วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย ๒๐ สีผึ้งเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์





สีผึ้งเมตตามหาเสน่ห์ SEE-PUENG    ( magic lipstick )


  เมื่อข้าพเจ้านึกย้อนอดีตไปถึงหลายช่วงในชีวิต ก็พบว่าโลกเรานี้เปลี่ยนไปมาก หลายเรื่องหรือแทบจะกล่าวได้ว่าทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ มันได้เปลี่ยนไปตามวิวัฒนาการตามยุคสมัย ข้าพเจ้าเองทั้งแปลกใจและตกใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องเหล่านี้ ที่แปลกใจก็เพราะนึกว่าเรื่องราวมันเหมือนผ่านมาไม่นานนี่หว่า แต่คนส่วนมากมักลืมเลือนไปแล้ว และที่ตกใจนี้ก็ไม่ใช่เพราะโลกเปลี่ยนแปลง แต่ตกใจเพราะความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเหล่านี้ มันเป็นเครื่องบอกว่าตัวเรานี้อายุมากแล้ว ตัวเรานี้..แก่..แล้ว


   กาลเวลาผ่านไปย่อมเกิดมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงพร้อมกันไปด้วย ข้าพเจ้านึกย้อนไปถึงวัยเด็กที่อยู่ในช่วงหลังกึ่งพุทธกาลเล็กน้อย(เอ...เด็กวัยรุ่นยุคดิจิตอลไม่ค่อยรู้จักคำว่ากึ่งพุทธกาล) สมัยนั้น(คำนี้ทำไมฟังแล้วโคตรนานเลยวะ)เครื่องมือเครื่องใช้ตลอดจนสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันนั้น มันแตกต่างกับที่มีใช้ในสมัยนี้มากมายหลายรายการ จำได้ว่า...ตอนไปจ่ายตลาดจะต้องเอาตะกร้าหวายติดมือไปด้วย เพราะสมัยนั้นยังไม่มีถุงพลาสติกถุงก๊อบแก๊บใช้ ถ้าจะซื้อก๋วยเตี๋ยวน้ำหรืออาหารพวกที่เป็นแกง ก็จำเป็นที่จะต้องเอาหม้อหูหิ้วไปใส่ก๋วยเตี๋ยวน้ำ หม้อแบบนี้เรียกหม้ออวยซึ่งคนสมัยนี้ไม่รู้จักคำนี้แล้ว หรืออย่างน้อยก็ต้องถือถ้วยชามติดมือไปใส่แกง ถ้าเป็นแกงไทยต่างๆเช่นแกงไก่แกงเนื้อ ก็พอที่จะถือชามประคองกลับมาถึงบ้านได้ง่ายหน่อย เพราะแกงจะไม่ร้อนถึงขนาดลวกมือ แต่ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำแล้วละก็ จะทุลักทุเลกันเลยทีเดียว เพราะถือไปร้อนมือไปด้วย

ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งเก่าเก็บ


  ข้าพเจ้ามานึกถึงตอนหน้าหนาวว่า คนที่ริมฝีปากแห้งหรือกระทั่งริมฝีปากแห้งจนแตกเป็นริ้วๆเจ็บๆแสบๆนั้น จะนิยมใช้เครื่องสำอางไทยแท้แต่โบราณมาแก้เรื่องริมฝีปากแห้งและแตก นั่นก็คือจะเอาสีผึ้งมาแต้มหรือทาริมฝีปาก ทำให้เพิ่มความมันของริมฝีปากลดการแตกหรือแห้งลงไปได้มาก คนในสมัยรุ่นเดียวกันกับข้าพเจ้ารวมถึงยุคที่เก่ากว่าคนรุ่นข้าพเจ้านั้น ใครๆก็รู้จักสีผึ้ง ทั้งยังหาซื้อสีผึ้งได้ง่ายๆทั่วไป ที่ง่ายๆก็คือร้านขายพวงมาลัยขายดอกบัวไหว้พระ ทุกร้านจะมีสีผึ้งขายด้วยกันทั้งนั้น สีผึ้งที่ขายมีทั้งสีแดงสีขาว เขาจะป้ายสีผึ้งเป็นก้อนเล็กๆไว้บนใบลานแล้วห่อกระดาษว่าวบ้างกระดาษแก้วบ้าง บางทีก็ห่อชิ้นใบลานที่มีสีผึ้งนั้นด้วยใบตอง ถ้าแบบไฮโซขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นสีผึ้งใส่ตลับไม้ ถ้าเก็บสีผึ้งจำนวนมากสักหน่อยก็ใส่ไว้ในกระป๋องไปจนถึงโถเคลือบ ส่วนพวกตลับสีผึ้งที่เป็นวัสดุมีค่าก็จะเป็นของที่คนรวยเขาใช้
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งหอม

  คนไทยโบราณมักกินหมากเคี้ยวหมากกันเป็นปกติ หมากพลูที่เคี้ยวกันนั้นมีปูนแดงเป็นส่วนผสมสำคัญด้วย ดังนั้นจึงเกิดอาการที่เรียกว่า ปูนกัดปาก ปูนกัดปากได้ถึงขนาดที่เรียกกันขำๆว่า ปูนกัดปากแหก ซึ่งฟังแล้วน่าหวาดเสียวไม่น้อยเลย วิธีแก้แบบภูมิปัญญาโบราณก็คือใช้สีผึ้งมาทาริมฝีปากเพื่อให้มีความชุ่มชื้นและมีความมันเพิ่มขึ้น

  การใช้สีผึ้งในสมัยโบราณจะไม่ใช่ว่าทาริมฝีปากเพียงอย่างเดียว จะมีการใช้สีผึ้งขยี้บนฝ่ามือแล้วเสยผมเพื่อให้เส้นผมนั้นอยู่เป็นทรงแบบที่ต้องการ หรือใช้วิธีแต้มสีผึ้งไว้เป็นแนวบางๆบนหวี แล้วใช้หวีนั้นหวีสางเส้นผมจัดทรงผม การใช้สีผึ้งแต่งผมนี้ก็เหมือนกับที่ในยุคปัจจุบันใช้ครีมแต่งผมเจลแต่งผมนั่นเอง นอกจากนี้คนโบราณท่านยังมีการแต่งคิ้วให้ขนคิ้วเรียงแบบเรียวงาม โดยใช้สีผึ้งแต้มไปที่คิ้วแบบบางๆ แล้วเอานิ้วลูบคิ้วให้เรียงเป็นแนวสวยๆ

  การใช้สีผึ้งทาคิ้วทาปากนั้น แต่เดิมคนโบราณท่านเรียกว่า วาดสีผึ้ง


  นอกจากการใช้สีผึ้งเป็นเครื่องสำอางแล้ว ยังมีการใช้สีผึ้งในแบบอิงวิทยาคมไสยศาสตร์ด้วย ซึ่งมักจะนิยมใช้ไปในทางเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์เป็นส่วนใหญ่ ข้อนี้คนไทยเราต่างทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ความจริงแล้วยังมีการใช้สีผึ้งในทางอยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาดอีกด้วย การใช้สีผึ้งไปในทางอยู่ยงคงกระพันนั้นก็มีอยู่ในตำราทำสีผึ้งอาคม แต่แบบนี้ใช้กันน้อย ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงรับรู้กันแต่เพียงว่าสีผึ้งใช้ทางเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ เจรจาค้าขาย

ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งในตลับ

สีผึ้งคืออะไร
  สีผึ้งนั้นแท้ที่จริงแล้วมันก็คือรวงผึ้งหรือรังผึ้งที่ผ่านการแปรรูปนั่นเอง สีผึ้งเป็นวัสดุธรรมชาติที่แปรรูปด้วยกรรมวิธีง่ายๆ อาจเพิ่มการแต่งสีแต่งกลิ่นให้ดูดีขึ้นน่าใช้ขึ้น สีผึ้งทำมาจากขี้ผึ้งแท้ผสมกับน้ำมันพืชผสมกันเคี่ยวด้วยความร้อน ได้เป็นวัสดุแปรรูปที่มีลักษณะอ่อนนิ่มคล้ายวุ้นหรือเจล แต่จะมีความเหลวของเนื้อน้อยกว่า ข้าพเจ้าเองนั้นทั้งเคยใช้สีผึ้งสีปากตอนหน้าหนาวเพื่อป้องกันริมฝีปากแตก และเคยเห็นวิธีการทำสีผึ้ง จึงพอที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังได้บ้าง

ขั้นตอนการทำสีผึ้ง
  ในขั้นแรกถ้ายังไม่มีสีผึ้งที่ทำมาสำเร็จรูป ก็จำเป็นที่จะต้องทำขี้ผึ้งขึ้นมาก่อน

ขี้ผึ้ง
  ขี้ผึ้งนี้เรียกกันอีกชื่อหนึ้งว่าไขผึ้ง การทำขี้ผึ้งจะเริ่มจากการแยกน้ำผึ้งให้ออกมาจากรวงผึ้งก่อน โดยการนำรวงผึ้งหรือรังผึ้งมารีดหรือคั้นเอาน้ำผึ้งออกไปให้หมด การรีดน้ำผึ้งออกไปให้หมดนั้น ในความเป็นจริงแล้วจะไม่สามารถรีดน้ำผึ้งจนหมดเกลี้ยงจริงๆ จะอย่างไรมันก็ต้องเหลือน้ำผึ้งติดอยู่บ้าง เมื่อรีดน้ำผึ้งออกไปแล้วจึงนำรวงผึ้งนั้นมาเคี่ยวด้วยความร้อน
  รวงผึ้งที่หามาได้นั้น ถ้ามีขนาดใหญ่มาก พอเอามาทั้งรวงใหญ่แล้ว ก็จะตัดแบ่งให้เป็นชิ้นๆ ถ้าเป็นรวงผึ้งที่เกาะเป็นช่อตามกิ่งไม้เล็กๆก็จะตัดเอามาทั้งกิ่งไม้นั้น
ภาพโดยsihawatchara รวงผึ้ง

การแยกน้ำผึ้งออกจากรวงผึ้ง
  การแยกน้ำผึ้งออกจากรวงผึ้งตามแบบโบราณนั้น ในแต่ละท้องที่ก็อาจจะทำไม่เหมือนกัน โดยมากจะเป็นการรีดคั้นน้ำผึ้งตามวิธีที่เคยเห็นเคยทำสืบต่อกันมา เช่น บางที่จะใช้วิธีบีบขยำ บางที่ใช้วิธีรูด และยังมีบางกรณีที่ใช้วิธีเอาชิ้นรวงผึ้งใส่ปากเคี้ยว

คั้นน้ำผึ้ง  การบีบขยำรวงผึ้งนี้ทำให้นึกถึงคำว่าคั้นน้ำผึ้งได้อย่างชัดเจน วิธีการแบบนี้ทั้งบีบทั้งขยำรวงผึ้งเหมือนเราบีบก้อนฟองน้ำที่ใช้ล้างจานไม่มีผิด คือ พอบีบๆขยำๆชิ้นรวงผึ้ง ก็จะมีน้ำผึ้งเล็ดออกมากตามรอยมือที่บีบ ด้วยวิธีการนี้จึงตรงกับคำว่า คั้นน้ำผึ้ง ที่สุด

รีดน้ำผึ้ง  วิธีการนี้จะใช้กับรวงผึ้งที่เกาะบนกิ่งไม้ขนาดเล็ก ดังนั้นรวงผึ้งแบบนี้จึงมีขนาดเล็กสักหน่อย ประมาณว่ารวงผึ้งมีขนาดประมาณเท่าฝักข้าวโพดที่อวบๆ วิธีรีดน้ำผึ้งจากกิ่งไม้แบบนี้ ทำได้โดยจับกิ่งไม้ที่มีรวงผึ้งเกาะอยู่ แล้วใช้นิ้วมือรูดไปตามกิ่งไม้ จะคล้ายๆกับเราขูดกิ่งไม้นั่นเอง รวงผึ้งที่โดนนิ้วมือรูดไล่ระดับลงไปนั้น จะมีน้ำผึ้งไหลออกมาตามแนวที่เรารูดรวงผึ้งนั้น

