วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

นึกเรื่องเก่า เล่าความหลัง กินของขม ชมเด็กสาว.๑๑ ไอ้ด่างคลองบางมุด



โคตรไอ้เคี่ยม
The Legend of Man Eater in Thailand
โคตรตำนานจระเข้กินคน
ไอ้ด่างคลองบางมุด อ.หลังสวน จ.ชุมพร

ตอนที่ผู้เขียนหรือแอดมินยังเป็นเด็กจำได้ว่ามีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง เป็นข่าวสะเทือนขวัญซึ่งผู้คนทั้งหลายในยุคนั้นต่างสนใจติดตามข่าวนี้กันมาก เรียกว่าเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์กันเลยทีเดียว ผู้เขียนนี้เพิ่งเข้าเรียนหนังสือได้ไม่นาน แต่ข่าวนี้ดังมากมีผู้ใหญ่เล่าให้ฟังทุกวัน แถมยังกางหนังสือพิมพ์ชี้ให้ดูรูปดูข่าวนี้ด้วย ข่าวใหญ่สะเทือนขวัญข่าวนี้ คือข่าวจระเข้ยักษ์ดุร้ายที่ไล่กินคน เป็นจระเข้ที่ออกอาละวาดในแถบ อ.หลังสวน จ.ชุมพร จระเข้โคตรดุตัวนี้เริ่มออกอาละวาดตั้งแต่ต้นเดือนกันยา โดยอาละวาดหนักในแถบคลองบางมุด บ้านหนองไก่ปิ้ง ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพรและเป็นข่าวพาดหัวในหน้าหนังสือพิมพ์ ปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๗เรียกจระเข้โคตรดุตัวนี้ว่า ไอ้ด่างคลองบางมุด

ภาพค่อนข้างผิดส่วนตรงจระเข้ตัวสั้นไป

ภาพนี้เกิดจากการยืดภาพยาวไป

    ผู้เขียนหรือแอดมินนี้จำเรื่องไอ้ด่างคลองบางมุดได้กระท่อนกระแท่นเพราะยังเด็ก ต่อมาโตขึ้นมาหน่อยก็ยังมีคนเล่าเรื่องไอ้ด่างคลองบางมุดให้ฟัง จึงยังจำเรื่องนี้ได้ ต่อมาเมื่อผู้เขียนมีแฟนแล้ว บังเอิญอีกว่าแม่ของเมียหรือแม่ยายผู้เขียนนี้เป็นคนอ.หลังสวน จ.ชุมพร แถมยังเป็นคนทันยุคทันเหตุการณ์จริงในพื้นที่เสียด้วย ก็เลยได้ฟังเรื่องของไอ้ด่างคลองบางมุดที่สุดแสนจะโคตรดุระดับเป็นตำนานของเมืองไทยกันเลย

   แม่ยายเล่าให้ฟังว่าในตอนที่ไอ้ด่างคลองบางมุดอาละวาดนั้น คนหลังสวนหวาดกลัวกันมาก ถึงขนาดว่ากลัวไอ้ด่างคลองบางมุดจะเข้ามาป้วนเปี้ยนในลำคลองอื่นๆ หรือแม้แต่ในแม่น้ำหลังสวน ตอนนั้นไม่ค่อยมีใครกล้าอาบน้ำในลำคลองและแม่น้ำหลังสวน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ตอนไปอาบน้ำก็ต้องมีคนคอยเฝ้าระวังจระเข้ไอ้ด่าง และต้องอาบน้ำในคลองอย่างรวดเร็วสุดๆ แต่ส่วนมากจะใช้วิธีรีบๆตักน้ำหาบหรือหิ้วขึ้นมาอาบห่างๆตลิ่ง เพราะระแวงว่าไอ้ด่างคลองบางมุดอาจจะมาล่าเหยื่อแถวๆบ้าน

   บ้านของแม่ยายบังเอิญว่ามีด้านที่ติดแม่น้ำหลังสวนพอดี เพื่อนบ้านของแม่ยายยังจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ดี เพราะต่างก็ต้องหาบน้ำจากแม่น้ำหลังสวนขึ้นมาใช้อาบกันทั้งนั้น คนที่อาบน้ำแล้วปลอดภัยที่สุดก็คืออยู่ในบ้านที่มีบ่อน้ำ หลายๆบ้านก็เพิ่งจะมาขุดบ่อน้ำจากครั้งที่ไอ้ด่างคลองบางมุดอาละวาดนั่นเอง


