วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2565

นึกเรื่องเก่า เล่าความหลัง กินของขม ชมเด็กสาว.๑๓ เจเนอเรชั่น




เจเนอเรชั่น   Generation

   ในปัจจุบันมักจะมีคำๆหนึ่งที่กล่าวถึงกันอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่นับว่าแพร่หลายนัก ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้สนใจติดตามข่าวสาร ก็อาจถึงกับยังไม่ได้ยินไม่รู้จักและไม่ทราบว่าคำๆนี้สื่อถึงอะไร คำดังกล่าวนี้ก็คือคำว่า Generation เจเนอเรชั่น นั่นเอง

   หลายๆท่านคงนึกแย้งว่า คำว่า Generation นี้ ข้าพเจ้าหรือแอดมินมาบอกว่ามีคนรู้จักน้อยได้อย่างไรวะ ก็คำว่า Generation นี้ใครๆก็รู้ว่ามันแปลว่า “รุ่น” แล้วข้าพเจ้าไปเอามาจากไหนว่าคนไม่ค่อยรู้จักคำๆนี้ เรื่องนี้มีที่มาที่ไป เป็นเรื่องที่ฝรั่งเขาคิดขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าฝรั่งเขาเข้าใจคิด มันสื่อความหมายได้ตรงตัวจริงๆ


   คำว่า Generation ที่ข้าพเจ้าหยิบยกเอามาเล่านี้ ไม่ใช่ Generation ตามคำแปลใน Dictionary ที่แปลสั้นๆว่า รุ่น ซึ่งข้อนี้ใครๆเขาก็รู้ แต่ข้าพเจ้าหมายถึง Generation เจเนอเรชั่น ที่เกิดขึ้นจากการแยกแยะช่วงอายุของมนุษย์ชาติซึ่งสัมพันธ์กับสถานการณ์และสังคมของโลกในครั้งนั้นๆ จะสังเกตได้ว่าเจเนอเรชั่นในแบบนี้ ช่วงเวลาของปีที่นับจะไม่เท่ากัน เพราะจะนับแยกตามสถานการณ์สภาวะของโลก สังคม เศรษฐกิจในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

ภาพจาก dotclue.org

   Generation เจเนอเรชั่นของมนุษย์ในยุคต่างๆตามที่ฝรั่งเขาคิดมานั้น เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่า มันตอบอะไรได้หลายอย่าง ทั้งยังสื่อให้เห็นเงื่อนงำของปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ เห็นถึงความเห็นพ้องและขัดแย้งในคติความคิดความเชื่อ ที่สำคัญมากๆก็คือ เห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ในเวลาต่อมา ช่องว่างระหว่างวัย และเห็นช่องทางที่จะแก้ปัญหาอีกด้วย นับว่าคำว่า Generation เจเนอเรชั่นนี้มีความหมายไม่ธรรมดา

 ภาพจาก tomhuhuronroberts.com

   สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบว่า Generation เจเนอเรชั่น ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้มันคืออะไร ก็ขอให้นึกง่ายๆแบบกำปั้นทุบดินก่อนว่า มันคือคนรุ่นต่างๆของช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งบังเอิญเรื่องนี้มันเข้ากับหัวข้อของการ นึกเรื่องเก่า เล่าความหลัง กินของขม ชมเด็กสาว ได้อย่างขำๆ เพราะคนแต่ละรุ่นต่างก็มีเรื่องราวของยุคสมัยของตัวเอง คนรุ่นต่างๆที่ข้าพเจ้าจะเล่าถึงนี้ ก็คือที่ปัจจุบันเขาเรียกกันว่า

   Generation เจเนอเรชั่นแบบนี้พิจารณาจากความเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือสถานการณ์โลกในช่วงต่างๆ ซึ่งมนุษย์เราได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นั้นๆโดยตรง ความรู้สึกนึกคิดพฤติกรรมของมนุษย์ก็เป็นไปตามสภาวะสถานการณ์ในครั้งนั้นๆ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆแบบภาษาปัจจุบันก็ประมาณว่า เหมือนเป็นกระแสอย่างหนึ่งในช่วงระยะเวลานั้น หรือ สถานการณ์สภาพแวดล้อมบังคับให้เป็นแบบนั้นเอง พอเลยช่วงนั้นๆไปแล้วก็เกิดสถานการณ์สภาพแวดล้อมครั้งใหม่ เลยเกิดเป็นGeneration เจเนอเรชั่นใหม่ขึ้นมาอีก และมันจะเป็นทำนองนี้ไปเรื่อยๆเสมอ

   เมื่อสภาพแวดล้อมมีผลกับวิถีชีวิตของมนุษย์ พอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปวิถีชีวิตก็ค่อยๆเปลี่ยน ความรู้สึกนึกคิดพฤกติกรรมของมนุษย์ก็พลอยเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มนุษย์เกิดต่างยุคกันก็ย่อมต้องมีอะไรที่ต่างกันไปบ้าง ดังจะเห็นได้ง่ายๆว่า เด็กหรือวัยรุ่นคุยกับคนแก่แล้วมุมมองมักต่างกัน จนกระทั่งถึงขนาดขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงก็มี

ภาพจาก CafeBiz

      ฝรั่งเขาแบ่งเจเนอเรชั่นไว้ดังนี้

1.Lost  Generation ล็อซทเจเนเรชั่น เกิดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๒๖ - ๒๔๔๓ หรือ ค.ศ. 1883 - 1900


2. Greatest Generation เกรทเต็สเจเนอเรชั่น เกิดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๔ - ๒๔๖๗ หรือ ค.ศ. 1901 – 1924 หรือเรียกว่า G.I. Generation


3. Silent Generation ไซเล้นทเจเนอเรชั่น เกิดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๘๘ หรือ ค.ศ.1925 - 1945

4. Baby Boomer เบบี้บูมเมอร์   เกิดระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๕๐๗ หรือ ค.ศ. 1946 - 1964

5. Generation X เจเนอเรชั่น เอ็กซ์  เกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๘-๒๕๒๒ หรือ ค.ศ. 1965 – 1979

6. Generation Y เจเนอเรชั่น วาย หรือ ยุค Millennials คือคนที่เกิดอยู่ในช่วงปีพ.ศ.๒๕๒๓-๒๕๔๐ หรือ ค.ศ. 1980 - 1997

7.Generation Z เจเนอเรชั่น ซี  ฝรั่งจะออกเสียง Z ว่า ซี หมายถึงคนที่เกิดตั้งแต่พ.ศ.๒๕๔๑ - ๒๕๕๒ หรือ ค.ศ. 1998 – 2009


 8.Generation Alpha เจเนอเรชั่นอัลฟ่า ฝรั่งเขานับที่ค.ศ.2010หรือเกิดตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓ ถึงปัจจุบัน

   ถ้าจะให้เข้าใจเรื่องเจเนอเรชั่นได้ง่ายๆแบบกำปั้นทุบดินก็คือ โลกเก่ากับโลกใหม่ ขนาดแผนที่โลกต่างยุคมันยังไม่เหมือนกันเลย ความรอบรู้และมุมมองของยุคสมัยมันต่างกัน

ภาพจากi.pinimg.com แผนที่โลกในแบบยุคเก่าแต่ยังไม่เก่าสุด

ภาพจาก mapsofworld.com แผนที่โลกยุคปัจจุบัน


9.ข้อนี้ยังไม่ได้จัดให้เป็นเจเนอเรชั่นหลัก แต่เหมือนเป็นเจเนอเรชั่นพิเศษหรือเป็นเจเนอเรชั่นย่อยที่แทรกเข้ามาอีกเจเนอเรชั่นหนึ่ง นับเป็นมนุษย์เจเนอเรชั่นพิเศษที่ไม่ได้แยกตามปีเกิดหรือช่วงอายุ เพราะแยกได้จากพฤกติกรรมพิเศษที่ตรงกัน เป็นพฤกติกรรมที่คนเจเนอเรชั่นเก่าและต่างรุ่นกันมีเหมือนๆกัน คือเป็นมนุษย์เจเนอเรชั่นเก่าแต่ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ อยู่ในโลกโซเชี่ยลหรือโลกไซเบอร์ได้เหมือนคนเจเนอเรชั่นใหม่ มนุษย์พันธุ์พิเศษนี้เรียกว่า เจเนอเรชั่น ซี Generation C ชื่อนี้มาจากคำว่า Connected Generation              
     
             เจเนอเรชั่นต่างๆนี้ต่างกันอย่างไร มีที่มาที่ไปอย่างไร มีผลอย่างไร รายละเอียดมีดังนี้

1.Lost  Generation ล็อซทเจเนเรชั่น เกิดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๒๖ - ๒๔๔๓ หรือ ค.ศ. 1883 - 1900 โอ้โฮ....นี่มันสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่๑(พ.ศ.๒๔๕๗-๒๔๖๑)กันเลย คนยุคนี้เอาแค่เกิดพ.ศ.๒๔๔๓ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเจเนอเรชั่น ถ้าอยู่ถึงตอนนี้(พ.ศ.๒๕๖๕)ก็ปาเข้าไปถึง ๑๒๒ ขวบปี คนเจเนอเรชั่นนี้จะทันเห็นหรือเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่๑ จึงเรียนคนเจเนอเรชั่นนี้ว่าเป็นคนในยุคสงครามโลกครั้งที่๑ แบบนี้จึงประมาณการว่า คนเจเนอเรชั่นนี้สูญไปหมดแล้ว จึงเรียกว่ายุค ล็อซทเจเนอเรชั่น เรียกแบบไทยๆว่า ลอสเจเนอเรชั่น คือเป็นคนในเจเนอเรชั่นที่สาบสูญไปแล้ว

   ถ้าเป็นชาวยุโรปในรุ่นนี้ ก็เป็นรุ่นที่ยุโรปกำลังมีอำนาจ และอยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมในระยะที่สอง (ปีค.ศ.1860-1914)  ซึ่งความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ ในช่วงนี้เข้ายุคเปลี่ยนจากการใช้เครื่องจักรไอน้ำ ถ่านหิน มาเป็นใช้ก๊าซ น้ำมัน ไฟฟ้า  และยังเป็นช่วงปลายที่ประเทศทางยุโรปยังล่าอาณานิคม

สงครามโลกครั้งที่ 1

นิวยอร์ก ค.ศ.1900

   จากการที่เริ่มเปลี่ยนแปลงวิทยาการและอุตสาหกรรมอีกครั้ง ในที่สุดก็ใกล้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ( ค.ศ. 1914 ถึง ค.ศ. 1918) คนยุคนี้จึงมีความตื่นตัว ขยัน และรักการค้นคว้า ผจญภัย มีระเบียบวินัย แต่ละประเทศเสริมอำนาจเพื่อป้องกันตนเอง

   ในขณะนี้(พ.ศ. 2565) คนยุคนี้น่าจะหมดไปแล้ว ถ้ายังมีเหลืออยู่ก็จะกลายเป็นมนุษย์ที่อายุยืนที่สุดในโลก อย่างน้อยต้องอายุ 122ปี จึงเป็นที่แน่ใจว่า คนรุ่นนี้น่าที่จะหมดไปแล้ว เลยเรียกคนยุคนี้ว่า Lost  Generation  รุ่นที่สิ้นสูญ

2. Greatest Generation เกรทเต็สเจเนอเรชั่น เกิดระหว่าง พ.ศ.2444-พ.ศ.2467 (ค.ศ.1901-ค.ศ.1924) คือเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่2(พ.ศ.2482-2488 หรือ ค.ศ.1939 ถึง ค.ศ.1945) และอยู่จนถึงการเข้าร่วมรบในมหาสงครามครั้งที่ 2 เจเนอเรชั่นนี้ได้รับผลกระทบจากภัยสงครามทุกคน

นิวอิงแลนด์ ค.ศ.1908

สงครามโลกครั้งที่ 2

   คนรุ่นนี้เกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่พอโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็เข้าช่วงสงครามโลกพอดี เหตุการณ์สำคัญๆประวัตศาสตร์โลกช่วงสำคัญและยิ่งใหญ่ ต่างก็เกิดขึ้นในช่วงนี้ คนรุ่นนี้ต้องเข้าร่วมสงครามอย่างทนทรหด ต้องอดอยากต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง

   เพราะสถานการณ์รอบด้าน จึงทำให้คนรุ่นนี้มีความอดทน มีระเบียบวินัย มัธยัสถ์ กล้าหาญ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น

