วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2567

หลวงพ่อกับของวิเศษ 5...หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ.1

 



หลวงพ่อพรหม ติสฺสเทโว วัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธย

แหวนพิรอดหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ

  เรื่องของแหวนพิรอดของหลวงพ่อพรหม ติสฺสเทโว วัดขนอนเหนือ ข้าพเจ้าเคยเล่าไว้ในหลายที่ แต่ไม่ได้รวบรวมเรื่องของแหวนพิรอดเอาไว้ให้เป็นเรื่องเดียว พอเกิดเหตุคอมพิวเตอร์โดนไวรัสโจมตี ไฟล์งานเปิดไม่ได้  แถมยังเป็นไปได้ว่าคงสูญเสียไฟล์แน่ๆ จึงต้องค่อยๆนึกรวมเรื่องราวเอามาเล่าไว้อีกครั้ง โดยจะรวมเรื่องของแหวนพิรอด(ซึ่งทำมาในรูปแบบแหวนปลอกมีด) เอามารวมไว้ในตอนเดียว พร้อมทั้งเรื่องที่เพิ่งนึกออกด้วย

แหวนพิรอด แหวนปลอกมีด หลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ

  หลวงพ่อพรหมท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปแหวนพิรอดมาตั้งแต่ท่านยังหนุ่ม แรกๆก็เป็นแหวนพิรอดแบบดั้งเดิม ที่ทำจากผ้าตีเกรียวถักหัวแหวนเป็นเงื่อนพิรอด มีทั้งที่เป็นแหวนพิรอดแขนและแหวนพิรอดนิ้ว มีประสบการณ์คุ้มครองป้องกันภัยเป็นที่เลื่องลือ ต่อมามีการทำแหวนพิรอดออกมาในแบบแหวนโลหะ ที่นิยมกันมากก็เป็นแหวนรูปทรงโบราณง่ายๆ แบบที่เรียกว่า แหวนปลอกมีด

  ข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์อภินิหารแหวนพิรอดของหลวงพ่อพรหมหลายครั้ง ทั้งยังได้คุยกับมิตรสหายที่เคยพบอภินิหารแหวนพิรอดแหวนปลอกมีดของหลวงพ่อพรหม เจ้าของประสบการณ์เล่าให้ฟังด้วยตัวเอง ไม่ใช่แบบเขาเล่าว่าโดยที่ไม่รู้ว่าคือเขาคนไหน ประสบการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้คือเรื่องจริง

1.อภินิหารแหวนครองพิภพ เรื่องเล่าแหวนวิเศษของหลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ

   เรื่องนี้คนขับแท็กซี่ได้เล่าให้ฟัง ข้าพเจ้าเรียกแท๊กซี่ไปส่ง ระหว่างที่คุยกันแกเล่าว่า พระที่แกนับถือคือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง กับ หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ เพราะเจอประสบการณ์มาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งที่หวาดเสียวที่สุดเป็นเรื่องที่เกิดกับลูกชาย ซึ่งแกมอบแหวนปลอกมีดหลวงพ่อพรหมให้ลูกชายสวมนิ้วไว้

  แกเล่าว่า ลูกชายพาแฟนไปเที่ยวน้ำตก (จำไม่แม่นแล้ว ประมาณน้ำตกพริ้วหรือน้ำตกเขาชะเมา) แกว่าลูกชายกับแฟนดันปีนขึ้นไปเล่นบนน้ำตกชั้นบนที่คนไม่ค่อยขึ้นไป และเป็นฤดูน้ำหลากเสียด้วย

  ขณะที่เล่นน้ำกันอยู่ดี ๆ ก็เกิดเป็นตะคริว จึงค่อย ๆ ไหลไปตามกระแสน้ำ คนที่ไปเที่ยวด้วยกันวิ่งมาช่วยไม่ทัน ทั้งลูกชายกับแฟนพยายามเกาะตัวกันไม่ให้หลุด แต่ก็ไหลไปตามน้ำจนเกือบถึงหน้าผาน้ำตก

  อภินิหารแหวนครองพิภพก็ได้ปรากฏ..ทั้งสองคนจะไหลตกหน้าผา อยู่ ๆ มือก็ไปสะดุดกับหินใต้น้ำ คือท้องแหวนพิรอดไปเกี่ยวกับแง่งหินเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้น้ำมองไม่เห็น ร่างที่จะตกหน้าผาน้ำตกจึงหยุดค้าง จนมีคนมาช่วยไว้ได้ทัน

  ลุงแท็กซี่แกไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นศิษย์หลวงพ่อพรหม แกว่าแหวนที่ลูกชายใส่นั้นไม่รู้ว่าผ่านการควักจิ๋มมาแล้วสักเท่าไหร่ เพราะลูกเจ้าชู้ ชอบล้วง ๆ ควัก ๆ ไม่เลือก แหวนถูโดนจิ๋มมาเยอะ ไม่ยักจะเสื่อม หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือนี่แน่จริง ๆ

บังเอิญหรืออภินิหาร ประสบการณ์เหมือนกับที่เกิดกับข้าพเจ้าเลย (ยกเว้นเรื่องใส่แหวนไปควักจิ๋ม)

แหวนปลอกมีด ล.พ.พรหมวัดขนอนเหนือ


2.อภินิหารแหวนครองพิภพ เรื่องเล่าแหวนวิเศษ ของหลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ

จากความทรงจำ... ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ แต่เจ้านี่ชอบดูถูกเหยียดหยามศาสนาพุทธ ยิ่งข้าพเจ้าชอบเรื่องเครื่องรางของขลัง มันก็ยิ่งว่าโคตรงมงาย เวลาที่มันมาว่าศาสนาพุทธนั้น หลายเรื่องเราเถียงมันไม่ได้เลย เพราะพวกนี้มีวิธีพูดในเรื่องที่เราไม่กล้าเถียง ประมาณว่ามีการยกเรื่องดังกล่าวมาสอนให้โต้เถียงชาวพุทธ ข้าพเจ้าเคยเจอเรื่องทำนองนี้จากเพื่อนต่างศาสนา แต่เขาพูดเรื่องเดียวกัน

  อยู่ ๆ วันหนึ่ง เพื่อนคนนี้แวะมาหาที่บ้านแล้วเล่าว่า พี่เขยโดนคุณไสย ขอให้ข้าพเจ้าช่วยพาไปหาพระที่เก่ง ๆ ช่วยแก้ให้หน่อย ตอนนั้นอยากจะเยาะเย้ยมันว่า ทำไมมึงไม่เอาขนมปังกรอบและน้ำมนต์ของพระเจ้าในพิธีโบสถ์คริสต์ให้พี่เขยมึงกิน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่ามันเคยเยาะเย้ยเราเรื่องพุทธไว้มากแล้วเรารู้สึกไม่ดี ครั้งนี้ก็อย่าไปกล่าวล่วงถึงศาสนาของเขาจะดีกว่า พอคิดได้ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรมันไป ได้แต่ถามมันว่า มึงไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แล้วคราวนี้ทำไมมึงถึงว่าพี่เขยโดนของ

  เพื่อนเล่าว่า... พี่มันป่วยแบบแปลกประหลาด คือบางทีอยู่ ๆ ก็เกิดอาการหวาดผวา บางทีปวดร้าวทั่วร่าง บางทีเหมือนเจ็บที่หัวใจ ไปหาหมอหลายครั้งก็รักษาไม่หาย พอมาตอนหลังอาการยิ่งแปลกสุด ๆ จึงเชื่อว่าโดนทำคุณไสยจากผู้หญิง คือปัญหาชู้สาวของพี่เขยนั่นเอง

  เพื่อนเล่าอาการพี่เขยต่อว่า... ตอนหลังมานี้เกิดอาการเจ็บปวด หมดแรง และเกิดเหตุเล็บดำ อึดอัด หายใจลำบาก ตอนที่เจ็บครั้งหลังนี้เหมือนเจ็บลามขึ้นหัวใจ แล้วเล็บจะดำขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนคนที่เล็บช้ำ ๆ

  พอถึงขั้นเล็บดำนี้ พี่เขยและพี่สาวได้ตระเวนหาอาจารย์ไสยศาสตร์รักษา แต่ก็ไม่หาย ต่อมาไปหาอาจารย์ทางพรหมศาสตร์ท่านหนึ่ง อาจารย์ท่านนี้ก็แน่จริง รักษาได้ แต่ถอนของแล้วอีกไม่นานก็โดนของอีก และแก้ยากขึ้นเรื่อย ๆ คือแก้ได้ แต่ป้องกันไม่ได้ จนถึงขั้นเล็บดำ แก้ไม่ไหวแล้ว

  เพื่อนจึงนึกถึงข้าพเจ้า มันบอกว่าทีแรกก็ว่าจะมาหา แต่นึกถึงที่เคยหาว่า พุทธและเครื่องรางของขลังเป็นเรื่องงมงาย มันเลยอายไม่กล้ามาหา แต่คราวนี้หมดปัญญาจริง ๆ จึงบากหน้ามาหา ขอให้หาพระเก่ง ๆ ช่วย

  ตอนนั้นยังไม่สะดวกพาไปหาหลวงพ่อพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่รู้จัก แต่รู้ว่าเรื่องนี้รอไม่ได้ เพราะพี่เขยเพื่อนทรมานและหวาดกลัวมาก ถึงขั้นเริ่มป้ำ ๆ เป๋อ ๆ แล้ว

หลวงพ่อพรหม ติสฺสเทโว

  ข้าพเจ้านึกถึงหลวงพ่อพรหม และนึกไปถึงว่า... จะอย่างไรก็ดี เพื่อน และพี่สาว พี่เขย เป็นคริสต์ จะให้พระเครื่องไปคงไม่เหมาะ เลยหยิบแหวนพิรอดรุ่นหนึ่งที่คุณประเสริฐ เรืองสุรัตน์ สร้างถวายหลวงพ่อให้ไป บอกว่าให้เอาไปใส่ไว้ อย่าถอด แล้วนัดวันที่จะพาไปหาหลวงพ่อพรหม

หลังจากนั้นเพื่อนก็เงียบหายไปหลายวัน พอถึงวันนัดที่จะไปกราบหลวงพ่อ เพื่อนเล่าให้ฟังว่า... พอพี่เขยใส่แหวนพิรอดก็สะดุ้งงง ๆ แล้วกลับมาพูดคุยรู้เรื่อง อาการที่เล็บดำก็ประหลาด คือสีเล็บที่ดำ ๆ นั้นค่อย ๆ จางลงออกไปทางปลายเล็บ (คือคุณไสยถูกคัดออกไป) บางทีคล้ายจะเกิดอาการเหมือนแหวนรัดนิ้ว คับนิ้วจนรู้สึกได้ ลักษณะสภาพแวดล้อมเหมือนตอนที่จะโดนของ แต่แหวนรัดนิ้วแล้วไม่เกิดเรื่องร้าย จึงเชื่อว่าแหวนพิรอดป้องกันคุณไสยได้