ภาพจากวิกิพิเดีย จระเข้พันธุ์ทองหลาง

   จระเข้ไอ้ด่างคลองบางมุดเป็นจระเข้พันธุ์ที่เรียกกันว่า "ไอ้เคี่ยม" ซึ่งเป็นจระเข้น้ำเค็มพันธุ์ทองหลาง (อังกฤษ Saltwater crocodileชื่อวิทยาศาสตร์Crocodylus porosus) ลักษณะพิเศษของจระเข้น้ำเค็มคือจะมีตีนแบบตีนเป็ด เพื่อช่วยให้ว่ายน้ำในทะเลได้เร็ว  มีลักษณะทั่วไปคล้ายจระเข้น้ำจืด จุดที่แตกต่างกันคือ ขาคู่หลังมีลักษณะแข็งแรงกว่าขาคู่หน้าและมีเพียง 4 นิ้ว ที่นิ้วจะมีพังผืดระหว่างนิ้วมากกว่าจระเข้น้ำจืด จะงอยปากยาวและส่วนปลายค่อนข้างแหลม มีฟันประมาณ 60 ซี่ ลักษณะแตกต่างจากจระเข้น้ำจืดคือไม่มีเกล็ด 4 เกล็ดที่ท้ายทอย ปากยาวกว่าจระเข้น้ำจืดอย่างเห็นได้ชัด มีสันเล็ก ๆ ยื่นจากลูกตาไปตามความยาวของส่วนหัวจนถึงตำแหน่งของปุ่มจมูก หรือที่เรียกว่าก้อนขี้หมา สีลำตัวออกเหลืองอ่อนหรือสีขาว และมีการเรียงตัวที่ส่วนหาง ดูคล้ายตาหมากรุก ตัวผู้มีความยาวหางยาวกว่าตัวเมีย แต่ลำตัวของตัวผู้ผอมเพรียวกว่าแต่โดยรวมแล้วขนาดลำตัวของตัวเมียจะเล็กกว่าเมื่อเทียบกันตัวต่อตัว และระยะห่างของโหนกหลังตาจะกว้างกว่าหัวของตัวผู้ดูป้อมสั้น(แต่เทียบกับคนแล้วก็ยังใหญ่มาก) ตัวเมียจะดูหัวยาวเรียว(ข้อมูลจากวิกิพิเดีย)

   เรื่องไอ้ด่างคลองบางมุดนี้แอดมินมาอ่านเจออีกครั้งในเว็บพันทิป ซึ่งท่านเจ้าของเรื่องทำไว้ดีมาก ดูได้จากลิงก์นี้              http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6885107/X6885107.html


หมายเหตุ..ข้อความต่อไปนี้ได้ตรวจทานกับจัดย่อหน้าใหม่เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น และขออนุญาตแก้ไขคำที่น่าจะตกหล่นหายไปบ้างเล็กน้อย

ภาพจาก www.sites.google.com จระเข้น้ำเค็มพันธุ์ทองหลาง

   "คำบอกเล่าของชาวบ้าน จระเข้ตัวนี้มีขนาดใหญ่มาก และดุร้ายถึงขั้นไล่กัดผู้คนที่เดินริมตลิ่ง และไล่กัดเรือที่สัญจรไปมา จนชาวบ้านไม่กล้าพายเรือหรือเดินเลาะริมตลิ่ง ต่อมาในกลางเดือนกันยายน เย็นวันหนึ่ง นายอุดม ชาวบ้าน ต.นาขา ลงอาบน้ำในคลอง ถูกจระเข้ยักษ์คาบไปกินต่อหน้าต่อตา ต่อหน้าชาวบ้านนับสิบ รุ่งเช้าพบศพนายอุดมลอยขึ้นมา ปรากฏว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้อง ๒ ๓ วันต่อมา นายอิน ชาวเขมรบ้านเดิมอยู่ จ.ตราด มาตั้งรกรากที่คลองบางมุด ได้นำเรือเล็กไปตัดจากเพื่อนำมามุงหลังคาบ้าน ขณะยืนตัดกิ่งจากอยู่ในเรือ จระเข้ยักษ์ ได้พุ่งตัวขึ้นมาบนเรือคาบขานายอินตกลงไปในน้ำ นายอินดิ้นและเกาะแคมเรือร้องให้ภรรยาซึ่งอยู่บนฝั่งช่วย เธอพยายามกระพุ่มน้ำและส่งเสียงไล่ แต่ไม่เป็นผล จระเข้ยักษ์ได้คาบนายอินจมหายลงไปใต้ท้องน้ำต่อหน้าต่อตา รุ่งขึ้นศพนายอินลอยขึ้นมา ก็พบว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้องเช่นเดียวกับนายอุดม


   ข่าว จระเข้ยักษ์ อาละวาดกินคนไปแล้ว ๒ ศพแพร่กระจายไปทั่ว ชุมพร ส.ต.อ.บุญโชติ และครูสมพงษ์ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายอินผู้ตาย ถึงกับลาราชการเพื่อออกล่าจระเข้ล้างแค้นแทนเพื่อนโดยร่วมกับนายแดง เจ้าของโรงสี มีปืนและดินระเบิด โดยใช้เรือ ๒ ลำ

   กลางเดือนตุลาคณะล่าจระเข้ยังออกควานหาตัวแต่ไม่มีวี่แวว กระทั่งบ่ายจึงใช้ระเบิดกระป๋องนมจุดโยนลงไปในน้ำถึง ๑๔ กระป๋อง ระเบิดติดต่อกันจนถึงกระป๋องสุดท้ายจระเข้ยักษ์ก็โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน พุ่งเข้าใส่เรือลำหนึ่ง พร้อมกับอ้าปากกว้างงับแคมเรือจนขาดทะลุ นายแดงเจ้าของโรงสีซึ่งทำหน้าที่คัดท้ายเรือเสียหลักตกน้ำ จระเข้ยักษ์ว่ายรี่เข้าไปจะคาบนายแดง ตำรวจชุดติดตามล่าจึงพากันระดมยิงใส่ลำตัวจระเข้ยักษ์ด้วยปืนเล็กยาวแบบ .๘๓ และปืนพก จระเข้ยักษ์ จึงผละจากนายแดงจมหายไปทันที นายแดงจึงรอดหวุดหวิด 