เคี้ยวน้ำผึ้ง
  เคี้ยวน้ำผึ้งนะครับ ไม่ใช่เคี่ยวน้ำผึ้ง คือเอาชิ้นรวงผึ้งใส่ปากแล้วเคี้ยวจั๊บๆแบบเรากินขนมนั่นแหละ วิธีนี้เขาจะเอาเศษรวงผึ้งที่เป็นชิ้นเล็กๆซึ่งจะเอามือบีบไม่ถนัด ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือเอาใส่ปากเคี้ยวมันซะเลย เมื่อเคี้ยวรวงผึ้งจนคล้ายก้อนหมากฝรั่งแล้วก็คายเศษรวงผึ้งนั้นออกมา แต่วิธีนี้รับรองว่าจะไม่ได้น้ำผึ้ง เพราะคนที่เคี้ยวรวงผึ้งนั้นเขาจะกินน้ำผึ้งไปด้วย คงไม่มีใครจะเสียดายน้ำผึ้งจนถึงขนาดคายหรือบ้วนน้ำผึ้งออกจากปาก ขืนทำแบบนี้น้ำผึ้งที่ได้ก็คงพะอืดพะอมน่าดู ข้าพเจ้าเคยทดลองเคี้ยวรวงผึ้งมาแล้ว จะหวานเพราะน้ำผึ้ง มีกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดที่ผึ้งไปดูดน้ำหวานมา และตอนเคี้ยวจะคล้ายเคี้ยวหมากฝรั่ง

  น้ำผึ้งที่ได้จากการคั้นหรือรีดออกมา จะต้องนำไปกรองเอาสิ่งสกปรกออกก่อน วิธีกรองตามแบบพื้นบ้านง่ายๆนั้น จะทำโดยการเทน้ำผึ้งผ่านผ้าขาวบาง คือใช้ผ้าขาวบางเป็นตัวกรองน้ำผึ้งนั่นเอง

การรีดน้ำผึ้งแบบสมัยใหม่
  การแยกน้ำผึ้งออกจากรวงผึ้งตามแบบวีธีสมัยใหม่ จะใช้เครื่องเหวี่ยงหมุน แบบนี้จะเป็นการสะบัดน้ำผึ้งออกมาจากรวงผึ้ง บางทีก็จะใช้วิธีหีบรวงผึ้ง ซึ่งก็คือการใช้เครื่องหนีบรวงผึ้งแบบหีบท่อนอ้อยเพื่อเอาน้ำอ้อยนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีวิธีแยกน้ำผึ้งด้วยการใช้เครื่องสกัดน้ำผึ้งพลังงานแสงอาทิตย์ แบบนี้น้ำผึ้งจะค่อยๆหยดออกมาตามอุณภูมิที่ตั้งไว้

  การแยกน้ำผึ้งออกมาจากรวงผึ้งนั้นเป็นจุดประสงค์ใหญ่ เพราะน้ำผึ้งมีราคาแพง ส่วนรวงผึ้งที่แยกน้ำผึ้งออกไปแล้ว จะมีผลพลอยได้รองลงไป คือจะนำไปทำเป็นขี้ผึ้งซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำผึ้ง

ขั้นตอนทำขี้ผึ้ง
1.  วิธีทำก็ง่ายๆ คือ เอารังผึ้งหรือรวงผึ้งที่แยกน้ำผึ้งออกไปแล้วมาเคี่ยวด้วยความร้อน โดยเอารวงผึ้งนั้นใส่ลงในหม้อหรือกระทะ ตั้งกระทะบนเตาแล้วเคี่ยวด้วยไฟที่แรงแบบอ่อนๆสักหน่อย รอจนรวงผึ้งนั้นละลายเป็นของเหลว จุดหลอมเหลวของขี้ผึ้งตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าอยู่ประมาณ 60 -65 องศาเซลเซียส
ภาพโดยsihawatchara รวงผึ้งที่คั้นน้ำผึ้งออกไปแล้ว

  ถ้าเกรงว่าอาจควบคุมไฟไม่ดีทำให้มีความร้อนมากเกินไปจนรังผึ้งไหม้ ก็จะเติมน้ำลงไปก่อน แล้วค่อยๆเคี่ยวรังผึ้งคล้ายๆกับการต้ม ด้วยวิธีส่งผ่านความร้อนแบบนี้ รังผึ้งที่ละลายเป็นของเหลวจะลอยอยู่บนผิวน้ำ เปรียบเทียบง่ายๆก็คือ เหมือนน้ำตาเทียนที่ลอยอยู่บนน้ำในบาตรน้ำมนต์นั่นเอง
ภาพโดยsihawatchara เริ่มละลาย

ภาพโดยsihawatchara กำลังละลาย

2. เมื่อรังผึ้งละลายเป็นของเหลวดีแล้ว จึงเทของเหลวซึ่งก็คือขี้ผึ้งลงบนภาชนะที่มีผ้ากรองปิดอยู่ ผ้ากรองจะกรองสิ่งสกปรกออกจากขี้ผึ้งเหลวนั้น รอจนขี้ผึ้งเหลวมีอุณหภูมิต่ำลงจนขี้ผึ้งแข็งตัวเป็นก้อน ก็จะได้ก้อนขี้ผึ้งบริสุทธิ์
ภาพโดยsihawatchara รวงผึ้งละลายเป็นขี้ผึ้งเหลว

  ก้อนขี้ผึ้งที่ได้นี้จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งเป็นกลิ่นของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งไปดูดน้ำหวานมานั่นเอง ก้อนขี้ผึ้งจะมีความแข็งคล้ายๆสบู่ ถ้าเป็นก้อนขี้ผึ้งขนาดใหญ่มีน้ำหนักมากหน่อย ก็ถึงขนาดเอามาทุบหัวคนแล้วสลบกันเลยทีเดียว
ภาพโดยsihawatchara ขี้ผึ้งแข็งตัวแล้ว

  ก้อนขี้ผึ้งนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าสีผึ้ง เพราะสีผึ้งจะมีลักษณะค่อนข้างอ่อนนุ่มจนถึงนุ่มมากๆ คล้ายเป็นครีมที่ข้นมากๆหรือคล้ายเจลแต่งผม ดังนั้นจึงต้องทำก้อนขี้ผึ้งให้แปรสภาพเป็นสีผึ้ง การทำสีผึ้งนี้คนไทยเราเรียกว่า “หุงสีผึ้ง”

หุงสีผึ้ง
  วิธีแปรสภาพจากก้อนขี้ผึ้งให้กลายเป็นสีผึ้ง ทำได้โดยการเอาก้อนขี้ผึ้งใส่ลงในภาชนะเช่นหม้อหรือกระทะแล้วตั้งบนเตาไฟ จากนั้นจึงเติมน้ำมันพืชลงไปให้ท่วมก้อนขี้ผึ้ง แล้วเคี่ยวขี้ผึ้งกับน้ำมันพืชด้วยความร้อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งขี้ผึ้งละลายเป็นของเหลวผสมเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมันพืช การเคี่ยวขี้ผึ้งกับน้ำมันให้รวมตัวกันนี้เองที่เรียกว่าหุงสีผึ้ง ในขั้นตอนนี้บางคนถนัดกับการเคี่ยวละลายก้อนขี้ผึ้งล้วนๆก่อน แล้วจึงค่อยเติมน้ำมันพืช

  น้ำมันพืชที่ใช้โดยมากจะใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นหลัก และมีการใช้น้ำกะทิคั้นข้นๆผสมตอนหุงสีผึ้งใกล้เสร็จ วิธีนี้ก็เพื่อให้สีผึ้งมีสีขาวนวลๆ

   อัตราส่วนผสมระหว่างก้อนขี้ผึ้งกับน้ำมันพืชนั้น โดยมากจะอยู่ที่ประมาณขี้ผึ้ง 3 ส่วน น้ำมันพืช 7 ส่วน หรือขี้ผึ้ง 4 ส่วน น้ำมันพืช 6 ส่วน เท่าที่เคยเห็นมาก็มักจะใช้อัตราส่วนเท่านี้ก่อน แล้วจึงค่อยดูว่าสีผึ้งที่ได้นั้นเหลวหรือแข็งเกินไป ก็จะค่อยๆเพิ่มอัตราส่วนของขี้ผึ้งหรือน้ำมันพืชเพิ่มเข้าไปอีก โดยก้อนขี้ผึ้งจะทำให้เนื้อสีผึ้งแข็งขึ้น ส่วนน้ำมันพืชจะทำให้เนื้อสีผึ้งอ่อนนุ่มขึ้น
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งที่หุงเสร็จแล้ว

  หลายท่านคงสงสัยว่า..อ้าว..ก็ตอนเราหุงสีผึ้งนั้นสีผึ้งยังเป็นของเหลวเลยนี่ แล้วจะรู้ว่าเนื้อสีผึ้งที่กำลังหุงอยู่นี้มันจะแข็งไปหรือเหลวเกินไปได้อย่างไร...

  ที่แท้คนโบราณท่านมีวิธีตรวจสีผึ้งว่าแข็งหรืออ่อนนุ่มด้วยวิธีง่ายๆ คือ ให้เอาช้อนตักสีผึ้งที่ยังร้อนๆและยังเหลวเป็นน้ำขึ้นมาช้อนหนึ่ง แล้วหยอดสีผึ้งเหลวๆนี้ลงไปในน้ำเปล่าธรรมดาๆ น้ำที่มีอุณหภูมิปกติธรรมดาหรือเรียกว่าอุณหภูมิห้องก็ได้  จะอย่างไรก็ต้องมีอุณหภูมิต่ำกว่าสีผึ้งเหลวที่เพิ่งตักออกมาจากหม้อ ดังนั้นเมื่อหยอดสีผึ้งเหลวที่ร้อนๆลงไปในน้ำ ความร้อนของสีผึ้งเหลวจะลดลงทันที สีผึ้งจึงจับตัวแข็งและจะแข็งตามอัตราส่วนผสมของก้อนขี้ผึ้งกับน้ำมันพืช ด้วยวิธีนี้จึงสามารถทราบได้ว่า สีผึ้งที่หุงมานี้มันแข็งหรือนุ่มเกินไป ถ้าแข็งไปก็เติมน้ำมันพืชเพิ่ม ถ้าเหลวเกินไปก็เติมก้อนขี้ผึ้ง

  ช่วงที่สีผึ้งยังร้อนจัดนี้ จะยังไม่เติมน้ำมันหอม เพราะความร้อนของสีผึ้งเหลวจะทำให้น้ำมันหอมระเหย

กลิ่นหอมของสีผึ้ง

 ผสมน้ำมันหอม
 ในการหุงสีผึ้งนั้น มีการทำให้สีผึ้งมีกลิ่นหอมด้วย วิธีทำให้สีผึ้งมีกลิ่นหอมจะทำโดยการเติมน้ำมันหอมลงไป โดยจะเติมน้ำมันหอมในช่วงที่สีผึ้งเริ่มคลายความร้อน พอสีผึ้งเย็นตัวจนเริ่มแข็งตัวเป็นไข ช่วงนี้แหละที่จะเติมน้ำมันหอมกลิ่นที่ต้องการ แล้วกวนสีผึ้งกับน้ำมันหอมให้เคล้าทั่วๆกัน

  น้ำมันหอมที่นิยมใช้ผสมในสีผึ้ง ส่วนใหญ่แล้วคนโบราณท่านมักนิยมใช้น้ำมันดอกลำเจียก ข้อนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน รู้แต่ว่าอ่านเจอตำราหุงสีผึ้งทีไรก็มักเจอว่าให้ใช้น้ำมันดอกลำเจียก ส่วนน้ำมันหอมชนิดอื่นก็มีเหมือนกัน เช่น น้ำมันดอกกระดังงา ดอกแก้ว น้ำมันจันทน์ น้ำมันจากเหง้าว่านเสน่ห์จันทร์ แต่เจอตำราที่ใช้น้ำมันดอกลำเจียกมากที่สุด ข้าพเจ้าสันนิษฐานเอาเองว่า น้ำมันดอกลำเจียกคงหาง่ายกว่าอย่างอื่น ข้อนี้เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของข้าพเจ้า

ผสมกะทิและดอกไม้
  ในสมัยโบราณน้ำมันหอมเป็นของหายาก จึงมีวิธีแต่งกลิ่นหอมแบบง่ายๆ โดยจะใช้ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมที่หาได้ในท้องถิ่น หรือหาได้ง่ายๆจากรั้วบ้าน เช่น ดอกมะลิ ดอกจำปา ดอกกระดังงา ดอกแก้ว โดยเอาดอกไม้หอมเหล่านี้มาเคี่ยวหรือต้มในน้ำหัวกะทิ ต้มไปเรื่อยๆจนกระทั่งหัวกะทินั้นหอมกลิ่นดอกไม้

  เมื่อหัวกะทิมีกลิ่นหอมของดอกไม้แล้ว ก็เอาหัวกะทินี้ไปผสมกับสีผึ้งที่เคี่ยวละลายได้ที่ หรือใส่หัวกะทินี้ตอนที่สีผึ้งเริ่มเย็นตัวลง สีผึ้งที่หุงด้วยวิธีนี้ก็จะมีกลิ่นหอมตามชนิดของดอกไม้นั้นๆ