พอพาไปกราบหลวงพ่อพรหม ยังไม่ทันได้เล่าให้หลวงพ่อพรหมฟังเลย ท่านมองหน้าพี่เขยเพื่อนแล้วหัวเราะว่า... เออ ๆ หายแล้ว ๆ หมดเคราะห์หมดโศกกันเสียที ต่อไปมึงก็อย่าเจ้าชู้

  หลวงพ่อไม่ได้ทำพิธีอะไรเพิ่มให้ คุณไสยถูกล้างหายแค่ใส่แหวนพิรอดนวโลหะแค่วงเดียว

ภาพปกหนังสือประวัติหลวงพ่อพรหม เล่มคุณประเสริฐ จัดพิมพ์


3.แหวนปลอกมีด หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ

  เมื่อปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 นี้เอง ข้าพเจ้าผู้เขียนมีประสบการณ์คุณวิเศษวัตถุมงคลของหลวงพ่อพรหม ครั้งนี้เจอเข้ากับตัวเองเลยทีเดียว ทั้งเนื้อทั้งตัวมีของขลังติดตัวแค่แหวนปลอกมีดหลวงพ่อพรหม รับมาจากมือหลวงพ่อ ได้สวมแหวนเนื้อเงินและนวโลหะที่นิ้วมือขวา ปกติก็จะใส่แหวนแบบนี้มาโดยตลอด

ตอนตี 4 ของวันนั้น อยู่ ๆ ก็มีเสียงของตกลงพื้นเสียงดัง พอได้ยินก็รู้ว่าเป็นจานกระเบื้องแน่ ๆ เสียงถึงขนาดนี้  พอเข้าไปดูที่หลังบ้าน ก็เห็นเศษจานกระเบื้องแตกเกลื่อนพื้น จานกระเบื้องใบนี้ข้าพเจ้าวางไว้บนเตาแก๊ส

เมื่อเห็นว่าจานกระเบื้องร่วงจากเตาแก๊สจริง ๆ ก็งง ๆ ว่ามันหล่นลงมาได้อย่างไร ก็เราวางไว้ดี ๆ แล้วนี่หว่า... จะว่ามีหนูมาเบียดชนจานจนจานตกลงจากบนเตาแก๊สก็ไม่น่าเป็นไปได้ ข้าพเจ้าจึงมอง ๆ ดูแถวพื้นใต้เตาแก๊ส ใต้โต๊ะ พอมองดูดี ๆ ก็ต้องสะดุ้ง เพราะมองเห็นงูเหลือมกำลังเลื้อยอยู่ กะขนาดว่างูเหลือมตัวนี้ยาวราว ๆ ร่วม 5 เมตร ขนาดตัวใหญ่หนาประมาณแขนคนตัวใหญ่ๆ

งูตัวนี้แหละ

งูเหลือมดันเลื้อยไปอยู่ที่ใต้โต๊ะตรงมุมหลังบ้าน ข้าพเจ้าจึงรีบหาอุปกรณ์มาทำบ่วงจับงูเดี๋ยวนั้น โดยใช้ด้ามของไม้ถูพื้นที่เป็นท่อกลวง แล้วเอาเชือกร่มร้อยเข้าไปให้ปลายเชือกไปโผล่ที่ปลายด้ามไม้ถูพื้น แล้วผูกเป็นเงื่อนรูดที่ปลายท่อ วิธีการนี้ถ้าเราคล้องบ่วงเข้าที่หัวงูได้แล้ว พอดึงเชือกจากปลายท่ออีกด้าน เชือกก็จะรัดงูให้ติดคาอยู่กับปลายท่ออีกด้านหนึ่ง...

พอทำเครื่องมือจับงูเสร็จ ก็พยายามที่จะยื่นปลายไม้ถูพื้นที่มีบ่วงโผล่ที่ปลายท่อ ให้บ่วงนี้ไปคล้องที่บริเวณคอของงูเหลือมให้ได้ ปรากฏว่าเจ้างูเหลือมมันฉกเข้าที่บ่วง เอาบ่วงคล้องงูไม่สำเร็จสักที เพราะงูเหลือมส่ายหัวหลบ แถมบางจังหวะยังฉกสู้อีกด้วย จนในที่สุดไอ้เจ้างูเหลือมดันหนีเข้าไปขดตัวอยู่หลังกองหนังสือ ซึ่งเป็นที่นั่งประจำของข้าพเจ้าเสียด้วย เจ้างูเหลือมมันแทรกตัวเข้าไปอยู่ในช่องว่างระหว่างฝาผนังกับโต๊ะหนังสือ โดยมีประตูมุ้งลวดที่ถอดวางพิงผนังบังตัวงูอยู่

ข้าพเจ้าพยายามเอาบ่วงคล้องงูจนสำเร็จแต่เจ้างูเหลือมมันดึงตัวสู้ งูดึงจนบ่วงที่รัดตัวงูถึงขั้นเริ่มรูดจากตัวงูเหลือมไปเรื่อย ๆ จนตำแหน่งของบ่วงไหลไปจนเกือบถึงช่วงปลายหาง บางทีก็โผล่หัวออกมาฉกเชือกร่มด้วย

เอาล่อเอาเถิดกับงูเหลือมจนสว่าง จวนจะได้เวลาที่ต้องเตรียมตัวไปส่งลูกที่มหาวิทยาลัย ถ้าปล่อยงูเหลือมอยู่อย่างนี้ พอข้าพเจ้าไปส่งลูกแล้วกลับมาที่บ้าน ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่างูเหลือมมันเลื้อยออกจากบ้าน หรือมันยังแอบซ่อนอยู่ในบ้าน ซึ่งอย่างหลังนี้อันตรายมาก ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจที่จะเอามือจับงูเหลือมยัดใส่ถุงขยะ ตอนนั้นก็เสียว ๆ แหยง ๆ แต่มันจำเป็น

ข้าพเจ้าขยะแขยงที่จะจับโดนตัวงูเหลือม เลยเอาถุงมือพลาสติกบาง ๆ มาสวมมือทั้งสองข้าง เอาถุงดำมาวางใกล้ ๆ พอเริ่มดึงเชือกที่รัดท่อนหางงูเหลือม เจ้างูเหลือมก็สู้อีก ในที่สุดด้วยความร้อนใจและยั๊วะเจ้างูเหลือมมาก ข้าพเจ้าจึงเอามือจับหางงูเหลือมแล้วลากออกจากซอกที่มันซ่อนตัว...

ขณะที่จับหางงูเหลือมแล้วลากออกมานั้นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจว่าทำไมงูมันไม่สู้แล้ว เพราะดึงงูออกมาแบบสาวเชือกง่าย ๆ (ขยะแขยงที่รู้สึกว่าตัวมันลื่น ๆ เย็น ๆ เหม็นสาบคาว ๆ) พอสาวงูเหมือนสาวเชือก มือหนึ่งก็จับหางยัดลงถุงดำ อีกมือก็ดึงลากงูออกมาเรื่อย ๆ

จังหวะสุดท้ายที่ลากงูเหลือม ช่วงหัวงูดันโผล่ออกมาห่างข้อมือแค่ไม่เกิน 2-3 นิ้วฟุต ตอนนั้นข้าพเจ้าตกใจเหมือนกัน รีบเอามือจับช่วงคองูเหลือม แต่จับพลาด ดันไปจับให้งูมีระยะที่จะม้วนมาฉกได้ ระยะฉกข้อมือและห่างใบหน้าแค่ 1 ฟุต

แต่แล้ว... ข้าพเจ้าเพิ่งสังเกตเห็นเรื่องแปลกว่า ตอนที่สาวลากงูเหมือนสาวเชือกนั้น ตอนที่ดึงส่วนที่เป็นเชือกนั้น เจ้างูเหลือมมันสู้ แต่พอใช้มือจับโดนตัวงูเหลือม เจ้างูเหลือมไม่สู้ซะงั้น หางงูไม่รัดแขนขาข้าพเจ้าเลย จับโดนช่วงคองูที่จับพลาดจนทำให้มีระยะงูฉก แต่งูเหลือมมันนิ่งไปเฉย ๆ เหมือนมันหมดแรงเหี่ยวเฉา ตอนนั้นเองที่ข้าพเจ้านึกถึงแหวนปลอกมีดหลวงพ่อพรหม ที่สวมนิ้วมือข้างที่จับคองู เห็นเลยว่างูมันเหี่ยวเฉาแบบหมดแรง

สุดท้ายก็เอางูเหลือมตัวใหญ่ยัดลงถุงดำ เหมือนกับเอากองเชือกใส่ถุงได้ง่าย ๆ งูเหลือมไม่มีปฏิกิริยาทางกายภาพอะไรเลย ไม่ดิ้น ไม่บิดตัว ไม่ขดตัว ลองนึกถึงตอนเราเก็บม้วนเชือกหรือสายยางท่อน้ำ ก็ประมาณนั้น หลังจากนั้นก็เอากระดาษมาเขียนว่า “งูเหลือม” แปะกระดาษไว้ที่ถุง แล้วเอาไปวางไว้ในถังขยะหน้าซอย โดยบอกเจ้าหน้าที่ว่า จับงูเหลือมตัวใหญ่ยัดใส่ถุงมาให้เรียบร้อย

เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องเป็นอภินิหารของวิเศษของหลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ อย่างแน่นอน งูเหลือมตัวใหญ่ยาวเกือบ 5 เมตร กลับหมดฤทธิ์ไปอย่างกระทันหัน จนข้าพเจ้าจับยัดลงถุงดำได้อย่างง่าย ๆ แหวนปลอกมีดที่ข้าพเจ้าใส่ ก็คือแหวนวงที่ 2 และ 3 นับจากซ้าย

แหวนที่ใส่ตอนจับงูเหลือม


4.อภินิหารแหวนปลอกมีดหลวงพ่อพรหม

  เรื่องนี้เกิดขึ้นกับรุ่นน้องที่ข้าพเจ้ามอบแหวนพิรอดหลบในให้ไป รุ่นนี้เป็นแหวนปลอกมีดรุ่น 2 ที่คุณประเสริฐ เรืองสุรัตน์ สร้างถวายหลวงพ่อพรหม

  รุ่นน้องคนนี้เป็นนักเที่ยว ชอบเที่ยวหญิงบริการ มักจะไปกับคู่หูซึ่งก็เป็นรุ่นน้องของข้าพเจ้าเหมือนกัน  การเที่ยวของสองคนนี้ เที่ยวทั้งโสเภณีโรงแรม ซ่องต่างจังหวัด อาบอบนวด โรงน้ำชา เที่ยวสาวบาร์ เขาจะไปกันสองคนเป็นเพื่อนรักกัน

  เจ้าคนที่ข้าพเจ้ามอบแหวนปลอกมีดหลวงพ่อพรหมให้ไปนั้น เคยมาสอบถามข้าพเจ้าว่า..เผลอไปล้วงจิ่มผู้หญิงหลายคน แหวนโดนจิ่มหญิง แหวนของหลวงพ่อนี้จะเสื่อมไหม...ข้าพเจ้าตอบว่า..ไม่มีวันเสื่อม

  วันเวลาผ่านไป รุ่นน้องสองคนนี้ก็ยังเที่ยวผู้หญิงอยู่เป็นประจำ ในที่สุด...รุ่นน้องสองคนนี้ คนหนึ่ง..ติดโรคเอดส์...