ภาพจากวิกิพิเดีย จระเข้น้ำเค็มดุขนานกระโจนงับเหยื่อ

   หลังจากถูกคณะไล่ล่าใช้ระเปิดกระป๋องนมและระดมยิงจนจระเข้ยักษ์อาละวาดฟาด หัวฟาดหาง ทำให้ชาวบ้านเห็นชัดว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้มีสีดำทั้งส่วนลำตัวและส่วนหัว ยกเว้นที่คอเท่านั้นที่มีสีขาวคาดอยู่รอบลำคอ จึงเป็นที่มาของชื่อ ไอ้ด่าง

   จากนั้น จระเข้ยักษ์ เงียบหายไประยะหนึ่งกระทั่งวันที่ ๒๕ ตุลาคม สายตรวจ สภอ.หลังสวน ๒ นายออกตรวจพื้นที่โดยใช้เรือหางยาวแล่นไปตามคลองบางมุด ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นและฝนตกพรำ ฉับพลันน้ำในคลองก็ปั่นป่วนและเกิดกระแสคลื่นลูกใหญ่ ด้วยความสงสัยจึงเหลียวดูรอบกาย และต้องตัวเย็นวาบเมื่อพบกับตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาอย่างอาฆาตมาดร้าย เห็นเข้าก็รู้ว่ามันคือจระเข้ และมันกำลังว่ายตามเรืออยู่ ด้วยความตกใจทั้งสองจึงรีบเร่งเครื่องหนีทันทีโดยไม่สนใจว่าจระเข้ยักษ์จะ จมหายไปตอนไหน

   จากการที่จระเข้ยักษ์อาละวาดไล่กัดกินคนจนประชาชน ชาวคลองบางมุดนับพันครอบครัวต่างพากันเดือดร้อน จึงมีคำสั่งให้ตำรวจพลร่มหน่วย " เสือดำ " ๒ นายแห่งค่ายนเรศวร หัวหิน เข้าร่วมกับราษฎรคลองบางมุดทำการออกล่าจระเข้ยักษ์ โดยสมทบกับคณะล่าของ ส.ต.อ.บุญโชติ โดยตีวงตั้งแต่ปากอ่าวตะโกจุดหนึ่ง กับจากคลองบางมุดเข้าหากัน ปลายเดือนตุลาคม นักล่าทั้ง ๒ คณะได้นำเรือชุดละลำหายออกจากปลายคลองบางมุดตั้งแต่เช้าเพื่อค้นหาจระเข้ยักษ์ โดยเรือของ เสือดำพายล่วงหน้าไปก่อน ๑ คุ้งน้ำ จากนั้นนักล่าชุดส.ต.อ.บุญโชติจึงออกติดตามไป 


   การค้นหายังดำเนินต่อไปกระทั่งบ่ายก็ยังไม่พบ จนเวลาเย็น ขณะที่เรือของตำรวจเสือดำ ผ่านถึงหมู่บ้านบางหมี กับบ้านทับซัน จนลับคุ้งน้ำไปแล้ว ไอ้ด่างก็ลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำกลางคลองบางมุดจนเห็นชัดถนัดตา พอดีกับเรือ ส.ต.อ.บุญโชติและครูสมพงษ์ตามมา โดยมีนายหยึดเป็นคนแจวท้าย พอเห็น "ไอ้ด่าง" เท่านั้นครูสมพงษ์เร่งให้นายหยึดรีบแจวเรือเข้าไปเพื่อได้ระยะยิงหวังผลแต่ นายหยึดกลัวจนตัวสั่นค้างอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง "ไอ้ด่าง" จมลงไป พลาดโอกาสทองอย่างน่าเสียดาย


ภาพจากpuntip ตามล่าไอ้ด่างคลองบางมุด

   รุ่งขึ้นนายสุคนธ์ บ้านอยู่ปากอ่าวตะโก พายเรือขนานคู่กับเพื่อนบ้านซึ่งพายมาคนละลำ ทั้งสองคุยกันและหัวเราะเสียงดังเพื่อความเพลิดเพลิน ทันใดนั้น ไอ้ด่างก็โผล่ขึ้นมาในช่องกลางระหว่างเรือทั้งสองลำ โดยให้เห็นแค่ส่วนหัวและกลางหลัง คนขับเรือทั้งสองจึงรีบพายจ้ำหนีขึ้นฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต ข่าวไอ้ด่างลอยตัวครั้งที่สองเช้าวันนั้น ครูสมพงษ์รู้เรื่องเข้าจึงขอแรงชาวบ้านนั่งห้างดักยิง ไอ้ด่าง โดยครูสมพงษ์กุมปืนไรเฟิล .๓๗๕ นั่งห้างอยู่ที่ต้นโกงกาง แล้วให้คนนำสุนัขไปผูกแพล่อ แต่ก็ไม่มีวี่แววไอ้ด่าง พร้อมๆกับนักล่าทั้ง ๒ ชุดที่นำเรือออกล่าถึง ๔๘ ชั่วโมง ปรากฏมีนักล่าชุดที่ ๓ เป็นแขกชื่อนายหะหมัด อายุ ๖๕ ปี ผมขาวโพลนทั้งศรีษะ มาจาก ต. เขาสง ท่าชนะ โดยใช้วิธีบุกเดี่ยวลงเรือเล็กออกล่าด้วยตนเองโดยใช้หอกเล่มเดียวซึ่งอ้าง ว่าเคยฆ่าจระเข้มาแล้ว ๑๕ ตัวด้วยหอกเล่มนี้ ขณะนี้นายหะหมัดยังคงลงเรือเล็กออกควานหาไอ้ด่างในคลองบางมุดทุกวัน