   การทำให้สีผึ้งมีกลิ่นหอมอีกวิธีหนึ่ง จะใช้วิธีอบควันเทียนแบบที่อบขนมไทย แต่แบบนี้กลิ่นจางได้เร็ว
  ด้วยขั้นตอนตามที่กล่าวมานี้ จะได้เครื่องสำอางแบบโบราณที่เรียกกันว่า สีผึ้งหอม
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งหอมใส่หัวกะทิ

สีผึ้งวิทยาคม

  นอกจากสีผึ้งที่ใช้เป็นเครื่องสำอางแล้ว ยังมีสีผึ้งเฉพาะกิจซึ่งมีกรรมวิธีทำพิสดารขึ้นไปอีก มีตั้งแต่พิสดารธรรมดาไปจนถึงโคตรของโคตรพิศดาร พิสดารเสียจนนึกไม่ออกว่าคิดวิธีทำกันขึ้นมาได้อย่างไร สีผึ้งแบบนี้ก็คือสีผึ้งวิทยาคมหรือสีผึ้งอาคมนั่นเอง สีผึ้งวิทยาคมนี้คนไทยเราจะรับรู้กันทั่วไปในทำนองว่า เป็นของขลังทางด้านเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ชั้นยอด

  คำว่าวิทยาคมนั้นหมายถึงวิทยรวมกับอาคมเป็นคำว่า วิทยาคม คือวิชาความรู้ทางศาสตร์แห่งคาถาอาคม หรือเรียกกันให้เข้าใจแบบง่ายๆก็คือวิชาไสยศาสตร์

  โดยปกติแล้วมักจะแบ่งประเภทของไสยศาสตร์ออกเป็น 2 ประเภทง่ายๆ คือ

1.ไสยขาว หมายถึง ไสยศาสตร์ที่ใช้ในทางดี
2.ไสยดำ หมายถึงไสยศาสตร์ที่ใช้ในทางร้าย

   สีผึ้งวิทยาคมหรือสีผึ้งอาคมก็ทำตามคติไสยขาวไสยดำ ซึ่งอันที่จริงแล้วสีผึ้งทั้งไสยขาวไสยดำนั้นจะมีจุดมุ่งหมายหลักคล้ายๆกัน คือจะให้มีฤทธิ์อำนาจใช้ไปในทางเมตตามหาเสน่ห์เป็นหลักใหญ่ ส่วนการใช้สีผึ้งไปในทางด้านอื่นเช่นด้านคุ้มครองก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องสีผึ้งในแบบเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลแล้ว รับรองว่าใครๆก็ต้องนึกถึงว่า สีผึ้งใช้ทางเสน่ห์เมตตามหานิยมด้วยกันทั้งนั้น

การทำสีผึ้งวิทยาคม
  สีผึ้งหรือนวดวิทยาคมจะต่างจากสีผึ้งธรรมดาตรงที่มีการเสกปลุก และอาจมีส่วนผสมจำพวกวัตถุอาถรรพ์วัตถุมงคล หรืออาจผสมชิ้นส่วนจากซากสัตว์ มีแม้กระทั่งผสมชิ้นส่วนจากศพมนุษย์

  เชื่อกันว่าอำนาจของวิชาทำสีผึ้งวิทยาคมนั้น จะมีฤทธิ์วิเศษทางเมตตามหานิยม มีมหาเสน่ห์ดีนัก อีกทั้งสีผึ้งของหลายพระอาจารย์ยังมีฤทธิ์ทางอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดจากภัย  ถ้าเป็นสีผึ้งที่ใช้แรงอาถรรพ์ของภูตผีปีศาจด้วย ก็ทำให้เหมือนมีวิญญาณผีตนนั้นมาช่วยบังคับสะกดจิตผู้อื่นที่เป็นเป้าหมายของเรา ให้คนผู้นั้นต้องมนต์สะกดจากอำนาจแรงผี จนต้องยอมคล้อยตามเราในทุกเรื่อง โดนเฉพาะเรื่องความต้องการทางเพศ

  ส่วนผสมของสีผึ้งวิทยาคมนี้เอง ที่เป็นตัวแบ่งอย่างง่ายๆว่าแบบใดคือสีผึ้งไสยขาวและสีผึ้งแบบไสยดำ คือ  

 1.สีผึ้งไสยขาว ถ้าส่วนผสมเป็นพวกว่านยาและวัสดุที่เป็นมงคลก็เป็นสีผึ้งไสยขาว สีผึ้งไสยขาวหลายตำรับใช้แค่สีผึ้งที่ทำมาจากขี้ผึ้งล้วนๆ แต่ด้วยตำรับวิชาการเสกปลุกก็ทำให้สีผึ้งธรรมดากลายเป็นสีผึ้งวิทยาคมที่มีความขลังขั้นสุดยอด

2. สีผึ้งไสยดำ ถ้าสีผึ้งผสมด้วยของอาถรรพ์จำพวกว่านอาถรรพ์ทางร้าย อาถรรพ์จากแรงวิญญาณต่างๆ ชิ้นส่วนซากสัตว์ ชิ้นส่วนศพมนุษย์ แบบนี้ก็เป็นสีผึ้งแบบไสยดำ

วัสดุและภาชนะ
  ในการหุงสีผึ้งวิทยาคมทุกแบบนั้น บางทียังมีการเพิ่มขั้นตอนเกี่ยวกับการเตรียมวัสดุภาชนะที่ใช้หุงสีผึ้งอีกด้วย เช่น ลงยันต์ที่ก้นกระทะ ลงยันต์ที่ฟืนที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ลงยันต์บนไม้พาย นอกจากนี้ยังมีการกำหนดไว้ด้วยว่า ไม้ฟืนและไม้พายจะต้องเป็นไม้อะไร ซึ่งแทบทั้งหมดมักจะต้องมีไม้รักซ้อนรวมอยู่ด้วยเสมอ
  ก้อนขี้ผึ้งที่ใช้จะแผ่เป็นแผ่น แล้วลงยันต์ตามตำราที่ได้ศึกษากันมา
ภาพโดยsihawatchara ยันต์พญาเต่าเรือนใช้ทำสีผึ้งได้

  การลงยันต์ที่เกี่ยวกับวิชาสีผึ้งวิทยาคม ยังมีการลงยันต์ไว้ที่ตลับที่จะใช้ใส่สีผึ้งอีกด้วย แต่ตลับสีผึ้งมีขนาดเล็ก ดังนั้นจึงแน่นอนว่ายันต์ที่จะใช้จึงเป็นยันต์ที่มีขนาดเล็ก หรือลงเป็นวิชานะต่าง ลงอักขระหัวใจคาถาต่างๆ เช่นลงรูปองค์พระ ยันต์จัตตุโร หัวใจอิธะเจ หัวใจธาตุสี่ นะเมตตา  ฯลฯ

การทำสีผึ้งไสยขาว

  สีผึ้งวิทยาคมแบบไสยขาวยังมีวิธีทำหลายประเภท พอจะแบ่งได้ดังนี้

1.ใช้สีผึ้งล้วนๆไม่ผสมอะไรเพิ่ม
 การทำสีผึ้งหรือนวดในทำนองสีผึ้งไสยขาวนั้น ถ้านับถึงแบบที่ใช้วัสดุน้อยชนิดที่สุดทำง่ายที่สุด ก็จะเป็นแบบสีผึ้งที่ใช้วาดริมฝีปากทั่วๆไปนั่นเอง คือเป็นสีผึ้งธรรมดาๆที่หุงเสร็จแล้ว ซื้อสีผึ้งหอมสำเร็จรูปที่เขาทำขาย จากนั้นจึงนำมาเสกปลุกด้วยมนต์คาถาต่างตามแต่จะเรียนมา

  สีผึ้งสำเร็จรูปที่ซื้อมาเสกปลุกนี้ ถึงจะไม่มีพิธีกรรมอะไรที่สลับซับซ้อน แต่ก็ปรากฎความขลังเป็นอัศจรรย์มาแล้วมากมายหลายพระอาจารย์ ที่ขลังจริงก็มาจากอำนาจจิตของหลวงปู่หลวงพ่อเสกปลุกนั่นเอง 
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งหอมเสกปลุกแล้ว

2.มีการลงยันต์บนแผ่นขี้ผึ้ง
  ตำราทำสีผึ้งแบบไสยขาวหรือสีผึ้งวิทยาคมหลายตำรับจะมีอักขระเลขยันต์ด้วย คือ ให้เอาขี้ผึ้งมาแผ่ให้เป็นแผ่น แล้วลงยันต์บนแผ่นขี้ผึ้งนั้น ยันต์ที่ใช้ลงบนแผ่นขี้ผึ้งก็สุดแท้แต่ตำรับนั้นๆ เช่น ยันต์พญาหงส์ทองคู่  พญาหงส์ทองเดี่ยว ยันต์สุกิตติมา ยันต์มหาละลวย ยันต์ปิโย ยันต์นาคเกี้ยว ยันต์นกสาลิกา ยันต์อิธะเจ ยันต์มหาราช ยันต์จินดามณี ฯลฯ


  การลงยันต์บนแผ่นขี้ผึ้งก็มีขั้นตอนเหมือนการลงยันต์บนแผ่นโลหะเพื่อทำตะกรุด เมื่อลงยันต์บนแผ่นขี้ผึ้งแล้วก็เอาไปทำเป็นสีผึ้ง ขั้นตอนเหมือนวิธีหุงสีผึ้งหอมนั่นเอง
ภาพโดยsihawatchara แผ่นขี้ผึ้งลงยันต์พญาหงส์ทอง

ภาพโดยsihawatchara ลงนะอิธะเจ

3.ผสมผงวิทยาคมหรือผงวิเศษ

  หลายตำรายังมีวิธีลบผงวิเศษ ลบแล้วจึงเอาผงวิเศษนั้นไปผสมในตอนหุงสีผึ้ง ผงวิเศษที่นิยมผสมในสีผึ้งก็มีหลายตำรา เช่น ผงอิธะเจ ผงมหาราช ผงยันต์ดอกไม้สวรรค์ ผงมหาละลวย ผงยันต์พญาไก่เถื่อน ผงยันต์พญากาน้ำ ผงยันต์นาคเกี้ยว ผงนะหน้าทอง ผงนะมหาละลวย ผงนะจินดามณี ผงพระยาเทครัว ผงช้างประสมโขลง ผงยันต์พญานกยูงทองฯลฯ
ภาพโดยsihawatchara ยันต์พญานกยูงทอง

4.ผสมผงวัสดุจากธรรมชาติที่มีชื่อเป็นมงคล
  สีผึ้งแบบนี้จะผสมผงว่านยาดอกไม้เกสรดอกไม้ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นว่านยาหรือดอกไม้ที่ถือเป็นอาถรรพ์ทางร้าย ส่วนผสมแบบนี้ส่วนมากใช้พืชพันธุ์ที่มีชื่อเป็นมงคล หรือมีชื่อทางพิศวาสรักใคร่ เช่น ผงจากดอกรักซ้อน ดอกกาหลง ยอดของต้นรักซ้อน ยอดของต้นสวาท ยอดของต้นกาหลง ผงเกสรดอกบัว ผงดอกบัวแฝด

  ถ้าเป็นว่านที่นิยมก็มักเป็น ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว เสน่ห์จันทร์ดำ เสน่ห์จันทร์เขียว เสน่ห์จันทร์มหาโพธิ์ ว่านนางกวัก ว่านมหานิยม ว่านสาลิกาลิ้นทอง ฯลฯ จำง่ายๆว่านว่านที่ใช้ในการทำสีผึ้งแบบนี้ จะไม่ใช้ว่านอาถรรพ์แบบชื่อที่มันส่อไปทางร่วมเพศ ว่านที่เชื่อว่ามีอาถรรพ์เร่าร้อน เช่น ว่านดอกทอง ว่านโพลง ว่านกระสือ


  การผสมวัสดุธรรมชาติเหล่านี้ที่จริงแล้วจะบดให้เป็นผง แล้วผสมลงไปในสีผึ้งเพียงนิดเดียว
ภาพโดยsihawatchara ดอกบัวแฝด

ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งผสมว่านมงคล ล.พ.ทองอยู่วัดบางเสร่


