  ลุงจึงรีบลุกขึ้นยืนทำเป็นว่ากลัวลูกคลื่นจะซัดเข้ามาเปียก  พอดีคลื่นมากระทบแคมเรือ  ลุงรีบฉวยโอกาสนี้แสร้งทำเซเสียหลัก  กระแทกไหล่ขวาของสายซึ่งกำลังยืนอยู่อย่างเต็มแรง  สายเสียหลักตกใจร้องออกมาว่า

     “เฮ้ย!   อ้าย….”

     ยังไม่ทันจะเอ่ยคำใดออกมาอีก  ศีรษะของเขาก็ทิ่มตกลงไปในแม่น้ำและจมหายไปทันที  แม้ว่าเป็นแผนการที่กำหนดขึ้นเองก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้  ทันใดนั้นเรือเอียงวูบลง  น้ำเข้ามาทางกาบเรือ  ลุงรีบนั่งลงจับแคมเรือไว้  ขณะเดียวกันตาหนูกำลังคัดแจวอย่างเต็มกำลัง  พอเรือเอียง  แจวที่แกออกแรงงัดก็พ้นน้ำขึ้นมา  ตาหนูเสียหลักเลยหกล้มลงที่ท้ายเรือนั่นเอง  แต่แกไม่ทันตกน้ำเพราะแกรีบคว้าหลักแจวไว้ทัน  เรือก็ทรงตัวได้ไม่ล่ม  พอแกรู้ว่าสายตกน้ำหายไป  แกตกใจมากปากคอสั่น

     “แย่แล้ว   คุณสายตกน้ำไป  น้ำมันเชี่ยวเหลือเกินจะทำอย่างไรดีล่ะ  เจ้าพ่อเจ้าแม่ประจำคุ้งน้ำนี้ช่วยคุ้มครองด้วยเถอะ  อย่าให้คุณสายเป็นอะไรเลย

     แกพูดเสียงสั่น  น้ำตาคลอ  ยกมือขึ้นไหว้  ๔ ทิศ  ราแจว  ตาก็จ้องบนพื้นน้ำเผื่อจะเห็นสายโผล่ขึ้นมาบ้าง   แล้วรำพันต่อไปว่า

     “โธ่!   คนดี ๆ อย่างคุณสายไม่ควรจะอายุสั้นอย่างนี้เลย  ต่อไปนี้อ้ายหนูจะไปพึ่งใคร  ใครจะใจดีเหมือนคุณสาย  เจ้าประคุณ  ขออย่าให้เป็นอันตรายเลย  หัวหมู  บายศรี  เป็ดไก่  อ้ายหนูยอมแก้บนทุกอย่างขอชีวิตคุณสายกลับมาเถิด

     เมื่อลุงได้ยินตาหนูรำพันความดีของสาย  ความรู้สึกผิดชอบก็กลับคืนมา  ระลึกถึงการเคยเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือ  พอได้คิดแล้วก็ใจหายน้ำตาร่วงลงโดยไม่รู้สึกตัว  เพราะจิตใจปั่นป่วนเหมือนคนบ้า  จะดีใจหรือเสียใจก็พูดไม่ถูก  ลุงรีบตะโกนด้วยเสียงดังว่า

     “ช่วยด้วยคนตกน้ำ!  ช่วยด้วยคนตกน้ำ!

     ไม่ช้านัก  ตามสองข้างลำน้ำซึ่งส่วนมากเป็นเรือกสวน  ก็มีเรือสำปั้น  เรือมาด และเรืออีแปะ  ค่อย ๆ โผล่ออกมาทีละลำสองลำ   สุดแต่ใครจะมีเรืออะไร  นำออกมาทั้งหญิงและชาย  ลำละสองสามคน  จนในที่สุดก็เต็มลำน้ำ  บางลำพยายามมาเกาะเรือของลุง  ถามถึงว่าเพราะเหตุใดเพื่อนถึงตกน้ำลงไป  ลุงอธิบายให้เขาฟังว่า  สายเมาและลุกขึ้นยืนเก้ๆกังๆ ห้ามก็ไม่ฟัง  พอดีคลื่นเรือกลไฟซัดมากระทบแคมเรือ  เสียหลักหัวทิ่มตกลงไปในน้ำ  คว้าตัวไว้ไม่ทัน  เพราะลุงก็เกือบ ๆ จะตกลงไปเหมือนกัน  ต้องรีบยึดแคมเรือไว้  ตาหนูคนแจวเรือก็ว่าตามอย่างลุง  เพราะแกไม่ทันเห็นลุงกระแทกไหล่สาย  แกมัวแต่คอยคัดท้ายเรือ  ระวังรับคลื่น

     เมื่อชาวบ้านได้ทราบเรื่อง  ก็ตะโกนกันต่อๆไปว่าคนเมาตกน้ำ  ว่ายน้ำไม่เป็นด้วย  เสียงร้องบอกก้องไปทั่วท้องน้ำ  เพราะคนทางฝั่งก็ตะโกนทางมาเพราะอยากรู้เรื่องเหมือนกัน  แม้จะรู้ว่ามีหวังน้อยเหลือเกิน  แต่พวกชาวบ้านหมู่นั้นเป็นผู้มีจิตใจสูงหวังเอาบุญ   ก็ช่วยกระจายเรือเป็นหน้ากระดานมองดูว่าจะโผล่ขึ้นที่ใดบ้าง  จนพลบค่ำเข้าไต้เข้าไฟ  จึงพากันกลับด้วยความเศร้าใจ

     หลังจากนั้น   ลุงก็ได้ขึ้นจากเรือที่ท่าโรงสีไฟของฝรั่ง  ลุงรีบอธิบายให้เจ้าหมัดซึ่งยังรออยู่  ให้รู้ว่าสายเมาเหล้าตกน้ำหายไป  ลุงช่วยไม่ทัน  เจ้าหมัดทั้งตกใจและตกตะลึง  แล้วก็ร้องไห้อาลัยรักนายของมัน  ต่อจากนั้นลุงก็ได้จัดคนเที่ยวตามหาศพ  สามวันต่อมาโปลิศน้ำได้พบศพของสาย  ลอยขึ้นแถววัดบางกระสอบ  ใกล้ท่าหิน  ปากลัดใต้  เมืองนครเขื่อนขัณฑ์ 

     เมื่อสอบสวนเสร็จแล้วลุงก็จัดการเผาศพสายจนเป็นที่เรียบร้อย  เพราะโบราณถือว่าการตายชนิดนี้ไม่ดี  ศพเอาไว้นานไม่ได้  ตอจากนั้นก็มีคนอ้างเป็นญาติของสายเพื่อขอรับมรดก  แต่ลุงก็ไม่ได้สนใจ  เพราะสายซึ่งมีแต่ที่ดินและบ้านซึ่งมีตราจอง  ทรัพย์สินอื่นคงหมดไปมาก  เพราะใช้เติบและใจใหญ่  เหตุการณ์ล่วงเลยมาโดยไม่มีใครทราบและสงสัยว่า  การตายของสายเป็นการฆาตกรรม  ทรัพย์สมบัติของสายที่ฝากไว้และเงินที่สายให้ลุงยืม  ก็ไม่มีใครล่วงรู้เลย

     เมียของลุงเมื่อได้ทราบข่าวการตายของสาย  ก็โศกเศร้ามาก  มันทำให้ลุงแสลงใจยิ่งนัก  คิดว่าสายคงมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับเมียเป็นแน่  ทำให้นึกชังน้ำหน้าเมียไปด้วย