    เนื่องมาจากการติดตามค้นหาล่า จระเข้ยักษ์ ของตำรวจพลร่มหน่วย เสือดำ คณะส.ต.อ.บุญโชติอภิสนธิสมบัติ กับบังหะหมัด ซึ่งนักล่า ๓ คณะออกติดตามค้นหา "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ๓๑ตุลาคม กับวันที่ ๑ กันยายน ต้องประสบความล้มเหลว

   จากความล้มเหลวในการล่า ไอ้ด่าง หลายสิบครั้งจนครั้งล่าสุดความมุ่งมั่นในการล่าของ ๓ คณะติดตาม จระเข้ยักษ์ ได้เรียกขวัญชาวบ้านที่หวาดกลัวกลับคืนมาและร่วมมือกันวางแผนประกาศขีดเส้นตายไอ้ด่าง ในการนี้กำนันตำบลปากตะโก กำนันตำบลบางน้ำขวาง และผู้ใหญ่บ้านคลองบางมุด ได้ร่วมมือประสานงานกับชาวบ้าน ๒๐๐ คน และระดมเรือที่จะใช้เป็นพาหนะปราบจระเข้ประมาณ ๑๐๐ ลำเศษ โดยได้ทำพิธีบวงสรวงกรมหลวงชุมพรขอไอ้ด่าง โดยมีจุดนัดพบคือหน้าโรงถ่านของนายจรัญ ปรกติ คหบดีใหญ่แห่งปากอ่าวตะโก อ.สวีโดยมีแผนการล่าคือ




   ให้ผูกเรือเล็กเป็นแพ แพละ ๕ ๖ ลำแยกย้ายไปเริ่มต้นจากในบาง ( คลองซอย ) ที่เป็นต้นน้ำ แล้วใช้ไม้ กระทุ้งลงไปถึงพื้นน้ำ ไล่ไปทุกระยะจนถึงคลองใหญ่ ในคลองใหญ่จะมีกองเรืออีกขบวนหนึ่งใช้ไม้กระทุ้งไล่มาจาก ๓ คลองคือ คลองบางมุด คลองน้ำขาว และคลองบางด้าน จากนั้นยังมีกองเรือขบวนหลังไล่ตามใช้ไม้กระทุ้งจระเข้ที่กบดานอยู่ ให้หนีมุ่งออกไปยังปากคลองตะโก ที่บริเวณปากคลองกว้าง ๒๐ วานั้น ได้ขึงอวนขนาดใหญ่ปิดกั้นขวางทั้งคลอง และก่อนจะถึงกำแพงอวน มีการวางเบ็ดราวขึงจากหน้าดินสลับเป็นชั้นขึ้นมาถึงผิวน้ำ 


   จระเข้ทุกตัวจะหนีการขับไล่ มารวมกันที่นี่และไม่มีทางรอดไปได้ ส่วนระยะทางจากปลายคลองถึงปากคลองตะโกที่เป็นเขตกวาดล้างมีความยาวประมาณ ๙ กิโลเมตร เรือทุกลำได้แยกย้ายออกกระทุ้งตั้งแต่ก้นคลองออกมาตามแผนการที่วางไว้ เรือที่ผูกเป็นแพได้ใช้ไม้กระทุ้งลงไปถึงก้นคลอง จนพลบค่ำไม่ปรากฏว่าพบจระเข้แม้แต่ตัวเดียว ทั้งๆที่คลองตะโกกับคลองบางมุดเป็นแหล่งที่มีจระเข้ชุกชุมมากที่สุด ทำให้แผนการกวาดล้างต้องล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ส่วนสาเหตุของการล้มเหลวน่าจะเกิดจากการออกกวาดล้างอย่างหนักก่อนหน้านี้ จากคณะล่าหลายกลุ่ม ประกอบกับช่วงนี้ระดับน้ำขึ้นสูง และน้ำเหนือไหลบ่าทำให้น้ำเชี่ยวกราก จระเข้น้อยใหญ่ถูกกวนจึงย้ายถิ่นหนีไปอยู่ที่อื่น

   จากเหตุดังกล่าวทำให้พักการออกล่าจระเข้ยักษ์ไว้ชั่วคราว จนกว่าน้ำจะลดสู่ระดับปกติ เพราะเชื่อว่าเมื่อระดับน้ำลดจระเข้จะหวนสู่ถิ่นเดิม แต่พรานใหญ่จาก อ.โคกโพธิ์ จ. ปัตตานี นำโดยนายประยูร คณาณุรักษ์ พร้อมกับคณะถ่ายภาพยนตร์ของไทย ที.วี ได้เดินทางไปบันทึกภาพ รวมทั้งบังหะหมัดผู้บุกเดี่ยวด้วย สภาพคลองบางมุดในสมัยนั้น สองข้างทางมีป่าโกงกางสลับด้วยป่าจากเป็นระยะ ตอนบนของคลองแคบ แต่น้ำลึกไม่ต่ำกว่า ๓ วา ( ๖ เมตร ) บางแห่งเช่นทางโค้ง จะมีวังน้ำลึกซึ่งมีจระเข้อาศัยอยู่เป็นแห่งๆ 