  คนที่รอดจากการติดโรคเอดส์ คือคนที่ใส่แหวนปลอกมีดหลวงพ่อพรหม

  รุ่นน้องคนนี้เล่าว่า...ความจริงแล้วคนที่ควรจะติดโรคเอดส์ก็คือตัวเขา แต่เขารอดมาได้เพราะ...อภินิหารแหวนหลวงพ่อพรหมช่วยไว้แน่ๆ...เขาเล่าว่า วันที่ไปเที่ยวสาวบาร์ เขาถูกใจสาวคนหนึ่งมากๆ ส่วนเพื่อนก็เลือกสาวอีกคนหนึ่งมานั่งดริ๊งส์ ก็กอดจูบลูบไล้นัวเนียกันไป

  ขณะที่เขาล้วงจะจับจิ๋ม อยู่ๆก็นึกถึงว่าใส่แหวนพระอยู่ เป็นแหวนพระอาจารย์ของหัวหน้าด้วย ก็เลยรู้สึกไม่ดีว่าเคยใส่แหวนจับโดนจิ๋มสาวๆหลายคน เหมือนไม่เกรงใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย เขาจึงถอดแหวนออกจากนิ้ว แปลกที่ถอดแหวนไม่ออก ทั้งๆที่แหวนก็ไม่ได้คับนิ้วอะไรเลย แต่ความหื่นอยากล้วงจิ๋มมีมากอยากล้วงอยากจับจิ๋มสุดๆ ก็เลยรีบไปเข้าห้องน้ำ เพื่อที่จะฟอกสบู่ให้นิ้วลื่นๆจะได้ถอดแหวนออก

  เจ้านี่พยายามถอดแหวนเท่าไรก็ถอดไม่ออก เลยกลับมาที่โต๊ะ  ปรากฏว่าเจ้าเพื่อนดันขอเปลี่ยนคู่มานัวเนียกับสาวบาร์ที่ตัวเขาเลือกไว้ตั้งแต่ทีแรก ด้วยความรักเพื่อนก็เลยแลกคู่กัน เจ้าคนนี้ไปนัวเนียกับสาวอีกคน รุ่นน้องสองคนนี้ควงสาวบาร์สองคนนี้เป็นแฟนกันตลอดมา

  พอวันรุ่งขึ้น ถอดแหวนปลอกมีดได้ง่ายๆซะงั้น

  วันเวลาผ่านไป สองคนนี้ก็ยังเที่ยวอยู่ ยังเที่ยวสาวบาร์คู่เดิม..ผ่านไปราวๆหนึ่งปี เรื่องก็เกิด...สาวคนหนึ่งเป็นโรคเอดส์...ก็คือสาวคนที่รุ่นน้องที่ใส่แหวนหลวงพ่อพรหมเลือกไว้ทีแรก แต่เกิดการเปลี่ยนคู่ เพื่อนที่ขอแลกหญิงจึงติดโรคเอดส์ไปด้วย...รุ่นน้องที่ใส่แหวนหลวงพ่อพรหมจึงรอดจากโรคเอดส์

  รุ่นน้องที่ใส่แหวนหลวงพ่อพรหมรอดจากโรคเอดส์เพราะ...มัวเข้าห้องน้ำไปถอดแหวนเพื่อจะมาจับจิ๋มสาวที่เป็นเอดส์ ซึ่งถ้าจับแล้วก็ต้องร่วมเพศต่อแน่นอน แล้วเพื่อนอาศัยจังหวะนี้เปลี่ยนคู่ตัดหน้าไปอย่างฉิวเฉียด เพื่อนเลือกสาวบาร์ที่เป็นเอดส์แทน....ต่อมารุ่นน้องที่ติดเอดส์ก็เสียชีวิต

  ลองคิดดูว่าเรื่องนี้ เป็นอภินิหารหรือไม่



เรื่อง...จากความทรงจำ
ภาพ จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพรหม และภาพที่ข้าพเจ้าถ่ายไว้






วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2567

หลวงพ่อกับของวิเศษ.4 หลวงปู่เมฆ

 



หลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน กรุงเทพมหานคร

  ช่วงปลายปี พ.ศ. 2566 ข้าพเจ้าติดโควิด จึงเป็นคนทันสมัยได้ในทันที ในช่วงที่ติดโควิดได้ระลึกถึงเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา หลายเรื่องเคยลืมไปนานแล้ว พอป่วยครั้งนี้กลับได้ความทรงจำกลับมาตั้งหลายๆเรื่อง พอนึกได้ก็เลยเขียนบันทึกความทรงจำเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ และบางเรื่องก็นำมาเล่าสู่กันฟังดังเช่นเรื่องนี้

  แหม...พอผลตรวจเป็นโควิด ต้องกักบริเวณ ก็เลยมีเวลาว่างซะงั้น...ว่างเฉพาะตอนไข้ไม่กำเริบไม่นอนซมนะครับท่าน ขณะนี้ยังมีสติ ก็ขอเล่าเรื่องอภินิหารของดีที่ข้าพเจ้าเคยเจอมากับตัว ครั้งนี้จะเล่าเรื่องของขลังปลัดขิกหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน

  ข้าพเจ้ารู้จักหลวงปู่เมฆตั้งแต่สมัยที่ท่านยังไม่ดังเป็นวงกว้าง รู้จักตอนเรียนช่างกล ป.ว.ช. เพราะญาติเพื่อนที่อยู่แถวนั้นเขาเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่เมฆมีปลัดขิกขลัง มีประสบการณ์ทางป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอดีนัก ทางเมตตาก็ดีมากเหมือนกัน เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว เรื่องมันก็ต้องดั้นด้นไปบ้านเพื่อนแถวนั้น ซึ่งทำให้สาวสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญคนหนึ่ง เข้าใจผิดว่า ข้าพเจ้าไปจีบเธอ ซึ่งก็หวานแว๋วไม่น้อย...และ...พี่ขอโทษ

  สมัยก่อนนั้น(ก็ 50ปี) จะเรียกพื้นที่ทางฝั่งที่เลยถนนรามอินทราออกไปนั้น ส่วนมากจะเรียกเป็นที่เข้าใจกันว่า..มีนบุรีหนองจอก คือเป็นเขตมีนบุรีและเขตหนองจอกที่อยู่ติดกัน และรู้สึกกันว่า...โคตะระไกล...ข้าพเจ้าในยุควันรุ่นช่างกลนั้น พอจะไปรับส่งสาวที่มีนบุรีนั้น ต้องทอดถอนใจเลยว่า..โคตรของโคตรไกล...

  ยุคที่ข้าพเจ้าจะไปกราบหลวงปู่เมฆ จะเรียกว่าไปกราบหลวงปู่เมฆวัดลำกระดานมีนบุรี ตอนนั้นวัดลำกระดานอยู่ในเขตมีนบุรี ปัจจุบันแยกพื้นที่เป็นเขตคลองสามวา แต่คนรุ่นข้าพเจ้ายังเรียกกันคุ้นปากว่า หลวงปู่เมฆวัดลำกระดานมีนบุรี

หลวงปู่เมฆ สจฺจาสโภ

    เมื่อไปกราบหลวงปู่เมฆ ดูแล้วเหมือนท่านจะดุโคตรๆ แต่ข้าพเจ้ากลับว่าท่านไม่ดุ ท่านใจดีด้วยซ้ำ ท่านพูดกูๆมึงๆบางครั้งมีคำสบถ ที่ข้าพเจ้าฟังแล้วถึงกับเผลอหัวเราะ ท่านก็หัวเราะหึๆๆๆ

  ท่านว่า....ไอ้หนู เอ็งจะเอาอะไรวะ มึงอยากได้ปลัดขิกใช่มั๊ย....แบบนี้ก็ยิ้มกราบท่านทันทีน่ะสิ พนมมือแต้รอรับปลัดขิกของดีของท่าน ท่านหยิบ “ถุงกระดาษ” ซึ่งสมัยนั้นเรียกกันว่า “ถุงกล้วยแขก” แล้วท่านก็มอบปลัดขิกให้ในแบบที่ข้าพเจ้าต้องสะดุ้งโหยง..

  จะไม่ให้สะดุ้งได้ไง ก็หลวงปู่เมฆท่านเล่นกอบเอาปลัดขิกใส่ลงในถุงกล้วยแขกจนเต็มถุง

  ท่านว่า...มึงเอาไปแจกคนอื่นเขาบ้าง พวกมึงมันชอบยกพวกดีกัน...นี่ไงที่ข้าพเจ้าว่าหลวงปู่เมฆแท้ที่จริงแล้วท่านใจดี ใจดีมากๆ

แผ่นปั๊มหลวงปู่เมฆ


สมัยเรียนถึงชั้น ป.ว.ส. ก็ยังอยากได้ปลัดขิกหลวงปู่เมฆเพิ่มอีก เพราะแจกไปเยอะ ตอนนั้นพอไปมีนบุรีเพื่อกราบหลวงปู่เมฆ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก ทำให้น้องเทคนิคมีน(เรียกกันอย่างนี้)เข้าใจผิดว่าข้าพเจ้าไปจีบ ก็หวานแว๋วอีกแล้วครับท่าน...และ...พี่ขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆ

  ไปกราบหลวงปู่เมฆ ท่านก็ยังกอบปลัดขิกใส่ถุงกล้วยแขกมาให้อีก ท่านใจดีเหมือนเดิม

  ต่อมาภายหลังภายหลังหลวงพ่อแจกปลัดขิกแบบใส่ในถุงก๊อบแก๊บ เพราะถุงกล้วยแขกเลิกใช้กันแล้ว


เคยมีเต็มถุง แจกจนเหลือแค่นี้

  เพื่อนข้าพเจ้าที่เมืองนนท์คาดปลัดหลวงปู่เมฆที่ข้าพเจ้ามอบให้เพียงดอกเดียว วันหนึ่งมันทำกิจกรรมสันทนาการภายในสวนแถบบางใหญ่พร้อมเพื่อนๆ ข้าพเจ้ายังด่ามันว่า...กูไม่เอาด้วยนะโว๊ย...เพราะมันเอากัญชามาโชว์เพื่อนๆ มันชวนเพื่อนลองสูบ

  ไอ้เพื่อนมันเอาขวดน้ำมันพืชเปล่ามาเจาะรูป เอาท่อนไม้ซางเสียบ แล้วมันนั่งยองๆเอามือควานดินท้องร่องสวน เอาที่เป็นดินเหนียวมาปั้นๆพอกๆที่ขวด...แล้วมันก็ร้องสุดเสียงว่า....เฮ๊ยๆๆๆ