 3. Silent Generation ไซเล้นทเจเนอเรชั่น เกิดระหว่าง พ.ศ.2468-พ.ศ.2488 (ค.ศ.1925-1945) คนรุ่นนี้มีที่เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี เนื่องจากเป็นสภาวะสงครามโลก โลกจึงเศร้าสลด ผู้คนล้มตายไปมากมาย จึงมีคนเกิดน้อยกว่ายุคที่ผ่านมา


สงครามโลกครั้งที่ 2

   เนื่องจากตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 คนรุ่นนี้ยังอยู่ในช่วงเป็นเด็กเล็กและที่อายุมากสุดก็อยู่ในช่วงวัยรุ่น หรือที่เข้าเพิ่งรุ่นหนุ่มก็มี ผู้คนมีเกิดมาน้อย แต่จำนวนคนที่เสียชีวิตเพราะภัยสงครามมีมากมายมหาศาล บ้านเมืองเสียหายจากภัยสงคราม ถึงแม้เป็นประเทศที่ไม่ใช่สมรภูมิรบก็ยังได้ผลกระทบด้วยกันทั้งโลก เกิดความขาดแคลนไปทั่วโลก โลกอยู่ในความเศร้าหมอง

   คนรุ่นนี้ถูกสภาพแวดล้อมของยุคสมัยที่มีสงครามชั กนำให้ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ขัดสน อดอยาก จึงค่อนข้างเศร้าหมอง แต่สถานการณ์ทำให้เกิดมีความอดทนสูง มีความสามารถในด้านการเอาตัวรอด และเนื่องจากทันเห็นภัยสงคราม และส่วนหนึ่งเข้าร่วมสงครามในช่วงท้ายๆ ดังนั้นจึงมีความรู้สึกเบื่อสงคราม

4.Baby Boomer เบบี้บูมเมอร์  เกิดระหว่างปี พ.ศ.2489-2507(ค.ศ.1946-1964) ยุคนี้สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงพอดี จึงเป็นช่วงฟื้นฟูของยุคสมัย สาเหตุที่เรียกยุคนี้ว่า "เบบี้บูมเมอร์" ก็เพราะว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่2สงบลง โลกและมนุษยชาติได้รับความเสียหายอย่างหนักมากที่สุดเท่าที่เคยมี ผู้คนล้มตายไปในสงครามประมาณถึงมากกว่า 60 ล้านคน นี่คือตัวเลขที่เฉพาะที่ประมาณการได้ค่อนข้างแน่ชัด ส่วนผู้เสียชีวิตที่สาบสูญหาหลักฐานไม่ได้ยังไม่ทราบว่ามีอีกเท่าไร พลเมืองโลกลดหายไปมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

   เมื่อมนุษยชาติต้องฟื้นฟูโลกขึ้นมาใหม่ จึงเกิดความนิยมว่าต้องมีลูกมากๆเอาไว้ก่อน ดังนั้นจึงเกิดเบบี้ที่บูมขึ้นมานั่นเอง เจเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์เป็นมนุษย์ที่อยู่ในยุคสงครามสงบและเป็นยุคฟื้นฟูโลก ความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆของโลกเริ่มก้าวกระโดดอย่างจริงจังก็ในยุคนี้เอง ชาวเบบี้บูมเมอร์จึงเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษที่ทันได้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นวิวัฒนาการของมนุษยชาติมากกว่าคนในเจเนอเรชั่นอื่นที่ผ่านมา

Daytona Beach  ค.ศ.1957

   ในปัจจุบันนี้(พ.ศ.2565)คนเจเนเรชั่นเบบี้บูมเมอร์ถูกมองว่าคือคนแก่ เพราะทั้งหมดเป็นมนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟขึ้นไปทั้งนั้น 

   คนรุ่นนี้อยู่ในยุคที่โลกสงบเพิ่งฟื้นจากภัยสงคราม โลกมีความปลอดภัยขึ้น ทั้งยังเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการที่โลกฟื้นฟูศิลปวิทยาการในทุกด้าน และพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว คนรุ่นนี้จึงรู้สึกกระฉับกระเฉงกับชีวิต สนใจทฤษฎีใหม่ๆ ที่สำคัญคือเคยพบเคยเห็นความยากลำบากของคนรุ่นพ่อแม่ จึงทำให้มีระเบียบวินัยและอดออม ขยันทำงานเพื่อสร้างชีวิตใหม่ มีความเคารพกฏกติกามรรยาทสังคม สร้างครอบครัว ยังมีความติดยืดกับระบบความคิดแบบเก่า แต่ก็รับเอาสิ่งใหม่ๆได้ด้วย

 5.Generation X เจเนอเรชั่น เอ็กซ์  เกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2508-2522(ค.ศ.1965-1979) หลังจากเบบี้ที่บูมขึ้นมามากๆ อยู่ๆก็เกิดกระแสวิตกว่าประชากรจะล้นโลกเสียแล้ว เลยเกิดความนิยมคุมกำเนิด ยุคนี้โลกวิวัฒนาการไปมากพราะฟื้นตัวเต็มที่แล้ว มีคำเรียกคนยุคนี้อีกชื่อว่า "ยับปี้" (Yuppie) ย่อมาจาก Young Urban Professionals เพราะเกิดมาในยุคที่อยู่ในโลกที่สุขสบาย มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เศรษฐกิจก็มั่นคงขึ้น 

Sydney ค.ศ.1975

  คนรุ่นนี้ถูกเลี้ยงดูมาด้วยคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ดังนั้นจึงได้ลักษณะนิสัยของรุ่นเบบี้บูมเมอร์มาด้วยส่วนหนึ่ง แต่เพราะบรรพบุรุษได้สร้างรากฐานครอบครัวมาให้เป็นต้นทุนชีวิตให้แล้ว คนรุ่นนี้จึงมีบางสิ่งเปลี่ยนไปจากคนรุ่นก่อน เช่น ความอดทนในการทำงานน้อยลง มีความทะเยอทะยานเพราะต้องแก่งแย่งในสังคม ชอบความฟุ้งเฟ้อ และชอบหาความรู้ให้มากยิ่งขึ้น อยากสร้างตัวสร้างครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น เมื่อยุคนี้การแข่งขันเริ่มชัดเจน ดังนั้นคนยุคนี้จึงมีส่วนหนึ่งที่แยกพรรคแยกพวก มีความกล้าในการแสดงออกทั้งส่วนตนและที่คิดแบบเดียวกัน

6.Generation Y  เจเนอเรชั่น วาย  หรือ ยุค Millennials คือคนที่เกิดอยู่ในช่วงปีพ.ศ.2523-2540(ค.ศ.1980-1997)  เจเนอเรชั่นนี้มาพร้อมกับความแตกต่างของอายุและความคิดระหว่างเจเนอเรชั่นเก่ากับใหม่ ซึ่งนับว่าแตกต่างกันอย่างมาก ยุคนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีอิทธพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์  คือ มีอินเทอร์เน็ตเข้ามาอยู่กับชีวิตประจำวัน จนแทบที่จะใช้เวลาแทบทั้งวันหมดไปกับโลกไซเบอร์

   คนเจเนอเรชั่นนี้ที่รับช่วงความสำเร็จมาจากบรรพบุรุษ จะไม่เคยผ่านความยากลำบาก ดังนั้นจึงขาดความอดทน ขาดความเข้าใจในความร่วมมือประนีประนอม ที่เป็นส่วนสำคัญของสังคมในยุคก่อน

   นอกจากนี้ การเลี้ยงดูคนรุ่นนี้แบบประคบประหงมเอาใจของพ่อแม่ ไม่ยอมให้ลูกลำบาก ตามใจลูกทุกอย่าง จึงทำให้คนรุ่นนี้ขาดการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมในสังคม ขาดการยับยั้งชั่งใจเหมือนพบกับความผิดหวัง จึงเริ่มเพาะนิสัยเห็นแก่ตัวชอบเอาชนะ

ภาพจาก AMAZON.com

   คนรุ่นนี้จะแวดล้อมไปด้วยความเปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆที่เห็นอยู่ทุกวัน ต้องคลุกคลีกับเทคโนโลยีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อินเทอร์เน็ตจะเข้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกนึกคิดมาก จนเกิดความแตกต่างระหว่างคนรุ่นนี้กับรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เกิดความเห็นต่างกับคนรุ่นเก่า เกิดความคิดเปรียบเทียบความรู้กับคนรุ่นเก่า เกิดความรู้สึกอยากเป็นผู้ชนะอยากเป็นผู้นำ คนรุ่นนี้จะไม่ชอบการถูกตีกรอบหรือกฏข้อบังคับ ถ้าก้าวหน้าเป็นใหญ่ในองค์กรไม่ได้ ก็ออกมาสร้างงานเป็นนายตนเองดีกว่า

   เมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารรวดเร็วมาก ข่าวสารรู้เท่าทันกันได้ทั่วโลก จึงเหมือนกับโลกแคบลง จนเกิดคำว่า โลกาภิวัตน์(Globalization) หมายถึงโลกไร้พรมแดน

7.Generation Z เจเนอเรชั่น ซี  ฝรั่งจะออกเสียง Z ว่า ซี หมายถึงคนที่เกิดตั้งแต่พ.ศ.2541(ค.ศ.1998)มาถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาก อะไรๆก็ใช้เทคโนโลยีไปหมด ดิจิตอลก้าวล้ำสุดๆ วันๆจะขลุกอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และโซเชี่ยลมีเดีย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนเริ่มน้อยลง

   เทคโนโลยี่ทางการสื่อสารและคอมพิวเตอร์ในรุ่นนี้จะก้าวล้ำมาก จนกระทั่งโลกทั้งโลกอยู่ในโทรศัพท์มือถือ คนรุ่นนี้จะใช้โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา เริ่มขาดการปฏิสัมพัมธ์ต่อสังคม


ภาพจาก st-remy-authentic.com

   คนรุ่นนี้จึงเป็นไปตามสภาพแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนไป จะไม่ค่อยมีเพื่อน มักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ จะไม่อยากเป็นลูกน้อง ดังนั้นคนรุ่นนี้จึงอยากที่จะสร้างงานด้วยตนเองมาก โดยจะเป็นการทำงานแบบสมัยใหม่ ที่สามารถทำที่บ้านได้ โดยใช้โลกอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ งานที่ทำจะใช้คนน้อย หรือใช้ตนเองทำเพียงคนเดียวด้วยทักษะการใช้คอมพิวเตอร์

8.Generation Alpha เจเนอเรชั่นอัลฟ่า ฝรั่งเขานับที่ค.ศ.2010หรือเกิดตั้งแต่ พ.ศ.2553 เป็นต้นไป ยุคนี้อะไรๆก็ดิจิตอล ตอนนี้คนเจเนอเรชั่นนี้ยังไม่มีบทบาทอะไรเพราะยังเด็ก แต่คนเจเนอเรชั่นอื่นๆเกรงว่าเจเนอเรชั่นอัลฟ่ามีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นมาแบบขาดปฏิสัมพันธ์สุดๆ เพราะจะใช้แต่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับโลกไซเบอร์ จนขณะนี้คนเจเนอเรชั่นอื่นเกิดความกังวลว่า ต่อไปเด็กรุ่นนี้จะมีความรู้สึกถึงการแก่งแย่ง การแข่งขันจะรุนแรง เพราะขาดน้ำใจ ขาดความร่วมมือ ขาดสังคม มองตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก


ภาพจาก MR.KRON

   ในขณะนี้(ปี พ.ศ.2565) เรื่องเจเนอเรชั่นหลักๆที่ทั่วโลกยอมรับก็นับสุดท้ายไว้ที่ Generation Alpha หรือเรียกสั้นๆว่า เจนอัลฟ่า หรือ เจนอัล....แต่จากสภาพสังคมและเทคโนโลยี่ ทำให้มีมนุษย์เจเนอเรชั่นพันธุ์ผสมขึ้นมาแทรก เป็นเจเนอเรชั่นพิเศษที่ไม่ได้เรียงลำดับปีศักราชหรือยุคที่เกิด แต่ดูจากพฤติกรรม

 มนุษย์เจเนอเรชั่นพิเศษ

   นอกจากนี้ยังเกิดมนุษย์เจเนอเรชั่นพิเศษขึ้นมาไว้ประดับโลกด้วย พวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน ที่แท้ก็คือพวกมนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟนั่นเอง มนุษย์พันธุ์พิเศษที่เก่าแต่เก๋าส์..ว่ะ

   มนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟทั้งหมดคือ Baby Boomer ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่เกือบเก่าสุดไปแล้ว อาจมีSilent Generation เหลืออยู่บ้างแต่ก็ชราภาพเต็มทีแล้ว เบบี้บูมเมอร์พ่วงด้วยเจเนอเรชั่นX มีอยู่ไม่น้อยที่ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีได้ แถมยังสนุกไปกับเทคโนฯและโซเซี่ยลได้ อยู่ในโลกไซเบอร์ได้ คนแก่แต่เก๋าส์กลุ่มนี้ถูกจัดให้เป็น เจเนอเรชั่น ซี Generation C ชื่อนี้มาจากคำว่า Connected Generation

Generation C เจเนอเรชั่น ซี หรือ  Connected Generation

   ถ้านับเอายุคปัจจุบันที่ พ.ศ.2565 ผู้เขียนเองต้องสะดุ้งไปเหมือนกันว่า นี่ตัวกรูนี้มีวัยหลังเกษียณเข้าให้แล้ว แถมยังกลายเป็นคนที่เกิดอาการที่ว่า นึกเรื่องเก่า เล่าความหลัง กินของขม ชมเด็กสาว อันเป็นกฏสี่ประการที่บ่งชี้ว่าเริ่มแก่ แต่ข้อที่ว่าชมเด็กสาวนี้ ผู้เขียนยังพอยั้งไว้อยู่ จึงหมายความว่ายังไม่แก่เพราะยังไม่ครบกฎสี่ข้อที่ว่า อย่างไรก็ตามมาพักหลังๆชักเห็นเด็กสาวสมัยนี้ว่าน่ารัก และน่าสนับสนุนทุนการศึกษาค่าขนมค่าอพาร์ทเม้นท์ เป็นที่ยิ่ง


ภาพจากcolourbox.com

   คนในเจเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์ ในพ.ศ.2565นี้ ทั้งหมดเป็นคนที่มีอายุครึ่งร้อยอัฟทั้งนั้น จะอยู่ในช่วงอายุ 58 ถึง 76 ปี นับได้ว่าชาวเบบี้บูมเมอร์ นี้ มีทั้งท่านที่ยังแข็งแรงและร่วงโรย ได้ผ่านได้พบเห็นอะไรมามาก ความสำเร็จความล้มเหลวก็ได้พบมาเยอะ ความรักความหลังของมนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟเบบี้บูมเมอร์ ต่างก็คงมีอดีตให้ระลึกถึงอยู่อย่างไม่หวาดไม่ไหว

   คนในเจเนอเรชั่นใหม่มักคิดว่า พวกเบบี้บูมเมอร์นี้เป็นพวกโบราณ(ได้ไงวะ) เป็นพวกตกยุคตกโลกไปแล้ว เรื่องนี้เป็นเพราะเจเนอเรชั่นเก่ากับใหม่ล่าสุดมันมีอายุห่างกันมาก คิดดูง่ายๆว่าชาวเบบี้บูมเมอร์ที่แก่สุด ณ พ.ศ. นี้ ก็ปาเข้าไปถึง 76ปีแล้ว ที่หนุ่มสุดก็ 58ปี ชีวิตความเป็นอยู่ก็แตกต่างกับยุคใหม่เอามากๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ง่ายๆว่า ชาวเบบี้บูมเมอร์แค่ยุคปลายๆเล่าเรื่องในอดีตให้เด็กรุ่นใหม่ฟัง มันไม่เชื่อแล้วยังหาว่าโกหกมันเสียอีก เช่น เงินสิบสตางค์ซื้อท๊อฟฟี่ได้หนึ่งเม็ด ข้าวแกงจานละ1บาท เล่าให้ตายเด็กมันก็ไม่เชื่อ ยิ่งถ้าเบบี้บูมเมอร์ยุคต้นๆเล่าเรื่องเก่าๆให้ฟัง อย่างนี้เด็กมันคงหาว่าเป็นอัลไซเมอร์แน่ๆ


ภาพจาก istockphoto.com

   สำหรับข้าพเจ้าผู้เขียนเองมีความเห็นว่า คนที่เป็นเจเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์ จะเป็นคนที่ได้ผ่านอดีตที่ค่อนข้างยังเป็นแบบสมัยเก่า และได้ผ่านเข้าสู่ในยุคสมัยใหม่ช่วงต่างๆจนถึงยุคดิจิตอล ดังนั้นชาวเบบี้บูมเมอร์ จึงคาบลูกคาบดอกระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ แน่นอนว่าเบบี้บูมเมอร์หลายๆท่านคงขัดๆที่จะเข้ากับคนเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ความคิดความอ่านก็ขัดแย้งกัน แต่ก็มีเบบี้บูมเมอร์อีกเป็นจำนวนมากที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ได้ ข้อนี้เป็นความสามารถพิเศษของชาวเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งมาจากการได้ทันเห็นโลกเปลี่ยนแปลงนั่นเอง

   มนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟเบบี้บูมเมอร์ ที่มีพื้นฐานชีวิตมีโอกาสในการศึกษา ก็มีส่วนทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับยุคใหม่ได้ แถมยังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตแบบสะสมไมล์มาเหลือเฟือ คนเจเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์ นั้น จะให้ไปกราบหาพระอาจารย์ฟังธรรมปฏิบัติธรรมก็ชอบ วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังก็เสาะหา ถึงสมัยนี้จะว่าเป็นเรื่องงมงายกรูก็ไม่สน เพราะกรูเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง 


ถึงจะแก่แต่ก็เจ๋งนะ

   ในขณะเดียวกันกับที่ชาวเบบี้บูมเมอร์ ห้อยพระคาดตะกรุดพกปลัดขิกหยิบสีผึ้งสีปาก มือหนึ่งถูหัวปลัดขิกภาวนาจีบหญิง อีกมือหนึ่งถือ iphon ipad ชาวเบบี้บูมเมอร์สามารถทำตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆได้ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชำนาญการทางด้านนี้อีกไม่น้อย ผู้เขียนเคยเจอเด็กรุ่นใหม่ที่มันคิดว่าคนรุ่นผู้เขียนนี้ไม่มีทางที่จะรู้เรื่องเทคโนโลยีเลย เพราะไปซื้อสายไฟเคสคอมพิวเตอร์ที่ห้างพันธุ์ทิพย์ ไอ้เจ้าเด็กคนขายมันเห็นผู้เขียนหยิบสายไฟสำหรับคอมพิวเตอร์ มันร้องเลยว่า..ป๋าๆ แบบนี้ใช้กับหม้อหุงข้าวไม่ได้ เออแน่ะ..ดูมันทำ เลยต้องบอกมันไปว่า ตัวกรูนี้ออกสเปคประกอบคอมโอเวอร์คล็อกได้เองเลยนะเว้ย และอย่าเรียกกรูว่า ป๋า

   เบบี้บูมเมอร์ที่ปรับตัวไปกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยตามยุคได้ ใช้โซเชี่ยลมิเดียได้ อยู่ในโลกไซเบอร์ได้ แบบนี้ฝรั่งเรียกว่าเป็นเบบี้บูมเมอร์(รวมเจน Xด้วย) ที่จัดว่าเป็นคนเจเนอเรชั่นซี(Generation C)

   ความแตกต่างของสภาพแวดล้อมวิวัฒนาการและสังคมของแต่ละเจเนอเรชั่น ทำให้ต่างคนต่างวัยมีพื้นฐานทางความคิดไม่เหมือนกัน นับเป็นช่องว่างระหว่างวัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 Generation ME  

      การนับปีศักราชที่เกิดให้เป็นขอบเขตการกำหนดเจเนอเรชั่น ขณะนี้มันก็มาถึง Generation Alpha เป็นเจเนอเรชั่นล่าสุด แต่แล้วจากสภาพของสังคมในเวลาปัจจุบัน กลับทำให้เกิดมีคนรุ่น Generation Y ที่ปัจจุบัน(พ.ศ.2565)ที่มีอายุระหว่าง 25ปีจนถึงอายุ40ปีบวกลบเล็กน้อย และคน Generation  Z เกิดความผันแปรไปตามสภาพการเลี้ยงดู และจากสภาพแวดล้อมสภาพสังคมรอบด้าน และ จากสภาพแวดล้อมของการทำงาน

     จากความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ในที่สุดก็ทำให้เกิดมีคนจำนวนหนึ่งของ Generation Y และ Generation Z นอกจากนี้ยังปรากฏว่ามีคนใน Gen. x บางส่วนด้วยไหลไปกับกระแสสังคมและสภาพแวดล้อมของยุคใหม่ ที่เรียกว่ายุคมิลเลนเนียล ( Millennials ) หรืออีกด้านหนึ่งเรียกยุคดิจิทัล แล้วให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นใหญ่ เพราะหลงไปกับโลกไซเบอร์ โลกอินเทอร์เน็ต จนหลุดออกจากโลกของความเป็นจริง คนเหล่านี้จะมีความรู้สึกว่า สิ่งที่ตนรู้สิ่งที่ตนเองเชื่อนั้น คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด จึงไม่ยอมรับความเห็นต่าง ไม่ยอมรับความรู้ของคนรุ่นก่อนๆ จะรู้สึกต่อต้อนความเห็นที่ไม่ตรงกับความเห็นของตัวเอง จะเชื่อมั่นในข้อมูลที่ตนเองได้รับจากโลกอินเทอร์เน็ต และใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับโลกอินเทอร์เน็ต

     เมื่อคนเหล่านี้ไม่รับฟังผู้อื่นในทุกกรณี ดังนั้นจึงมีความรู้สึกว่า ตนเองเป็นผู้ที่มีความถูกต้องเสมอ จะมีความรู้สึกว่าโดนกลั่นแกล้งจากคนที่เห็นต่าง จะตีค่าความสามารถของตนเองไว้สูงลิบลิ่ว มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคนรุ่นเก่า แม้แต่บรรพบุรุษของตนเอง

   คนในกลุ่มนี้จะชอบความมีอิสระเสรีโดยนึกว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ส่วนหนึ่งจะไม่นึกถึงว่าสิทธิส่วนบุคคลที่ดีจะต้องไม่ไปล่วงสิทธิของผู้อื่น หรือสิทธิอิสระที่ทำนั้น อาจผิดศีลธรรมผิดจารีตประเพณีผิดกาลเทศะ แม้แต่มุมมองในเรื่องเซ็กซ์ เช่น การมีคู่มีเพศสัมสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย การเปลี่ยนคู่เลิกร้างกันง่ายๆ การแสดงออกทางด้านเซ็กซ์

   ข้อดีของคนกลุ่มนี้คือ จะมีความมุ่งมั่นสูง พยายามไปถึงจุดเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ มีจินตนาการในมุมมองใหม่ๆ มีทักษะสูงทางการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่

   จากพฤติกรรมที่ตนเองต้องเป็นฝ่ายถูก ต้องได้รับ ต้องชนะ จึงเริ่มมีการเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Generation ME แปลเป็นไทยแบบดิบๆทำนองว่า อะไรๆก็ต้องเป็นของกู

 

ความเศร้าของพ่อแม่ที่ลูกกลายเป็น Generation ME

   ข้าพเจ้าพบตัวอย่างของ Generation ME ที่น่าเศร้าใจจากเพื่อนรุ่นพี่ จึงขอเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ เรื่องมีอยู่ว่า...