   นายยวย ภู่ไทย ต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลและสงวนพันธุ์จระเข้ที่บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ เผยว่าสาเหตุที่การล่าในวันดี เดย์ ล้มเหลวเพราะผู้ล่าไม่เข้าใจลักษณะนิสัยจระเข้ซึ่งจะขึ้นผึ่งแดดบน ฝั่งในเวลากลางวัน แต่คณะล่าควานหาตัวเฉพาะในน้ำ มิได้ครอบคลุมถึงบนฝั่งในป่าจาก ขณะเดียวกัน นายมง สุวรรณสินธ์ พรานใหญ่ผู้คลุกคลีกับจระเข้ที่หลังสวนตั้งแต่อายุ ๑๓ หรือชาวบ้านเรียกลุงมง ผู้เฒ่าวัย ๖๐ เศษ ซึ่งมีที่พักริมคลองจากกึ่งกลางจุดเกิดเหตุครั้งแรกและครั้งที่สอง เผยว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อในการพิชิตจระเข้ยักษ์ตัวนี้ หลังจากการตามล่าล้มเหลวมาตลอด ลุงมงได้กล่าวอีกว่าสมัยก่อนบริเวณแถบคลองบางมุดอุดมไปด้วยจระเข้ แทบทุกปีต้องมีชาวบ้านตกเป็นเหยื่อ ต่อมามีพวกญวนจากสุราษฎร์ มาจับเอาไปแล่ขาย ทำให้จำนวนลดลง 




   ท่ามกลางมรสุม และพายุดีเปรสชั่นในอ่าวไทยที่โหมทั้งฝนและลม ทำให้น้ำท่วมในเขตชุมพรและภาคใต้ขณะนี้ ข่าวร้ายได้เกิดขึ้นในคลองบางมุด อำเภอหลังสวน ดินแดนจระเข้ยักษ์อีกครั้ง ไอ้ด่าง จระเข้ยักษ์ได้อาละวาดลอยขึ้นมากันกินคนอีกในคลองเขาปีบ เขตติดต่อระหว่างอำเภอหลังสวนกับอำเภอสวี เมื่อตอนเช้าวันที่ ๑๘ พฤศจิกายนเวลา ๘ น.เศษ จระเข้ยักษ์ได้ลอยตัวขึ้นมาในคลองเขาปีบแล้วคาบนายช้วน พิมาน ชาวบ้านในคลองเขาปีบดำหายไปในคลองเขาปีบ โดยชาวบ้านเพื้อเห็นเหตุการณ์ยืนยันว่าเป็นไอ้ด่างแน่นอน 

   การอาละวาดครั้งใหม่ของ ไอ้ด่าง จระเข้ยักษ์ที่ย้ายแหล่งใหม่จากคลองบางมุดครั้งนี้ คาดว่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ได้หลบหลีกการกวาดล้างครั้งใหญ่ของวันดี-เดย์ ตลอดวันที่ ๖ เดือนนี้รอดไปได้ แล้วเข้าไปอยู่ในคลองเขาปีบซึ่งเป็นคลองแยกไปจากคลองบางมุด และคลองตะโก โดยการกวาดล้างวันนั้นไปไม่ถึงคลองเขาปีบ ทำให้ ไอ้ด่าง จระเข้ยักษ์ได้แหล่งใหม่ในคลองเขาปีบอันสงบเงียบเป็นที่ซุ่มซ่อนกบดานอยู่ ตั้งแต่วันที่ ๖ เป็นต้นมา

   จากการเปิดเผยของชาวบ้านปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน มีจระเข้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งลอยตัวขึ้นกลางคลองและบางทีก็ขึ้นฝั่งบนตลิ่ง ท้ำให้คลองเขาปีบที่เคยสงบเงียบเพราะเป็นคลองไม่สู้กว้างใหญ่นักต้องเป็นเขตอันตราย ยิ่งกว่านั้นจระเข้ใหญ่ตัวนี้ยังอาละวาดไล่หนุนกัดเรือพาย ที่ผ่านเข้าไปในคลองเขาปีบ และไล่งับพายจนชาวบ้านไม่กล้านำเรือผ่านคลองเขาปีบอีกเลย

   ต่อมาวันที่ ๑๗ กระบือของชาวบ้านลงไปแช่ในคลองถูกจระเข้ยักษ์ตัวเดียวกันนี้ ใช้หางฟาดถูกตัวและกัดที่ขาหลังข้างซ้าย โดยจระเข้ยักษ์พยายามจะลากกระบือตัวนั้นลงไปในน้ำเสียงร้องของกระบือประกอบ กับการปักหลักดื้อของมันทำให้เจ้าของและชาวบ้านมาช่วยใช้ปืนระดมยิงลงไปในน้ำสกัดไว้ จนจระเข้ยักษ์ต้องปล่อยเหยื่อตัวมหึมาไว้พร้อมกับดำน้ำหนีไปซ่อนในบริเวณวังน้ำ 