  ปรากฏว่ามันเสือกไปคว้าโดนงูติดมือขึ้นมา งูตัวยาว 1 เมตรกว่าๆ ไม่ใช่งูเหลือมเพราะตัวดำๆ ด้วยความตกใจจึงไม่มีใครมัวไปดูว่าเป็นงูอะไร ต่างกระโดดหนีกันทั้งนั้น ไอ้เพื่อนไม่กล้าคลายมือปล่อยงู มันร้องว่าพวกมึงช่วยกูด้วยๆ

  พอตั้งสติได้ก็บอกให้มันยืนเฉยๆอย่าเพิ่งปล่อยมือ ตอนนี้จึงสังเกตเห็นว่า งูตัวดำๆมันแน่นิ่งไม่ฉก เพื่อนบางคนนึกว่าที่แท้เป็นงูตาย แต่พอขว้างงูลงพื้นเท่านั้น เจ้างูมันชูหัวชูคอขึ้นมา ดูคล้ายแผ่แม่เบี้ย พวกข้าพเจ้าจึงเอาก้อนดินเศษกิ่งไม้แห้งขว้างใส่ จนงูเลื้อยหนีปรู๊ดปร๊าด สันนิษฐานว่าเจ้างูนี้น่าจะเป็นงูเห่า

  ตอนที่เพื่อนคว้าโดนงูนั้น งูมันแน่นิ่งเหมือนงูตาย แสดงว่าเป็นอภินิหารปลัดขิกสยบงูของหลวงปู่เมฆ อันที่จริงเจ้าเพื่อนคาดปลัดขิกหลวงปู่เมฆ เพื่อนหวังทางเจ้าชู้ประตูดินมากกว่า.....

แบบมีลูกสะกดพญาท้าวเอว
 

 อีกเรื่องเป็นประสบการณ์ทางมหานิยมมหาเสน่ห์...หึๆๆ ประสบการณ์ของข้าพเจ้าเอง เป็นสมัยที่ข้าพเจ้าเรียนจบทำงานแล้ว

  ที่ทำงานข้าพเจ้ามีสาวสวยหลายคน เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเป็นรุ่นเดียวกับข้าพเจ้า...ขาว สวย หมวย แต่ไม่ค่อยจะอึ๋ม ผิวสวยมาก ผิวสวยเพราะเธอเป็นจีนไหหลำ เธอดูดีมากๆเชียวมีคนจีบเยอะ รู้จักกันใหม่ๆข้าพเจ้าก็มองว่าเธอค่อนข้างจะเหยียดๆชนชั้นช่างกล เธอจบการศึกษาทางสายที่เรียกว่า คอมเมอร์ส หรือ คอมเมอร์เชียลส์ เรียกง่ายๆว่าจบพาณิชย์แต่เป็นแบบพาณิชย์ของโรงเรียนฝรั่ง

  เพื่อนคนนี้สวยและวางตัวหรูไฮโซ พูดภาษาอังกฤษปรื๋อ เพราะเธอเรียนจบภาษาที่ AUA  มีซุปเปอร์ไวเซอร์และรุ่นพี่มาจีบหลายคน เธอไม่เล่นด้วยจนคนลือว่าเธอหยิ่ง...ข้าพเจ้าเองคุยกับเธอก็คุยเรื่องงานแค่นั้น ไม่เคยคิดเกินเลยอะไร...และแล้วปลัดขิกหลวงปู่เมฆก็แสดงอภินิหาร

ที่แสดงฤทธิ์กับสาวไฮโซ คือ 1 ในรูปนี้

  วันหนึ่งทางแผนกมีประชุม เธอไม่ต้องเข้าประชุมเพราะเรื่องไม่เกี่ยวกับหน้าที่ในส่วนของเธอ ก่อนเข้าห้องประชุมข้าพเจ้ายืนคุยกับพวกรุ่นพี่เรื่องเครื่องรางของขลัง บังเอิญเธออยู่ใกล้ เธอจึงถามว่าของขลังรึ นั่นอะไร...คือ ในมือข้าพเจ้าถือปลัดขิกหลวงปู่เมฆ ต้องรีบหุบกำมือไม่ให้เธอเห็นปลัดขิก กลัวโดนหาว่าหยาบคาย

  เธอถามว่า...ขอฉันดูหน่อย ไม่แย่งหรอก งกไปได้...ข้าพเจ้ากลัวว่าถ้าเธอเห็นเป็นรูปองคชาติ เธอคงอายและโกรธน่าดู จึงพูดปัดส่งเดชไปว่า...ให้ดูเดี๋ยวเธอก็หลงรักฉันตามฉันไปจู๋จี๋นะ....เธอกลับหัวเราะประมาณว่าข้าพเจ้าช่างล้อเล่นกับสาวไฮโซของแผนก เธอเสียงแข็งสั่งว่า...เอามาดูเสียดีๆ...แถมยังทำท่าจะแกะมือข้าพเจ้าดูของข้างในเสียด้วย ตอนนั้นพวกรุ่นพี่สะดุ้งรีบหนีเข้าห้องประชุมทันที คิดว่าเธอเห็นปลัดขิกต้องวี๊ดแตกแน่

  ข้าพเจ้านึกไงไม่รู้แบมือให้ดู นึกในใจว่ากรูโดนด่าแน่...แต่แล้ว พอเธอก้มลงมองที่ปลัดขิก เธอก็ว่า..ตะกรุดอะไร จะทำให้ฉันนี่นะไปจู๋จี๋กับเธอได้  ..เธอหัวเราะขำใหญ่ เธอเห็นองคชาติทำจากไม้เป็นตะกรุด

  ข้าพเจ้าดันล้อเล่นกับเธอว่า ต้องอย่างนี้ เธอแบมือก่อน พอเธอแบมือ ข้าพเจ้าก็เอาปลัดหลวงปู่เมฆมาจิ้มที่กลางฝ่ามือเธอ แล้วทำท่าว่าเขียนยันต์เขียนนะมั่วๆให้เธอดู...ที่จริงอยากลองจับมือเธอ...นุ่มนิ่มดีชะมัด อุ้งมือคุณหนูๆ จำได้ว่าแกล้งท่องคาถามั่วๆว่า จู้ฮุกกรูๆหลงรักฉันจงตามฉันมานะ....แล้วรีบเผ่นเข้าห้องประชุม ข้าพเจ้าเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์บริษัท ที่กล้าแต๊ะอั๋งจับมือเธออย่างดื้อๆ...ตอนนั้นเห็นเธอยืนอึ้ง

  เหลือเชื่อ เธอตามเข้ามานั่งข้างๆข้าพเจ้าในห้องประชุม พวกรุ่นพี่ที่หนีเข้ามาก่อนร้อง...เอาล่ะเว๊ยๆเขาตามมาด่ามึงแล้ว...ปรากฏว่าเธอมานั่งข้างๆข้าพเจ้า ทำหน้าแดงๆพูดว่า...เธอว่าอะไรนะเราจะไปไหนกันเหรอ ไปตอนเลิกงานนะ ฉันว่าง

  นี่คือเรื่องจริงที่ยิ่งกว่าจริง เธอรอข้าพเจ้าตอนเลิกงาน ไปดินเน่อร์ด้วยกัน ตอนเช้าเจอกันก็มาชวนคุยนั่นคุยนี่ แต่คล้ายๆคุยแบบงงๆอยู่บ้าง มองสบตาแบบหวานๆบ้าง(ยังจำสายตาเธอได้ หวานแทบตาย)  แถมเวลาเดินยังเกาะแขนข้าพเจ้าด้วย เล่นเอาจิตฟุ้งซ่าน เป็นแบบนี้อยู่หลายวันจนข้าพเจ้าเอะใจว่า...เพื่อนสาวไฮโซคนโคตรสวยโดนทีเด็ดปลัดขิกหลวงปู่เมฆครอบงำเสียแล้ว

  ข้าพเจ้าจึงคิดหาทางแก้ เรื่องนี้ไม่ได้กราบเรียนสอบถามหลวงปู่เมฆเอาไว้เสียด้วย แต่นึกขึ้นได้ว่า คนโบราณท่านใช้ก้นปลัดฝนทำน้ำมนต์แก้ไข้แก้อาถรรพ์ พอคิดได้ก็แกล้งเข้าไปที่ด้านหลังเธอ พอเพื่อนคนสวยเผลอก็เอาก้นปลัดจิ้มให้โดนตัวเธอ แล้วขอหลวงปู่ช่วยปัดเป่าหน่อย....แล้วอาการหวานแว๋วจนโลกลือของเธอก็หายไป

  อย่างไรก็ตามยังมีควันหลงตามมาว่า จากเธอสาวไฮโซหยิ่งๆ ก็กลายเป็นเธอเพื่อนซี้ของข้าพเจ้า ที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ สนิทมากขนาดว่าเธอชวนไปเที่ยวที่บ้านหลายครั้ง สนิทกันมาตลอดจนถึงวันที่ข้าพเจ้าลาออกจากบริษัท

  ปลัดขิกหลวงปู่เมฆอันนั้น ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงเธอ ระลึกถึง อุ้งมือนิ่มๆ ไหล่นุ่มนิ่ม เส้นผมหอมๆ...และ...เพื่อนรัก ฉันขอโทษ...