   รุ่นพี่สองคนผัวเมียมีความสนิทสนมกับข้าพเจ้ามาก เป็นคนมีการศึกษาดีจบปริญญาทั้งคู่ เป็นเจ้าของกิจการที่คนนับหน้าถือตาเป็นอย่างสูง ทั้งสองคนมีลูกสาว 1 คน นับปีเกิดก็เป็น Generation  Z ซึ่งข้าพเจ้าเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่ยังไม่เรียนชั้นมหาวิทยาลัย

   รุ่นพี่ของข้าพเจ้านั้นเลี้ยงดูลูกมาในแบบที่เรียกว่าคุณหนูๆ ประคบประหงมตามใจลูกทุกอย่าง ซื้อของกินของใช้ที่ดีและทันสมัยแต่เกินความจำเป็นให้ลูกอยู่เสมอ แถมยังคล้อยตามความเห็นของลูกแบบไม่ขัดใจ ในตอนนั้นข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า เด็กคนนี้มีรสนิยมสูงมาก และที่สำคัญคือ ไม่เกรงใจพ่อแม่ กล้าต่อว่าหรือโต้เถียงตำหนิอย่างไม่ถนอมน้ำใจ ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะรักลูก ทั้งยังเอาใจลูกโดยชมว่าลูกคิดถูกทำถูก

   เมื่อลูกเรียนจบปริญญาตรี ก็ส่งลูกเรียนต่อต่างประเทศ โดยที่ขณะนั้นสภาพทางการเงินของรุ่นพี่ไม่ดีแล้ว เนื่องจากกิจการบริษัทอยู่ในสถานะที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามหาเงินอย่างยากลำบากเพื่อส่งลูกเรียน พอลูกเรียนจบกลับมาเมืองไทย รุ่นพี่ก็วิ่งเต้นฝากงานให้ลูกได้เข้าทำงานในบริษัทที่ดีๆ

   ต่อมารุ่นพี่มาปรับทุกข์ให้ฟังว่า มีปัญหาระหองระแหงกับลูกบ่อย ทั้งมีความรู้สึกว่าลูกสาวจะเห็นว่าพ่อแม่นั้นเกะกะน่ารำคาญ หลายครั้งโทษพ่อแม่ว่าทำผิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ราวกับว่าพ่อแม่ไม่มีการศึกษา และสิ่งที่รุ่นพี่เพิ่งสังเกตเห็นก็คือ ลูกสาวจมอยู่กับโลกอินเทอร์เน็ต

   ความขัดแย้งของลูกสาวมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนขัดแย้งกับคนรุ่นที่อายุมากกว่า และในที่สุดลูกสาวคิดขัดแย้งในระดับเจเนอเรชั่นกันเลยทีเดียว โดยลูกสาวบอกว่า “คนรุ่นพ่อแม่ทำให้ประเทศและโลกไม่เจริญ สร้างปัญหาให้คนรุ่นลูกหลานไม่จบสิ้น พวกคนรุ่นลูกจะเข้ามาล้างระบบเน่าๆที่พวกคนแก่สร้างไว้”..!!!

ภาพจาก alert-1.com
   ปัจจุบันรุ่นพี่เป็นโรคซึมเศร้า ทุกวันนั่งรอลูกกลับจากที่ทำงานมาถึงบ้านด้วยความเป็นห่วง ถึงจะดึกแค่ไหนก็นั่งรอลูกที่บ้าน ส่วนลูกสาวเมื่ออยู่บ้านก็ยังคงอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ต

   ตัวอย่างของ gen. ME อีกเรื่องหนึ่ง เป็นคนในช่วงปลายๆของ Gen. Y ที่กลายเป็น Gen ME

   รุ่นน้องเป็นคนมีฐานะดีมีลูกชายคนหนึ่ง ลูกชายเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอกชนในระดับหรู จะเรียนเก่งหรือไม่เก่งก็ไม่ได้ถามพ่อของเขา เมื่อเรียนแบบหรูแพงระยับแล้วยังไม่พอ ชีวิตของเจ้าเด็กคนนี้ก็หรูตามไปด้วยเพราะพ่อแม่หาเงินไว้ให้เยอะ แต่ก่อนที่จะเรียนจบดันไปทำผู้หญิงท้อง ซึ่งก็คือเพื่อนนักศึกษาด้วยกันนั่นเอง แถมยังมีทีท่าลังเลจะไม่รับผิดชอบด้วย

   พอเรียนจบพ่อแม่จึงให้รีบแต่งงานทันที ไม่งั้นเดี๋ยวผู้หญิงท้องโตความลับแตกจะอายคนอื่น เมื่อแต่งงานแล้วเขาก็ให้พ่อแม่ลงทุนตั้งบริษัทให้ เหตุผลของเขาก็คือ “เรียนจบมาสูง ไม่ต้องการทำงานเป็นลูกน้องใคร” ตอนนั้นข้าพเจ้ายังนึกในใจว่า...เอ็งยังไม่เคยทำงานแต่อยากเป็นเจ้าของบริษัทเสียแล้ว...แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไร

   พ่อแม่สร้างบริษัทให้ลูกตามที่ขอ ซึ่งเป็นการสร้างจริงๆโดยที่ไม่ใช่การเช่าห้องในตึกใหญ่แบบคนอื่น คือ เล่นถมที่ดินและก่อสร้างอาคารบริษัทกันเลย ตอนนั้นข้าพเจ้าชักสังหรณ์ใจไม่ดีแล้ว แต่มันเงินของเขาเรื่องของเขาลูกของเขา เราไปออกความเห็นจะไม่ดี จึงได้แต่มองและเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ

   เมื่อมีบริษัทเป็นของตัวเอง เจ้าเด็กคนนี้เริ่มด้วยการให้พนักงานเรียกตัวเองว่า “บอส” และตัวเองก็ใส่สูท(ซึ่งไม่จำเป็นเลย)ชุดใหญ่มาทำงานทุกวัน เป็นสูทชุดใหญ่ที่มีพร้อมทั้งเสื้อกั๊กเนกไท แน่นอนว่าเป็นของร้านสูทหรูเลิศ ส่วนเครื่องประดับเครื่องแต่งตัวก็ระดับบอสของจริง นาฬิกาของไอ้หนุ่มนี่มีราคาประมาณ 100เท่าของนาฬิกาข้าพเจ้า  ส่วนชุดของเมียก็หรูหราสวยงามเช่นกัน แต่ของผัวนี้มันหรูเลิศ แบบที่ภาษาของคนยุคก่อนที่เรียกแสลงขำๆว่า “เริ่ดหรูสะแมนแตน”

   ทั้งๆที่เจ้าหนุ่มเพิ่งเรียนจบยังไม่เคยทำงานเลย แต่เจ้าหนุ่มรุ่นหลานคนนี้บริหารงานเองตัดสินใจเองวางนโยบายบริษัททุกอย่าง ฝ่ายเมียก็ชอบชมและชอบพรีเซ้นต์ว่าผัวนี้เก่งเป็นผู้บริหารชั้นเลิศ ในที่สุดบริษัทก็ดำเนินงานมาครบ 1 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไอ้เจ้าหนุ่มจัดงานเลี้ยงฉลองผลประกอบการว่า มียอดขายดีมีกำไรงาม แต่ดันไม่คิดถึงทุนที่พ่อแม่ออกให้ เจ้าหนุ่มแถลงว่าขอให้รางวัลตนเองด้วยรถยนต์คันใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าตามรสนิยมของเจ้าหนุ่มนี้ต้องเลิศหรู รถที่เอาเงินที่คิดว่าได้กำไรมาซื้อนั้นก็คือ Porsche

   จากสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จของเจ้าหนุ่มในปีแรก เจ้าหนุ่มยังคงบริหารงานใช้ความคิดแบบไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น เพราะเชื่อว่าตนเรียนมาสูงเรียนมาแบบคนสมัยใหม่ ในที่สุดบริษัทก็เริ่มสั่นคลอน...

   ขณะนี้ Generation ME ได้เริ่มเป็นที่จับตามองของคนรุ่นเก่ากว่า เริ่มทำให้ต้องคิดวิเคราะห์ถึงสังคมของมนุษย์ที่จะต้องดำเนินต่อไป...อย่างน่าหนักใจ

หมายเหตุ

เรื่อง  เรียบเรียงจากบทความหลายที่ Sanook.com , ลม เปลี่ยนทิศ , Dr.Chanvit , Kapook.com

ภาพ  จากอินเทอร์เน็ต ตามที่บอกไว้ในภาพ


วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2565

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย ๒๑. กุมารทอง

 


กุมารทอง  Kuman Thong , Little Guardian Angel

  ข้าพเจ้าผู้เขียนนี้เป็นคนในรุ่นเบบี้บูมเมอร์(Baby Boomers) ปัจจุบันนี้ก็เข้าขั้นเป็นมนุษย์วัยหลังเกษียณ แต่ข้าพเจ้ายังไม่ยอมรับว่าตัวกูนี้แก่แล้ว ก็แค่กูนี้เกิดมาก่อนพวกเอ็งหลายปีหน่อย แล้วจะมาเรียกว่าคนแก่ได้ไงวะ

  แต่ข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับความจริงว่า พวกเด็กรุ่นหลังมองเราว่าเป็นคนที่  แก่แล้ว  ก็เพราะอายุห่างกันมากนั่นเอง พอข้าพเจ้ามานึกย้อนถึงตอนที่ยังมีอายุเท่าเด็กพวกนี้แล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะนับจากวันที่ข้าพเจ้าเรียนจบชั้นอุดมศึกษา นั่นมันผ่านมานานถึง 40 ปีแล้ว...40ปีแล้วหรือวะ

  สมัยก่อนนั้น เด็กที่มีวัยในชั้นประถมต้น ก็ประมาณอายุสัก 6 ปีขึ้นไปหน่อยๆ คนยุคนั้นท่านนับให้เด็กที่เข้าชั้นประถมเป็นเด็กที่พอจะรู้เรื่องแล้ว พอที่จะยอมให้ไปเล่นนอกบ้านห่างๆบ้าง พอจะใช้งานได้บ้างแล้ว เด็กวัยนี้(ในยุคนั้น)จึงมีประสบการณ์ของการออกไปนอกบ้านไกลๆบ้าง โดยแทบทั้งหมดมีประสบการณ์ไปเที่ยวไกลบ้านครั้งแรกๆก็คือ ต้องตามแม่ไปจ่ายตลาด ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน ต้องไปช่วยแม่ถือของที่ซื้อจากตลาดอยู่บ่อยๆ

  การไปจ่ายตลาดในสมัย 50กว่าปีก่อนนั้นเป็นอะไรที่คลาสสิกมากๆ เพราะการจ่ายตลาดจะมีอารมณ์ร่วมของผู้ซื้อและผู้ขาย คือจะมีการปฏิสันถารซึ่งกันและกัน โดยจะมีทั้งแบบนุ่มนวลอ่อนหวาน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ตกลงราคาซื้อขายอย่างแฮปปี้ทั้งสองฝ่าย และบางครั้งมีดุเดือดเลือดพล่านจากการจ่ายตลาด เพราะต่อรองราคาสินค้ากันอย่างถึงพริกถึงขิง บางทีแค่ผักคะน้าเพียงกำเดียว ต่อรองราคากันแทบจะตลาดแตก จึงจะซื้อขายสำเร็จได้

  ส่วนการจ่ายตลาดแบบสมัยใหม่ของปัจจุบันนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามันไม่มีอารมณ์ร่วม ไม่มีชีวิตชีวาแบบชาวตลาดและชาวบ้านที่มาจ่ายตลาด เพราะในปัจจุบันคนเป็นอันมากจะคุ้นเคยกับการซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ต ที่มีป้ายบอกราคาบอกเอาไว้ จะซื้ออะไรก็หยิบๆเอา แล้วไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ มิหนำซ้ำพนักงานของห้างจะเรียกเราว่า “คุณลูกค้า” ทำให้ความรู้สึกแบบ พี่ ป้า น้า อา ลุง ป้า ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ผู้ขายมีให้ลูกค้ามันหายไปจากสังคม

ภาพจากอินเตอร์เน็ต ตลาดสมัยก่อน


  ในสมัยก่อนเป็นการไปซื้อของที่ตลาดในแบบที่เรียกว่า ตลาดสด ที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะของที่ขายนั้นเป็นของสดใหม่ เช่น ซื้อปลาช่อนไปทำแป๊ะซะสักตัวหนึ่ง พอซื้อก็เห็นกับตาเลยว่า พ่อค้าแม่ค้าเอาปลาเป็นๆสดๆออกมาจากกาละมัง แล้วทุบหัวปลาต่อหน้าต่อตาเราซึ่งๆหน้ากันเลย เจ้าปลาซึ่งจะเป็นอาหารของเรานั้น ก็จะดิ้นพรวดๆแล้วตายโหงต่อหน้าต่อตาเรา ดังนั้นแสดงว่าปลาตัวนี้ต้องสดอย่างแน่นอน

  การไปช่วยแม่หิ้วตะกร้าจ่ายตลาดนั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า แม่ค้าหลายเจ้าจะมีหิ้งเล็กๆหรือตั่งตัวเล็กๆตั้งไว้ในร้านด้วย บนหิ้งหรือตั่งนั้นจะต้องมีตุ๊กตาผู้หญิงบ้าง ตุ๊กตาเด็กหัวจุกบ้าง แถมบางครั้งเจอแม่ค้ากำลังจุดธูปไหว้อยู่พอดี ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่า ตุ๊กตารูปผู้หญิงก็คือแม่นางกวัก และตุ๊กตาเด็กหัวจุกก็คือกุมารทอง