   ในตอนเช้าวันนั้น เวลาประมาณ ๔ น.เศษ นายช้วน พิมาน บ้านอยู่ริมคลองเขาปีบ ต.ทุ่งตะไคร้ บ้านหัวท่า ได้ออกจากบ้านไปตัดกล้วยมาเลี้ยงหมู และเพื่อไปซื้อเนื้อควายที่ถูกไอ้ด่างกัดเมื่อวันที่ ๑๗ มาทำอาหารด้วย ในขากลับนั้น นายช้วนแบกต้นกล้วยเดินข้ามคลองเขาปีบตรงบริเวณนั้นกว้างเพียง ๒ วาเท่านั้น อีกมือหนึ่งของนายช้วนหิ้วเนื้อควายมาด้วย 

   ขณะที่นายช้วนซึ่งแบกต้นกล้วยเดินท่องน้ำที่กำลังขึ้นท่วมสะพานลึกถึงเข่า เดินมาถึงกลางคลองพอดี จระเข้ยักษ์ซึ่งซุ่มตัวอยู่ในร่องน้ำบ่าจากริมคลองก็พุ่งตัวราวกับลูกธนู เข้าใช้ปากอันกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยเขี้ยวอันน่าสะพรึงกลัวกัดเข้าตรงเข่านายช้วนแล้วลากลงใต้น้ำทันที นายช้วนได้ร้องขอความช่วยเหลือดังทั่วบริเวณ ๒ ฝากคลองทำให้ชาวบ้านและญาติพี่น้องออกมาช่วยเหลือ แต่ไอ้ด่างนำนายช้วนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปขัดไว้ใต้รากไม้ริมตลิ่งเสีย แล้วสักครู่หนึ่งไอ้ด่างจึงลอยตัวขึ้นมาอีก ทำให้ชาวบ้านออกติดตามจับความเคลื่อนไหวของมันได้ ทุกระยะจนกระทั่ง ไอ้ด่าง ดำน้ำลงไปกบดานอยู่ในแอ่งน้ำลึกถึง ๒ ช่วงตัวคนซึ่งเป็น วัง ของมัน

   ญาติของนายช้วนได้เดินทางเข้าตัวจังหวัดชุมพร โดยนำข่าวไปบอกกับ ส.อ.ห้วง พิมานกับ ส.อ.จำนง พิมานญาติของนายช้วนซึ่งเป็นทหารประจำค่ายทหารบกชุมพร พอได้รับข่าวร้ายเท่านั้น ส.อ.ห้วง พิมาน กับ ส.อ.จำนง พิมาน ได้รายงานผู้บังคับบัญชาขอลาและขออนุมัติติดตามล่าจระเข้ยักษ์โดยใช้อาวุธ ซึ่งผู้บังคับบัญชามีคำสั่งอนุญาต ในการออกเดินทางครั้งนี้นอกจาก ส.อ.ห้วง พิมาน กับ ส.อ. จำนง พิมานแล้ว ได้มีผู้ร่วมเดินทางไปปราบจระเข้ยักษ์อีก ๔ คน คือ ร.ท.ลิขิต จันทโรทัย ร.ท.มาโนช เขียนยาคำ ส.อ.ละออ นาคจิตติ และส.อ.ช่วน แปลงรอด โดยไปถึงเมื่อเวลา ๑๒ น.เศษ

   ขณะที่คณะล่าจระเข้ไปถึงได้พบว่า ชาวบ้านประมาณ ๑๐๐ กว่าคน พร้อมด้วยอาวุธปืน และฉมวกกำลังค้นหาจระเข้ยักษ์กับศพนายช้วน ตีแนวขนานทั้ง ๒ ฝั่งคลองเขาปีบอย่างชุลมุน ซึ่งในที่สุดได้ค้นพบศพนายช้วนอยู่ใต้รากไม้ริมตลิ่งถูกไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ลากไปขัดไว้ และไม่มีทางที่จะดึงออกมาได้ ต้องให้นักประดาน้ำดำลงไปใช้เชือกผูกศพแล้วใช้คนกว่า ๒๐ คนดึงอยู่พักใหญ่จึงลากศพนายช้วนมาได้ ปรากฏว่าศพนายช้วนไม่มีส่วนใดเหลือเป็นชิ้นดีให้เห็นเลยเพราะถูกจระเข้กัด กินด้วยความหิวกระหายกับถูกรากไม้ครูดจนจำแทบไม่ได้ ทุกคนได้แต่สังเวชและอนาถใจไปตาม ๆ กัน 




   จากแหล่งที่พบศพของนายช้วนนั้นเอง คณะนักล่ากับชาวบ้านจึงรู้ว่า เป็นบริเวณแอ่งน้ำลึกหรือวังจระเข้เก่าที่ ไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ใช้เป็นที่หลบซ่อนและกบดานอยู่ในวัง พอรู้แหล่งซ่อนของจระเข้ยักษ์ คณะนักล่าแห่งค่ายทหารบกชุมพรได้ให้ชาวบ้านทุกคนหลบซุ้มอยู่บนตลิ่งแล้วใช้ ระเบิดซี .๓ หย่อนลงไปในบริเวณวังจระเข้ยักษ์เป็นนัดแรก เสียงระเบิดดังก้องสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับน้ำพุ่งเป็นลำขึ้นสูงเทียมยอดตาล กลางลำน้ำ พอสิ้นเสียงระเบิดและสงบลงแล้วไม่ปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งได้ลอยขึ้นมาเลย 