     ครั้งหนึ่ง   เมียของลุงได้พรรณนาถึงความดีของสาย  หล่อนบอกว่า  เมื่อสายยังมีชีวิตอยู่นี้  ได้แกล้งเย้าหยอกหล่อนต่อหน้าลุง  ก็เพราะอยากรู้ใจเพื่อนว่า  รักเมียหรือรักเพื่อนมากกว่ากัน  ตามปกติแล้วสายไม่เคยยั่วเย้าลับหลังเลย  บางครั้งเมื่อลุงไม่อยู่บ้าน  อยู่แต่เมีย  เมื่อสายมาหาเมื่อทราบว่าลุงไม่อยู่  เขาจะลากลับทันที  ไม่ยอมอยู่ลำพังสองต่อสองกับหล่อน  ลุงทราบเรื่องนี้เข้า  ก็ตกใจและเสียใจมากน้ำตาไหลออกมาทันที  เพราะหลงเข้าใจผิดในตัวสาย  แท้ที่จริงสายต้องการเพียงจะลองใจลุงเท่านั้นเอง 

     เมียของลุงมีความสงสัยในการตกน้ำตายของสาย  เพราะว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้  เพราะตามธรรมดาตามสัญชาติญาณ  เมื่อมีคลื่นมาก็ควรจะย่อเข่าลงจับแคมเรือ  จะตกน้ำอย่างไม่เป็นท่าแบบนั้นไม่ได้  ครั้งมาเห็นกิริยาของลุงก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น  ลุงได้พยายามอธิบายให้เข้าใจว่าสายเมามาก  ตาหนูคนแจวเรือจ้างก็ยังเห็นและเป็นพยานได้  แต่เมียของลุงก็ยังไม่หายสงสัย 

     ลุงเคยคิดว่าถ้าสายตาย  ทรัพย์สมบัติของสายที่ฝากไว้จะทำให้ลุงมีความสุข  เพราะจะนึกอะไรทำอะไรก็ได้ตามประสงค์  แต่บัดนี้รู้ตัวว่าคิดผิดถนัด  แม้จะได้สมบัติไว้มากมายเท่าใดก็ตาม  แต่มันไม่ทำให้จิตใจเป็นปกติได้  มันไม่ทำให้มีความสุขความสบายใจแม้แต่น้อย  ลุงหลอกคนอื่นได้แต่ไม่สามารถจะหลอกตัวเองได้  ความรู้สึกผิดชอบเตือนอยู่เสมอว่า  ลุงเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย  และคนตายนั้นเป็นเพื่อนรักที่มีบุญคุณอย่างล้นเหลือต่อลุง  จิตใจก็คอยหวาดสะดุ้งกลัว  คล้ายกับมีวิญญาณของสายมาคอยติดตามจ้องดูลุงอยู่เสมอ 

     แต่ลุงพยายามแสดงกิริยาภายนอกให้เป็นไปตามธรรมดา  ไม่ยอมให้ใครล่วงรู้ความผิดปรกติในจิตใจ  เมียของลุงสังเกตเห็น  จึงได้เตือนให้ลุงไปรดน้ำมนต์และรักษาตัว  เพราะรู้สึกว่าจะมีทุกข์หนักอยู่ในใจ  ลุงปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอะไรเลย  และแก้ตัวว่าบางครั้งการค้าขายก็ต้องใช้ความคิดมาก  จนทำให้นอนไม่หลับก็เป็นได้

     ยิ่งนานวันเข้า  ความสำนึกผิดก็ยิ่งทรมานจิตใจอย่างหนัก  ทำให้เกือบๆจะกลายเป็นบ้าทีเดียว  แม้จะมีเสียงอะไรตกหรือเสียงอะไรดังก็สะดุ้งตกใจ  คิดว่าโปลิศกำลังจะมาจับตัวลุง  มันเป็นการทรมานจิตใจอย่างที่สุด  จิตใจไม่เป็นของตัวเอง  คอยสะดุ้งหวาดกลัวอยู่เสมอ  เงินทองไม่ได้ช่วยอะไรเลย  

     ลุงมองดูเพื่อนบ้านบางคน  แม้เขาจะยากจนเข็ญใจแต่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส  พูดจาหัวเราะกันอย่างมีความสุข  เพราะเขามีใจบริสุทธิ์ไม่ต้องคอยหวาดกลัวอะไรเหมือนเรา  ลุงอิจฉาความสุขเหล่านั้น  เมื่อไม่มีอะไรดับทุกข์ก็หันเข้าหาเหล้า  ดื่มมันเพื่อให้เมา  เพื่อให้ลืมความทุกข์  ดื่มจนหลับไป  การงานก็ต้องปล่อยปละละเลยให้เป็นหน้าที่ของคนงาน

     ต่อมา  เมียของลุงตั้งครรภ์  ลุงดีใจมาก  คิดว่าบางที่อาจจะทำให้จิตใจของลุงดีขึ้น  ลุงพยายามจะทะนุถนอมเมีย  บอกให้เขารักษาตัวให้ดีจนกว่าจะถึงกำหนดคลอด  เวลาผ่านมาหลานเดือน  จวนจะครบกำหนดคลอดอยู่แล้ว  วันหนึ่ง  ลุงจำได้ว่าใจคอไม่ดีเลย  นึกแต่เรื่องที่ได้ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้  ลุงรู้ตัวว่าร่างกายผ่ายผอมทรุดโทรมลงมาก  เมื่อส่องกระจกดูก็ตกใจ  เพราะเมื่อก่อนรูปร่างของลุง  หน้าตาอิ่มเอิบล่ำสัน  สมเป็นชายอกสามศอก  เป็นที่ต้องตาของหญิง

     บัดนี้  ผิดรูปผิดร่าง  ตาลึกแก้มตอบ  ผิวกร้านดำคล้ำดูแก่กว่าวัย  เห็นแล้วก็เสียใจ  เพาะดื่มแต่เหล้า  วันนั้นก็เช่นกัน  ตอนเย็นนั่งดื่มเหล้าไม่ยอมกินข้าวเย็น  ดื่มจนเมาฟุบหลับไปบนชานหลังบ้านนั่นเอง

     ขณะที่ฟุบหลับไปนั้น  ลุงมองเห็นสายเดินตรงเข้ามาหา  เขานุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงินเหมือนกับวันที่ตกน้ำตาย  หน้าตาถมึงกิริยาบอกว่าโกรธจัด  สายมายืนต่อหน้าลุง  แล้วก็ชี้หน้าด่าลุงว่า

     “ไอ้ตาล  ไอ้คนทรยศ   ใจมึงเลวยิ่งกว่าสัตว์  มึงแทนคุณกูด้วยการผลักกูตกน้ำ  เสียดายที่กูหลงคิดว่ามึงเป็นเพื่อนตาย  หลงรักและไว้ใจมึง   ความโลภเปลี่ยนจิตใจของมึงให้กลายเป็นสัตว์ป่า   มึงฆ่ากูเพื่อหวังจะได้สมบัติของกูใช่ไหม  อย่าหวังเลยว่าจะครอบครองสมบัติของกูไปได้ตลอดรอดฝั่ง  กูจะไม่ให้มึง  จำไว้นะไอ้ตาล  ไอ้เพื่อนทรยศ  กูจะเอาสมบัติของกูคืน