5.ใช้รวงผึ้งที่เชื่อว่าเป็นมงคล
  คนไทยเรามีความเชื่อเรื่องความเป็นมงคลจากวัสดุธรรมชาติหลายแบบ รวงผึ้งก็มีคติแบบนี้เช่นกัน  โดยมากจะเป็นรวงผึ้งหรือรังผึ้งที่ขึ้นอยู่บนต้นไม้ที่ชื่อเป็นมงคล เช่น รวงผึ้งจากต้นทองหลาง รวงผึ้งต้นขนุน รวงผึ้งต้นคูณ รวงผึ้งต้นพยุง รวงผึ้งต้นมะเดื่อ รวงผึ้งต้นพุทรา

  นอกจากนี้ยังรวมไปถึงรวงผึ้งที่ขึ้นตามกิ่งไม้ที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก รวงผึ้งที่มีลักษณะแปลกๆแบบดูแล้วเป็นมงคล เช่นรวงผึ้งที่มีลักษณะคล้ายฝ่ามือ รวงผึ้งที่เป็นรูปใบโพธิ์

6.ใช้อาถรรพ์ของสถานที่
  คนไทยเรามีคติความเชื่อเรื่องอาถรรพ์ของสถานที่ด้วย มีทั้งสถานที่ซึ่งเป็นมงคล และสถานที่มีอาถรรพ์ทางร้าย สำหรับสีผึ้งแบบวิทยาคมไสยขาวนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ซึ่งเป็นมงคล

  โบสถ์นับเป็นสถานที่มหามงคล การหุงสีผึ้งแบบนี้มักจะใช้บริเวณหน้าโบสถ์เป็นส่วนใหญ่ โบสถ์นั้นเป็นมหามงคลอยู่แล้ว จึงมีคติว่าถ้าหุงสีผึ้งที่หน้าโบสถ์แล้ว สีผึ้งจะมีความขลังแบบมีมงคลคุณพระคุณเจ้าประกอบไปด้วย

  สถานที่ยอดนิยมในการหุงสีผึ้งมงคลอีกแบบหนึ่งก็คือโรงลิเกโรงลำตัดโรงมหรสพต่างๆ โดยถือว่าโรงลิเกมหรสพนั้น ใครๆก็อยากมานั่งดูการแสดง เป็นจุดรวมผู้คนเป็นจำนวนมาก จึงถือว่ามีอาถรรพ์ทางดีที่โน้มน้าวใจคนได้ด้วย


  นอกจากนี้จะมีชุมทางต่างๆที่มีผู้คนนับเป็นจุดนัดหมายเช่นตลาด หรือใช้บริเวณจุดเริ่มต้นเดินทาง ซึ่งในสมัยก่อนก็คือท่าเรือ เพราะการเดินทางมักใช้เรือเป็นส่วนใหญ่ ส่วนท่ารถนั้นในสมัยโบราณยังไม่มี แต่การใช้ตลาดท่าเรือชุมทางต่างๆเป็นสถานที่ทำสีผึ้งวิทยาคมนั้นมีน้อยมาก สาเหตุก็คือสถานที่ประเจิดประเจ้อเกินไป

7.ใช้เทียนมงคลและเทียนวิชาต่างๆ
  ในพิธีมงคลต่างๆของไทยเราจะมีการจุดเทียนพิเศษของงานนั้นๆ เช่น เทียนชัยงานอธิษฐานจิตเสกปลุกวัตถุมงคล เทียนมงคลงานไหว้ครู ตลอดจนเทียนพรรษา ถือกันว่าเทียนเหล่านี้เป็นสิ่งมงคลยิ่ง จึงนิยมเอาน้ำตาเทียนตลอดจนเทียนที่เหลือ เอามาเป็นส่วนผสมหุงสีผึ้ง

  นอกจากนี้ยังมีเทียนวิชาต่างๆที่ต้องมีการลงยันต์บนแผ่นกระดาษทำเป็นไส้เทียน ยันต์ที่มีชื่อเสียงมาก เช่น ยันต์เทียนปิโย ยันต์เทียนนาคเกี้ยว ยันต์เทียนพระเจ้าห้ามทุกข์ ยันต์เทียนพระเจ้าห้ามสมุทร ยันต์เทียนสุกิตติมา ยันต์เทียนพระสีวลี

  เมื่อจุดเทียนภาวนาคาถาตามวิชาแล้ว สุดท้านก็เอาน้ำตาเทียนมาผสมหุงสีผึ้ง
ภาพโดยsihawatchara ยันต์เทียนพระสีวลี

8.สีผึ้งฝังวัตถุมงคล

  สีผึ้งแบบนี้จะมีการฝังวัตถุมงคลลงไปในเนื้อสีผึ้งด้วย เช่นฝังตะกรุด พระเครื่ององค์เล็กๆ เครื่องรางแกะเป็นรูปต่างๆ และสีผึ้งที่ฝังวัตถุมงคลนี้ยังอาจกลายเป็นฝังอาถรรพ์สัตว์ไปด้วยถ้าเอามาจากสัตว์ที่ตายแบบตายร้าย ดังนั้นถ้าเป็นสีผึ้งที่ฝังพวกงาช้างเขี้ยวสัตว์ ข้อนี้จึงหมายถึงฝังเครื่องรางที่เป็นมงคล เช่น งาช้างที่ช้างล้มตามอายุขัย
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งฝังวัตถุมงคลต่างๆ ล.พ.เต๋ คงทอง

ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งแช่พระสมเด็จ ล.พ.เทียมวัดกษัตราธิราช


ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งมีนกสาลิกาคู่ ล.พ.แลวัดพระทรง


การทำสีผึ้งไสยดำ

  สีผึ้งไสยดำชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นไสยดำ ดังนั้นขั้นตอนวิธีทำตลอดจนวัสดุที่ใช้จึงเจือปนไปด้วยอาถรรพ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาถรรพ์จากพืชพันธุ์ต่างๆ อาถรรพ์จากของใช้หรือสถานที่บางคติ อาถรรพ์จากป่า อาถรรพ์จากสัตว์ อาถรรพ์จากซากสัตว์ อาถรรพ์จากศพมนุษย์ อาถรรพ์จากแรงผี อาถรรพ์จากการกระทำบางอย่างของมนุษย์

  การทำสีผึ้งแบบไสยดำที่นิยมทำกันมีมากคติ ส่วนมากจะเป็นดังนี้

1.ผสมพืชพันธุ์ที่เชื่อว่ามีอาถรรพ์แรง
  สีผึ้งไสยดำแบบนี้มักมีส่วนผสมของว่านอาถรรพ์ เช่น ว่านดอกทองตัวผู้ ว่านดอกทองตัวเมีย ซึ่งเชื่อกันว่าว่านดอกทองนี้มีอาถรรพ์ในเรื่องพิสวาทแบบชวนให้มีอารมณ์ร่วมเพศร่วมรัก เชื่อว่ากลิ่นของว่าดอกทองจะมีฤทธิ์สะกดให้ผู้หญิงเกิดอาการร่านสวาท


  นอกจากว่านดอกทองแล้วก็ยังมีว่านที่เชื่อว่ามีวิญญาณสิง เช่น ว่านกระสือ ว่านโพลง ซึ่งคล้ายๆคติทางอาถรรพ์ผีสาง แต่แบบนี้เป็นว่าน
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งผสมว่านดอกทอง

  ว่านอาถรรพ์บางทีก็เป็นว่านธรรมดาทั่วไป แต่วิธีปลูกวิธีเลี้ยงว่านกลับไม่ธรรมดา เพราะจะเจือปนไปด้วยไสยศาสตร์มนต์ดำ เช่น เมื่อจะเลี้ยงว่านแบบว่านทั่วไปเช่นว่านมหานิยม ต้องเอาดินป่าช้าหรือกระทั่งเศษเถ้ากระดูกมาผสมดินที่ปลูกว่าน บางความเชื่อถึงกับใช้หัวกะโหลกฝังดินที่ปลูกต้นว่านกันเลยก็มี โดยเชื่อว่าว่านที่ปลูกด้วยวิธีนี้จะกลายเป็นว่านอาถรรพ์

  วิธีที่ใช้เศษเถ้ากระดูกหรือหัวกะโหลกฝังในดินที่ปลูกว่านนั้น คล้ายๆกับวิธีใช้แรงผีมาผสมทำสีผึ้งแต่ยังไม่นับว่าใช่ตรงๆ เพราะไปมุ่งผลเอาที่ตัวว่านให้ขลังให้มีอาถรรพ์เท่านั้น ยังไม่ใช่การเอาผีมาใส่ในสีผึ้ง

  น้ำที่รดต้นว่านนั้น จะมีการเสกน้ำที่รดต้นว่านด้วยคาถามนต์ดำต่างๆ มีการเลี้ยงต้นว่านด้วยเลือดบ้าง ซึ่งมักใช้เป็นเลือดสัตว์ ส่วนเลือดมนุษย์เคยได้ยินตำราที่ใช้เลือดประจำเดือน แต่มีเหมือนกันที่ใช้เลือดจริงๆคือใช้เลือดจากอกแค่หยดเดียว กรรมวิธีจะเป็นไปทางเรื่องเสน่ห์ยาแฝดมากกว่าทำสีผึ้ง

  นอกจากว่านแล้ว ยังมีพืชพันธุ์ที่เชื่อว่ามีอาถรรพ์แปลกๆอีก เช่น เครือเขาหลง หญ้าเขาหลง เถาวัลย์หลง
  พืชอาถรรพ์เหล่านี้บางทีมีจำนวนน้อย อาจใช้วิธีเคี่ยวในน้ำมันซึ่งมักเป็นน้ำมันมะพร้าว แล้วเอาน้ำมันนั้นไปใช้เป็นส่วนผสมของสีผึ้งอาถรรพ์

2.ใช้อาถรรพ์ของสถานที่

   อาถรรพ์สถานที่แบบไสยดำนี้ จะใช้คติความเชื่อเรื่องอาถรรพ์ของสถานที่ต่างๆที่ฟังดูน่ากลัว ส่วนมากจะเป็นป่าช้า เชิงตะกอนเผาศพ ทางสามแพร่ง สถานที่เหล่านี้คล้ายแฝงแรงผีแต่ยังไม่ถึงกับใช้แรงผีชัดเจน เพราะหมายเอาเพียงแค่สถานที่ซึ่งมีคติค่อนข้างเกี่ยวกับอาถรรพ์เท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นผีสางโดยตรง
ภาพจากGotoKnow เชิงตะกอนเผาศพ

  อาถรรพ์ของสถานที่ยังมีแบบที่ใช้อาถรรพ์ที่เรียกว่าอาถรรพ์จากป่า แบบนี้มักจะใช้บริเวณที่เป็นโป่ง ก็คือสถานที่ๆพวกสัตว์มากินเกลือนั่นเอง โดยเกลือจะอยู่ในดินที่เค็มโดยธรรมชาติเรียกว่าดินโป่ง คติเรื่องความขลังนั้นจะมีเรื่องการใช้ดินป่าดินโป่งเอามาผสมทำเครื่องรางของขลังด้วย

3.ใช้อาถรรพ์จากสัตว์
  สีผึ้งที่ใช้อาถรรพ์จากสัตว์นั้น ความจริงแล้วต้องนับว่าค่อนข้างไปในทางไสยดำ แต่บางทีก็ยังพอจะนับให้ค่อนข้างไปทางสีผึ้งไสยขาวได้บ้างเหมือนกัน มักจะดูตรงที่มาที่ไปของสัตว์นั้นๆว่า การได้มาเป็นไปตามธรรมชาติ หรือได้มาแบบต้องถึงเลือดถึงเนื้อหรือต้องฆ่าตัวเอาของ การใช้อาถรรพ์จากสัตว์นี้มีทั้งสัตว์ที่ยังมีชีวิตและสัตว์ที่ตายไปแล้ว มักจะมุ่งไปที่สัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง เสือ หมี

น้ำมันช้างตกมัน  ช้างนั้นมีของที่เชื่อว่ามีอาถรรพ์ให้ใช้หลายอย่างกว่าใครเขา ที่นิยมว่าเป็นสุดยอดของอาถรรพ์จากช้างก็คือน้ำมันของช้างตกมัน น้ำมันชนิดนี้จะมีเฉพาะเวลาที่ช้างเกิดอาการติดสัตว์ ซึ่งช้างตอนติดสัตว์จะมีอารมณ์คลุ้มคลั่งดุร้าย ในตอนนี้เองที่จะมีน้ำมันเยิ้มบริเวณขมับของช้าง น้ำมันนี้เรียกว่าน้ำมันช้างตกมัน หรือเรียกอีกอย่างว่าน้ำมันช้างผสมโขลง พวกส่วยหรือกูยเรียกว่า กั๋วเผาะ