ปู่ปลัดขิกไม้เขยตาย

อีกเรื่อง

  ครั้งก่อนเล่าเรื่องปลัดขิกหลวงปู่เมฆแสดงฤทธิ์ให้เพื่อนสาวไฮโซจอมหัวสูง ที่ต้องมาเคลิบเคลิ้มกับข้าพเจ้าแล้ว ก็นึกขึ้นได้อีกว่า หลังจากที่ข้าพเจ้าถอนพิษความเคลิบเคลิ้มโดยเอาก้นปลัดขิกไปถูกแผ่นหลังของเธอ หลังจากนั้นความหวานแว๋วในระดับโชว์สกิลพิศวาสของเธอก็หายไป ไม่มีการมาเกาะแขนคล้องแขนกันแล้ว แต่ก็แปลกที่สาวไฮโซดาวบริษัทยังกลายมาเป็นเพื่อนซี้กับข้าพเจ้าในแบบเพื่อนซี้คนละขั๊ว ที่ว่าคนละขั๊วก็เพราะวิถีชีวิตมันต่างกันมากๆ แวววงของเธอนั้นหรูหราพิถีพิถัน ส่วนข้าพเจ้ายังติดนิสัยช่างกลยังแบดบอย แต่ข้าพเจ้ากับเธอกลายเป็นเพื่อนซี้จนคนในบริษัทงุนงง

ปู่ปลัดพญาท้าวเอวจอมอหังการ

  เล่าเรื่องอภินิหารหลวงปู่เมฆแล้วก็ขอเล่าต่อ เพิ่งนึกขึ้นได้ เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของข้าพเจ้า เป็นเรื่องวาบหวิวหวานซึ้ง และผสมกับสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย  เป็นเรื่องในช่วงประมาณหลังปี พ.ศ.2525 ไม่เกิน2530 เป็นช่วงเรียนจบทำงานแล้ว

  อภินิหารปลัดขิกในแบบที่จะเล่านี้ ข้าพเจ้าเคยเจอกับปลัดขิกของหลวงพ่อ(....)ด้วย เป็นแบบเดียวกันเป๊ะ ขอเล่าเรื่องของหลวงปู่เมฆก่อน

  ประมาณหลังปี พ.ศ.2525 ไม่เกิน พ.ศ.2530 ข้าพเจ้ามีธุระที่จะต้องไปถึงเกือบสุดชายแดนภาคเหนือ คือต้องไปเกือบถึงสามเหลี่ยมทองคำ จ.เชียงราย ต้องเดินทางคนเดียว ไปขึ้นรถทัวร์ที่ข้างๆโรงแรมอินทรา แต่รถไปถึงแค่เพียงตัวเมือง จ.เชียงราย แล้วต้องต่อรถโดยสารท้องถิ่นไปยังจุดหมายปลายทาง

  เมื่อขึ้นรถทัวร์ที่ข้างโรงแรมอินทรา ข้าพเจ้าได้ที่นั่งริมทางเดิน ส่วนที่นั่งด้านข้างนั้นผู้โดยสารยังไม่มา ระหว่างที่นั่งบนรถรู้สึกว่าแอร์เย็นเจี๊ยบ เลยหยิบเสื้อแจ็คเก็ตไฟท์ทหารอากาศมาใส่ ระหว่างนั้นเห็นว่างๆก็เลยเอามือจับปลัดขิกหลวงปู่เมฆที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ใช้นิ้วมือวนๆตรงหัวปลัดขิกฝึกภาวนาคาถาของหลวงปู่เมฆ ภาวนาคาถาบทสั้น...โอม มะ หัวดอ หี หัวร่อ งอหาย สัมปะติฐฉามิ...ประมาณว่าฝึกวิทยายุทธไปเรื่อยเปื่อย

  อีกบท...  ปลัดขิกของวิเศษหลวงปู่เมฆ

โอม มะ กะดอ กอ ข้อ ขอ งอ ออ จอ หี ยอ อากาคะงะ คะอัง ฤ ฤา สวาหะ สวาโหม โอม มะ หัวดอ หี หัวร่อ งอ หาย สัมปะติฐฉามิ

ปู่ปลัดขิกดอกนี้แหละ

  ก่อนรถทัวร์ออกเล็กน้อย มีผู้หญิงร่างเล็กๆผอมเพรียวผิวขาวจั๊วะเดินเข้ามาจะนั่งที่ว่างข้างๆด้านหน้าต่างรถ ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นหลีกทางให้เธอ มองเห็นว่าเธอน่าจะมีอายุพอๆกับข้าพเจ้า ก็ประมาณ 20ต้นๆไม่น่าเกิน 25 หน้าตาสวยใช้ได้ สวยแบบสาวเหนือ

  เธอถือกระเป๋าใบใหญ่ จะเอากระเป๋าใส่ไว้ตรงที่เก็บด้านบนของที่นั่งก็ทำไม่ได้เพราะเธอตัวเตี้ย ข้าพเจ้าเลยช่วยเป็นธุระยกกระเป๋าใส่ในช่องเก็บของให้เธอ เธอก็เฉยๆไม่ได้พูดทักทายอะไร แล้วเธอก็นั่งตรงที่นั่งของเธอที่เป็นเก้าอี้ติดหน้างต่างรถ ข้าพเจ้าก็นั่งตรงที่นั่งติดกับเธอ

  สมัยนั้นบนรถทัวร์ยังไม่มีจอTVส่วนตัวตรงหลังพนักพิงที่แยกเป็นของใครของมัน จะมีก็แค่ TV ด้านหน้ารถเครื่องเดียว เป็น TV หรือโทรทัศน์บ้านนั่นเอง จะต่อเครื่องเล่นวิดิโอแบบ VHS ที่เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักแล้ว ส่วนมากจะเปิดหนังกำลังภายในสักเรื่องสองเรื่อง แล้วเปิดเทปตลกคณะต่างๆ เทปตลกนี้เด็กสมัยนี้ก็ไม่เคยเห็นแล้ว....ถ้าเป็นการเหมารถทัวร์ไปท่องเที่ยว มักจะเปิดหนัง X

ปลัดขิกไม้เขยตาย

  พอเดินทางไปได้สักครู่ พนักงานก็เอาอาหารกล่องมาแจก และมีผ้าห่มให้คนละผืน...เมื่อรถวิ่งออกพ้นเขตกรุงเทพฯก็รู้สึกว่าแอร์ยิ่งเย็นเจี๊ยบกว่าเดิม ข้าพเจ้าต้องเอาหมวกออกมาสวมศีรษะ พอมองไปที่เธอข้างๆเห็นเธอห่มผ้าห่มทั้งตัวแสดงอาการหนาว ข้าพเจ้าเลยยื่นผ้าห่มของข้าพเจ้าให้เธอ บอกเธอว่าข้าพเจ้าใส่เสื้อแจ็คเก็ตก็พอแล้ว เธอมองข้าพเจ้าแล้วขอบคุณรับผ้าไปห่มอีกชั้นหนึ่ง

แบบชุบแลคเกอร์

  ระหว่างเดินทางข้าพเจ้าก็เอามือจับปลัดขิกหลวงปู่เมฆที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ใช้นิ้วมือวนๆตรงหัวปลัดขิกฝึกภาวนาคาถาของหลวงปู่เมฆเหมือนเดิม ไม่ได้คิดอะไรแค่นึกว่าฝึกวิทยายุทธ สายตาก็ดูจอTVดูหนังกำลังภายใน ดูหนังไปภาวนาคาถาไป หนังจบก็เปลี่ยนเป็นเทปตลก...ข้าพเจ้ายังคงฝึกภาวนาคาถาปลัดขิกไปเรื่อยๆ พอขยับตัวก็ไปเบียดเธอที่นั่งข้างๆ นึกขึ้นได้ว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ข้างๆ ประเดี๋ยวเผลอไปนั่งเบียดเธอเข้าจะดูไม่ดี ข้าพเจ้าจึงแอบชำเลืองมองเธอ แล้วนั่งให้ชิดทางเดินที่สุดเพื่อไม่ให้เผลอไปเบียดโดนตัวเธอ ขณะนั้นยังภาวนาคาถาตามความเคยชิน...

  และแล้ว...อยู่ๆเธอก็เอียงตัวมาพิงข้าพเจ้า เอาศีรษะซบกับไหล่ข้าพเจ้าจนข้าพเจ้าสะดุ้ง เธอซบไหล่ข้าพเจ้าและดูเทปตลกหัวเราะเป็นพักๆ แล้วเอามือมาคล้องแขนข้าพเจ้าแบบเป็นแฟนกัน พอเทปจบสักครู่เธอก็หลับซบข้าพเจ้าอยู่อย่างนั้น เอ้า..เมื่อเธอจะกอดแขนจะซบไหล่ข้าพเจ้าก็ตามใจ ตอนนั้นยังไม่ได้คุยกัน ไม่ไปรบกวนให้เธอตื่น...ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า ปลัดขิกหลวงปู่เมฆสำแดงเดชแน่ ในใจวาบหวิวไม่น้อย..ปู้โธ่ ก็ตอนนั้นเรายังหนุ่มแน่น มีสาวๆมาซบไหล่แล้วจะไม่ฟุ้งซ่านบ้างได้ไง

  พอถึงจุดรถจอดพักให้รับประทานอาหาร เห็นว่าเธอยังหลับอยู่ ข้าพเจ้าค่อยๆแกะมือเธอที่คล้องแขนออก ค่อยๆพยุงศีรษะเธอให้พิงพนักพิง พอข้าพเจ้าขยับตัวลุกขึ้น เธอก็ตื่นแล้วมองข้าพเจ้าแบบงงๆเหมือนคิดอะไรอยู่ ข้าพเจ้าลุกจากที่นั่งลงรถเดินไปยังส่วนที่ทางรถทัวร์จัดไว้ให้นั่งรับประทานอาหาร เดินไปนั่งที่โต๊ะสำรับข้าวต้มนั่งอยู่คนเดียว แล้วเธอก็เดินมานั่งข้างๆข้าพเจ้า แล้วเธอชวนคุย

แบบไม่มีรอยด่างดำที่ปลัดขิกก็มี

  เธอบอกว่า ...ไม่รู้เป็นยังไง พอเห็นพี่(คือข้าพเจ้า)แล้วงงๆเหมือนเคยรู้จักสนิทกันมาก่อน อยู่ๆก็นึกว่าพี่น่ะเป็นแฟนของ(...)เลยนะ(จำชื่อเธอได้)...ระหว่างนั้นเธอตักข้าวต้มใส่ชาม 2 ใบ ของเธอและข้าพเจ้า จากนั้นก็คุยไปรับประทานไป

  เธอเล่าว่า...แปลกที่อยากคุยกับข้าพเจ้ามาก อยากคุยอยากรู้จักจนทนไม่ไหวต้องเข้ามาชวนคุยด้วย คุยแล้วก็นึกว่าเป็นแฟนกันเสียอีก..แต่ กลัวว่าข้าพเจ้าจะรังเกียจเธอ เพราะเธอทำงานกลางคืน แล้วเธอก็เล่าให้ฟังว่า...