     ลุงตกใจมาก  ร้องอ้อนวอนต่อสายปากคอสั่น  เพื่อจะขอลุแก่โทษ

     “สายเอ๋ย  ยกโทษให้กันเถิด  กันผิดไปแล้ว  กันได้ทรยศต่อเพื่อน  กันฆ่าเพื่อน  ยกโทษให้กันเถิดสาย  ถึงอย่างไรแกก็ตายไปแล้ว  อย่าจองเวรจองกรรมกันเลย   เท่าที่อยู่มาทุกวันนี้  กันก็ทุกข์ทรมานจิตใจมากแล้ว

     เสียงผีสางของสายหัวเราะดังลั่น

     “น่าขำมาก  ไอ้ตาล  มึงฆ่ากูเพื่อหวังสมบัติของกู  แล้วมึงไม่ให้กูจองเวร  ยังมีหน้ามาอ้อนวอนกูอีก  กูจะไม่ยอมยกโทษให้มึง  ไอ้เพื่อนทรยศ  ไอ้คนใจสัตว์  หมามันยังมีความกตัญญูกว่ามึงเสียอีก  มึงมันฉลาดมาก  แต่จงคอยรับกรรมมึงให้ดี  จำไว้นะไอ้ตาล  ไอ้เนรคุณ

     พูดแล้วสายก็เดินตรงเข้าไปในห้อง  ซึ่งเมียของลุงนอนอยู่  ลุงกลัวสายจะเข้าไปทำร้ายเมีย  จึงรีบตะโกนเสียงหลงว่า

     “อย่า!   สาย  อย่าไปทำอันตรายเมียข้า  เขาไม่รู้เรื่องอะไร  ข้าเอง  ข้าทำคนเดียวเท่านั้น”  แล้วลุงก็สะดุ้งตกใจตื่น  เหงื่อโซมตัวด้วยความหวาดกลัว  ก็พอดีได้ยินเสียเมียของลุงครวญครางอยู่ในห้อง  ลุงยิ่งตกใจรีบวิ่งเข้าไปดู  คิดว่าสายจะบีบคอหรือทำร้ายหล่อน  แต่เมื่อเข้าไปในห้องก็ทราบว่า  หล่อนกำลังเจ็บท้องจะคลอดลูก  จึงรีบให้คนไปตามหมอตำแยมาทันที   เห็นเมียลุงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวดเพราะเป็นท้องสาว  ลุงได้ช่วยเหลือปลอบโยนเอาใจ  เพื่อให้คลายความเจ็บปวดลงบ้าง  ไม่ช้าหมอตำแยก็มาถึง  รีบจัดการช่วยเหลือตามวิธีของแก  ลุงก็ออกมานั่งคอยอยู่นอกห้องด้วยความเป็นห่วง

     ในไม่ช้าก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย  ลุงดีใจมากที่ได้ลูกชายหัวปี  แต่แปลกเด็กที่คลอดออกมานี้  ไม่ร้องเหมือนคนอื่นๆ เดือนหนึ่งผ่านไปก็แล้ว  ๒ เดือนก็แล้ว  ไม่เคยร้องเลย  กินนมแล้วก็นอนหลับ  เมียของลุงสงสารและเป็นทุกข์ว่าโตขึ้นจะเป็นใบ้  เที่ยวถามคนรู้จักว่าทำอย่างไรดีจึงจะให้ลูกร้องได้เหมือนเด็กอื่นๆ    บางคนแนะให้เอาใบพลูมาลนไฟ  แล้วเอาไปตบที่ปากเด็กบ้าง  และวิธีอื่นๆบ้างแต่ก็ไม่เป็นผล  เด็กคงไม่ร้องไม่พูดอย่างเดิม

     วันหนึ่ง  ลุงจำได้ว่าเมียของลุงจะไปอาบน้ำ  และฝากลูกยังแบเบาะให้ดูแล  ลุงก็นั่งกับเด็ก  แต่ขณะที่เล่นเย้าหยอกอยู่นั้นเอง  อดนึกไม่ได้ว่า  เด็กคนนี้อาจจะเป็นสายมาเกิดเพื่อมาทวงสมบัติของเขาคืน  ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว  มองดูหน้าเด็กยิ่งเหมือนหน้าของสาย  จะเป็นด้วยตาลุงฝาดหรือเป็นเพราะอะไรก็เหลือเดา

     ตาลุงจ้องหน้าเด็ก  ยิ่งมองก็ดูคล้ายจะเป็นกลายเป็นหน้าสายขึ้นมาทันที  หน้านั้นแสยะยิ้มเยาะๆ  ลุงตกใจกลัวสุดขีดจะเป็นบ้า  คว้าคอลูกได้ก็จะบีบให้ตายคามือ  ก็พอดีแม่เด็กโผล่เข้ามา  เมื่อเห็นลุงแสดงกิริยาเช่นนั้นก็ตกใจ  ร้องตวาดว่า

     “หยุดนะ!  นั่นคุณจะทำอะไรลูก  คุณทำไมใจร้ายอย่างนี้”   หล่อนพูดพลางก็ร้องไห้พลาง  ผลักลุงให้ออกห่างจากเด็กทันที  ลุงเองก็ตกตะลึงไม่นึกว่าเขาจะกลับมาเร็วเช่นนี้  ทราบภายหลังว่าลืมของไว้ในห้อง  เมื่อได้สติจึงพูดแก้ตัวว่า

     “โธ่!  หล่อนนึกว่าฉันจะฆ่าลูกของตัวเองได้ลงคอหรือ  ฉันอยากจะทำให้มันร้องไห้จะได้หายใบ้  เชื่อฉันเถิด  ฉันไม่ใจร้ายฆ่าลูกได้หรอก

     เมียของลุงไม่ยอมเชื่อ  วันนั้นหล่อนโกรธมาก  ชี้หน้าว่าลุงอย่างหมดความเกรงกลัวว่า

     “คุณเป็นคนใจคอโหดเหี้ยม  ฉันไม่นึกเลยว่า  คุณจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่เคยมีใจเมตตากรุณาต่อคนยากคนจน  ถ้าฉันไม่เห็นกับตาแล้วฉันจะไม่ยอมเชื่อว่าคุณใจร้าย  คุณใจร้ายกับคนอื่นยังไม่พอ  ไม่นึกว่าจะมาใจร้ายกับลูกของตัวเอง  เพื่อนบ้านที่ยากจนตกทุกข์บากหน้ามาหาคุณ  ก็ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากคุณ  คุณต้องการจะคบแต่คนรวย  คบคนที่จะทำประโยชน์ให้กับคุณได้เท่านั้น  คนไหนที่ไม่ได้ให้ประโยชน์กับคุณ  คุณก็ไม่คบเขา  ฉันจะทำบุญทำทานก็ห้าม  อ้างว่าเสียเงินเสียทองไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทน  วันนี้ฉันเหลืออดเหลือทนแล้ว  คุณใจร้ายแก่คนอื่นยังไม่พอ  ยังจะฆ่าลูกให้ฉันเห็นตำตาอย่างนี้  ฉันทนอยู่กับคุณไม่ไหวแล้ว”    

     หล่อนพูดว่าพลางร้องไห้พลาง  หล่อนไม่เคยโกรธมากเหมือนวันนี้เลย  ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา  ลุงเองก็พูดไม่ออก  จะเถียงก็ไม่ได้  เพราะที่หล่อนพูดออกมานั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น  ลุงไม่กล้าจะบอกว่า  อ้ายเด็กลูกเราคนนี้  มันคือสายที่มาเกิดเพื่อทวงหนี้ของมัน จะยอมให้หล่อนรู้ความเลวของลุงไม่ได้เป็นอันขาด   วันนั้นป้าของหล่อนเข้ามาห้าม  หล่อนจึงยอมนิ่ง