   จากนั้นอีก ๑๐ นาที ส.อ.ห้วงได้ตัดสินใจทิ้งระเบิดซี.๓ นั้นที่ ๒ ตามลงไปในวังน้ำลึกนั้นอีก เสียงระเบิดครั้งที่ ๒ นี้เองทำให้ทุกคนเห็นพรายน้ำผุดขึ้นแล้ววิ่งพุ่งเป็นทางจากจุดระเบิดเหนือ วังไปตามลำคลองด้านเหนืออย่างรวดเร็ว นั่นไอ้ด่าง หนีไปแล้วเสียงคนร้องบอก ทำให้คนนับร้อยและคณะล่าจระเข้วิ่งไล่ตามทั้งสองฝั่งคลองไปอย่างกระชั้นชิด จนกระทั่งทุกคนเหนื่อยหอบ และได้พบว่าพรายน้ำผุดเป็นทางนั้นไปหยุดที่ริมตลิ่งที่มีน้ำลึกแค่เอว 

   แต่ก่อนที่ใครจะทำอะไรต่อไป ส.อ.ห้วงได้สั่งให้ทุกคนหนีขึ้นตลิ่งก่อนแล้ว ส.อ.ห้วงได้ปีนขึ้นต้นตาตุ่มริมคลอง พร้อมเหวี่ยงระเบิดซี .๓ นัดที่ ๓ ลงไปในน้ำตรงบริเวณที่พรายน้ำวิ่งมาหยุดตรงนั้น การระเบิดครั้งที่ ๓ นี้ได้ผล เพราะแรงระเบิดตกถูกเป้าหมาย เป็นผลให้ส่วนหางของจระเข้โผล่ขึ้นก่อนลอยกระเพื่อมตามกระแสน้ำ บอกให้รู้ถึงการสิ้นอิทธิฤทธิ์ของ ไอ้ด่างจระเข้ยักษ์แล้ว ทันใดนั้น ส.อ. จำนงได้ใช้ฉมวกพุ่งลงไปกลางส่วนหลังของไอ้ด่าง ซึ่งทำให้มันดิ้นพลิกขึ้นมาให้เห็นทั้งตัวแต่มันไม่สามารถจะอาละวาดต่อไปได้อีกแล้ว เพราะกระดูกสันหลังของมันหักด้วยอำนาจของแรงระเบิดซี .๓ ชาวบ้านจึงช่วยกับเอาเชือกมัดพันธนาการตัว ไอ้ด่างและลากจระเข้จอมเพชฌฆาตแห่งลำน้ำขึ้นมาบนตลิ่ง ซึ่งไอ้ด่างอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที่ 

   จากนั้นคณะล่าจระเข้ได้ใช้เชือกลากจระเข้ยักษ์จากคลองเขาปีบมุ่งไปยังตลาด อำเภอสวี แต่ระหว่างที่ลากมาในคลองนั้น ไอ้ด่าง ก็พลิกท้องบอกถึงการจบชีวิตปิดฉากอันโหดเหี้ยมของมันเสียก่อน มีผู้เชื่อว่าจระเข้ที่เคยปรากฏเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วเป็นตัวเดียวกับไอ้ด่าง เกี่ยวกับประวัติความดุร้ายของ ไอ้ด่าง จระเข้ยักษ์กินคนละแวกคลองบางมุดและคลองเขาปีบมี นายอุดม ,นายอิน , นายเต็ก, นางรัด ,ด.ช.เลือน ทองมาก และนายช้วน พิมานเป็นศพที่ ๖
โดยจระเข้ยักษ์ที่อาละวาดตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ - ๒๕๐๐ ที่คลองเขาปีบโดยถูกกัดจนได้รับบาดเจ็บ ๕ คนคือสิบเอกห้วง พิมาน นายเฉียน พิมาน และนายสาย พวงมาลัย นายจวง และนายนิกูล เสียชีวิต ๑ รายคือนายจ๊ง




   สำหรับลักษณะของจระเข้ยักษ์ที่เรียกกันว่า ไอ้ด่าง นั้นเพราะเป็นจระเข้พันธุ์ ไอ้เคี่ยม ซึ่งเป็นจระเข้ตีนเป็ด หรือพันธุ์ทองหลาง ตัวดำเมื่อมสนิทมีสีขาวที่คอและตามตัวเวลามันโผล่ลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำนั้น จะมองเห็นสีขาวพาดที่บริเวณคอ 

   ซากไอ้ด่างถูกนายไห้ แซ่เซ็งซื้อตัวไปในราคา ๒๓,๐๐๐ บาท ทำให้องค์การสวนสัตว์ชวดได้ตัวไอ้ด่าง จากการวัดจากซากของไอ้ด่าง มีความยาวจากหัวถึงหาง ๔.๒๕ เมตร รอบตัว ๑.๗๕ เมตร เล็กกว่าถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ๗ นิ้ว จากหัวถึงคอ ๒๕ นิ้ว อ้าปากกว้าง ๒๐ นิ้ว 