  เธอทำงานในค็อกเทลเล้าน์แถวๆ ถ.สุขุมวิท บางครั้งจำเป็นที่จะต้องไปค้างกับผู้ชาย เธอจำเป็นต้องทำเพื่อเงิน เธอถามว่าเธอเป็นอย่างนี้แล้วรังเกียจที่จะคบเธอมั๊ย แต่เธอไม่รอให้ข้าพเจ้าตอบ เธอบอกว่า...พี่เป็นแฟน(...)นะ พี่ไม่ต้องรัก ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ขอแค่เป็นแฟน(...)ให้(...)มีผู้ชายที่ไม่ได้มาซื้อดริ๊งก์ซื้อตัวเธอ แค่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน อยู่ด้วยกันบ้าง...ตอนนั้นข้าพเจ้าตกใจเหมือนกัน แต่สงสารไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่ยิ้มๆ

ปู่ปลัดขิกดอกบนมีคราบเทียนติดเห็นชัด

ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้แล้วว่า ปลัดขิกหลวงปู่เมฆสำแดงเดชมหาเสน่ห์อีกแล้ว และเป็นการแสดงฤทธิ์แบบชวนสาวที่ไม่ใช่สาวพรหมจารี ซึ่งตรงกับคำเล่าของคนรุ่นเก่าว่า ครูอาจารย์มักอนุญาตให้ใช้ในหญิงมีตำหนิ อำนาจท่านปลัดจะอำนวยผลได้ง่ายขึ้น ส่วนสาวพรหมจรรย์นั้นมักช่วยแค่อำนวยผลให้มีทางได้รู้จักกัน พอรู้จักกันได้แล้ว ต่อจากนั้นก็เรื่องของมึงที่จะสานต่อ ครูอาจารย์ไม่เกี่ยวไม่ยุ่งกับมึงเว๊ย

  พอได้ทำความรู้จักกันแล้ว เธอดีใจมาก แต่ข้าพเจ้ามองออกว่าเธอออกจะงงๆ ประมาณว่าต้องมนต์ พอรับประทานอาหารเสร็จก็ขึ้นรถ เธอกอดแขนและซบไหล่ข้าพเจ้าอีกแล้ว ข้าพเจ้ารีบแก้ไขอำนาจมหาเสน่ห์โดยเอาก้นปลัดขิกมาลูบศีรษะของเธอ แล้วเธอหัวเราะว่ามือไวจริง(ไม่เห็นปลัดขิก) คนบนรถนึกว่าข้าพเจ้ากับเธอเป็นผัวเมียกัน...เธอว่าเสียดายที่ไม่ได้นั่งรถไปถึงเชียงราย เพราะเธอจะลงรถที่ทางแยกเข้า อ.ดอกคำใต้ ที่แท้เธอเป็นสาวดอกคำใต้นั่นเอง 

อีกดอกที่ผิวเรียบ

  ในสมัยนั้นสาวดอกคำใต้จำนวนไม่น้อยที่ต้องทำงานกลางคืน มีตั้งแต่ระดับล่างๆจนถึงระดับสูงแบบเธอ ที่ต้องทำงานอย่างนี้ก็เพราะส่งเงินให้ทางบ้าน

  ใกล้สว่างรถก็จอดที่ทางแยกเข้า อ.ดอกคำใต้ เธอต้องลงจากรถแล้ว ปรากฏว่ากอดข้าพเจ้าแน่นแล้วร้องไห้ เธอบอกว่าต้องเอาเงินไปให้แม่ที่บ้าน อยากพาข้าพเจ้าไปบ้านด้วย แต่ข้าพเจ้าต้องไปทำธุระที่ อ.เชียงแสน ไปงานแต่งงาน ถ้าไปบ้านดอกคำใต้กับเธอ จะทำให้ไปงานแต่งงานไม่ทัน

  เธอขอไปเจอข้าพเจ้าที่ จ.เชียงราย จะได้นั่งรถกลับกรุงเทพฯด้วยกัน ก็เลยนัดเจอกันที่โรงแรมที่ จ.เชียงราย ซึ่งข้าพเจ้าได้ติดต่อจองห้องพักไว้ตั้งแต่แรกแล้ว....เมื่อสองปีก่อนไปธุระที่ จ.เชียงราย พบว่าโรงแรมนี้ยังมีอยู่ แต่เขารีโนเวตใหม่หมด วันนั้นอดระลึกถึงเธอขึ้นมาไม่ได้

  ข้าพเจ้าได้พบกับเธอที่โรงแรมดังกล่าว เธอดีใจที่ข้าพเจ้าไม่ได้หลอกว่าพักที่นี่ เธอว่า...จะเป็นแฟนพี่นะ ไปๆมาๆก็เลยเที่ยวเชียงรายต่อ แล้วจึงกลับกรุงเทพฯด้วยกัน

  เธอเป็นคนจริงใจ เธอระบายความในใจว่าเธอมีอาชีพไม่ดี ชีวิตนี้คงไม่มีครอบครัว เธอขอแค่ระหว่างที่เธอจำเป็นต้องทำงานนี้ ขอแค่ข้าพเจ้าเป็นแฟนไปเที่ยวบ้าง ได้ปรับทุกข์บ้าง และยอมรับว่าเธอเป็นแฟนต่อหน้าเพื่อนๆเธอ เพราะจะได้ไม่มีผู้ชายอื่นมาเกะกะ เธอขอเพียงแค่นี้ เธอบอกว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไร ที่วันที่เจอกันบนรถทัวร์ อยู่ๆก็อยากรู้จักอยากเป็นแฟนข้าพเจ้าจนทนไม่ไหว ต้องเข้ามาตีสนิทเอง

  เธอทำงานอีก 5 – 6 ปี เก็บเงินได้มากพอ ปลูกบ้านได้สำเร็จ จึงเลิกทำงานนี้ เธอมาลาว่าจะกลับไปทำไร่ที่บ้านเกิด เธอว่าที่จริงแล้วอยากอยู่กับข้าพเจ้า แต่เธอเคยทำอาชีพไม่ดี ไม่อยากจำภาพเก่าๆนั้น และขอให้ข้าพเจ้ายังเป็นเพื่อนที่ดีของเธอต่อไป...ข้าพเจ้าสะเทือนใจไม่น้อย...สาวดอกคำใต้แสนอาภัพที่ใจเด็ดเดี่ยว เป็นคนดี

  เรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในอุปเท่ห์ของท่านปู่ปลัดขิกในข้อที่ว่า ใช้กับสาวพรหมจรรย์ไม่หวังผลนัก แต่กับหญิงมีตำหนิใช้ได้ง่ายกว่า...เข้าใจได้ว่า ครูอาจารย์ท่านไม่สนับสนุนให้ไปเจ้าชู้ไม่เลือก แต่เปิดช่องตรงหญิงมีตำหนิ คือ แม่หม้าย หญิงเคยผ่านผู้ชาย หญิงรักสนุก ทำนองนี้พอจะมุ่งหวังได้โดยไม่บาปนัก

ปลัดขิกสาริกา ยาว 1.5 ซ.ม.

อภินิหารปลัดจิกหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน อีกเรื่องหนึ่ง

  ได้เคยเล่าเรื่องประสบการณ์ปลัดขิกหลวงปู่เมฆไปแล้ว ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง ประสบการณ์เก่าๆครั้งพกปลัดขิกติดตัวยังมีอีกหลายเรื่อง เอาไว้จะค่อยๆนึกแล้วมาเล่าให้ฟัง ส่วนมากข้าพเจ้าจะจำเรื่องวาบหวามหวิวได้ เพราะเป็นที่บันเทิงยิ่ง เป็นช่วงชีวิตที่อบอวนไปด้วยความเลิฟ

กลับมาอยู่ในกระเป๋าคาดเอว

ปัจจุบันข้าพเจ้ายังคิดว่าคงไม่มีประสบการณ์ใหม่ๆของปลัดขิกหลวงปู่เมฆมาเล่าให้ฟังเพิ่มอีก เพราะข้าพเจ้าเลยวัยซอกแซกไปกับท่านปลัดขิก ไม่กล้าสนิทสนมกับน้องหนูสาวๆทั้งหลายเสียแล้ว กลัวคนเขามองว่าเป็นพวกป๋าสายเปย์ หรืออาเสี่ยบ้ากาม คิดอย่างนี้เลยไม่ได้ใช้อภินิหารปลัดขิกในทางวาบหวามอีกแล้ว...แต่ที่จริง..ยังอยากลองคุณวิเศษท่านปลัดขิกนะ แต่อายๆอ่ะ

  และแล้ว...ถึงไม่ได้พกท่านปลัดขิกไปจู๋จี๋อี๋อ๋อกับสาวๆรุ่นหลาน(สะเทือนใจชอบกล) อยู่ๆข้าพเจ้าก็พบประสบการณ์ท่านปลัดขิกของหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน เจอกับตัวเองแบบงุนงงและดีใจ ทั้งยังทำให้ต้องรีบเสาะหาปลัดขิกหลวงปู่เมฆเก็บเพิ่มขึ้น ตอนนี้ยังพอหาได้ ยังพอดูความเก่าของเนื้อไม้ และศิลป์การแกะ

  ประสบการณ์ครั้งล่าสุดมีว่า....หลังจากเขียนเล่าเรื่องปลัดขิกของหลวงปู่หลวงพ่อต่างๆ ข้าพเจ้านึกเสียดายปลัดขิกที่เคยแจก รวมทั้งโดนบังคับให้แจกครั้งยังทำงานบริษัท ข้าพเจ้าอยากได้คืนทุกหลวงพ่อ เสียดายของมากๆ ไอ้พวกขอไปนั้น มันเห็นว่าขอฟรีได้แมร่งก็ขอ พวกนี้ไม่ได้นับถือเชื่อถืออะไ รหรอก แค่พวกชอบของฟรี

ปู่ปลัดขิกดอกที่กลับมาเองที่กระเป๋าคาดเอว

  เมื่อระลึกอดีตเกิดเสียดายปลัดขิก ก็เลยพลอยให้ระลึกถึงวิทยายุทธปลัดขิกทั้งหลาย จึงค่อยๆนึกทบทวนตำรับหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลาย พบว่าลืมไปเยอะเหมือนกัน จึงต้องมาท่องจำให้แม่น กลัวว่าไม่ท่องไม่ภาวนาเดี๋ยวก็ลืมไปเสียอีก ในชั้นแรกก็ทวนบทสั้นๆเพราะจำง่าย ทั้งระลึกเสียดายปลัดขิกหลวงปู่เมฆ ลังเลว่าเราจะหาเช่าบูชาเพิ่มอีก ขืนช้าไปกว่านี้เดี๋ยวจะแยกปลัดขิกเก่าใหม่ไม่ได้ ตอนนี้ยังพอทัน ข้าพเจ้าอยากได้ปลัดขิกหลวงปู้เมฆคืนจากที่เคยแจกไป ทบทวนไปคิดไปแทบทุกวัน

  สัปดาห์ก่อนขณะที่ข้าพเจ้าจะออกไปซื้อของ ก็หยิบกระเป๋าที่ใส่สตางค์กับของจุกจิกมาคาดเอว กระเป๋าใบนี้พกติดตัวมาตลอด ในกระเป๋ามีอะไรอยู่บ้างจำได้หมด และเพิ่งเอาเงินในกระเป๋านี้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อไปเมื่อไม่กี่วันนี้ด้วย ข้าพเจ้าตรวจดูให้แน่ใจว่ามีเงินในกระเป๋ามากพอหรือไม่ ถ้าไม่พอจะได้ไปถอนเงินมาสักหน่อย

  เมื่อรูดซิปเปิดกระเป๋าจะดูจำนวนเงิน สิ่งแรกที่เห็นก็คือ....ปลัดขิกหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน...อยู่ๆก็มีปลัดขิกหลวงปู่เมฆอยู่ด้านบนของช่องกระเป๋า ข้าพเจ้าไม่ได้เอาปลัดขิกหลวงปู่เมฆใส่ไว้ในกระเป๋าใบนี้ เพราะเวลาจะไปที่ไหน ถ้าพกปลัดขิกก็จะเอาใส่ในกระเป๋ากางเกงเท่านั้น ทำเช่นนี้มาตั้งแต่ยังหนุ่ม