     ตั้งแต่วันนั้นมา   หล่อนไม่ยอมให้เด็กคนนั้นพ้นสายตาหล่อนเป็นอันขาด  คอยระวังอย่างใกล้ชิด  ฉะนั้น  การระหองระแหงระหว่างเราทั้งสองก็เกิดขึ้นเสมอ ๆ ลุงรู้สึกว่าไม่มีความสุขเลยตั้งแต่ลูกเกิดมา  จนเดินได้แล้วแต่ก็ไม่ยอมพูด   ไม่เคยเรียกพ่อและแม่ให้เป็นที่ชื่นใจสักคำ

     วันสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของลุงก็มาถึง  วันนั้นลุงจำไม่ผิดว่าเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   พระองค์ได้ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนด้วยความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน   ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร  ต่างมีความจงรักภักดีต่อพระองค์มาก  เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาก็มีโอกาสที่จะแสดงจิตใจที่จงรักภักดีออกมาได้ปีละครั้ง  ต่างก็ชื่นชมยินดีร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองเป็นงานใหญ่ 

      ด้วยความร่วมมือร่วมใจของข้าราชการ  พ่อค้าและประชาชนทั่วประเทศ ไม่มีงานใดที่จะยิ่งใหญ่และร่วมมือร่วมใจกันเท่างานนี้  ก่อนจะถึงวันงานหลายวัน  ประชาชนต่างก็ตกแต่งซุ้มติดคำขวัญถวายพระพร  ประดับด้วยประทีปโคมไฟและธงช้างเผือก  แลงดงามน่าดูทั่วทุกหนทุกแห่ง  ต่างก็ประกวดประชันกัน  แม้แต่ฝรั่งต่างก็ตกแต่งบ้านเรือนร้านค้า  เขียนคำขวัญเป็นภาษาฝรั่ง  ประดับธงชาติของตัวคู่กับธงช้างเผือก  จุดประทีปโคมไฟดูสวยงามยิ่งนัก  วัดทุกๆวัด  ไม่ว่าจะเป็นวัดไทย  วัดพวกเข้ารีต  หรือสุเหร่าแขก  ต่างก็ตั้งซุ้มขึ้นที่หน้าวัดประดับโคมไฟสีต่างๆ   เพื่อแสดงความจงรักภักดี  ส่วนรถไอซึ่งฝรั่งเป็นผู้จัดการก็มีการตบแต่งรถเพื่อประกวดประชัน  มีรางวัลพิเศษสำหรับรถที่ตบแต่งได้สวยงามที่สุดหรือตบแต่งได้ขบขันกว่าคันอื่นๆ  

     ฉะนั้น พอรุ่งเช้าของวันเฉลิมพระชนมพรรษา  พวกเด็กๆพากันตื่นเต้นมาก  พอตื่นเช้าขึ้นจะมานั่งข้างถนนคอยดูรถไอแล่นผ่านไปมา  แต่ละคันก็ตบแต่งกันแปลกๆ   บางคันทำเป็นรูปพระฤๅษีพาหนุมานไปถวายเจ้าลงกา  บางคันก็ทำเป็นรูปวันทองห้ามทัพ  มีพระไวยกำลังนั่งกราบเปรตวันทองซึ่งมีไฟจุดที่หัว  ส่วนมากมักตบแต่งตุ๊กตาเหล่านี้ไว้ที่ตะแกรงหน้ารถหรือบนหลังคา  ส่วนที่ตัวรถก็ประดับด้วยอุบะดอกไม้สด  ได้แก่พวกดอกมะลิ  ดอกจำปา และดอกกุหลาบ  ส่งกลิ่นหอมตลบและสวยงามมาก 

     การประกวดกันนี้เป็นที่สนุกสนานทั้งคนโดยสารและคนขับ  พวกชาวบ้านนอกก็อุ้มลูกจูงหลานแต่งตัวฉูดฉาด  เข้ามาดูการประกวดประชัน  และมหรสพการละเล่นต่างๆที่มีทั่วกรุง  แม้แต่ชาวอินเดียซึ่งส่วนมากรับจ้างเฝ้ายาม  รับจ้างเป็นโปลิศ  ก็มีความจงรักภักดีร่วมกันจัดละครแขกเรื่องรามเกียรติ์ซึ่งหาดูยากในยามปกติ  ตามสุเหร่าต่าง ๆ ก็พากันประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม  เพื่อให้องค์พระมหากษัตริย์เจริญพระชนมายุยืนนาน 

     เอกชนบางแห่งก็ตั้งโรงทานแจกอาหารแก่คนทั่วไป  อาหารส่วนมาก็เป็นพวกขนมจีนแกงเผ็ดต่างๆ  ลอดช่องน้ำกะทิ  บางแห่งก็แจกอัฐเงินคนละ ๑ เฟื้อง  บางแห่งก็แจกคนละหนึ่งสลึง  แล้วแต่ผู้ศรัทธาที่จะร่วมการกุศลในวันเฉลิมพระชนมพรรษา  

     ส่วนทางน้ำนั้นสองฟากฝั่งริมลำน้ำเจ้าพระยาในตอนกลางคืน  ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟ  ตามโรงสีที่อยู่ริมน้ำก็มีการละเล่นแทบทุกแห่ง  เรือเดินทะเลที่จอดอยู่ในลำน้ำก็จัดธงทิว  และตบแต่งโคมไฟสว่างไปทั่วท้องน้ำ  ในเรือใหญ่มีการเลี้ยงดู  เต้นรำอย่างสนุกสนาน  พวกประชาชนนอกจากจะมีความสนุกสนานแล้ว  ยังมีความชื่นอกชื่นใจที่ได้ร่วมกันจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาแด่พระมหากษัตริย์ที่รักยิ่ง

      อันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้  ท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างเยี่ยมยอดพระองค์หนึ่ง  พระองค์ได้ทรงนำสยามรัฐนาวาฝ่ามรสุมของบรรดานักล่าเมืองขึ้นของชาติมหาอำนาจในสมัยนั้น  นักล่าเมืองขึ้นเหล่านั้น  ทำให้ประเทศเล็กประเทศน้อยเพื่อนบ้านใกล้เคียงตกเป็นเมืองขึ้น  เว้นแต่สยามประเทศเดียวเป็นจุดสุดท้าย  ที่นักล่าเมืองขึ้นพยายามจะแผ่อำนาจเข้ามาครอบครอง  เช่น  นำเรือมารุกรานทางอ่าวสยาม  นำความโกรธแค้นมาสู่ประชาชนพลเมืองและทหารเป็นอันมาก  ต่างก็จะขออาสาเอาชีวิตเข้าป้องกันบ้านเกิดเมืองมารดร  แม้กระทั่งพระภิกษุสงฆ์ก็จะขอลาสิกขาอาสาป้องกันประเทศชาติและพระมหากษัตริย์

      แต่ด้วยพระปรีชาญาณอันสุขุมรอบคอบของพระองค์  ทรงเล็งเห็นว่า  การต่อสู้นั้นนอกจากจะเสียเลือดเนื้อ และชีวิตของไพร่บ้านพลเมืองแล้ว  ก็ไม่มีประโยชน์อะไร  นอกจากจะเสียเปรียบทุกด้าน  เพราะสยามยังไม่พร้อมที่จะทำสงคราม  พระองค์จึงทรงห้ามไว้  และให้ความเห็นอก เห็นใจในความภักดีของพลเมือง  ทั้งๆ ที่โกรธแค้นกันทั่วประเทศ  อยากจะประหารผู้รุกรานให้สมแค้น  เมื่อพระองค์ห้ามก็มิได้มีผู้ใดฝ่าฝืน  พระองค์สู้เสียสละแผ่นดินบางส่วน  เพื่อแลกกับประเทศทั้งประเทศ 

     จากนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงนิ่งนอนพระทัย  อุตสาหะ  วิริยะ  สละความสุขส่วนพระองค์  เสด็จฝ่าคลื่นลมและทางทุรกันดารจากประเทศสยามไปสู่ทวีปยุโรป  ทรงพบปะกับประมุขของประเทศชาติต่าง ๆ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี  ด้วยพระอัธยาศัยละมุนละไมของพระองค์  ทำให้ทรงเป็นที่รักใคร่  และเป็นที่ซาบซึ้งเหมือนญาติสนิท  ประเทศไทยดินแดนแห่งช้างเผือกก็เป็นที่รู้จักของนานาประเทศตลอดมา  ทำให้พวกนักล่าเมืองขึ้นที่หมายมั่นประเทศสยามเป็นจุดหนึ่ง  ก็สงบไม่กล้าจะรุกรานต่อไป  เป็นเพราะพระองค์ทรงสุขุมและปรีชาสามารถ  ประเทศสยามจึงได้อยู่อย่างเป็นสุข  พระเกียรติคุณและพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงทำเพื่อประโยชน์ของประเทศนั้นยิ่งใหญ่  และได้ปรากฏแก่ประชาชนและชาวโลกมาแล้ว

     ฉะนั้น   ประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศซึ่งได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร  จึงพากันขนามพระนามว่า  สมเด็จพระปิยมหาราช   คุณธรรมความดีของพระองค์สมัยนั้นเป็นที่เคารพรักใคร่ฝังใจ  เป็นนิสัยสันดานประจำตัวของชาวไทยทั่วไป  หากมีใครไม่ชอบหน้าใคร  หรือมีการโกรธเคืองส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ ด้วยเหตุอันใดก็ตาม  เมื่อจับกลุ่มพูดถึงคุณงามความดีของในหลวง  ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน จนลืมความโกรธเคือง  ไม่ชอบหน้าชอบตาก็หายสิ้น  จนพูดกันติดปากในสมัยนั้นว่า  ถ้าได้พบพระพักตร์ในหลวงเพียงครั้งเดียว  เป็นสิริมงคลแก่ผู้พบพระองค์ท่านไป  ๗ วัน

     ส่วนลุงนั้นแม้จะเป็นคนเห็นแก่ตัว  ไม่มีความเอื้อเฟื้อต่อคนอื่นเป็นคนใจร้ายก็จริง   แต่ลุงก็ไม่ได้ขาดความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ลุงได้ตบแต่งบ้านด้วยประทีปโคมไฟเหมือนกัน  แล้วแจกอัฐเงินให้คนในบ้าน  อนุญาตให้ออกไปเที่ยวชมงานได้ 

     ในคืนวันนั้นพวกคนใช้ในบ้าน และพวกคนงานได้ออกไปเที่ยวงานกันหมด คงเหลือแต่ลุง  เมียและลูก  เมียของลุงไม่ได้ไปเที่ยวงาน  เพราะเจ้าลูกใบ้ไม่ค่อยสบายจึงนอนแต่หัวค่ำ  ส่วนป้าของเมียลุงก็ไปดูละครแขกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน 

     ลุงไปกินเลี้ยงมา  กลับแต่หัวค่ำ รู้สึกตัวว่าออกจะเมามากสักหน่อย จึงตั้งใจจะเข้านอน  ห้องนอนของลุงอยู่คนละห้องกับเมียตั้งแต่เกิดระหองระแหงกัน  เมียและลูกนอนอยู่อีกห้องหนึ่ง ลุงเดินผ่านห้องนอนของเมียและลูก  เห็นปิดไฟ  เข้าใจว่าคงจะหลับกันแล้ว ลุงจึงเข้านอน  แต่ไม่ได้ปิดประตูห้อง 

     พอใกล้จะหลับก็ได้ยินเสียงหนึ่งซึ่งทำให้ลุงสะดุ้งตกใจกลัว  พยายามจะลุกขึ้นหนีแต่ไม่สำเร็จ  เพราะรู้สึกเหมือนเนื้อตัวมันหนัก  หมดกำลังแรงกระดุกกระดิกไม่ไหว  แม้แต่พลิกตัวก็ทำไม่ได้  ลุงขอสารภาพว่ากลัวจนสุดขีด  เพราะเสียงนั้นคือเสียงของเจ้าสายนั่นเอง  ลุงลืมตาไม่ขึ้น  มองอะไรไม่เห็น  เสียงหัวเราะใกล้เข้ามา

     “ฮ่ะ!  ฮ่ะ!  ฮ่ะ!   ไอ้ตาล  ถึงเวลาของมึงแล้ว  ถึงเวลาของมึงแล้ว  ถึงเวลาที่มึงจะต้องใช้เวรใช้กรรมที่มึงสร้างไว้  จงเตรียมตัวเถิด  ไอ้ตาล  ไอ้เพื่อนทรยศ

     พอลุงได้ยินเสียงนั้น  มันหนาวสั่นเข้าไปในหัวใจ   กลัวแทบจะเป็นบ้า  ลุงพยายามตั้งสติแข็งใจอ้อนวอนว่า

     “สาย  ข้ากลัวแล้ว  อย่าฆ่าข้าเลย  ข้ากลัวตาย  สงสารข้าเถิด  ไหนๆข้าก็ผิดไปแล้ว

     เสียงหัวเราะดังก้องขึ้นอีกครั้ง  แล้วสายก็กล่าวขึ้นด้วยความเคียดแค้นว่า

     “มึงเคยฆ่ากูด้วยน้ำมืออย่างเลือดเย็น  มึงไม่เคยคิดสงสารกูเลย  ถึงคราวมึงบ้าง  มึงกลับกลัวตาย  มึงไม่เคยนึกถึงตอนที่มึงฆ่ากู  มึงมีแต่ความโลภ  ตาล  กูเคยรักมึงมาก  แต่มึงสิกลับไม่รักกู  ทรยศต่อกู  กูจะฆ่ามึงด้วยไฟ  กูจะเผามึงทั้งเป็น

     ลุงตกใจกลัว  ลืมตาก็ไม่ขึ้น  ไม่รู้ว่าสายกำลังจะทำอะไรกับลุง ได้ยินเสียงพูดอีกว่า

     “เอ้า!  ไอ้ตาล  มึงจงลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนที่มึงจะตายไป

     เมื่อลุงลืมตาขึ้นก็ต้องตกใจสุดขีดจนขนลุกชัน  เพราะผู้ที่แลเห็นคือไอ้ใบ้ลูกของลุง  ยืนถือตะเกียงลานลุกโพลง  ตามธรรมดาตะเกียงดวงนี้ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน  ลุงกระดิกตัวไม่ไหว  ได้แต่นอนทำตาปริบๆ รอความตายเท่านั้น  อ้ายใบ้เด็กอายุเพียง ๓ ขวบ  สามารถยกตะเกียงลานซึ่งหนักเกินกำลังได้อย่างว่องไว  ทำท่าจะขว้างมาที่มุ้งที่ซึ่งลุงนอนอยู่  ลุงหลับตากลัวร้องเสียงหลงว่า

     “อย่า!  ไอ้หนูอย่าขว้างมา!  ประเดี๋ยวไฟจะไหม้หมด  โอ๊ย!  กลัวแล้ว  อย่า!  อย่า!