  น้ำมันช้างตกมันนี้มีกลิ่นสาบแรง จะใช้ผสมลงไปในสีผึ้งที่กำลังหุงเพียงเล็กน้อย เชื่อว่าน้ำมันช้างตกมันหรือน้ำมันช้างผสมโขลงนี้ช่วยให้ขลังทางมหาเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง ถ้าเป็นน้ำมันช้างตกมันเชือกที่เคยตกมันจนเคยอาละวาดฆ่าคนมาแล้วก็ยิ่งถือว่ามีอาถรรพ์แรงมากเป็นพิเศษ
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งผสมน้ำมันช้างตกมัน

จะงอยช้าง  สิ่งที่เรียกว่าจะงอยช้างก็คือปลายของงวงช้าง มีคติเชื่อว่าจะงอยช้างมีความขลังทางด้านเสน่ห์และโชคลาภ เพราะช้างใช้งวงตรงช่วงนี้หยิบฉวยสิ่งต่างๆนั่นเอง ในการทำเครื่องรางของขลังที่เกี่ยวกับช้างนั้น จะเอาปลายจะงอยช้างไปตากให้แห้งสนิท แล้วเอาไปแช่น้ำมันเสกปลุกให้เป็นน้ำมันมหาเสน่ห์ หรือเอาจะงอยช้างไปแกะเป็นรูปแม่นางกวัก แล้วแช่ไว้ในสีผึ้ง
ภาพจากpixabay.com สังเกตที่ปลายงวง เรียกว่า จะงอยช้าง

ขนปลายหางช้าง  ที่ปลายหางช้างนั้นจะเป็นขนหยาบๆยาวพอสมควร เชื่อถือกันว่าขนหางช้างมีอาถรรพ์ทางปัดเป่าอันตรายและเป็นเมตตามหานิยม ในการทำสีผึ้งมีการเอาขนหางช้างมาขดเป็นวงแช่ในสีผึ้งด้วย

งาช้าง  อาถรรพ์จากงาช้างที่เชื่อว่ามีอาถรรพ์แรงที่สุดจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า งากำจัด และ งากำจาย ทั้งสองอย่างนี้เป็นปลายงาช้างเหมือนกัน แต่ลักษณะที่เกิดต่างกันเล็กน้อย คือ

  งากำจัดเป็นเศษปลายงาช้างที่หักติดคาต้นไม้

  งากำจายเป็นเศษปลายงาช้างที่ตกหล่นลงมา

  ทั้งงากำจัดและงากำจายเกิดจากการที่ช้างลับคมงา โดยเอางาช้างไปถูและแทงเข้ากับต้นไม้ จนกระทั่งบางครั้งปลายงาเกิดหักติดคากับต้นไม้ หรือปลายงาบางส่วนที่หักนั้นร่วงตกลงพื้น เชื่อกันว่างากำจัดและงากำจายมีอาถรรพ์แรงทางตบะอำนาจ

ลึงค์ช้าง  ข้อนี้ยังมีความขัดแย้งอยู่บ้าง คือ มีทั้งฝ่ายที่เชื่อว่าลึงค์ช้างมีอาถรรพ์ทางเสน่ห์ จะใช้ลึงค์ช้างที่ตากแห้งดีแล้ว โดยจะตัดมาเพียงเล็กน้อยแล้วบดให้เป็นผง เอาผงลึงค์ช้างใส่ผสมลงไปในสีผึ้ง ข้อนี้หมายถึงทางฝ่ายที่มีความเชื่อว่าลึงค์ช้างทำให้มีเสน่ห์

  อีกฝ่ายหนึ่งไม่เชื่อว่าลึงค์ช้างมีอาถรรพ์ทางเสน่ห์ ข้อนี้ข้าพเจ้าเองได้ยินมาจากผู้สูงอายุท่านหนึ่ง ท่านนี้มีชื่อเสียงว่าเป็นหมอเสน่ห์หมอไสยศาสตร์ มีชื่อเสียงทางของขลังที่เกี่ยวกับแรงผีสางมาก ชื่อเสียงของแกขนาดสามารถกล่าวได้เลยว่า เป็นผู้ที่ดังที่สุดของด้านนี้ แกเล่าว่าสำหรับแกแล้วนั้น จะไม่ใช้ลึงค์ช้างทางด้านเสน่ห์เลย แต่จะเอาลึงค์ช้างมาดองเหล้าเท่านั้น เพราะเป็นยาโด๊ปทรงพลัง

น้ำมันเสือ  ขึ้นชื่อว่าเสือย่อมต้องหมายถึงความน่าเกรงขาม ตบะอำนาจ จึงมีความเชื่อว่าน้ำมันเสือมีอาถรรพ์ทางด้านเดชอำนาจมาก น้ำมันเสือได้จากการเคี่ยวไขมันของเสือ เปรียบเทียบง่ายๆก็คือเหมือนที่เราเจียวมันหมูให้ละลายเป็นน้ำมันหมูนั่นเอง แต่เสือนั้นมีชั้นไขมันไม่มากสักเท่าไร ดังนั้นน้ำมันเสือแท้ๆที่ได้จากการเคี่ยวไขมันเสือจึงมีปริมาณน้อยไปด้วย ต่อมาในภายหลังเกิดมีการใช้เศษชิ้นส่วนของเสือเช่นเศษกระดูกเศษเนื้อหนัง เอาไปทอดในน้ำมัน แล้วอ้างว่านี่ก็เป็นน้ำมันเสือเหมือนกัน

  การใช้น้ำมันเสือผสมในการหุงสีผึ้งจะใช้เพียงนิดเดียว เรียกว่าใช้พอเป็นเคล็ด


  น้ำมันเสือของแท้นั้น ข้าพเจ้าเคยได้รับจากชาวลาวนำมาให้เมื่อราวๆสามสิบปีก่อน ชาวลาวผู้นี้มีอาชีพส่งสมุนไพรให้ร้านขายยาแผนโบราณทางฝั่งไทยมานานปี และยังเคยมาออกงานขายเครื่องสมุนไพรที่กระทรวงแห่งหนึ่งทุกๆปี แต่ปัจุบันไม่ทราบว่ายังมีงานประจำปีดังกล่าวนี้อยู่อีกหรือไม่
ภาพโดยsihawatchara น้ำมันเสือโคร่งของแท้

น้ำนมเสือ  ข้อนี้ข้าพเจ้าผู้เขียนนี้ไม่เคยเห็น เพียงแต่เคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่บอกเล่าให้ฟังว่า น้ำนมเสือเอามาผสมทำสีผึ้ง มีสรรพคุณทางเมตตามหาเสน่ห์ดีนัก

น้ำตาปลาพะยูน  ข้าพเจ้านี้เคยทำงานภาคสนามมานานปี ในครั้งที่ตระเวนอยู่ทางภาคใต้ ได้บุกป่าฝ่าดงสำรวจไปเรื่อย ช่วงที่แวะอยู่ใน จ.ตรัง เคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า น้ำตาดูหยงนี้เด็ดนักมีเสน่ห์ดีเหลือหลาย

  ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าน้ำตาดูหยงคืออะไรจึงสอบถาม ก็ได้ความว่าดูหยงก็คือปลาพะยูน มีความเชื่อว่าน้ำตาปลาพะยูนเอามาผสมสีผึ้งเป็นเมตตามหานิยมดีมาก บางทีไม่ทำเป็นสีผึ้งด้วยซ้ำ เพราะเขาเล่นพกใส่ขวดเล็กๆติดตัวกันเลย ข้าพเจ้าระหกระเหินแถบฝั่งทะเลอันดามันหลายปี เคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าน้ำตาปลาพะยูนแท้เพียงสองครั้ง เห็นใส่ในขวดแก้วแบบขวดรักยม

  ทางฝั่งทะเลอันดามันเรียกปลาพะยูนว่าดูหยง ทางฝั่งอ่าวไทยแถบ ระยอง จันทบุรี ตราดเรียกปลาพะยูนว่า หมูดุด มีคติเรื่องน้ำตาปลาพะยูนมีอาถรรพ์ทางมหาเส่ห์เหมือนกัน


เขี้ยวปลาพะยูน  เชื่อว่ามีอาถรรพ์ทางด้านมหาเสน่ห์เช่นกัน จะเอาเศษเขี้ยวปลาพะยูนมาแช่ในสีผึ้ง หรือแกะเป็นรูปสิงห์ เสือ แพะ ปลา และมีที่แปลกคือ เคยเห็นแบบที่แกะเป็นรูปนางเงือกด้วย
ภาพจากsiammotors.com ปลาพยูน

กระดูกสัตว์  เท่าที่ได้ทราบจากคนรุ่นเก่าเรื่องการใช้กระดูกสัตว์มาผสมสีผึ้งนั้น มีทั้งใช้แบบกระดูกสัตว์แบบเดี่ยวๆตัวเดียวอย่างเดียวไปเลย การใช้กระดูกสัตว์รวมกับสีผึ้ง จะนิยมแกะเป็นรูปสัตว์ที่มีฤทธิ์มากกว่าที่จะบดเป็นผงผสมในสีผึ้ง และยังมีการใช้กระดูกสัตว์แบบเป็นชุดสัตว์หลายชนิด เช่น

  กระดูกชะนี ข้อนี้มาจากว่า เวลาที่ชะนีร้องเรียกกันนั้น มันจะร้องเสียงดังคล้ายคำว่า “ผัว” จะร้องซ้ำๆกันยาวๆ ผัว ผัว ผัว ผัว จึงเกิดคติว่าร้องเรียกหาคู่สวาทซึ่งก็คือผัวนั่นเอง เรื่องนี้ข้าพเจ้าเคยได้ยินเสียงชะนีร้องแบบนี้จริงๆ แต่ไม่ทราบว่าชะนีตัวที่ร้องว่า ผัวๆๆๆๆนี้ จะเป็นชะนีตัวเมียเท่านั้นหรือไม่ การใช้กระดูกชะนีก็มาจากคตินี้

  กระดูกแร้ง  กระดูกแร้งนั้นมีตำนานวิชาตะกรุดกระดูกแร้งอยู่แล้ว เชื่อว่าเอากระดูกแร้งมาลงยันต์เสกปลุกให้ดี จะมีฤทธิ์อยู่ยงคงกระพันหนังเหนียว มีเมตตามหานิยม ข้อนี้ข้าพเจ้าเองยังแปลกใจว่า ทำไมจึงมีคติไปทางเมตตามหานิยมด้วย ข้อนี้ข้าพเจ้ายังไม่พบสาเหตุที่กล่าวอ้างถึงเหตุผล สำหรับสีผึ้งกับกระดูกแร้งนี้ เคยได้ยินแต่เพียงการเอาเศษกระดูกแร้งมาลงอักขระ แล้วใส่ลงในตลับสีผึ้ง

  เขาควายเผือก  มีคติว่าเขาควายเผือกนี้มีดีในตัวเอง และยิ่งถ้าเป็นเขาควายเผือกที่โดนฟ้าผ่าตายด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีอาถรรพ์แรงมากขึ้นไปอีก นิยมเอาเขาควายเผือกฟ้าผ่าตายมาแกะเป็นสิงห์ เสือ หนุมาน ลิง แพะ โดยเฉพาะแพะที่แกะจากเขาควายเผือกนั้น จะนิยมว่ามีอำนาจทางมหาเสน่ห์ดีนัก


  ที่พบเห็นบ่อยจะเป็นการเอาเขาความเผือกฟ้าผ่าตายมาแกะเป็นแพะ แล้วแช่ลงในสีผึ้ง
ภาพโดยsihawatchara เขาความเผือกฟ้าผ่าตายเก่าแก่เกินร้อยปี

  กระดูกของสิบสองนักษัตร  สิบสองนักกษัตรก็คือสัตว์ประจำปีจำนวน 12ปี ที่เราเรียกกันว่า ปีชวด ปีฉลู ฯลฯ นั่นเอง โดยการนับปีแบบนี้จะเรียงกันดังนี้ ชวด(หนู), ฉลู(วัว), ขาล(เสือ), เถาะ(กระต่าย), มะโรง(งูใหญ่), มะเส็ง(งูเล็ก), มะเมีย(ม้า), มะแม(แพะ), วอก(ลิง), ระกา(ไก้), จอ(หมา), กุน(หมู)

  การเอากระดูกของสัตว์ทั้ง 12 ชนิดมาทำเป็นผงอาถรรพ์นั้นเรียกว่า ผงสิบสองนักกษัตร ยังมีการกำหนดอีกว่า ถ้าได้จากสัตว์ที่เป็นสัตว์เผือกด้วยก็ยิ่งมีอาถรรพ์แรงมากขึ้นไปอีก แต่แบบสัตว์เผือกนี้คงหายากมากจนเกินไป เช่น เสือเผือก งูเผือก ลิงเผือก