  ปลัดขิกหลวงปู่เมฆมาอยู่ในกระเป๋าคาดเอว เป็นท่านปลัดขิกที่มันเป็นเงาเสียด้วย มองเห็นความฉ่ำเก่าได้อย่างชัดเจน ท่านปลัดขิกมานอนอยู่บนเงินในกระเป๋าโดยที่ไม่ได้ร่วงลงไปก้นกระเป๋าสตางค์ เหมือนจะโชว์ตัวให้เห็นว่า...ข้ามาแล้ว.....มาในช่วงที่ข้าพเจ้าระลึกเสียดายท่านปลัดที่เคยแจกคนอื่นไป มาในช่วงที่จิตกระหวัดนึกถึงตำรับปลัดขิก....นี่แหละที่ครูอาจารย์ท่านเคยบอกว่า บางทีปลัดขิกก็หายไปเอง บางที่ก็ไปอยู่ที่ใหม่...เชื่อเถอะ ตอนนี้ยังเก็บปลัดขิกหลวงปู่เมฆได้ทัน นานไปกว่านี้จะแยกของเก่าของใหม่ไม่ออก รีบๆเสาะหา เตือนแล้วนะ



เรื่อง จากความทรงจำ ที่ได้พบประสบการณ์จริง

ภาพหลวงปู่เมฆ จากอินเตอร์เน็ต ซึ่งหาต้นทางไม่เจอ

ภาพแผ่นปั๊มหลวงปู่เมฆ และ ปลัดขิกทั้งหมด เป็นของข้าพเจ้าเก็บรักษาไว้






วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย.24 ยันต์สลักเกล้า




ยันต์สลักเกล้า

  ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าผู้เขียนมีอายุถึงวัยหลังเกษียณ  ก็เกิดอารมณ์อย่างหนึ่งขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้ คือ อารมณ์ระลึกอดีต...ก่อนที่จะแซยิดนั้นถึงจะระลึกอดีตก็แค่เป็นครั้งคราว พอแซยิดเป็นต้นมา...แมร่ง ระลึกอดีตอยู่เรื่อย ระลึกแล้วบางทียังสะดุ้งว่า กรูเคยทำแบบนั้นไปได้ไงวะ

  การระลึกอดีตบ่อยๆก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย เช่น สาวๆ(ในยุคนั้น)ที่เราลืมเธอไปนาน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยสนิทกันอย่างไร แล้วพลัดพรากอย่างไร แม้แต่หลายๆเหตุการณ์ที่เคยไปกราบพระอาจารย์ด้วยกันซึ่งเราเลือนๆไปแล้ว พอระลึกถึงเธอๆๆ ก็ทำให้นึกออกว่าวันนั้นได้คุยกับหลวงปู่หลวงพ่อพระอาจารย์เรื่องใดบ้าง

  ข้าพเจ้าระลึกอดีตที่พาแฟนซึ่งก็คือภรรเมียในปัจจุบันไปกราบหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ หลวงพ่อท่านทักว่า.. “อ้าว...มึงพาสาวคนใหม่มาอีกแล้ว ไม่ใช่สาวคนเดิมนี่หว่า”...แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะหึๆๆเมื่อเห็นแฟนข้าพเจ้าหน้าจ๋อย ท่านหัวเราะพูดว่า... “กูล้อเล่น ไอ้นี่มันชอบมาคนเดียวมาถามโน่นนี่กับกูอยู่เรื่อย”

  หวนระลึกไปถึงครั้งเรียนประถมปลาย ทางโรงเรียนพาไปทัศนศึกษาที่หอสมุดแห่งชาติ ก็นานถึงห้าสิบกว่าปีนิดๆ ระลึกอดีตตรงนี้แล้วนึกได้ถึงเพื่อนหญิงที่ลืมเธอไปแล้ว ครั้งนั้นคุณครูแยกกลุ่มนักเรียนให้ค้นหนังสือทำรายงาน ข้าพเจ้าคู่กับเพื่อนหญิงที่เราลืมเธอไปแล้ว มานึกได้ก็ตอนระลึกอดีตการไปหอสมุดแห่งชาติเป็นครั้งแรกนี่เอง จำได้ว่าช่วยกันค้นระเบียนรายชิ่อหนังสือ ซึ่งสมัยนั้นเป็นลิ้นชักเล็กๆยาวติดกันเป็นแผง ต้องไปค้นหาชื่อหนังสือ จะเจอเลขรหัสของโซนและชั้นวางหนังสือ  เราเรียกลิ้นชักที่มีรายชื่อหนังสือว่า “เก๊ะรายชื่อหนังสือ”

  หลังจากนั้น ข้าพเจ้าชอบไปอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติ อ่านหนังสือหลายหลาก จนกระทั่งในกาลต่อมา ก็เริ่มรู้จักค้นหายืมตำราสมุดข่อยมาดู ดูโหราศาสตร์ วิทยาคม ภาพวาดจิตรกรรม

  เมื่อเรียนชั้นมัธยมก็ทำบัตรหอสมุดแห่งชาติ แล้วไปหาหนังสืออ่านเล่น จนกระทั่งเรียนช่างกลก็ยังไปค้นหนังสืออ่านเหมือนเดิม จนกระทั่งไปค้นตำรับตำราสมุดไทยสมุดข่อยปั๊บสา เรื่องนี้มีขั้นตอนการขอดูหนังสือด้วย ไม่ใช่ว่าเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปค้น...และแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นตำราเก่ามากมาย หลายเล่มมียันต์รูปภาพสวยๆก็จดและจำเอามา มียันต์หนึ่งซึ่งจำได้แม่นชื่อว่า ยันต์สลักเกล้า ในตำราเขียนชื่อยันต์เป็นตัวอักษรขอมซึ่งถอดเป็นอักษรไทยว่า ยันสลักเกลา อ่านว่า ยันต์สลักเกล้า

  ยันต์สลักเกล้านี้ข้าพเจ้ายังได้เห็นสำเนาอื่นจากที่หอสมุดและจากพระอาจารย์ทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งยังได้เคยสอบทานจากพระอาจารย์ทางแถบเพชรบุรี พบว่าเป็นยันต์เดียวกันแต่มีการคัดลอกจดจำต่างกันบ้างนิดๆหน่อยๆ ส่วนมากหลวงปู่หลวงพ่อมักจะเรียกว่า หนุมานถวายแหวน หนุมานสะกดทศกัณฐ์ หนุมานสลักเกสา หนุมาณปราบลงกา และ สลักเกล้า ข้าพเจ้าเห็นและได้ยินมาเช่นนี้

   ตำราที่ท่านอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ได้จัดพิมพ์นั้น ในฉบับหนึ่งก็มียันต์ สลักเกล้า ซึ่งเป็นยันต์ในชุดตำรับวัดประดู่ทรงธรรม อยุธยา ท่านอาจารย์เทพย์เล่าไว้เองในคำนำว่า การจัดพิมพ์ตำรานั้นครั้งแรกเริ่มมาจากท่านเจ้าคุณศรีฯสนธิ์วัดสุทัศนฯ ประสงค์จะรวบรวมตำราเพื่ออนุรักษ์เผยแพร่ โดยท่านอาจารย์เทพย์รับหน้าที่จัดพิมพ์ให้สำเร็จ ทั้งท่านยังช่วยหาตำราสำนวนอื่นมาสอบทานกับตำราเดิมของท่านเจ้าคุณฯศรี ตำราก็จัดพิมพ์เป็นชุดต่อๆมา เรื่องนี้ในปัจจุบันคนไม่ค่อยรู้ เพราะไม่อ่านคำนำกันสักเท่าไร ก็แปลกดี

  ในตำราเล่มที่มีตำรับวัดประดู่ฯ มียันต์สลักเกล้ารวมอยู่ด้วย โดยสะกดคำอ่านว่า ยันต์ ยมสลักเกลา ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า ท่านอาจารย์เทพอาจจะเห็นตำรับสำเนาหนึ่งที่เขียนอักษรขอมคลาดเคลื่อนไปนิด และเขียนในสไตล์ขอมไทย ซึ่งข้าพเจ้าก็เคยเห็นแบบนี้เหมือนกัน คือ เขียนตัวขอมเป็น ยะ มีตีนอักษรใต้ตัวยะเป็น มะ เขียนแบบนี้จะอ่านว่า ยม หรืออ่าน ยัม ซึ่งมีตำราเล่มอื่นที่เขียนเป็นตัว ยะ และมีตีนอักษรเป็น น ท่านอาจารย์เทพย์ท่านคงยึดตามตำราเล่มที่เห็น คือยึดตามหลักฐานชั้นต้นไปก่อน

  จากยม บ้างก็อ่านเป็นยัมแบบไม่ใส่ไม้หันอากาศ ซึ่งในการเขียนขอมไทยก็มีเขียนแบบใส่วรรณยุกต์บ้างไม่ใส่บ้าง เคยพบว่าเขียนแบบนี้จริงๆ ส่วนที่เขียนเป็น ยะ และมีตีนเป็น น แบบนี้ชัดๆเลยว่า อ่านว่า ยัน ก็คือ ยันต์ นั่นเอง คำถัดไปเป็น เกลา อ่าน เก-ลา  หรือ เกลา ในขอมไทยมีทั้งใส่วรรณยุกต์และไม่ใส่ เวลาอ่านถึงกับต้องเดาเอาก็มาก ดังนั้นคำว่า เกลา จึงอ่าน เกล้า รวมเป็นชื่อว่า ยันต์สลักเกล้า

การเขียนชื่อยันต์สลักเกล้าที่เคยพบ

  คำว่ายันต์สลักเกล้า ยันต์ยมสลักเกลา กลับไม่ค่อยมีการเรียก แต่ไปปรากฏชื่อโดยทั่วไปอย่างแพร่หลายว่า ยันต์ไมยราพสะกดทัพ ข้าพเจ้าเองก็ได้ยินแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งวัยรุ่น(แหม ก็ตั้ง 50กว่าปีก่อนแน่ะ) ในวงการพระเครื่องจะเรียกชื่อยันต์ไมยราพสะกดทัพกันอย่างแพร่หลาย ทั้งยังยกย่องว่าเป็นยันต์ชั้นสุดยอดยันต์หนึ่ง ที่ดังสุดนิยมสุดก็เป็นของหลวงพ่อกุนวัดพระนอน จ.เพชรบุรี

หลวงพ่อกุนวัดพระนอน


  เคยเห็นด้านในของตะกรุดหลวงพ่อกุน มีที่ลงยันต์เป็นรูปหนุมาน ทศกัณฐ์ นางมณโฑ ตามแบบที่เคยเห็นในตำราจริงๆ ต่อมาได้ดูอีกหลายดอกจากเจ้าของที่เป็นคนเมืองเพชร มีแปลกจนสะดุ้งว่า ภายในไม่เห็นรูปอะไรเลย แต่เห็นเป็นรอยเส้นๆยึกยักไปมา ตะกรุดเก่าสุดๆและแท้แน่นอน