     ทันใดนั้น  ตะเกียงลานในมือของไอ้ลูกใบ้ก็ถูกขว้างมายังข้างที่นอนของลุงทันที  ลุงตกใจนอนตัวแข็งหลับตาสั่นหน้า  แล้วร้องตะโกนว่า

     “โอ๊ย!  ไฟไหม้แล้ว  ชาวบ้านชาวช่องฉิบหายหมดแน่”  แม้ลุงจะตะโกนสุดเสียงเพียงไร  แต่ก็รู้ว่าเสียงอยู่ในลำคอเท่านั้น  แต่สายก็สามารถได้ยินและเข้าใจดีทุกๆคำที่ออกจากคอของลุง

     เสียงหัวเราะ  ฮ่ะ!  ฮ่ะ!  ฮ่ะ!    ดังขึ้นก้องห้อง

     “มึงไม่ต้องห่วงชาวบ้านหรอก  ชาวบ้านเขาไม่ได้ทำบาปอย่างมึง  เขาจึงไม่เดือดร้อนจากไฟคราวนี้

     ลุงตะโกนของชีวิตอีก  โอ๊ย!  สาย  เอ็งไม่เห็นกับข้า  ก็เห็นกับท่านอาจารย์ของเราเถิด  อย่าฆ่าข้าเลย  ข้ากลัวแล้ว”    ลุงคิดว่าคงหมดหวังแล้ว  คงจะต้องตายเป็นตอตะโกอยู่ในกองไฟในไม่ช้า  ไฟไหม้มุ้งหมอนและผม  กลิ่นเหม็นคลุ้ง  ลุงนึกถึงท่านอาจารย์ขึ้นมาได้  จึงตะโกนออกไปว่า

     “หลวงพ่อครับ  ช่วยผมด้วย  ผมจะตายอยู่แล้ว

     เสียงหัวเราะอีก ฮ่ะ!  ฮ่ะ!  เวลามึงจะตาย  มึงจึงจะนึกถึงอาจารย์  เวลามึงร่ำรวย  มึงไม่เคยนึกถึงท่านเลย  เอาละ  เพื่อเห็นแก่ท่านอาจารย์  ซึ่งเป็นที่เคารพของกู  และเมื่อมึงกลัวตาย  จำไว้นะมึงจะยังไม่ตาย  ฮ่ะ!  ฮ่ะ!  ฮ่ะ!  กูก็จะไม่ให้มึงตาย  มึงยังไม่ตาย  แต่มึงจะมีเงินเกิน ๔ สลึงไม่ได้  จำไว้นะไอ้ตาล


     ทันใดนั้นเอง  กำลังของลุงก็กลับมีขึ้นเหมือนเดิมอย่างประหลาด  ลุงตาลีตาลานลุกขึ้น  ไฟกำลังไหม้อยู่รอบตัวติดเสื้อผ้าที่ลุงใส่  ลุงรวบรวมกำลังพุ่งตัวออกจากห้องแล้วก็หมดสติไป  ด้วยความหวาดกลัวระคนกับความปวดแสบปวดร้อน

     จะนานเท่าใดไม่รู้  พอลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็มองเห็นพระสงฆ์สามเณรและลูกศิษย์วัดล้อมรอบตัวลุง  พระสงฆ์อาวุโสองค์หนึ่งท่าทางใจดี  ดวงหน้าและสายตาแสดงว่ามีความเมตตากรุณา  ถือถ้วยมีช้อนเงินเล็กๆ ตักน้ำในถ้วยนั้นมาหยดที่ปากลุง  รู้สึกว่าจะเป็นยาชนิดหนึ่ง ชุ่มในลำคอ  มองเห็นพระท่านเงยหน้าขึ้นมองดูตากัน  แล้วต่างก็ยิ้มด้วยความพอใจที่เห็นลุงฟื้น 

     สามเณรองค์หนึ่งถือชามมีขนไก่ค่อยๆทาตามแขนขาของลุง  รู้สึกตัวว่านอนอยู่บนเตียงแขกฮินดู  ตัวของลุงรองไว้ด้วยใบตองอีกชั้นหนึ่ง  เพราะตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและน้ำเหลือง  เมื่อสามเณรองค์นั้นเอาขนไก่จุ่มลงในชามแล้วค่อยๆทาตามตัว  รู้สึกว่าความปวดแสบปวดร้อนค่อยคลายลง  เย็นวาบและสบายขึ้น  ยังพูดอะไรไม่ได้นอกจากมองไปทางซ้ายทีขวาที  มองดูใบหน้าพระภิกษุสงฆ์องค์เจ้าซึ่งเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา  เรียกลูกศิษย์ให้ไปต้มข้าวเพื่อเอาน้ำข้าวมาให้กิน  ลุงคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา  แต่นึกไม่ออกว่าเข้ามาอยู่ในวัดนี้ได้อย่างไร

     ต่อมาพระท่านเล่าให้ฟังว่า  ย่ำรุ่งวันนั้นท่านกำลังจะลงจากกุฏิไปบิณฑบาต  มองไปตามศาลาวัดเห็นมีเตียงมาตั้งอยู่  แต่ไม่เห็นมีคนอยู่ในบริเวณนั้น  จึงเดินไปดู  เห็นลุงนอนสลบอยู่บนเตียง  คิดว่าคงตายแล้วและญาติเอามาทิ้ง  เพื่อให้ทางวัดจัดการศพให้  แต่เมื่อท่านพิจารณาดูเห็นว่ายังไม่ตาย  เพียงสลบไปเท่านั้น  พอดีกับท่านเป็นพระหมอรักษาคนทั่วไปเป็นทาน  ท่านมียาพร้อมจึงเอาใจใส่รักษาพยาบาลลุงจนฟื้น  และประคับประคองจนค่อยหายวันหายคืน  

     ชีวิตของลูกก็รอดมาดูโลกอีกครั้งหนึ่ง  ในฐานะคนพิการ  หมดตัว  ต้องอาศัยข้าวพระและนอนศาลาอย่างที่หลานเห็นอยู่ทุกวันนี้

     ต่อมา  เมื่อค่อยหายเป็นปกติ  ลุงจึงขอร้องพวกลูกศิษย์วัดให้ช่วยไปหาบ้านที่เกิดไฟไหม้ขึ้นเมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษา  และให้ช่วยสืบด้วยว่าคนในบ้านเป็นอย่างไรบ้าง  ลุงไม่มีเงินจะจ้างเขา  จึงได้แต่อาศัยไหว้วานเขาเท่านั้น  คนที่ไปสืบมาบอกว่า  เมื่อคืนนั้นเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่ร้านค้าเครื่องปั้นลายคราม  บ้านที่อยู่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุไม่มีใครเสียหายเลย  เจ้าของบ้านถูกไฟคลอกอาการปางตาย  ส่วนร้านค้าถูกไฟไหม้หมดทั้งหลัง