  อาถรรพ์จากสัตว์ยังมีอีกหลายอย่าง แต่มักเป็นส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมของสัตว์ ไม่ใช่เอาสัตว์นั้นมาผสมสีผึ้งโดยตรง เช่น รังนกเงือก ไม้ไก่กุก ไม้แยงแย้



4.อาถรรพ์จากภูตผีปีศาจ

  การทำสีผึ้งแบบที่เจือไปด้วยอาถรรพ์จากแรงผีนี้ ทุกๆคนย่อมรู้ว่านี่มันคือสีผึ้งไสยดำอย่างไม่ต้องสงสัย ขั้นตอนวิธีทำก็ชวนให้เสียวสยองจนเหลือเชื่อว่าคิดวิธีทำสีผึ้งแบบนี้มาได้อย่างไร จัดว่าเป็นไสยดำแบบเต็มๆ แต่ก็แปลกที่สีผึ้งที่ใช้อาถรรพ์แรงผีนั้นยังมีคนนิยมชื่นชอบอยู่ไม่น้อย

  สีผึ้งอาถรรพ์แรงผีชื่อมันก็บอกแล้วว่าต้องมีผีเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าเคยคุยกับผู้ที่ทำสีผึ้งแรงผีมาหลายราย รวมทั้งที่คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง พบว่ามีวิธีทำอยู่หลายตำรับ แต่ถ้าจะแยกประเภทแล้วนั้น ก็แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ไม่ใช้ชิ้นส่วนศพ และ แบบที่ใช้ชิ้นส่วนศพ

4.1.อาถรรพ์แรงผีที่ไม่ใช้ชิ้นส่วนศพผสมในสีผึ้ง

มะพร้าวล้างหน้าศพ  วิธีทำสีผึ้งแรงผีแบบไม่ใช้ชิ้นส่วนศพมนุษย์นี้ ถึงจะไม่มีชิ้นส่วนศพมนุษย์ผสมลงในในสีผึ้ง แต่วิธีทำก็ชวนให้รู้สึกสยองไม่น้อย ข้าพเจ้าจะเล่าไปตามที่นึกได้ มีทั้งเคยเห็นวิธีทำและที่คนรุ่นเก่าเล่าให้ฟัง

  วิธีแรกจะสยองน้อยสักหน่อย แต่ถ้ารู้ว่าทำสีผึ้งแบบนี้กันอย่างไรแล้ว ก็จะต้องรู้สึกหวาดๆอยู่เหมือนกัน ยิ่งถ้าใช้สีผึ้งสีปากด้วยแล้ว พอรู้วิธีทำคงเลิกเอาสีผึ้งนี้มาสีปากเป็นแน่

  สีผึ้งแบบแรกนี้จะใช้มะพร้าวเป็นส่วนผสมสำคัญ มะพร้าวที่ใช้นั้นจะใช้ มะพร้าวล้างหน้าศพ


  มะพร้าวล้างหน้าศพก็คือขั้นตอนหนึ่งในการปลงศพก่อนเผาศพ เวลาที่จะเผาศพนั้นจะมีคติว่าต้องเปิดฝาโลง แล้วแหวกผ้าห่อศพบริเวณใบหน้าศพให้เผยออกมา จากนั้นจึงเอาลูกมะพร้าวมาเฉาะออกเพื่อเทน้ำมะพร้าวนั้นลงไปที่ใบหน้าศพนั้น เรียกว่าล้างหน้าศพ ลูกมะพร้าวที่เฉาะแล้วจะมีการนำไปตั้งไว้ตรงด้านหน้าพระที่สวดศพ โดยปกติแล้วเมื่อเสร็จงานเผาศพก็จะเอามะพร้าวนั้นไปทิ้ง แต่พวกชอบเรื่องแรงผีสางและรู้ตำราทำสีผึ้งแรงผีสางกลับจ้องจะเอามะพร้าวล้างหน้าศพนี้ไปผสมทำสีผึ้งแรงผี
ภาพจากพันทิป มะพร้าวล้างหน้าศพ

  เมื่อได้มะพร้าวล้างหน้าศพมาแล้ว ก็จะทำการขูดเนื้อมะพร้าวออกมาแล้วนำไปทำเป็นน้ำกะทิ ขั้นตอนนี้ก็เหมือนกับทำกะทิแกงนั่นเอง พอหุงสีผึ้งก็จะเอากะทิจากมะพร้าวล้างหน้าศพนี้ผสมลงไปในเนื้อสีผึ้ง

   สีผึ้งมะพร้าวล้างหน้าศพนี้ถึงจะแค่ใช้มะพร้าวเป็นส่วนผสม แต่ด้วยความที่เป็นมะพร้าวล้างหน้าศพ จึงชวนให้เกิดความรู้สึกหวาดๆได้เหมือนกัน

หัวกะโหลกสามเส้า  การหุงสีผึ้งอาถรรพ์ผีด้วยวิธีนี้ ในการทำพิธีหุงสีผึ้งจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเป็นเรื่องผีๆแน่นอน เพราะอุปกรณ์สำคัญก็คือหัวกะโหลกคนตาย ซึ่งต้องใช้หัวกะโหลกถึง 3 หัว


  สาเหตุที่ต้องใช้หัวกะโหลกถึง 3 หัวนั้น ก็เพราะต้องการใช้หัวกะโหลกมาทำเป็นเตาสามเส้านั่นเอง โดยใช้หัวกะโหลกแทนก้อนหิน เตาสามเส้าปกติจะใช้หินขนาดค่อนข้างใหญ่จำนวน 3 ก้อนวางทำมุมกันคล้ายสามเหลี่ยมตามแนวราบ พอมีก้อนหิน 3 ก้อนวางในลักษณะเช่นนี้ จะสามารถใช้แทนเตาได้อย่างง่ายๆ เพราะหินทั้งสามก้อนจะทำหน้าที่เหมือนเป็นขาให้วางกระทะหรือหม้อได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ภาพจาก สยามเทศะ โดย มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์

  เมื่อเอาหัวกะโหลกมาวางในลักษณะสามเส้า จึงกลายเป็นเตาอาถรรพ์เตาปีศาจ หัวกะโหลกที่ใช้นี้นิยมใช้หัวกะโหลกผีที่เชื่อว่าแรงๆ เช่น ผีตายโหง ผีตายท้องกลม ผีตายวันเสาร์เผาวันอังคาร

  การหุงสีผึ้งก็ทำตามปกติ เพียงแต่แทนที่จะหุงสีผึ้งบนเตาไฟธรรมดา ก็หุงสีผึ้งด้วยเตาปีศาจ อาศัยความเชื่อว่าสีผึ้งที่หุงด้วยเตาปีศาจแบบนี้ จะมีแรงผีกำกับไปด้วย ยิ่งผีนั้นตายผิดปกติและมีความเฮี้ยนมากๆ สีผึ้งที่หุงสำเร็จก็จะมีอาถรรพ์แรงผีช่วยบังคับให้ได้ตามที่ปรารถนา   

เทียนหัวกะโหลก  แบบนี้แทบที่จะเรียกได้ว่า เป็นการจุดเทียนไสยดำตามปกติของหมอผี คือพวกหมอผีที่ทำเป็นอาชีพจริงจังกันนั้น มักจะต้องมีหัวกะโหลกสักหนึ่งหัวเอาไว้โชว์ เพื่อแสดงให้ลูกค้าเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่านี่คือหมอผีอย่างแน่นอน


  ในการทำสีผึ้งอาถรรพ์ผีแบบหนึ่ง จะใช้วิธีจุดเทียนปักไว้บนหัวกะโหลก เทียนที่ใช้นั้นมีทั้งลงยันต์ไส้เทียน และมีทั้งแบบที่ใช้เทียนขี้ผึ้งธรรมดาที่ไม่ลงยันต์ เพราะถือว่าใช้อาถรรพ์ของหัวกะโหลกผีก็เฮี้ยนแล้ว หมอผีจะจุดเทียนปักไว้บนหัวกะโหลกแล้วภาวนาคาถากำกับไปกับเทียน คาถาที่ใช้ก็มีหลายตำรา โดยมาจะเป็นพวกคาถาเรียกผีหรือคาถาเรียกจิต แล้วก็จะเอาน้ำตาเทียนไปใช้เป็นส่วนผสมในสีผึ้ง
ภาพจากd--u--s--k.tumblr.com

  บางตำราไม่ได้ใช้หัวกะโหลกผีทั้งหัว แต่จะใช้เฉพาะแผ่นกระดูกตรงหน้าผาก แผ่นกระดูกหน้าผากนี้ก็เป็นแบบเดียวกันกับที่เอาแผ่นกระโหลกผีมาใช้ทำหัวเข็มขัด ซึ่งหัวเข็มขัดที่ทำจากหัวกะโหลกนี้ ที่ดังที่สุดจนเป็นตำนานก็คือสิ่งที่เรียกว่า ปั้นเหน่งแม่นาค ก็คือชิ้นส่วนกะโหลกตรงหน้าผากของแม่นาคพระโขนง

  ในทำนองเดียวกันกับการจุดเทียนปักบนหัวกะโหลกผี คือ จะจุดเทียนปักลงบนแผ่นกะโหลกหน้าผาก แบบนี้ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่เห็นเลยว่า สิ่งที่รองรับเล่มเทียนไว้นั้น ที่แท้ก็คือกระดูกตรงส่วนหน้าผากมนุษย์ ที่มีคติเอามาทำเป็นสิ่งที่เรียกว่าปั้นเหน่งอาคม ปั้นเหน่งก็คือหัวเข็มขัดนั่นเอง

  ข้าพเจ้าเคยรู้ละเห็นมาว่าเรื่องสิ่งที่เรียกว่าปั้นเหน่งหน้าผากผีนั้น แท้ที่จริงมีการทำปลอมอย่างแนบเนียนด้วย โดยที่คนเห็นชิ้นปั้นเหน่งกระดูกนี้ จะไม่มีทางทราบเลยว่าที่แท้ไม่ใช่กระดูกมนุษย์ เพราะทำปลอมด้วยกระดูกจากหัวหมู

ขี้ผึ้งตุ๊กตาหุ่นคนร่วมเพศ  แบบนี้ให้นึกภาพในหนังผีตอนที่มีการทำเสน่ห์ คือเป็นตุ๊กตาขี้ผึ้งที่ทำเป็นรูปผู้หญิงผู้ชายกอดกัน บางทีปั้นละเอียดถึงขนาดว่ากำลังร่วมเพศกันด้วย โดยมีอวัยวะเพศชายเสียบเข้าไปในอวัยวะเพศหญิงกันเลยทีเดียว

  ตุ๊กตาขี้ผึ้งรูปคนร่วมเพศกันนี้จะเรียกอาการสามสิบสอง และเสกด้วยคาถาทางมหาเสน่ห์ จากนั้นจึงเอาตุ๊กตานี้ใส่ลงในหม้อปิดฝาผนึกให้สนิท แล้วเอาไปฝังไว้ตรงทางสามแพร่ง หรือท่าเรือท่าชุมทางที่มีคนใช้เยอะ เมื่อครบกำหนดตามตำราที่อาจเป็นสามวันเจ็ดวันหรือหนึ่งปักษ์ ก็ค่อยไปขุดเอาตุ๊กตาคู่นั้นมาทำเป็นสีผึ้งอาถรรพ์

  ข้อนี้ข้าพเจ้าเคยเห็นมาเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนด้วยตัวเองเลยว่า มีตุ๊กตาขี้ผึ้งที่ปั้นเป็นคนร่วมเพศกัน ใส่ขวดแก้ววางแอบอยู่ด้านหลังที่พักผู้โดยสาร ซึ่งตรงจุดที่วางตุ๊กตาเสพสังวาสนี้ลับตาดีมาก แต่ก็ยังลับตาไม่พอ ที่พักผู้โดยสารนี้บังเอิญอยู่หน้าวัดด้วย หลังจากนั้นพระที่รู้จักกันกับทางบ้านข้าพเจ้า ท่านเอาน้ำมนต์มารดที่ตุ๊กตา และแกะตุ๊กตาออกจากกันทำลายทิ้งไป ท่านว่าต้องทำลายอาถรรพ์ที่มันจะเอาไปทำของใส่คน