  ตุ๊กตาแม่นางกวักและตุ๊กตากุมารทองที่เห็นเป็นตุ๊กตาทำจากปูนหรือดิน ทาสีไว้อย่างสวยงามด้วย ในสมัยนั้นตุ๊กตาที่เป็นพลาสติกยังเป็นของหายากและเป็นของต่างประเทศ ก็ขนาดของเล่นเด็กแทบทั้งหมดยังทำจากโลหะกันเลย ข้าพเจ้ามีตุ๊กตาป๊อปอาย เป็นเหล็กปั๊มพิมพ์ภาพบนผิวโลหะ แต่จะเรียกกันว่าเป็นของเล่นทำจากสังกะสีไม่เรียกเหล็ก ของเล่นแทบทั้งหมดเป็นแบบนี้ ตุ๊กตาพลาสติกจึงเป็นของมีราคาสักหน่อย และล้ำยุคโคตรๆ

แม่นางกวัก

   นอกจากร้านค้าและแผงในตลาดจะมีตุ๊กตาแม่นางกวักและตุ๊กตากุมารทองแล้ว ในร้านกาแฟอาแปะแถวบ้านก็มีทั้งแม่นางกวักและกุมารทองตั้งไว้บนหลังตู้ข้างฝาผนัง บนพื้นข้างประตูเข้าหลังร้านมีตี่จูเอี๊ย ตรงร้านของอาแปะนี้ยังมีชุดสำรับอาหารขนาดจิ๋วมีขนมตั้งไว้หน้าแม่นางกวักกุมารทองด้วย พอถามอาแปะแกก็ว่าเป็นการถวายอาหารให้แก่แม่นางกวัก ส่วนขนมก็ให้กุมารทอง จะได้ช่วยทำให้ขายของได้เยอะๆ ตอนนั้นเองที่เด็กอย่างข้าพเจ้าถึงเริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกว่า เครื่องรางของขลังวัตถุมงคล

  ความที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก พอเห็นตุ๊กตาแม่นางกวักกับตุ๊กตากุมารทอง ก็เลยรู้สึกแบบเด็กๆชอบตุ๊กตาเด็กกุมารทองเป็นอันดับแรก แต่ยังไม่ได้ซึมซับเรื่องอิทธิอภินิหารกุมารทองแต่อย่างไร เรื่องแบบนี้มันพ้นวิสัยที่เด็กชั้นประถมจะไปสนใจนึกถึง ที่ชอบเพราะตุ๊กตากุมารทองนี้คล้ายของเล่นเท่านั้นเอง

กุมารทองไม้มะยมตายพราย

   เมื่อข้าพเจ้าเรียนชั้นประถมปลาย   ก็เริ่มออกเดินหาเช่าพระเอง ซึ่งตอนแรกก็งงว่าเราซื้อชัดๆแต่ทำไมถึงให้เรียกว่าเช่าพระ...เอ้า เช่าก็เช่าเรียกตามเขาก็แล้วกัน การเล่นพระเช่าพระแบบนักเลงพระในครั้งแรก ก็โดนของเก๊เลย ในของเก๊ที่ซื้อมานั้น มีกุมารทองไม้แกะที่ใส่ในขวดเล็กๆ ในขวดมีน้ำมันจันทร์ปลอม ก็คือกุมารทองและรักยมแบบที่เรียกว่าของสนามนั่นเอง เหตุการณ์เช่าพระเก๊แบบโดนรับน้องใหม่เข้าวงการพระ เป็นปี พ.ศ.2514 จำได้แม่นเพราะอีก2ปีเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา

   ข้าพเจ้าเป็นเด็กไปซื้อพระในสนามพระครั้งแรกก็โดนของเก๊แล้ว ของเก๊มีกุมารทองกับรักยมเสียด้วย เรื่องนี้จึงเป็นข้อยืนยันได้ว่า กุมาทองของเก๊ต้องมีมาก่อนหน้าพ.ศ.2514เสียอีก และเป็นกุมารทองแบบที่เรียกว่า ของสนาม ซึ่งคำๆนี้เป็นที่รู้กันว่า ของสนามก็คือพวกพระเครื่องปลอมวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังปลอม

  ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าเริ่มเข้าวัยทีน ก็เป็นช่วงเรียนชั้นมัธยม เรื่องความชอบทางด้านวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น ยิ่งเริ่มซื้อหาสะสมวัตถุมงคลด้วยตัวเองมากขึ้น และแน่นอนว่าเริ่มรู้จักกุมารทองมากขึ้น  ทั้งยังเคยเสาะหากุมารทองแบบกุมารทองไม้แกะที่ใส่ไว้ในขวดน้ำมันจันทน์หลายขวด พอที่จะรู้ตำนานของกุมารทองดีขึ้นกว่าเดิม แต่ที่พีคสุดๆและใกล้ตัวสุดๆคือ แม่ของเพื่อนดันเป็น ร่างทรง แถมยังเป็นร่างทรงกุมารทอง

  เรื่องที่แม่ของเพื่อนเป็นร่างทรงกุมารทองนั้น จะเข้าทรงจริงหรือเข้าทรงเก๊ก็ไม่รู้แน่ชัด จะถามเพื่อนก็เกรงใจ แต่เคยเห็นบ่อยๆว่า เวลาที่ประทับทรงกุมารทอง จะมีลูกศิษย์มานั่งเฝ้าเป็นกลุ่มพอสมควรเชียวแหละ โดยมาขอหวยบ้างมาขอให้กุมารทองใช้อภินิหารช่วยเรื่องต่างๆบ้าง มีทั้งเอาขนมของเล่นมาถวายบ้าง นัยว่ากุมารทองช่วยให้สำเร็จจริง เลยมาให้รางวัล

  ตอนที่แม่เพื่อนประทับทรงกุมารทอง ทีแรกข้าพเจ้าก็ขำๆสงสัยว่าเข้าทรงจริงหรือไม่ แต่พวกลูกศิษย์ที่มาหากุมารทองต่างก็ฮือฮา แม่เพื่อนที่เป็นร่างทรงนั้น ปกติก็เป็นอาซิ้มใจดีเรียบร้อยขยันทำงาน พอกุมารทองเข้าร่างเท่านั้น จากอาซิ้มที่ดูเรียบร้อยๆก็มีอาการเป็นเด็กซนๆ พูดเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนเด็ก มีตอบคำถามหยอกเย้ากับศิษย์ที่มาหา ซึ่งปกติอาซิ้มแกไม่ได้มีนิสัยแบบนี้ อาซิ้มจะประทับทรงจริงหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ แต่สรุปได้ว่า แกเป็นร่างทรงกุมารทองที่มีชื่อเสียงของท้องถิ่น

    ที่บ้านเดิมของแม่ข้าพเจ้าซึ่งอยู่ใน จ.ปราจีนบุรี เป็นหมู่บ้านชนบทที่สงบเงียบบรรยากาศดีมากๆ ข้าพเจ้าไปเที่ยวเกือบทุกปี ได้เห็นวิถีชาวนามาตั้งแต่ยังเด็ก และเห็นประเพณีความเชื่อของท้องถิ่น ได้ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก บางเรื่องมารู้เห็นเข้าใจก็ในตอนเรียนชั้นมัธยมนั่นเอง เพราะวัยมัธยมถือว่าเริ่มแตกเนื้อหนุ่มแล้ว เรื่องที่แต่ก่อนไม่มีทางได้รับรู้เพราะว่ายังเด็กเกินไป จึงมาได้รู้ในวัยเรียนมัธยม...เรื่องหนึ่งที่ได้รู้ก็คือ ในหมู่บ้านมีอาจารย์ไสยศาสตร์ที่ทำ กุมารทอง แถมยังเป็นคนคุ้นเคยใกล้ตัวข้าพเจ้าเสียด้วยสิ คุ้นเคยถึงขนาดว่าไปมาหาสู่กับครอบครัวข้าพเจ้า มานอนค้างที่บ้านในกรุงเทพฯกันเลยทีเดียว

  อาจารย์ที่ทำกุมารทอง ภาพหลังได้บวชเป็นพระที่วัดในหมู่บ้านแม่นั่นเอง นับว่าเป็นหลวงน้าที่คุ้นเคยกันมากๆ กุมารทองที่แกทำนั้น ฟังดูแล้ว นี่มันผีเด็กชัดๆ

  เบาะแสเรื่องวิธีทำกุมารทองในชั้นแรกที่ข้าพเจ้าทราบ ก็มาจากท้องถิ่นบ้านเก่าของแม่นี้เอง ภาษาปัจจุบันประมาณว่า..แถวนั้นคนเล่นของ

ประเภทของกุมารทอง

  ต่อมาข้าพเจ้าได้แวะเวียนไปกราบหลวงปู่หลวงพ่อหลายรูป บางท่านก็รู้วิชาทำกุมารทอง จึงถือโอกาสกราบเรียนสอบถามมาบ้าง เห็นตำรับตำราบ้าง ก็สังเกตเห็นว่า ตำรากุมารทองนั้นรวมความทั้งหมดแล้ว ถ้าจะนับประเภทของร่างกุมารทอง จะเป็นได้เพียง 2 ชนิด คือ ร่างกุมารที่มีชิ้นส่วนศพ กับ ร่างกุมารที่ไม่มีชิ้นส่วนศพ ส่วนวิชาการสร้างกุมารทองจะแยกกุมารทองได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ซึ่งพระอาจารย์ต่างๆท่านก็ยืนยันตรงกัน

  กุมารทองทั้ง 4 ประเภทมีดังนี้

1.กุมารทองที่ใช้ส่วนประกอบของภูตพราย หรือ กุมารทองที่เป็นผีปีศาจ

2.กุมารทองที่ไม่ใช้ผี หรือ กุมารทองวิทยาคม

3.กุมารทองกึ่งภูตผี

4.กุมารทองวิทยาคมผนวกภูตผี

  กุมารทอง 4 ประเภทนี้เป็นคติดั้งเดิม มีที่มาที่ไปอ้างอิงได้ชัดเจน สมัยโบราณท่านก็ทำสืบต่อๆกันมาแบบนี้ คนโบราณท่านมีแค่กุมารทองที่เป็นผี และกุมารทองที่ไม่ใช่ผี ไม่มีคำว่า กุมารเทพ ไม่มีกุมารทองที่เป็นเทวดา ข้อนี้จะเล่าในหัวข้อถัดไป

1.กุมารทองที่เป็นผี

    เท่าที่ได้สอบถามผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านและหลวงน้า รวมทั้งที่ต่อมาได้กราบเรียนสอบถามหลวงปู่หลวงพ่อ ก็จับใจความว่า จะทำกุมารทองภูตพรายตามตำราจริงๆมันไม่ง่ายเลย เพราะต้องหาร่างของลูกกรอกที่ถูกต้องตามตำราให้ได้ก่อน แล้วค่อยหาฤกษ์ยามหาสถานที่อันสงัด เพื่อทำพิธีเสกปลุกกุมารทอง

  แค่เริ่มต้นด้วยการหาลูกกรอกก็ยากแล้ว แถมยังยากเพิ่มขึ้นตรงความเป็นลูกกรอกนั้น ต้องบังคับตามตำราด้วยว่า สภาพของลูกกรอกต้องเป็นเช่นไรจึงจะใช้ได้ ไม่ใช่ว่าจะสักแต่ว่าเป็นลูกกรอกก็ใช้ได้ทั้งหมด..แล้วลูกกรอกคืออะไรล่ะ...ก็คืออย่างนี้ไง

ลูกกรอก  

  ลูกกรอกคืออะไร....ถ้าจะเอาความหมายแบบไม่มีใครเถียงได้ ก็ต้องเอาพจนานุกรมไทยมาอ้าง แถมยังอ้างอิงเป็นวิชาการได้อีก ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 หน้าที่ 737 ในหมวดของคำว่า ลูก จะอธิบายถึงลูกกรอกว่า... “น. ลูกคนหรือลูกสัตว์มีแมวเป็นต้นที่ตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือในท้อง มีร่างกายครบบริบูรณ์ แต่ขนาดเล็ก เชื่อกันว่าจะให้คุณแก่เจ้าของหรือบางทีก็ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง.”