      คืนวันนั้นถ้ามีลูกจ้างอยู่ในบ้านพร้อมเพรียงกัน  เหตุการณ์ก็คงจะไม่ร้ายแรงถึงเพียงนี้  แต่บังเอิญคนในบ้านพากันไปเที่ยวดูงานกันหมด  และยังได้ทราบข่าวจากชาวบ้านอีกว่า  เจ้าของบ้านที่ถูกไฟคลอกนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว  โหดร้าย  ชาวบ้านแถบนั้นไม่มีใครชอบ  เมื่อวันไฟไหม้นั้น  เมียเจ้าของบ้านหนีรอดออกมาพร้อมทั้งลูกใบ้  ได้ขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน  ให้ช่วยผัวซึ่งนอนสลบอยู่ในบ้านออกมาก่อนที่ไฟจะไหม้หมดหลัง  หลังจากไฟสงบแล้ว  เมียเจ้าของบ้านก็เข้าไปคุ้ยเขี่ยเถ้าถ่านของที่ไหม้  ได้ทองก้อนใหญ่ซึ่งละลายอยู่ในกองเถ้าถ่าน  และได้เงินที่ละลายเป็นก้อน  หล่อนได้ย้ายไปเช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่ 

     ฝ่ายสามีนั้นสลบไสลไม่ได้สติ  ไม่มีทางรอด  และบังเอิญบุตรซึ่งเป็นใบ้ก็เกิดเจ็บหนักขึ้นมาอีก  พอดีมีญาติผู้ชายทางฝ่ายภรรยามาเยี่ยม  จึงได้แนะนำว่าในบ้านเดียวกันมีคนเจ็บหนักสองคนไม่ดี  โบราณถือ    ควรจะแยกเอาสามีซึ่งอาการหนักใกล้จะตายไปไว้ที่วัด  เพราะมีทางรอดน้อยมาก  เมื่อตายทางวัดก็จะได้จัดการศพให้ 

     อำแดงจำปีก็เลยจ้างคนแอบนำสามีไปไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง  ซึ่งมีหมอพระและคิดว่าบางทีเป็นกุศล พระท่านอาจช่วยให้รอดได้บ้าง  ต่อมาภายหลังลูกใบ้ก็ตาย  ฝ่ายอำแดงจำปีเศร้าโศกมาก  จึงอพยพจากบางกอกไปหัวเมือง พร้อมทั้งญาติคนนั้นและป้าของหล่อน  ชาวบ้านเองก็ไม่ทราบว่าหล่อนอพยพไปอยู่ไหน  เพราะไปทางเรือ  ส่วนสามีของหล่อนก็เข้าใจกันว่าคงจะตายไปแล้ว  

     เมื่อลุงรู้เรื่องราวก็สลดใจมาก  เพราะลุงคนเดียวที่ทำกรรมชั่วจึงได้รับกรรมสนองเช่นนี้  เมียของลุงเขาคงนึกว่า  ถึงจะหายร่างกายก็ไม่สมประกอบ  คงจะอายชาวบ้านที่สามีของตัวรูปร่างผิดคน  จึงได้หนีไปหัวเมือง  เรื่องราวของลุงต่อมาก็อย่างที่หลานเห็นอยู่เวลานี้”    

     เรื่องราวของลุงตาลที่จารลงในใบลานก็จบลงเท่านั้น

     เมื่อข้าพเจ้าทราบเรื่องราวของลุงตาลจบแล้ว  ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจในเคราะห์กรรมของแกอยู่อย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

     วันหนึ่งหลังจากนั้น  ข้าพเจ้าได้ไปหาลุงตาลที่ห้องแถวร้างนั้น  ข้าพเจ้าเห็นชายผู้หนึ่งแต่งตัวภูมิฐาน  กำลังพูดกับลุงตาลอยู่  ข้าพเจ้าได้ยินเสียงลุงตาลว่า

     “ผมบอกว่า  ผมไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนเลยจริงๆนะครับ  ที่คุณว่าพี่ใหญ่นั้น  เขาเป็นใคร  ผมก็ไม่รู้ไม่เคยรู้จัก”   

     เสียงชายผู้นั้นพูดอย่างอ่อนใจว่า

     “โธ่!  ตาล  แกควรจะดีใจที่มาพบเพื่อนเก่า  จำกันไม่ได้หรือ  ไอ้แกละไงเล่า  ไม่น่าเลยที่แกทำเป็นไม่รู้จัก  อย่าปิดบังเลยเพื่อน  กันไปบอกพี่ใหญ่ว่าแกอยู่ที่นี่  วันนี้พี่ใหญ่ติดราชการมาไม่ได้  พรุ่งนี้คงมาหาแก  พี่ใหญ่คิดถึงแกได้สืบหาแกมานานแล้ว  พี่ใหญ่ไปทำราชการอยู่ที่หัวเมืองนานปี  ย้ายเข้ามาในกรุงเทพก็ถามถึงพวกเราทุกคน  พี่ใหญ่เศร้าโศกมาก  เมื่อทราบเรื่องราวของแกกับสาย  ไม่คิดว่าสายจะตายเร็วและแกจะต้องมาทนทุกข์อย่างนี้

     ผู้พูดเว้นระยะเพื่อฟังคำตอบของลุงตาล  แต่ลุงตาลสั่นหัว  แล้วยืนยันคำเดิมว่าไม่เคยรู้จักใครเลย  ข้าพเจ้าเองก็มองดูด้วยความสมเพช  แม้ข้าพเจ้าจะรู้เรื่องอะไรดีก็พูดไม่ได้  เพราะได้รับปากลุงตาลไว้ว่าจะไม่เปิดเผยให้ใครทราบ  การสนทนาเริ่มต้นอย่างไรข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ  มาทราบเมื่อตอนปลายแล้ว  จับเค้าได้ว่าลุงตาลไม่ยอมรับความช่วยเหลือใดๆ จากเพื่อนเก่าของแกเลย   

     ข้าพเจ้าเห็นชายคนนั้นมีสีหน้าสลดและท่าทางอ่อนใจ  เมื่อลุงตาลไม่ยอมรับว่าเป็นเพื่อนเก่า  ข้าพเจ้าเห็นใจทั้งสองฝ่าย  ฝ่ายหนึ่งรักเพื่อน  ต้องการช่วยเหลือเพื่อนยามตกยาก  อีกฝ่ายหนึ่งแม้จะเคยสร้างกรรมและเห็นแก่ตัวมาแล้วก็ดี  แต่บัดนี้ไม่ยอมเห็นแก่ตัว  ไม่ยอมรับความช่วยเหลือใดๆจากเพื่อนเก่าเลย  เพราะรู้ว่าตนมีบาป  แล้วก็ก้มหน้ารับกรรมจนกว่าจะสิ้นเวร

     เมื่อฝ่ายหนึ่งอ้อนวอนไม่ได้ผลแล้ว  ก็ล้วงเงินมาจากกระเป๋าวางไว้ที่มือของลุงตาล  แล้วพูดว่า

     “นี่  อ้ายแกละเพื่อนเก่าของแกให้ไว้ใช้ก่อน  เมื่อแกไม่ยอมรับว่าเป็นเพื่อนของกัน  พรุ่งนี้พี่ใหญ่คงจะมาหาแก  คงจะรู้เรื่องดีกว่านี้  กันไปละ

     ว่าแล้วชายคนนั้นก็รีบเดินไป  ทิ้งให้ลุงตาลแกตกตะลึงไม่ทันได้พูดโต้แย้งอย่างไร  เมื่อชายผู้นั้นเดินไปไกลแล้ว  น้ำตาของแกก็ไหลออกมาอาบแก้ม  ข้าพเจ้าเข้าไปปลอบโยม และถามว่า

     “ทำไมลุงถึงไม่ยอมรับว่าเป็นเพื่อนกับเขาล่ะ”  