   การชำแหละไอ้ด่างเพื่อทำสต๊าฟฟ์ไว้ เมื่อผ่าลงไปในท้องก็พบกระดูกในท้องไอ้ด่างมากมาย และยืนยันได้ว่ากินคนแน่ ปรากฎว่าหลังจากการผ่าชำแหละซากแล้ว ได้พบแผลเห็นได้อย่างชัดเจนในซาก ไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ดังนี้ ขาหน้าด้านขวาถูกกระสุนปืนลูกโดดฝั่งในด้านซ้ายของลำตัว เนื้อเละไปทั้งแถบ คอด้านขวาเป็นรูเน่า ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์พบจุดจบ ส่วนสันหลังบริเวณกว้างยาว ๑ ศอก ยุ่ยเป็นรอยไหม้ซี่โครงหักหลายซี่ เพราะถูกแรงระเบิดซ้ำซากหลายครั้งอย่างไม่ปราณี โดยเฉพาะเมื่อผ่าแหวะส่วนกระเพาะของจระเข้ยักษ์แล้ว ทำให้นายบุญถึง และเจ้าหน้าที่ ๑๐กว่าคนต้องตะลึงเมื่อพบว่า นอกจากเศษอิฐ เศษหินแล้ว ยังพบหัวกระโหลกมนุษย์ถึง ๒ หัวยังอยู่ในสภาพมีเศษผมติดกับหนังศรีษะอยู่ นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนของมนุษย์ในกระเพาะจระเข้ตัวนี้อีกมีกระดูกส่วนขา กับสะบ้าจากเข่าคน กับมีตะขอเหล็กขนาดใหญ่อีก ๑ ตัว ด้วย


Man Eater ตัวจริง ผ่าท้องแล้วยังเจอหัวกระโหลกมนุษย์อีก 2 หัว

   จากการพบส่วนกระโหลกศรีษะของมนุษย์ถึง ๒ หัวในท้องจระเข้ยักษ์ตัวนี้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าจระเข้ตัวนี้เป็น ไอ้ด่าง จระเข้ยักษ์แห่งคลองบางมุดแน่ สำหรับส่วนกระโหลก ๒ ชิ้นนี้ แสดงว่า ไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ได้กินคนมาแล้ว ๒ คน นอกจากการกัดกินคนอื่น ๆ ซึ่งไอ้ด่างเลือกกินเฉพาะส่วนท้องเท่านั้น จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้ต้องกินคนมาก่อนหน้านี้


อ้างอิงจาก: นสพ.พิมพ์ไทย พ.ศ. ๒๕๐๗ www.pantip.com และ www.siamsouth.com โดย : คุณาพร. [ ๒๖/๐๒/๒๐๐๖ ]

ที่มา ไอ้ด่างบางมุด.. ตำนานของจระเข้ "ดุร้าย" ที่สุดโดย คนหลังจอ ปากน้ำหลังสวน.. ชุมพร"



ภาพจาก canivoraforum.com จระเข้น้ำเค็มชนิดเดียวกับไอ้ด่าง

ไอ้ด่างคลองบางมุดเปรียบเทียบกับภาพบน
ท้องป่องขนาดนี้

   จระเข้ไอ้ด่างคลองบางมุดไปๆมาๆแล้ว พอตรวจพิสูจน์ซากกลับกลายว่าเป็นจระเข้ตัวเมียไปเสียดื้อๆ ต่อมามีการนำซากไอ้ด่างหรือความจริงต้องเป็นอีด่างไปออกงานเก็บค่าเข้าชม ผู้เขียนยังเคยไปดูด้วยแต่จำรายละเอียดได้ไม่มากนัก แถมในภายหลังยังมีจระเข้ไอ้ด่างมาโชว์ตัวในงานวัดสะเกศหรือภูเขาทองอีก ซึ่งมีหลายเจ้าหลายร้าน เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วซากไอ้ด่างคลองบางมุดตัวจริงในที่สุดแล้วไปอยู่ที่ไหน

   ไอ้ด่างคลองบางมุดนี้ถูกเข้าใจผิดเป็นไอ้ด่างเกยชัยจระเข้ดังในตำนานแห่งจังหวัดนครสวรรค์ ไอ้ด่างคลองบางมุดเป็นจระเข้น้ำเค็มที่ปกติแล้วตรงคอจะมีรอยด่างเป็นสีขาว ส่วนไอ้ด่างเกยชัยเป็นจระเข้น้ำจืดขนาดยักษ์ที่มีจมูกด่างเป็นสีขาว ขนาดของไอ้ด่างเกยชัยแห่งนครสวรรค์นั้น เล่ากันว่าวัดขนาดจากหัวถึงปลายหางแล้ว จะยาวใหญ่ขนาดขวางลำน้ำกันเลยทีเดียว

   ไอ้ด่างคลองบางมุดยังเป็นตำนานจระเข้โคตรดุของเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับเป็นตำนานสุดดังของเมืองชุมพร แม้ในปัจจุบันถ้าได้ไปคุยกับคนเก่าๆของ อ.หลังสวน จะได้ฟังเรื่องตำนานโคตรดุของไอ้ด่างคลองบางมุดกันอย่างสนุกและสยอง ก็ไอ้ด่างคลองบางมุดนี้ดุขนาดไล่งับเรือขาดกลางไปหลายลำ ไล่งับคนอย่างซึ่งๆหน้า โคตรดุจนถึงขนาดต้องเกณฑ์เรือเป็นร้อยลำออกตามล่า โคตรดุขนาดนี้คงหาเทียบได้ยากจริงๆ

ขอขอบคุณเรื่องและภาพจากแหล่งที่มาซึ่งระบุไว้แล้ว และขอบคุณชาว อ.หลังสวนทุกท่านที่เคยเล่าเรื่องให้ฟังด้วยครับ