  ความหมายของคำว่าลูกกรอกในพจนานุกรมตรงกับความหมายของลูกกรอกในตำราไสยศาสตร์ คือ เป็นเด็กที่ตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือในท้อง มีร่างกายครบบริบูรณ์ แต่ทางไสยศาสตร์วิทยาคมมักจะใช้คำว่า ลูกกรอกที่มีอาการครบสามสิบสอง จึงจะเอามาทำเป็นกุมารทองได้ ถ้าลูกกรอกนั้นพิกลพิกาล มีอวัยวะไม่ครบ แบบนี้ทำกุมารทองไม่ได้

  ความเป็นลูกกรอกนั้น คนโบราณบอกเล่าต่อๆกันมาว่า ลูกกรอกคือเด็กที่ตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ถ้าคลอดออกมาแล้วถึงจะตายนั้นไม่นับว่าเป็นลูกกรอก ข้อนี้แม้แต่ในพจนานุกรมก็ระบุไว้ตรงกันว่าลูกกรอกนั้นจะต้อง ตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือในท้อง

ภาพจากอินเตอร์เน็ต หนังสือขุนช้างขุนแผน
 

  ตำนานกุมารทองที่เป็นผีที่โด่งดังที่สุด ก็คือกุมารทองของขุนแผนแสนสะท้าน ในวรรณคดีไทยเรื่อง ขุนช้างขุนแผน คนไทยเรานั้นจะคุ้นเคยรู้จักกุมารทองตนนี้มากที่สุด เพราะในสมัยก่อนต้องเคยเรียนเคยอ่านเรื่องขุนช้างขุนแผนกันมาบ้าง อย่างน้อยก็เป็นตอนที่บรรจุไว้ในแบบเรียนภาษาไทย แต่สมัยนี้ไม่ทราบว่าในหลักสูตรการเรียนจะยังบรรจุวรรณคดีไทยเรื่องนี้ให้นักเรียนได้เรียนกันหรือไม่

  ในเรื่องขุนช้างขุนแผนมีช่วงที่บอกเรื่องราวที่ขุนแผนจะสร้างกุมารทอง โดยบรรยายถึงพิธีกรรมเอาไว้อย่างละเอียด จนถึงแม้สมัยปัจจุบันนี้ ถ้ามีการกล่าวคือการสร้างกุมารทอง  ก็จะต้องมีการหยิบยกบทเสภาตอนขุนแผนสร้างกุมารทองขึ้นมาประกอบอยู่เสมอ จะพบเรื่องนี้ได้ในสื่อหลายๆที่

  ความจริงบทเสภาตอนสร้างกุมารทองนั้น ข้าพเจ้าไม่ค่อยอยากจะเล่า เพราะมันจะไปซ้ำกับที่มีปรากฎในที่อื่นๆ แต่มาคิดว่าอาจมีคนที่ยังไม่เคยอ่านบทเสภาขุนช้างขุนแผนในตอนนี้ ก็เลยขอคัดลอกจากหนังสือขุนช้างขุนแผนเอามาบันทึกไว้ในที่นี้ด้วย โดยจะจับเอาใจความที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกุมารทองเท่านั้น ขืนยกเอาบทกลอนมาตั้งแต่สาเหตุที่ขุนแผนได้พบนางบัวคลี่(แม่ของกุมารทอง) มันจะมีเนื้อความยาวมาก

     จากบทกลอนเสภานี้ เป็นตอนกำเนิดกุมารทอง แต่งโดยครูแจ้งวัดระฆัง

  กลอนเสภาช่วงขุนแผนสร้างกุมารทองมีดังนี้

เปิดประตูจู่ออกมานอกบ้าน 

รีบเดินผ่านป่าตัดเข้าวัดใต้

ปิดประตูวิหารลั่นดาลใน        

ลิ่มกลอนซ้อนใส่ไว้ตรึงตรา

วางย่ามเปิดกลักแล้วชักชุด     

ตีเหล็กไฟจุดเทียนขึ้นแดงร่า

เอาไม้ชัยพฤกษ์พระยายา        

ปักเป็นขาพาดกันกุมารวาง

ยันต์นารายณ์แผลงฤทธิ์ปิดศีรษะ        

เอายันต์ราชะปะพื้นล่าง

ยันต์นารายณ์ฉีกอกปกปิดกลาง          

ลงยันต์นางพระธรณีที่พื้นดิน

เอาไม้รักปักเสาขึ้นสี่ทิศ         

ยันต์ปิดปักธงวงสายสิญจน์

ลงเพดานยันต์สังวาลอมรินทร์ 

 ก็พร้อมสิ้นในตำราถูกท่าทาง

เอาไม้มะริดกันเกราเถากันภัย  

ก่อชุดจุดไฟใส่พื้นล่าง

ตั้งจิตรสนิทดีไว้ที่ทาง

ภาวนานั่งย่างกุมารทอง

ร้อนทั้งตัวทั่วกันนํ้ามันฉ่า       

กลับหน้ากลับหลังไปทั้งสอง

เกราะแกร่งแห้งได้ดังใจปอง 

พอรุ่งแจ้งแสงทองขึ้นทันใด ฯ

  จากบทเสภาตอนนี้ จะมีการบรรยายถึงวิธีการสร้างกุมารทองอย่างละเอียดพอสมควร จนคนจำนวนมากนึกว่าการสร้างกุมารทองต้องทำตามขั้นตอนนี้เท่านั้น ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ใช่ วิธีนี้เป็นแบบหนึ่งของตำราสร้างกุมารทองที่มีอยู่หลายตำรับ และข้าพเจ้าเองยังเห็นว่า มีบางส่วนน่าจะเป็นเรื่องบทกลอนพาไปตามสัมผัสกลอน(ความเห็นของข้าพเจ้าเอง)

   ครูแจ้งท่านผู้แต่งกลอนเสภาตอนกำเนิดกุมารทองนี้ ท่านคงเล่าไปตามข้อมูลการสร้างกุมารทองแบบหนึ่งเท่าที่ท่านรู้ และที่ใช้ถ้อยคำให้ฟังแล้วตื่นเต้น ซึ่งมุกทีเด็ดในการเล่นกลอนเสภาของท่านคือพวกภาษาตลาด ถ้อยคำหวาดเสียว กระทั่งการใช้ภาษาชวนวาบหวิวสวาทสองแง่สองง่าม

  ครูแจ้งเล่าถึงการสร้างกุมารทองได้อย่างโหดตั้งแต่การฆ่าแม่เพื่อเอาลูกมาทำกุมารทอง  และเล่ารายละเอียดจนคนที่ไม่ได้คลุกคลีกับเรื่องวิทยาคมนึกว่า เป็นตำรากุมารทองที่ละเอียดยิบๆซึ่งยังไม่ใช่ เช่น ครูแจ้งท่านไม่ได้เล่าถึงบทคาถาที่ใช้เสกปลุก ไม่ได้บอกถึงฤกษ์ยามที่ต้องใช้ แต่อย่างไรก็ตามกลอนเสภาตอนกำเนิดกุมารทองนี้ ท่านได้เล่าแบบละเอียดมากที่สุดเท่าที่มีในวรรณคดีไทยแล้ว

  จะขอลองแปลความตามบทกลอน เอาเท่าที่พอจะรู้ความหมายและเคยรู้เห็นแคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟัง เอามาเปรียบเทียบกับคำกลอนก็ประมาณนี้

1.เปิดประตูจู่ออกมานอกบ้าน 

รีบเดินผ่านป่าตัดเข้าวัดใต้

ปิดประตูวิหารลั่นดาลใน        

ลิ่มกลอนซ้อนใส่ไว้ตรึงตรา

     เตรียมสถานที่สร้างกุมารทอง

  ขุนแผนน่าจะสำรวจหาสถานที่เอาไว้ก่อนแล้ว คงไม่เดินดุ่มๆจนบังเอิญไปเจอ ท่านขุนแผนใช้วิหารของวัดใต้เป็นสถานที่ๆจะสร้างกุมารทอง โดยเข้าไปในวิหาร แล้วปิดประตูใส่กลอนอย่างแน่นหนา คือหาสถานที่ประมาณว่าเป็นเซฟเฮ้าส์ได้อย่างดี เพราะไม่ต้องการให้มีใครมารบกวนก่อกวนเวลาทำกุมารทองนั่นเอง

วิหารร้างก็ประมาณนี้

                                                                    

  ข้อนี้ในปัจจุบันเอาไปคุยกันว่า ต้องไปทำกุมารทองในโบสถ์หรือวิหารจึงจะขลัง ซึ่งไม่น่าจะใช่ เพราะโบสถ์วิหารเป็นสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ส่วนการทำกุมารทองเป็นเรื่องของไสยศาสตร์สุดขั้ว ยิ่งเป็นกุมารทองแบบซากศพนี้มันออกแนวไสยดำด้วยซ้ำ การไปปิ้งไปย่างกุมารทองภายในโบสถ์วิหารมันไม่น่าทำ เพราะเป็นการลบหลู่สถานที่ชัดๆ

  ความเป็นไปได้ถึงการที่ขุนแผนไปย่างลูกกรอกหรือศพเด็กในวิหารวัดใต้นั้น น่าจะเป็นเพราะเป็นสถานที่เดียวที่หาได้ในแถบนั้นว่า สามารถกักตัวแยกจากภายยอกโดยมีผนังกำแพงมีประตูที่ปิดล็อคได้ และอาจจะเป็นวัดร้างด้วยซ้ำ คิดง่ายๆว่าในความเป็นจริง ถ้ามีบุคคลภายนอกบุรุกเข้าไปในวิหารยึดสถานที่เพื่อปิ้งศพเด็ก แล้วอย่างนี้ทางวัดจะไม่รวมพลมากระทืบเชียวรึ ดังนั้นวิหารวัดใต้ที่ขุนแผนมาใช้เป็นสถานที่ทำพิธีปิ้งศพเด็กได้อย่างสะดวก ก็น่าที่จะเป็นวัดร้างที่มีโบสถ์ที่ยังมีประตูปิดลั่นดาลได้

2.วางย่ามเปิดกลักแล้วชักชุด 

ตีเหล็กไฟจุดเทียนขึ้นแดงร่า

เอาไม้ชัยพฤกษ์พระยายา

ปักเป็นขาพาดกันกุมารวาง

     เตรียมเตาและอุปกรณ์การปิ้งงย่างศพลูกกรอก

  เมื่อขุนแผนจัดแจงล็อคประตูแล้วก็เริ่มทำเตาเพื่อปิ้งลูกกรอก โดยใช้ไม้ชัยพฤกษ์และไม้พญายาเป็นวัสดุทำเตา...คงสงสัยว่าเตาจะทำจากไม้ได้อย่างไร เพราะสมัยนี้เคยเห็นแต่เตาแก๊สเตาไฟฟ้ากันทั่วไป ขนาดเตาถ่านยังไม่ค่อยได้เห็นกันเลย แล้วเตาที่ทำจากไม้มันคืออะไรกันแน่

  เตาที่ใช้ไม้เป็นเครื่องประกอบนั้น ถ้าเคยเรียนวิชาลูกเสือที่มีการเข้าค่าย ก็คงจะพอนึกออกว่าเตาไม้คืออะไร เพราะในหลักสูตรวิชาลูกเสือมีสอนไว้ แต่ไม่ทราบว่าหลักสูตรสมัยนี้ยังมีสอนอยู่หรือไม่ เตาไม้แบบที่โบราณใช้กันนี้ถ้าเรียกแบบปัจจุบันก็คือ เตาสนามชนิดเตาแขวน เตาลอย เตาราง

  เตาลอย เตาแขวน เป็นอุปกรณ์ยังชีพเมื่อเดินป่า สมัยที่ข้าพเจ้าทำงานภาคสนามยังอาศัยเตาไม้แบบต่างๆเพื่อทำอาหารอยู่หลายครั้ง จึงพอจะเข้าใจวิธีใช้งานอยู่บ้าง ขุนแผนท่านน่าจะปิ้งลูกกรอกด้วยเตาชนิดนี้

ภาพจากอินเทอร์เน็ต เตาแขวนแบบมี2ขาหยั่ง

                                                                      

โดยทั่วไปแล้วพอนึกถึงเตาชนิดนี้ คนส่วนมากมักจะต้องนึกถึงการเอาไม้ง่าม 2 ท่อนมาปักลงดิน แล้วเอาไม้เสียบของที่จะปิ้งวางพาดกับไม้ง่ามทั้งสอง  โดยก่อไฟไว้ที่ด้านล่าง แต่ถ้าพิจารณาจากคำกลอนที่ว่า ปักเป็นขาพาดกันกุมารวาง ข้อความนี้อาจตีความไปอีกทางว่า เอาไม้ชัยพฤกษ์และไม้พญายา เอามาปักเป็นหลักท่อนหนึ่ง อีกท่อนหนึ่งมีศพเด็กยึดไว้แล้วจึงวางพิงกับไม้ท่อนแรกที่ปักไว้ ด้านล่างก็ก่อกองไฟ เตาแบบนี้เป็นเตาลอยแบบขาเดี่ยว ในหนังคาวบอยมีปรากฏในหลายเรื่อง