  ตะกรุดสลักเกล้าหรือไมยราพสะกดทัพหลวงพ่อกุนตามที่วงการพระเรียก ยังได้เคยเห็นตะกรุดดอกที่เป็นของทางตระกูลเพื่อนคนเมืองเพชรสมัยเรียนช่างกล บรรพบุรุษรับมาทันยุคหลวงพ่อกุนและไม่เคยเปลี่ยนมือ ใช้จนตะกรุดชำรุดกรอบแกรบๆ เลยแกะออกมาดู ก็พบว่าเป็นรอยเส้นยึกยักๆ แต่พอจะมองออกว่ามีร่องรอยของรูปภาพ พอนึกๆเรื่องนี้ดู ก็เข้ากับคำบอกเล่าของคนเมืองเพชรรุ่นเก่าว่า หลวงพ่อกุนท่านลงยันต์แล้วเอาหินขัดๆแผ่นยันต์ให้เส้นยันต์หายไป แล้วจึงลงยันต์ซ้ำลงไปอีก ซึ่งก็คือการลงยันต์แบบที่เรียกว่า ลบถม นั่นเอง                   

ยันต์ของ ล.พ.กุน ภาพจากอินเทอเน็ต หาต้นทางไม่เจอ

  พระอาจารย์และคนเก่าๆทาง จ.เพชรบุรีเล่าว่า หลวงพ่อกุนท่านลงยันต์แล้วลบถมเพื่อลงยันต์ซ้ำ บางทีไปลงยันต์ตามป่าช้า เมื่อเสกตามตำรับแล้วขลังดีนัก ตะกรุดมีทั้งที่ลงยันต์ด้านหน้าและด้านหลัง ที่ไม่ลงยันต์ด้านหลังก็มี แต่ถึงจะไม่มียันต์ด้านหลัง ตะกรุดหลวงพ่อกุนก็ขลัง

  ข้าพเจ้าสงสัยมาโดยตลอดว่า ทำไมวงการพระเครื่องถึงเรียกตะกรุดนี้ว่าตะกรุดไมยราพสะกดทัพ มิหนำซ้ำยังเป็นที่จำกันเรื่องตะกรุดนี้ว่า ตะกรุดไมยรพสะกดทัพหลวงพ่อกุนวัดพระนอน เมื่อสอบถามหลวงปู่หลวงพ่อที่รู้จักท่านก็ไม่ได้เรียกแบบนี้ แต่ท่านเรียก หนุมานถวายแหวน หนุมาณปราบลงกา หนุมาณสะกดทศกัณฐ์ หนุมาณสลักเกล้า สลักเกล้า แต่ในตำราหลายสำนวนที่พบนั้น อ่านชื่อได้ว่า ยันต์สลักเกล้า

  มีข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่ง คือ หลวงปู่หลวงพ่อท่านอธิบายคุณวิเศษของยันต์นี้ว่า หนุมาณสะกดทศกัณฐ์นางมณโฑ ก็เหมือนไมยราพสะกดทัพลักเอาพระรามไปบาดาล ท่านอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ทราบว่าเพราะแบบนี้หรือไม่ ที่ไปๆมาๆคนที่ได้ยินเลยมีเรียกเป็นชื่อยันต์ไมยราพสะกดทัพ

  ยันต์สลักเกล้าจะเป็นรูปภาพเหตุการณ์ตอนที่กำแหงหนุมาณเข้าไปในกรุงลงกาเพื่อตามหานางสีดา โดยที่หนุมาณสะกดยักษ์ที่อยู่ในวังให้หลับ แล้วเดินเข้าไปดูตามห้องต่างๆ จากรูปยันต์มีทศกัณฐ์กับนางมณโฑนอนหลับ ที่มวยผมของทั้งคู่ถูกหนุมานมัดเข้าด้วยกัน และมีรูปหนุมานยืนอยู่ทางด้านข้าง มือหนึ่งถือพระขรรค์อีกมือถือแหวน คือแสดงอาการถวายแหวนให้นางสีดานั่นเอง

ภาพสมุดต้นฉบับ


  ยันต์สลักเกล้าที่ปรากฏในสำนวนต่างๆนั้น ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นฉบับที่เหมือยกันเป๊ะๆถึง 100% ทุกฉบับจะมีอักขระและตัวเลขต่างกันไปบ้าง ที่พบว่าต่างกันแบบแปลกไปอีก จะเป็นรูปภาพของยันต์ เคยเห็นในสมุดข่อยวาดรูปหนุมานถือจักรอันเบ้อเร่อ

  รูปยันต์ด้านหน้าพบว่ามีแปลกไปบ้าง คือ รูปทศกัณฐ์กับนางมณโฑนั้น มีทั้งแบบที่นอนหลับเอามือกอดกันเฉยๆ และมีแบบที่ทศกัณฐ์จับหน้าอกนางมณโฑ ก็คือจับนมนางมณโฑนั่นเอง ข้อนี้ตรงตามที่คนเก่าๆท่านเล่าขำๆว่า “นางมณโฑนมโตข้างเดียว” เพราะรูปทศกัณฐ์นางมณโฑมักวาดเป็นทศกัณฐ์ชอบจับนมข้างหนึ่งของนางมณโฑ นมเลยบวมโตอยู่ข้างเดียว

  ส่วนรูปหนุมานก็มีแปลกออกไป ตามต้นฉบับเป็นเหตุการณ์ที่หนุมาณบุกกรุงลงกาเพื่อค้นหานางสีดา เมื่อพบนางสีดาแล้ว เพื่อยืนยันตัวตนว่าหนุมาณเป็นพวกพระรามจริงๆ จึงถวายแหวนของพระรามให้นางสีดาดูเป็นหลักฐาน จากยันต์สลักเกล้าหลายสำเนาข้าพเจ้าพบว่า รูปหนุมาณมีทั้งถือแหวน ถือกงจักร ถือพวงมาลัย

  รูปยันต์ด้านหลังซึ่งมีบ้างไม่มีบ้าง จะเป็นรูปส่วนศีรษะของทศกัณฐ์นางมณโฑ และมัดมวยผมเข้าด้วยกันเป็นเกลียว การที่มัดมวยผมเข้าด้วยกันนี้ ก็คือการสลักเกล้านั่นเอง

 
แผ่นยันต์สลักเกล้าด้านหน้า

  ในปัจจุบันมักจะรับรู้กันว่ายันต์สลักเกล้าคือยันต์ไมยราพสะกดทัพ ทั้งๆที่ยันต์ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับท่านพญายักษ์ไมยราพเลย ท่านพญายักษ์ไมยราพนั้นสะกดคนด้วยยารม โดยเอาเครื่องยาใส่ในกล้องแบบกล้องสูบฝิ่น แล้วเป่าควันเครื่องยาไปรมมนุษย์ลิงยักษ์ให้หลับ ส่วนหนุมานสะกดกรุงลงกาด้วยมนต์ล้วนๆ

  ยันต์นี้ไปดังที่ จ.เพชรบุรี เหตุเพราะหลวงพ่อกุนวัดพระนอนท่านเสกปลุกมอบให้ศิษย์มีประสบการณ์สุดขลัง ทั้งท่านยังเป็นพระอาจารย์ยุคเก่า ท่านสร้างตะกรุดนี้ไว้จนเหมือนเป็นวัตถุมงคลหลักของท่าน มีชื่อเสียงร่ำลือมาจนถึงปัจจุบัน

  พระอาจารย์ทางเมืองเพชรที่ยังมีตะกรุดสลักเกล้าให้ทันได้เห็นก็มีหลวงพ่อแลวัดพระทรง เคยกราบเรียนสอบถามท่าน ท่านก็เล่าให้ฟัง มาทราบภายหลังว่าในบั้นปลายท่าน ท่านมีทำออกมาบ้าง แต่ข้าพเจ้าตามเก็บไม่มัน มัวชะร่าใจไปหน่อย

                            ยันต์สลักเกล้าของหลวงพ่อแลวัดพระทรง ภาพจากอินเทอเน็ต

ความลับของยันต์สลักเกล้า

  ยันต์สลักเกล้าเป็นยันต์ตำรับวัดประดู่ทรงธรรม กรุงเก่า มีการคัดลอกออกไปโดยศิษย์ตั้งแต่ครั้งโบราณ เมื่อคัดลอกเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น ก็ย่อมต้องมีที่คลาดเคลื่อนกันไปบ้าง บางกรณีเราเห็นยันต์จากสำนวนหนึ่ง แล้วไปเห็นอีกสำนวนหนึ่งที่ต่างกัน เรานึกว่าคลาดเคลื่อน แต่บางทีนั่นคือความลับ เพราะเป็นเรื่องของการเน้นการใช้ให้เด่นไปในทางใดทางหนึ่ง เรื่องนี้ข้าพเจ้าเองเคยเข้าใจผิดมาแล้ว นั่นคือ เข้าใจผิดตรงที่หนุมานคือ มีทั้งหนุมาณถือ แหวน จักร พวงมาลัย เข้าใจผิดไปว่า ตำราเขียนผิด แต่พอนึกถึงตำรับนั้นๆที่มีคาถาเสกแปลกออกไป จึงรู้ว่าที่แท้นี่คือความลับที่เน้นเสกด้านนั้นๆนี่เอง เช่น มีแหวนเพิ่มเจรจามหาอำนาจ จักรเพิ่มมหาปราบ พวงมาลัยเพิ่มมหานิยมมหาเสน่ห์

แผ่นยันต์สลักเกล้าด้านหลัง

 นอกจากนี้ยังมีการแยกใช้ยันต์ด้านหน้าใช้ทางคุ้มครองป้องกันภัย คาถาที่เสกเน้นทางอำนาจ คงกระพัน จังงัง สะกด และแยกใช้เฉพาะยันต์ด้านหลังเป็นมหานิยมมหาเสน่ห์ คาถาที่เสกก็เป็นคาถามหานิยมมหาเสน่ห์ เรียกจิต

  ถ้าสรุปโดยรวมถึงคุณวิเศษของยันต์สลักเกล้า ก็ประมาณว่า คุ้มครองป้องกันภัย ป้องกันและล้างคุณไสยอาถรรพ์ ทั้งยังอยู่ยงคงกระพัน สะกดให้เคลิ้มเผลอไผล ส่วนเรื่องการสะกดคนให้หลับไหลนั้น แบบนี้มันระดับผู้มีวิทยาคมประกอบแล้ว

เรื่องจากความทรงจำที่เคยเห็นจากสมุดข่อยต่างๆ ,จากการสอบถามพระอาจารย์

ภาพ ล.พ.กุนและยันต์ จากอินเทอเน็ตแต่หาต้นทางไม่เจอ

ภาพแผ่นยันต์ ภาพสมุดต้นฉบับเป็นของข้าพเจ้าเอง