ขี้ผึ้งปิดหน้าศพ  สมัยโบราณนั้นยังไม่มีน้ำยาฟอร์มาลีนฉีดศพ ดังนั้นศพจึงเน่าเปื่อยเร็ว ในสมัยโบราณจึงมีวิธีการแต่งศพเพื่อกลบเกลื่อนสภาพศพที่ขึ้นอืดไม่น่ามองด้วยการใช้ขี้ผึ้ง โดยจะแผ่แผ่นขี้ผึ้งแล้ววางปิดบนใบหน้าศพ ข้อนี้ก็เพื่อกันไม่ให้เห็นภาพศพที่มีสภาพไม่น่าดู เช่น ลูกตาถลน ลิ้นจุกปาก หรือกระทั่งใบหน้าเสียสภาพเน่าเปื่อยไปแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องหาอะไรมาปิดช่วงใบหน้าเพื่อไม่ให้ญาติพี่น้องเห็นภาพนั้น


  ในบางกรณีอาจปิดใบหน้าศพด้วยการจัดทำหน้ากากมาครอบปิดทั้งใบหน้า แต่แทบทั้งหมดจะใช้เป็นผ้าปิดหน้าศพ หรือใช้แผ่นขี้ผึ้งที่หนาพอสมควรมาปิดใบหน้าศพ ในบางกรณีบางท้องที่ถ้าหาขี้ผึ้งได้ไม่มากพอที่จะปิดทั้งใบหน้าศพได้ทั้งหมด ก็จะใช้ขี้ผึ้งปิดบริเวณดวงตาและปาก 
ตลับนี้สีผึ้งทำจากขี้ผึ้งปิดหน้าศพ


  ขี้ผึ้งที่ปิดใบหน้าศพนี้เองที่จะเอามาใช้ทำสีผึ้งอาถรรพ์ภูตผีปีศาจ ถ้าได้ขี้ผึ้งแผ่นที่ใหญ่ขนาดปิดใบหน้าศพได้หมด แบบนี้ก็ใช้ขี้ผึ้งแผ่นนี้แผ่นเดียวทำสีผึ้งไปเลย โดยไม่ต้องผสมกับขี้ผึ้งก้อนอื่น เพราะแผ่นขี้ผึ้งที่ใหญ่ขนาดปิดใบหน้าศพได้หมดนั้น จะมีปริมาณขี้ผึ้งมากพอหุงเป็นสีผึ้งผีได้ถึงเกินร้อยตลับ

  ขี้ผึ้งปิดใบหน้าศพนี้ ในบางครั้งอาจมีเศษชิ้นส่วนใบหน้าศพติดมาด้วย กรณีนี้จะเกิดกับศพที่เริ่มเฟะแล้ว ดังนั้นเนื้อหนังจึงเริ่มเละๆเหลวๆ พอไปลอกเอาขี้ผึ้งออกมา เศษเนื้อหนังของใบหน้าศพก็จะหลุดติดกับขี้ผึ้งขึ้นมาด้วย พอเอาขี้ผึ้งปิดใบหน้าศพแผ่นนี้ไปหุงสีผึ้ง ก็จะเท่ากับว่าจากสีผึ้งที่ไม่มีชิ้นส่วนศพ มันจะกลายเป็นเอาเศษใบหน้าศพมาทำเป็นสีผึ้งที่มีชิ้นส่วนศพไปด้วย


  ข้าพเจ้าเคยคุยกับพระอาจารย์รุ่นเก่า ตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่ทันยุคคนเล่นของ ท่านเล่าว่ากรณีที่จะทำสีผึ้งแบบผสมขี้ผึ้งปิดใบหน้าศพนั้น ถ้าเป็นการทำศพแบบสมัยใหม่ที่ฉีดฟอร์มาลีน ก็จะไม่มีใครเอาขี้ผึ้งมาปิดใบหน้าศพแล้ว ดังนั้นถ้าจะทำสีผึ้งแบบนี้ ก็ต้องแอบงัดโลงศพเปิดฝาโลงออก แล้วเอาแผ่นขี้ผึ้งที่เตรียมไว้ไปนาบกับใบหน้าศพ แล้วเสกคาถากำกับ เสร็จแล้วค่อยเอาแผ่นขี้ผึ้งไปใช้

4.2 อาถรรพ์แรงผีที่ใช้ชิ้นส่วนศพ

  ส่วนผสมแบบนี้เข้าใจได้ง่ายและสามารถอธิบายได้รวบรัดที่สุด เพราะมันก็คือการเอาชิ้นส่วนของศพมาใช้ผสมลงไปในสีผึ้งนั่นเอง  ชิ้นส่วนศพนี้มีตั้งแต่ ชิ้นกระดูกทุกส่วนของศพ เถ้ากระดูก น้ำเหลือง ฟัน ลิ้น น้ำมันจากศพ แม้แต่เศษเนื้อเศษไขมันเละๆจากศพก็มีการเอามาใช้

  เท่าที่ข้าพเจ้าผู้เขียนเคยได้ยินได้ฟังและบางกรณียังได้เห็นมาบ้าง พวกหมอไสยศาสตร์หมอผีเขาใช้ชิ้นส่วนศพมาผสมหุงเป็นสีผึ้งด้วยวิธีดังนี้

กระดูก การใช้กระดูกผีมาผสมในสีผึ้งนั้นมีทั้งแบบที่ไม่เจาะจงว่าจะต้องเป็นกระดูกส่วนไหน และยังมีวิชาเฉพาะที่กำหนดบังคับว่าต้องใช้กระดูกส่วนใดโดยตรงอีกด้วย

  ข้าพเจ้ารู้จักคุ้นเคยกับผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่คนนับถือว่าเป็นอาจารย์ไสยศาสตร์ ท่านนี้มีคนนับถือว่ามีวิชาชำนาญทางภูติพรายผีต่างๆ แกเล่าว่าวิชาที่แกมั่นใจที่สุดก็คือวิชาควบคุมภูติผีใช้ประโยชน์จากแรงอาถรรพ์ของผี ผีที่แกใช้นั้นรวบรวมมาจากกระดูกจากหลายสิบศพ โดยเฉพาะพวกกระดูกผีตายโหง ผู้เฒ่าท่านนี้รวบรวมเก็บท่อนกระดูกส่วนต่างๆรวมกันได้หลายปี๊บ

  ผู้เฒ่าเล่าว่า แกจะนั่งสมาธิใช้อาคมเรียกวิญญาณให้มาผูกอยู่กับกระดูก วนเวียนอยู่กับกระดูก แล้วใช้อาคมบังคับผีให้มีแรงอาถรรพ์ใช้งานตามที่แกสั่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วใช้ไปในทางเสน่ห์แบบอาศัยอาถรรพ์ผีดลใจ แกจะบดท่อนกระดูกผีนี้ให้แตกเป็นเกล็ดเล็กๆเรียกว่าผงพราย แล้วใช้เป็นมวลสารผสมทำเครื่องรางของขลังตามแบบที่แกถนัด และแน่นอนว่าต้องมีการผสมผงกระดูกผีนี้ลงในสีผึ้งอาถรรพ์ที่แกทำไว้ด้วย
ภาพจากsila-pamag.com

  สีผึ้งผสมผงผีหลายสิบตนของท่านผู้เฒ่านี้ ใช้กระดูกผีหลายส่วนตามแต่จะรวบรวมมาได้ มีทั้งกระดูกแขน กระดูกขา กระดูกซี่โครง กระดูกไหปลาร้า เศษหัวกะโหลกผี คนที่เอาสีผึ้งของแกไปใช้ต่างบอกว่า มีคนเห็นร่างจำแลงของผีมาปรากฏอยู่บ่อยครั้ง และสีผึ้งอาถรรพ์แรงผีของท่านผู้เฒ่านี้ใช้ได้ผลดีมาก

  ท่านผู้เฒ่าเคยมอบสีผึ้งอาถรรพ์นี้ให้ข้าพเจ้าหนึ่งผอบขนาดใหญ่ มองเห็นเศษกระดูกผีผสมอยู่ในสีผึ้งได้ชัดเจน มองดูเหมือนกับเอาทรายไปคลุกกับสีผึ้งยังไงยังงั้นเลย ภายหลังมีคนทราบเรื่อง ต่างมารุมขอแบ่งไปจนหมดเกลี้ยง ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ทดลองใช้สีผึ้งอาถรรพ์แรงผีนี้ จึงไม่ทราบสรรพคุณว่าใช้ได้ผลแค่ไหน

กระดูกผีตรงข้อนิ้วก้อย  ข้าพเจ้าเคยทำผ้าป่าไปวัดแห่งหนึ่ง วัดนี้เมื่อสี่สิบปีก่อนยังไม่มีคนนอกพื้นที่รู้จัก เรียกว่ายังไม่มีพระอาจารย์ดัง ข้าพเจ้าได้รับสีผึ้งที่มีสีดำปี๊ดปี๋มาหนึ่งกระป๋อง พอสอบถามก็ได้ความว่าสีผึ้งนี้เป็นสีผึ้งอาถรรพ์ที่พระอาจารย์ผู้เฒ่าของวัดนี้ทำเอาไว้เมื่อก่อน พ.ศ.2510 มีส่วนผสมสำคัญคือกระดูกตรงข้อนิ้วก้อยของผีตายวันเสาร์เผาวันอังคาร และมีส่วนผสมของน้ำมันพรายด้วย

  จากคำบอกเล่าได้ความว่า การเอากระดูกตรงข้อนิ้วก้อยของผีตายวันเสาร์เผาวันอังคารมาทำเป็นผงอาถรรพ์ผีนั้น เชื่อว่ามีอาถรรพ์แรงมาก และจะแรงเป็นพิเศษในเรื่องมหาเสน่ห์ แต่ทำไมถึงแรงทางมหาเสน่ห์ก็ไม่มีคำตอบที่แน่ชัด ได้แต่อนุมานเอาเองว่า นิ้วก้อยมักจะหมายถึงความมีเมตตาต่อกัน เช่น เกี่ยวก้อยดีกันเกี่ยวก้อยรักกันเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน ไม่เคยปรากฏว่าเกี่ยวนิ้วโป้งรักกัน การที่เกี่ยวนิ้วก้อยกันนั้นหมายถึงความรักเป็นถึงระดับสากลด้วย ข้อที่ใช้กระดูกผีตรงข้อนิ้วก้อยก็พอจะอนุมานเอาจากเรื่องนี้กระมัง


กระดูกหน้าผากผี  กระดูกหน้าผากผีนี้เท่าที่เคยเห็นมาแทบทั้งหมดจะใช้เป็นแผ่นแช่ลงไปในตลับสีผึ้ง โดยมีการลงยันต์บนแผ่นกระดูกหน้าผากผี แบบนี้จะมีการระบุไว้เลยว่าผีตนนี้ชื่ออะไร นัยว่าใช้แรงอาถรรพ์ของวิญญานเจ้าของแผ่นกระดูกหน้าผากนั้น ให้มาคอยช่วยบังคับสะกดจิตให้คนอื่นมาลุ่มหลงในตัวเรา
ภาพจากtnews กระดูกหน้าผาก

น้ำมันพราย ข้อนี้คนไทยเราจะเข้าใจกันได้ง่าย เพราะเรื่องน้ำมันพรายนี้นับเป็นสุดยอดตำนานของอาถรรพ์จากแรงผี ไม่มีของแรงผีอะไรที่จะโด่งดังไปกว่าน้ำมันพรายแล้ว คนไทยมักจะเคยได้ยินเรื่องน้ำมันพรายด้วยกันทั้งนั้น และรู้ว่าน้ำมันพรายใช้ทางสะกดจิตบังคับให้คนอื่นมีใจมารักมาลุ่มหลงในตัวเจ้าของน้ำมันพราย

  การเอาน้ำมันพรายมาผสมในสีผึ้งนั้น เข้าใจกันง่ายๆก็คือเป็นการแปรรูปน้ำมันพรายให้เก็บรักษาง่าย เพราะปกติน้ำมันพรายจะมีปริมาณน้อย และจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้ในขวดแก้วหรือขวดกระเบื้อง เพราะในสมัยโบราณยังไม่มีขวดพลาสติก การเก็บน้ำมันพรายไว้ในขวดแก้วนั้น ถ้าทำหล่นพื้นแล้วละก็ ขวดใส่น้ำมันพรายต้องแตกอย่างแน่นอน จึงมีการใช้น้ำมันพรายผสมลงไปในสีผึ้ง
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งผสมน้ำมันพราย

ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งผสมน้ำมันพราย

  น้ำมันพรายมีคติการทำหลายแบบ มีทั้งใช้น้ำมันที่เป็นน้ำมันจากไขมันศพ มีทั้งใช้น้ำเหลืองจากศพ น้ำมันพรายที่ถือว่ามีอาถรรพ์แรงกล้าที่สุดนั้น จะเป็นน้ำมันพรายจากศพผีตายท้องกลม ซึ่งก็คือผีผู้หญิงที่มีครรภ์แล้วคลอดตายทั้งแม่ทั้งลูก เชื่อว่าผีตายท้องกลมนี้มีความเฮี้ยนดุร้ายมีแรงอาถรรพ์มากที่สุด

  น้ำมันพรายยังหมายถึงน้ำมันผีที่คนตายเป็นผู้ชายด้วย แต่แบบนี้ดังน้อยกว่าน้ำมันพรายผีตายท้องกลม
ภาพโดยsihawatchara น้ำมันพราย

  น้ำมันพรายอีกแบบหนึ่ง จะเอาศพของเด็กที่ตายในท้องหรือแท้งตั้งแต่ในท้อง โดยเอาศพเด็กมาปิ้งย่างแล้วเอาภาชนะรองรับน้ำมันที่เกิดจากการย่างศพหยดลงมา ข้อนี้ให้นึกถึงภาพตอนที่เราไปยืนรอซื้อหมูปิ้งหมูสะเต๊ะ เราจะเห็นว่าเนื้อหมูจะมีน้ำมันหยอดติ๋งๆลงมาบนถ่าน ยิ่งถ้าจะให้เห็นภาพการย่างศพเด็กเอาน้ำมันพรายให้ชัดเจนที่สุด ให้ดูตอนย่างปลาดุก จะมีน้ำมันหยดติ๋งๆปลาดุกจะงอก่องอขิง เหมือนเป๊ะเลย

  การนำศพเด็กที่ตายในท้องแม่มาทำน้ำมันพรายนั้น สิ่งที่ได้มาอีกอย่างหนึ่งที่ความจริงแล้วนับว่าเป็นวัตถุประสงค์สำคัญกว่าน้ำมันพราย น้ำมันพรายเป็นของที่พลอยได้มาจากปฏิบัติการทำสิ่งนั้น ซึ่งสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า กุมารทอง

  สีผึ้งที่เป็นสีผึ้งแรงผีโดยปกติจะไม่ได้ใช้สีปากจริง จะเพียงแค่ใส่ในตลับพกพาไปเท่านั้น แต่มีเหมือนกันที่วิธีการใช้ให้แตะสีผึ้งอาถรรพ์ผีเอามาพอแค่ติดบางที่ปลายนิ้ว แล้วป้ายไปที่กลุ่มเป้าหมาย เชื่อกันว่าวิญญาณผีในสีผึ้งจะสะกดบังคับใจเป้าหมายของเราได้

สีผึ้งไสยขาวและสีผึ้งไสยดำแบบไหนดีกว่ากัน

  เรื่องนี้จะเอาอะไรมาวัดก็ไม่ได้เสียด้วย เพราะมันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นเรื่องลี้ลับมหัศจรรย์ เท่าที่ข้าพเจ้าผู้เขียนนี้เคยสังเกตมานานหลายสิบปี พบว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอำนาจจิตของท่านผู้เสกปลุกหรืออธิษฐานจิตสีผึ้งนั้น เช่น
  สีผึ้งของหลวงพ่อรูปหนึ่งซื้อสีผึ้งที่ใช้สีปากกันปากแตกตอนหน้าหนาวแบบที่เขาทำขาย แล้วเอามาเสกเฉยๆ ไม่มีส่วนผสมทางคาถาอาคมทั้งไสยขาวไสยดำอะไรสักอย่างเลย แต่สีผึ้งของท่านขลังเป็นอย่างยิ่ง
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ

  สีผึ้งอาถรรพ์ผีของอาจารย์ท่านหนึ่ง ผสมทั้งน้ำมันพรายทั้งผงกระดูก มีประสบการณ์ใช้ได้จนคนที่รู้ต่างก็ใฝ่ฝันอยากได้สีผึ้งนี้ แต่มีคนที่เคยเอาไปใช้จีบบังคับสะกดจิตผู้หญิงได้ผลนั้น อยู่มาวันหนึ่งแขวนพระเครื่องของหลวงพ่อรูปหนึ่งและพกสีผึ้งผีตลับเดิมไปด้วย พอใช้ป้ายผู้หญิงกลับไม่ได้ผล และยังใช้ไม่ได้ผลไปโดยตลอด มาทราบภายหลังว่าสีผึ้งผีนั้นถูกมงคลวิชาของเหรียญพระอาจารย์ที่เอามาแขวนกดข่มแรงผีเอาไว้ หรืออาจถึงขนาดล้างอาถรรพ์สีผึ้งผีไปหมดแล้วก็ได้

  หลวงปู่รูปหนึ่งคุ้นเคยกับข้าพเจ้ามาก เคยดูท่านหุงสีผึ้งเอง ท่านว่าจะใช้สีผึ้งที่เขาใส่ตลับขายก็ได้แต่มันหาซื้อยากและไกลถึงกรุงเทพฯ ท่านเลยหุงเองประหยัดเงิน ท่านลงอักขระที่ฟืนและไม้พาย ลงยันต์ที่ก้นหม้อหุงสีผึ้ง ระหว่างที่ขี้ผึ้งละลายท่านใส่ผงวิเศษที่ท่านลบเองลงไปแค่ติดปลายนิ้ว ปรากฏว่าพอเอาสีผึ้งของท่านไปลองใช้ดู  เจอประสบการณ์ทางเมตตามหานิยมดีเยี่ยม และยังพลิกล๊อคอีกตรงที่สีผึ้งเมตตาค้าขายของท่านนั้น ยังมีฤทธิ์ทางถอนของถอนคุณไสยอีกด้วย แต่ท่านก็บอกว่าถ้าให้ดีไปซื้อสีผึ้งที่เขาทำขายที่หอมๆสวยๆ เอามาให้ท่านเสกก็ใช้ได้เหมือนกันกับที่ท่านหุงเอง
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งหลวงปู่ปรง จ.สิงห์บุรี

   พระอาจารย์ท่านหนึ่งของข้าพเจ้านั้น ท่านเล่าว่าท่านรำคาญพวกมาขอสีผึ้งจากท่าน พวกนี้เจาะจงจะเอาสีผึ้งที่ทำด้วยขี้ผึ้งปิดใบหน้าศพ ท่านว่า กูจะไม่ทำพวกมันก็ตื้อจะเอาอยู่ได้ กูแค่เสกสีผึ้งตลาดก็ใช้ได้แล้วแต่พวกมันจะเอาสีผึ้งผีๆ

  วันหนึ่งข้าพเจ้าแวะไปกราบท่านที่วัด ท่านก็เอ่ยว่า เอ็งมาก็ดีแล้ว ตอนนี้มีผีตายท้องกลมฝากอยู่ที่วัดพอดี มึงเอาขี้ผึ้งไปปิดหน้าศพให้กูหน่อย ท่านว่าท่านขออนุญาตจากญาติพี่น้องท่านเจ้าของร่างไว้แล้ว ข้าพเจ้าฟังแล้วก็สะดุ้งว่ามาไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย ภายหลังที่ไปกราบท่านก็เลยวางแผนซื้อสีผึ้งที่หุงมาสำเร็จเรียบร้อยดีเอามาให้ท่าน เพื่อที่ว่าสีผึ้งที่หุงแล้วเนื้อมันนุ่มนิ่ม ไม่สามารถแผ่เป็นแผ่นเพื่อเอาไปปิดใบหน้าศพได้ แต่ต่อมานึกขึ้นได้อีกว่า ถ้ามีคนมาขอให้ท่านทำสีผึ้งแบบใช้ขี้ผึ้งปิดใบหน้าศพอีก แล้วเกิดท่านให้ใช้สีผึ้งนิ่มๆไปแปะใบหน้าศพแล้วละก็ ที่นี้หนักกว่าเดิมเลย เพราะมันเหมือนกับเอาเจลไปทาศพแล้วต้องขูดออกมา แบบนี้มันสยองมากเกินไปแล้ว
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งหลวงปู่ฉาบวัดคลองจันทร์ จ.ชัยนาท

คติการใช้สีผึ้งวิทยาคมสีปาก

  ข้าพเจ้าเคยกราบเรียนสอบถามวิธีใช้สีผึ้งจากหลวงพ่อพระอาจารย์หลายรูป ท่านตอบตรงกันว่าไม่ต้องใช้สีปากก็ได้ แค่พกไว้เฉยๆก็ใช้ได้แล้ว แต่ท่านก็เล่าว่า นอกจากจะมีการใช้สีผึ้งวิทยาคมมาวาดริมฝีปากแบบทั่วไปแล้ว ยังมีหลายตำราที่ระบุวิธีใช้สีผึ้งอีกด้วยว่า เวลาจะใช้สีผึ้งกับผู้คนทั้งหลาย ต้องใช้นิ้วมือไหนสีปาก คติแบบนี้มีดังนี้

  นิ้วโป้ง  ใช้สีปากทางอำนาจ เช่น เจรจากับลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชา
  นิ้วชี้  ใช้เจรจาทั่วไป
  นิ้วกลาง  ใช้เจรจากับผู้ใหญ่ผู้บังคับบัญชา
  นิ้วนาง  ผู้ชายจีบผู้หญิง และ ผู้หญิงจีบผู้ชาย ไม่ได้บอกว่าจีบเพศเดียวกันได้ด้วยหรือไม่
  นิ้วก้อย  เจรจาค้าขาย

  สำหรับข้าพเจ้าเองนั้น นิยมสีผึ้งแบบมงคลวิชามากกว่า จะเป็นสีผึ้งมงคลวิชาที่ผสมมวลสารหรือเป็นสีผึ้งตลาดที่ซื้อมาเสกก็ได้ ขอเพียงเป็นของหลวงปู่หลวงพ่อพระอาจารย์ของเรา แค่นี้ก็ถือเป็นของดีที่ครูบาอาจารย์ประสิทธิ์ให้เราดีแล้วเป็นสิริมงคลแล้ว

  แต่มันเป็นความจริงว่า คนส่วนมากจะชอบสีผึ้งแรงอาถรรพ์ผีมากกว่าสีผึ้งที่เป็นสิริมงคล เรื่องนี้แปลกแต่จริง มันเป็นมาแบบนี้ทุกยุคทุกสมัย

คาถาเสกสีผึ้งสีปาก

  บางตำรามีคาถาเสกสีผึ้งตอนที่จะสีปากด้วย ข้อนี้ข้าพเจ้าได้เคยกราบเรียนสอบถามพระอาจารย์หลายรูป ก็ได้ความตรงกันว่า ถ้าไม่มีสีผึ้งที่เสกมาแล้ว หากใจเชื่อมันมีสมาธิ ก็ใช้คาถานั้นภาวนาไปพร้อมใช้สีผึ้งวาดริมฝีปาก ใช้สีผึ้งธรรมดาทั่วไปนี่แหละ

  คาถาใช้ภาวนาตอนใช้สีผึ้งสีปาก

1.เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ
2.มะนุญญัง จิตตัง
3.อะสังวิสุโลปุสะพุภะ
4.เตชะสุเนมะภูจะนาวิเว
5.นะเมตตา โมกะรุณา พุทปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู
6.ธะวะรังหะวะรังเอหิเอหิ
Reading for foreigners ,  Make lover , Make people kind
1.A  He  Jit  Tung,  Phe  Young  Ma  Ma
2.Ma  Noon  Young  Jit  Tang
3.R  Sang  Vi  Su  Lo  Pu  Sa  Phu  Pha
4.Dhe  Cha  Su  Na  Ma  Phu  Ja  Na  Vi  Vey

ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์

ภาพโดยsihawatchara นวดหรือสีผึ้งหลวงพ่อเอียวัดบ้านด่าน
ภาพโดยsihawatchara นวดหรือสีผึ้งหลวงพ่อเอียวัดบ้านด่าน
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งเก่า หลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งเจ็ดจันทร์หลวงพ่อเริ่มวัดจุกกะเฌอ
ภาพโดยsihawatchara สีผึ้งหลวงปู่จันทร์วัดโฉลกหลำ
 ข้อมูลจากการที่ได้เคยกราบเรียนสอบถามจากครูบาอาจารย์ จากบันทึกในตำรับตำราโบราณ
อนุญาตให้นำข้อมูลและภาพที่เป็นภาพข้าพเจ้าถ่ายเองไปใช้ได้
ขอขอบพระคุณ
ครูอาจารย์
ภาพบางส่วนจากอินเตอร์เน็ตตามที่ให้รายละเอียดไว้แล้วในภาพ