     แกสะอื้นและกำเงินในมือแน่น  พูดค่อย ๆ ว่า หลานเอ๋ย  ชาตินี้เราตายจากกันแล้ว  เพราะลุงชั่วก็ต้องไปตามทางของคนชั่ว  ชีวิตของลุงคงอยู่ไม่นาน  คงหมดกรรมหมดเวรเสียที 

     ข้าพเจ้าจึงถามแกว่า ทำไมจึงพูดแต่สิ่งที่ไม่เป็นมงคลเช่นนี้  ลุงรู้ได้อย่างไร

     ลุงตาลไม่ได้พูดอะไร  แบมือให้ข้าพเจ้าเห็นเงินสี่บาทที่ชายผู้นั้นให้ไว้  เมื่อนิ่งไปสักครู่แกจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า  นี่แหละหลานเอ๋ย  หลานก็รู้เรื่องราวของลุงหมดแล้ว  จำคำของลุงไว้นะ  วิชาความรู้นั้นต้องคู่ไปกับศีลธรรม  จึงจะมีความเจริญแก่ตัว  สำหรับลุงมารู้ตัวก็เมื่อมันสายไปเสียแล้ว”   ข้าพเจ้ารับคำแก  ต่อมา  แกก็สนทนากับข้าพเจ้าด้วยท่าทางรื่นเริงขึ้น  ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ 

     และในเย็นวันนั้นเองหลังจากข้าพเจ้ากลับจากคุยกับลุงตาล  สักพักใหญ่ ๆ ก็มีคนมาบอกกับข้าพเจ้าว่า  ลุงตาลอุตส่าห์พาร่างอัปลักษณ์เข้าไปดื่มเหล้าในร้านซึ่งอยู่ใกล้ปากซอยนั้น  ครั้งแรกจีนเจ้าของร้านไม่ยอมขายให้  เพราะกลัวว่าไม่มีเงินจ่าย  แต่ลุงตาลเอาเงินสี่บาทที่ชายแปลกหน้าให้ไว้วางบนโต๊ะ  จีนเจ้าของร้านจึงยอมขายให้  แกดื่มติด ๆ กันหลายแก้ว  จนเมาฟุบลงในร้านเหล้านั้นเอง  น่าแปลกใจเพราะว่าไม่มีใครเคยเห็นลุงตาลดื่มเหล้ามาก่อนเลย  นับตั้งแต่แกพิการมา  

     ข้าพเจ้าตกใจเมื่อรู้ว่าแกเมา  จึงรีบไปดูแกที่ร้านเหล้าซึ่งไม่ไกลจากบ้านข้าพเจ้านัก  ก็เห็นลุงตาลเมามาก  ข้าพเจ้าได้เข้าไปอ้อนวอนให้หยุดดื่ม  รู้สึกว่าแกยังมีสติอยู่  และพูดออกมาว่า

     “ไอ้หลายชาย   ลุงขอดื่มเป็นครั้งสุดท้าย  อย่าลืมคำของลุงนะ จงดูลุงเป็นตัวอย่าง”   แล้วแกก็ฟุบไปกับโต๊ะอีก

     จีนเจ้าของร้านไม่มีความสบายใจ  คิดเงินค่าเหล้าแล้วทอนสตางค์ให้แกเสร็จ  เงินที่เหลือคงมีจำนวนสามบาทกว่า   เจ้าของร้านได้จัดการห่อเรียบร้อย  แล้วขอดใส่ผ้าขาวม้าที่เอวลุงตาลไว้อย่างแน่นหนา เพื่อกันตกหาย  และบอกให้ข้าพเจ้าเป็นพยานให้ด้วย  เพราะกลัวว่าเมื่อเวลาสร่างเมาแล้ว  ลุงตาลจะมาทวงอีก

     ข้าพเจ้าเห็นลุงตาลเมามาก  ก็คิดว่าควรจะไปส่งถึงที่พัก  จึงได้จัดการเรียกรถลากมาเพื่อนำไปส่ง  เมื่อข้าพเจ้าเรียกรถลากมาแล้วและจะเข้าไปพยุง  ลุงตาลก็ลุกขึ้นมาแล้วบอกว่า

     “ขอบใจมากหลานชาย  ไม่ต้องไปส่ง  ลุงไปเองได้  ลุงไม่เมา”  พูดพลางก็หยิบไม้สอดเข้าใต้รักแร้  แล้วจัดแจงพยุงตัวออกจากร้านเหล้าไป  ทำให้ผู้ที่เห็นเหตุการณ์หลายคนในร้านเหล้า  รวมทั้งข้าพเจ้าแปลกใจมาก  เพราะทุกคนเห็นแกหมดสติไปแล้ว  แต่ชั่วระยะบัดเดี๋ยวใจก็หายเมาเป็นปกติ  นับเป็นเรื่องแปลกมาก
  
     ต่อจากวันนั้น  ลุงตาลก็ไม่มีโอกาสได้ออกมานั่งที่ปากซอยอีก  เพราะแกได้ถึงแก่กรรมลงในคืนวันนั้นเอง  ท่ามกลางความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว  ปราศจากพี่น้องญาติมิตรสหายจะมาเห็นใจแกเป็นครั้งสุดท้าย  นอกจากพระภิกษุสามเณรที่ในวัดนั้น  ได้เฝ้าดูแกอยู่จนถึงวาระสุดท้าย

     ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวด้วยความเศร้าสลดใจเป็นที่สุด  แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ใช่ญาติของแกก็ตาม  ก็อดจะเสียน้ำตาเพราะความรักและสงสารลุงตาลไม่ได้  ถึงแกจะเคยชั่วมาแล้วก็ตาม  แต่ในบั้นปลายของชีวิตก็รู้สึกผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป  แสดงน้ำใจอันเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง  ยอมรับว่าตนเองผิดได้อย่างหน้าชื่น  ข้าพเจ้ายังเคารพรักแก  เมื่อแกตายลงก็คล้ายกับได้สูญเสียญาติผู้ใหญ่ไปแล้ว  อย่างไม่มีวันกลับมาพบกันได้อีก

     พอรุ่งขึ้นจากวันที่แกตาย  ข้าพเจ้าก็ได้ทราบว่า  คนที่เคยอ้างกับลุงตาลว่าชื่อแกละเมื่อเล็กๆ พร้อมกับชายท่าทางสง่าหรือท่านข้าราชการที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อขบวนกฐินพระราชทานผ่านไปวันนั้น  ได้ไปที่วัดสอบถามหาลุงตาลกับพระภิกษุสงฆ์  แต่น่าเสียดายที่ท่านทั้งสองนั้นต้องผิดหวัง  เพราะได้พบเพียงร่างที่ปราศจากวิญญาณของลุงตาล  ที่คลุมไว้ด้วยผ้าขาวอยู่กลางศาลาวัดเท่านั้น  เพราะยังไม่ทันจะใส่โลง  รู้สึกว่าท่านทั้งสองจะมีความอาลัย  และสลดใจในชะตากรรมของลุงตาลมิใช่น้อย  จากนั้นศพของลุงตาลซึ่งเดิมจะต้องเป็นศพผีไม่มีญาติ  ก็กลายเป็นศพที่มีเจ้าภาพเป็นผู้มีเกียรติในรอบปีของวัดนั้น

     เรื่องอันน่าเศร้าสลดใจของชีวิตแต่หนหลังของลุงตาล   คนมีบาป”  ก็อวสานลงเพียงเท่านี้

จบเรื่องที่ ๑๒
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวีชัย เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)