   ในการปิ้งกุมารนั้น ไม่ใช้วิธีเอาไม้เสียบตัวลูกกรอกกุมารแบบเสียบลูกชิ้นปิ้งแน่นอน เพราะจะทำให้ร่างลูกกรอกนั้นไม่สมบูรณ์ และการเสียบร่างกุมารแบบนี้มันดูชอบกลๆเหมือนไม่ให้คุณค่าในตัวกุมารทอง

ภาพจากอินเทอร์เน็ต การปิ้งย่างที่มีไม้หนีบ

                                                                

  แต่ในคำกลอนมีคำว่า กุมารวาง แบบนี้ถ้าคิดลึกลงไปอีก ก็จะพบปัญหาว่า การปิ้งกุมารนี้ท่านขุนแผนใช้อะไรเป็นตัวยึดร่างกุมารเข้ากับไม้ เพราะไม่ได้บอกว่า มัด แต่บอกว่า วาง ถ้ามุ่งความหมายว่า วาง แสดงว่าต้องมีตะแกรงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างหนึ่ง แต่ในบทกลอนมิได้บอกไว้ ดังนั้นถ้าใช้วิธีที่โบราณท่านใช้ปิ้งย่างสิ่งของขนาดเท่าตัวกุมารทอง ความเป็นไปได้คือ ใช้ไม้ท่อนหนึ่งผ่ากลางลึกสักคืบกว่าๆ แล้วเอาไม้หนีบร่างเพื่อปิ้งย่างได้สะดวกขึ้น อาจเป็นไม้ชัยพฤกษ์หรือไม้พญายาก็ได้ ในคำกลอนไม่ได้บอกว่าในไม้สองชนิดนี้ ใช้ไม้อะไรเป็นขาหยั่ง ไม้อะไรเป็นไม้ปิ้ง

3. ยันต์นารายณ์แผลงฤทธิ์ปิดศีรษะ   

เอายันต์ราชะปะพื้นล่าง

ยันต์นารายณ์ฉีกอกปกปิดกลาง          

ลงยันต์นางพระธรณีที่พื้นดิน

เอาไม้รักปักเสาขึ้นสี่ทิศ          

ยันต์ปิดปักธงวงสายสิญจน์

ลงเพดานยันต์สังวาลอมรินทร์  

ก็พร้อมสิ้นในตำราถูกท่าทาง

     กระบวนยันต์ที่ใช้ในพิธีสร้างกุมารทอง

     ครูแจ้งวัดระฆังผู้แต่งกลอนเสภาตอนกำเนิดกุมารทองนี้ ท่านเป็นครูเพลงปรบไก่และกลอนเสภาผู้เลื่องชื่อ แต่ตามประวัติของท่านไม่เคยปรากฏว่าท่านเป็นอาจารย์ไสยศาสตร์หมอผีอะไร เท่าที่ท่านบรรยายวิธีทำกุมารทองเอาไว้ในกลอนเสภานั้น ก็น่าจะอนุมานได้ว่า เรื่องการทำกุมารทองในสมัยโบราณ ก็คงเป็นที่บอกเล่าสู่กันฟังบ้างตามแบบเรื่องคุยกันในหมู่ผู้ชื่นชอบเครื่องรางของขลัง ท่านครูแจ้งจึงได้เล่าไว้ในบทกลอนเพื่อประกอบความตื่นเต้นในการรับฟังการขับเสภา เนื่องจากเป็นการแต่งคำกลอน จึงมีบังคับเรื่องสัมผัสคำกลอนเข้ามาเกี่ยวข้อง บางข้อความจึงน่าจะเป็นแบบที่ว่า “กลอนพาไป” ตามแต่ไหวพริบปฏิภาณของท่านผู้แต่งในขณะนั้น

  เรื่องกระบวนยันต์ที่ขุนแผนใช้ในการทำกุมารทอง ข้าพเจ้าขอเดาเอาตามความน่าจะเป็น และเอาเท่าที่เคยเห็นตำรามาบ้าง จึงเป็นความเห็นของข้าพเจ้าซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่ก็น่าจะมีความใกล้เคียงอยู่พอสมควร น่าจะเป็นดังนี้

  เนื่องจากกุมารทองของจริงจะต้องทำจากร่างลูกกรอก ซึ่งมีขนาดประมาณ 1 คืบบวกลบอีกสักหน่อยตามความสมบูรณ์ของอายุ ดังนั้นยันต์ที่ใช้ประกอบพิธีที่เชื่อว่าต้องเอามาติดไว้ที่ร่างกุมารทองถึงหลายยันต์นั้น จึงไม่น่าจะเป็นผ้ายันต์ที่มีขนาดใหญ่

  มีความเชื่อกันว่า จากบทเสภาบอกไว้ว่า ที่ตัวลูกกรอกติดแผ่นยันต์ไว้ 3 แผ่น คือ ยันต์นารายณ์แผลงฤทธิ์ติดที่ศีรษะของลูกกรอก ยันต์ราชะติดไว้ที่ส่วนล่างของลูกกรอก และยันต์นารายณ์ฉีกอกไว้ที่หน้าอก แล้วยันต์ชื่อเหล่านี้คือยันต์อะไร ?

  จากเค้าเงื่อนตามตำราของวัดประดู่ทรงธรรม อยุธยา ซึ่งถือกันว่าเป็นต้นตำนานวิทยาคมอักขระเลขยันต์และกรรมฐานของสยามประเทศ ถ้ากล่าวถึงตำรับยันต์พระนารายณ์แล้ว จะเป็นยันต์ใหญ่ๆทั้งสิ้น เคยพบผ้ายันต์เก่าของวัดเป็นยันต์พระนารายณ์ขว้างจักรพระพรหมขว้างจักร มีขนาดใหญ่ราวๆ 2 เมตร

  ยังมียันต์พระนารายณ์แผลงฤทธิ์ของหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านสักยันต์พระนารายณ์แผลงฤทธิ์ให้ลูกศิษย์ ขนาดย่อรูปลงมาแล้วยังใหญ่เต็มแผ่นหลัง ถึงจะเขียนรูปยันต์ให้เล็กลงมาโดยมีอักขระเท่าเดิม(ย่อบทคาถาไว้แล้ว) ก็ยังมีขนาดเท่าผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ๆ ถ้าจะเขียนให้เล็กกว่านั้นเช่นเท่าฝ่ามือ ก็ต้องทั้งย่อรูปทั้งตัดอักขระออกไปมาก แต่อย่าลืมว่าในสมัยโบราณ เมืองไทยเรายังไม่มีดินสอแบบดินสอปัจจุบัน อุปกรณ์การเขียนล้วนใหญ่เทอะทะ

  ตามบทกลอนเสภา ใช้ยันต์พระนารายณ์ถึง 2 ยันต์ โดยมียันต์นารายณ์แผลงฤทธิ์ติดไว้ที่ศีรษะ และยันต์นารายณ์ฉีกอกติดไว้ที่ส่วนกลาง ซึ่งก็คือหน้าอกลำตัวของลูกกรอก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผ้ายันต์ผืนใหญ่ที่ลงอักขระเลขยันต์เต็มสูตร

 3.1  ยันต์นารายณ์แผลงฤทธิ์ปิดศีรษะ

  ความเป็นไปได้เท่าที่ข้าพเจ้าลองเดาๆดู น่าจะเป็นการลงอักขระเอาไว้ไม่กี่ตัว ซึ่งเรียกอักขระที่ย่อความมานี้ว่า หัวใจคาถา ซึ่งมีตั้งแต่ย่อจนเหลือเพียงอักขระตัวเดียว มีจนถึงอักขระสักสิบกว่าตัว

  ตามตำรับวิทยาคมที่เรียกว่าตำรับนารายณ์ มีเป็นยันต์และพระคาถา หัวใจคาถา รวมแล้วหลายบท ที่นิยมกันมากมักจะเป็นบทพระนารายณ์แบบต่างๆในอิติปิโสแปดทิศ แต่ถ้ามุ่งเน้นเรื่องการสะกดภูตผีปีศาจ ซึ่งในการประกอบพิธีใดๆที่เกี่ยวกับภูติผีปีศาจ จำเป็นจะต้องทำการ สะกด คือบังคับกดขี่สะกดฤทธิ์อำนาจของผีตัวนั้น จนแม้กระทั่งสะกดอำนาจผีในบริเวณนั้น ไม่ให้แผลงฤทธิ์ออกมาได้

ในบทอิติปิโสแปดทิศมีบทที่เรียกว่า นารายณ์ตรึงไตรภพ ใช้ทางสะกดภูติผีปีศาจทั้งหลาย บทนี้พอจะนับว่าใช้เปรียบเทียบกับบทเสภาว่า ยันต์นารายณ์แผลงฤทธิ์ ประกอบในพิธีทำกุมารทองได้ ตัวคาถามีอยู่ 7 คำ คือ ภะสัมสัมวิสะเทภะ     

  3.2  เอายันต์ราชะปะพื้นล่าง

   ตรงนี้มีปัญหาในการหาเค้าเงื่อนว่าเป็นยันต์อะไร แต่สำหรับข้าพเจ้ามีนึกไว้ในใจแล้ว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีใช้กันจริงๆในการเสกปลุกของขลังแบบต่างๆรวมทั้งของขลังแนวนี้

  เรื่องยันต์ราชะนี้ สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้มีพระราชหัตถเลขาตอบตามที่พระยาอนุมานราชธนกราบทูลถามเรื่องยันต์ราชะว่า

“ฉลองพระองค์ลงราชะ เป็นฉลองพระองค์ลงยันต์ มี 7 องค์ 7 สี สำหรับทรง (ชั้นใน) ตามสีวัน เป็นอย่างหนึ่งในเครื่องพิชัยสงคราม”

    จากคำอธิบายนี้ ทำให้นึกถึงยันต์ประจำเทพยดาประจำวันทั้งเจ็ด

    ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับบ พ.ศ.2525 หน้าที่ 700 อธิบายคำว่า ราชะไว้ว่า 

   ราชะ  น. ยันต์ เช่น ฉลองพระองค์ลงราชะ. (ม.).

  จากคำอธิบายในที่ต่างๆรวมทั้งคำบอกเล่าของพระอาจารย์รุ่นเก่า พอจะประมวลได้ว่า คำว่าราชะนั้นรวมความไปถึงการลงอักขระเลขยันต์ ลายยันต์ต่างๆ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นยันต์ใดยันต์หนึ่ง

  ถ้าจะให้ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า ยันต์ราชะที่ใช้ประกอบในการสร้างกุมารทองของขุนแผนนั้นคือยันต์อะไร ก็ขอสันนิษฐานตามที่เคยเห็นตำราว่าด้วยการสร้างรูปจำลองอาถรรพ์ชนิดต่างๆ ที่บางตำรับมีขั้นตอนหนึ่งประกอบไว้ นั้นคือการใช้อักขระเลขยันต์ในตำรามหาราช ที่มีอุปเท่ห์ชุดหนึ่งว่า หัวใจสนธิ งะญะนะมะ  สนธิหมายถึงการต่อ ต่อติด ถ้าความหมายอ้อมๆก็คือสนธิเพื่อให้เกิดขึ้นมา

  ในส่วนของตำรับมหาราชนั้น พระอาจารย์หลายรูปเคยเล่าให้ฟังว่า จะเน้นไปในทางเรียกจิตรวมจิต ทำให้เป็นที่รัก

   3.3  ยันต์นารายณ์ฉีกอกปกปิดกลาง

    ชื่อยันต์นารายณ์ฉีกอกนี้ยังไม่เคยพบที่มีชื่อตรงกัน แต่ถ้าเราลองเดาดูว่า ถ้าเป็นเพียงรูปยันต์เล็กๆหรืออักขระที่ใช้ลงบนผ้ายันต์ หรือลงประทับตรงๆบนตัวลูกกรอกกันเลย อักขระคาถาที่อนุมานได้ง่ายสุดยังคงเป็นบทอิติปิโสแปดทิศ อาจจะเป็นบทนารายณ์แปลงรูป อะวิสุนุตสานุสติ     

  คาถาพระนารายณ์แปลงรูปนั้น ใช้เป็นเมตามหานิยมมหาละลวย ทำให้งงงวย กันกระทำต่างๆ และที่ไม่ค่อยทราบกันก็คือ โบราณท่านใช้ในการ “ปรุง” หรือ “แปลง” เพื่อให้ได้สิ่งที่ประสงค์ที่จะทำขึ้นมา เช่น จากแผ่นยันต์ทำให้เป็นตะกรุด จากก้อนดินทำให้เป็นสิงสาราสัตว์รวมทั้งรูปจำลองสิ่งมีชีวิตต่างๆ

  นอกจากนี้ยังมีเงื่อนงำถึงคำว่านารายณ์ฉีกอกอีกประการหนึ่ง นั่นคือการสมมติใส่ “หัวใจ” เอาไว้ในหน้าอกของวัตถุมงคลวัตถุอาถรรพ์ ซึ่งข้อนี้บางทีท่านที่เคยศึกษาวิทยาคมต้องเคยผ่านตาแต่อาจไม่รู้จักไม่รู้วิธี ตรงนี้ก็คือบทคาถาสำคัญบทหนึ่งในท่อนที่ว่า หะทะยัง นารายะกัญเจวะ ลองแปลดู รับรองว่าเข้ากับเรื่องได้ดีจริงๆ

  3.4  ลงยันต์นางพระธรณีที่พื้นดิน

  ข้อนี้เดาได้ง่าย เพราะในคำกลอนครูแจ้งท่านบอกไว้ชัดเจนว่า ลงยันต์ที่ชื่อว่ายันต์นางพระธรณี โดยลงไว้ที่พื้นดิน ซึ่งใช้เป็นปริมณฑลปิ้งย่างศพลูกกรอกนั่นเอง

  ยันต์ที่เกี่ยวกับแม่พระธรณีนี้มีหลายแบบเช่นกัน บางทีใช้เป็นหัวใจแม่พระธรณีซึ่งมีอยู่ 4 คำคือ เม กะ มุ อุ

   ยังมีอีกคติหนึ่ง โบราณท่านว่าถ้าจะทำยันต์ที่ต้องใช้ติดพื้นดินใต้พื้นดิน ให้ลงยันต์ที่เป็นตัวเลข ซึ่งมียันต์แม่พระธรณีที่เป็นแบบตัวเลขด้วยเช่นกัน และคุณหรือกำลังของแม่พระธรณีนั้น คือ ๒๑ นอกจากนี้ยังมียันต์ตัวเลขที่เรียกว่ายันต์จัตตุโร สำนักสมเด็จพระสังฆราชแพเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ยันต์ ๑๕ ชั้นดิน บางตำรับเรียกยันต์พระธรณี

  3.5  เอาไม้รักปักเสาขึ้นสี่ทิศ

  ยันต์ปิดปักธงวงสายสิญจน์

   ข้อนี้เข้าใจได้ง่ายๆ คือเอาไม้รักมาปักเป็นเสาทั้งสี่ทิศ เพื่อเป็นหลักโยงวงด้ายสายสิญจน์ ด้านบนของไม้หลักจะมีธงลงยันต์ปักเอาไว้ เป็นยันต์ประจำทิศทั้งสี่ ซึ่งมักจะทำเป็นรูปท่านท้าวจตุโลกบาล หรืออาจใช้แบบที่ยังนิยมทั่วไปในปัจจุบัน ที่ใช้ยันต์อิติปิโสแปดทิศ โดยติดไว้ที่สายสิญจน์ด้านละสองทิศ ข้าพเจ้าเคยเห็นในพิธีเสกปลุกพระเครื่องอยู่บ่อยๆ

   3.6  ลงเพดานยันต์สังวาลอมรินทร์  

ก็พร้อมสิ้นในตำราถูกท่าทาง

  ยันต์ลงเพดานก็คือ ผ้าดาดเพดานนั่นเอง หมายถึงว่า จะมีผ้าผืนหนึ่งขึงเอาไว้ด้านบนของปริมณฑลพิธี ในที่นี้ก็คือวงสายสิญจน์ โดยมากจะอาศัยเสาที่ปักไว้แต่แรกเป็นจุดยึดขึงผ้าให้ลอยไว้ ส่วนยันต์สังวาลย์อัมรินทร์นั้น โบราณจารย์ท่านมักหมายถึงอักขระคาถาบทอิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ถ้าพื้นที่น้อยก็ลงแค่บทอิติปิโสฯ คนโบราณท่านสักติดตัวมองดูคล้ายสวมสร้อยสังวาลย์สะพายไหล่ทั้งสองข้าง โดยมากจะเป็นบทอิติปิโสและรวมพระคาถาบทอื่นๆตามตำราแต่ละสำนัก

   ทั้งหมดนี้เป็นแค่การสันนิษฐานถึงความเป็นไปได้ของตำราสร้างกุมารทองของท่านขุนแผน ซึ่งเป็นแนวทางตำราแบบหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีข้อที่น่าพิจารณาอีกว่า...ถ้าเราอ่านบทกลอนเสภาแล้วเข้าใจผิดเรื่องคำบรรยายของครูแจ้ง ซึ่งเราเข้าใจยอมรับกันในเบื้องต้นว่า ยันต์ต่างๆใช้แปะบนตัวกุมารทอง แต่ถ้าเราเข้าใจผิดล่ะ ซึ่งมีความเป็นไปได้ในอีกแบบหนึ่งของการสร้างเสกปลุกกุมารทองเสียด้วย

   นั่นคือ ถ้าครูแจ้งวัดระฆัง ท่านกล่าวถึงยันต์ที่ใช้นั้นว่า เป็นยันต์ที่ลงเป็นผ้ายันต์เสื้อยันต์ติดตัวผู้เสกปลุกกุมารทอง เพื่อเป็นอาคมคุ้มครองในการทำอาถรรพ์เวทที่รุนแรงขนาดนี้ ซึ่งในตำรับวิทยาคมก็มีหมวดที่ว่าด้วยเครื่องป้องกันอาถรรพ์ภูตผีปีศาจอยู่ด้วย ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ยันต์นารายณ์แบบต่างๆย่อมต้องเป็นยันต์ใหญ่อย่างแน่นอน

4เอาไม้มะริดกันเกราเถากันภัย  

ก่อชุดจุดไฟใส่พื้นล่าง

ตั้งจิตรสนิทดีไว้ที่ทาง

ภาวนานั่งย่างกุมารทอง

ร้อนทั้งตัวทั่วกันนํ้ามันฉ่า       

กลับหน้ากลับหลังไปทั้งสอง

เกราะแกร่งแห้งได้ดังใจปอง 

พอรุ่งแจ้งแสงทองขึ้นทันใด ฯ

  ขั้นตอนนี้เป็นการก่อไฟเพื่อย่างศพลูกกรอก โดยเอาไม้มะริด ไม้กันเกรา ไม้(เป็นเถา)กันภัย เอามาเป็นฟืน จุดไฟติดแล้วก็ปิ้งย่างลูกกรอกกุมารทอง เท่าที่เคยเห็นตำรากุมารทองมาบ้าง เคยพบว่าบางตำราระบุว่า ท่อนฟืนที่ใช้จะต้องลงอักขระคาถาเอาไว้ด้วย

ย่างลูกกรอกแล้วจะดำๆเกรียมๆเหี่ยวๆแบบปลาดุกย่าง

                                                               

  ถ้านึกภาพการปิ้งศพขนาดลูกกรอกไม่ออก ก็นึกง่ายๆว่า เหมือนย่างปลาดุกไม่มีผิด จะร้อนจนน้ำมันศพไหลหยดติ๋งๆ ลูกกรอกจะกรอบแห้งเหี่ยวสีคล้ำๆเหมือนปลาดุกย่างอย่างที่สุด ทั้งขนาดทั้งสีคล้ำดำเหมือนกัน(จริงๆ)

   การปิ้งย่างกุมารทอง จะมีคาถาภาวนาไปพลางย่างศพไปพลาง ครูแจ้งท่านไม่ได้บอกไว้ในบทเสภาแต่อย่างไร เวลาที่ใช้ปิ้งย่างก็นานโขเป็นชั่วโมงๆเลยเชียวแหละ

  เมื่อย่างศพลูกกรอกจนแห้งสนิท ต่อมาก็ลงรักปิดทอง จึงเป็นกุมารทองจอมอิทธิฤทธิ์ เป็นอภิมหาผีมหาภูตที่แรงฤทธิ์จนเป็นตำนานขลังเฮี้ยนขั้นสุดยอด

   กุมารทองคะนองฤทธิ์ตนนี้นับว่าเป็นตำนานมีอิทธิฤทธิ์มากที่สุดในปฐพี เป็นเลือดเนื้อเชื้อขัยของท่านขุนแผนโดยตรง เป็นลูกคนโตของท่านขุนแผน

   เท่าที่กล่าวมานี้จะเห็นว่า กุมารทองแบบนี้เป็นประเภทกุมารทองภูตผีปีศาจแบบเต็มๆ ตำราสร้างกุมารทองภูตผียังมีตำรับอื่นๆอีก แต่กุมารทองของขุนแผนเป็นกุมารทองที่ดังที่สุดของไทยสยาม มักจะกล่าวถึงเป็นตัวอย่างอยู่เสมอ จึงทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักกุมารทองตำราอื่นๆ

   กุมารทองแบบที่เป็นลูกกรอกย่างนี้ ข้าพเจ้าเคยเห็นของจริงมาบ้าง กุมารทองบางตนจะมีการพรางรูปลักษณ์เอาไว้ จนมองเห็นใกล้ๆก็ยังไม่รู้ว่านี่คือกุมารทอง เช่น เคลือบไว้ด้วยครั่งหนาจนเหมือนแท่งหรือกระบอกอะไรสักอย่าง ไม่มีอะไรให้นึกว่าเป็นกุมารทองเลย

   ไหนๆข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องกุมารทองของท่านขุนแผนไปแล้ว ก็ขอเล่าถึงกุมารทองภูตผีแบบตำราอื่นๆประกอบเอาไว้ด้วย ดังนี้

กุมารทองผงพราย

   ลูกกรอกกุมารทองตามที่เล่ามาข้างต้นเป็นกุมารทองที่มีร่างสมบูรณ์ จะตั้งบูชาเซ่นไหว้ หรือพกติดตัวไปที่ใดๆ ก็เป็นการนำกุมารทองไปทั้งตัว พูดง่ายๆก็คือเอาศพลูกกรอกนั้นพาไปทั้งตัวกันเลย แต่มีกุมารทองที่สร้างจากลูกกรอก แล้วแปรรูปเป็นผงรวมเนื้อหนังเถ้ากระดูกของทั้งร่าง ทำเป็นกุมารทองขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่งด้วย

   ผงที่ได้จากการแปรรูปจากร่างกุมารทองลูกกรอก ทางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเรียกว่า ผงกุมารทอง ผงภูต ผงพรายกุมาร ใจความสำคัญของผงอาถรรพ์ชนิดนี้จะต้องเป็นผงจากศพลูกกรอกเท่านั้นจึงจะถูกต้องที่สุด แต่ก็ภายหลังพอจะอนุโลมนับเอาศพเด็กที่คลอดออกมาแล้วตายทำเป็นผงพราย ซึ่งไม่ตรงกับความหมายของคำว่าลูกกรอก เพราะมันคือผงจากศพเด็กธรรมดา  ลูกกรอกต้องตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ส่วนที่คลอดออกมาแล้วตายนั้นแค่ศพเด็กทารก

   ผงอาถรรพ์ที่ทำจากร่างลูกกรอก ข้าพเจ้าเคยพบเห็นมาบ้าง บางครั้งยังบังเอิญต้องไปรับรู้การทำพิธีจากคนใกล้ตัว

   ร่างของกุมารทองที่ถูกแปรสภาพให้เป็นผงนี้ ในปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า ผงพรายกุมาร ซึ่งนักนิยมเครื่องรางของขลังชอบเรียกกัน โดยเรียกตามชื่อพระเครื่องของหลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ จ.ระยอง ที่นักนิยมพระเครื่องวัตถุมงคล จะชอบเรียกพระพิมพ์หนึ่งของท่านว่า พระขุนแผนพรายกุมาร  

ผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมในขวดน้ำมันลูกประคำ

                                                                 

   กุมารทองแบบตุ๊กตาและแบบตุ๊กตาใส่ขวด ของหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ ในบางรุ่นนอกจากที่ท่านเสกปลุกเป็นกุมารทองแบบหุ่นพยนต์ไว้แล้ว ยังมีการใส่ผงพรายแบบที่ทำจากร่างลูกกรอกของจริงด้วย ท่านเรียกผงที่บรรจุไว้ว่า ผงกุมารทอง

   ผงกุมารทองตามตำรับของหลวงพ่อพรหม จะเป็นการสร้างกุมารทองลูกกรอกขึ้นมาก่อน แล้วจึงบดทั้งร่างให้เป็นผง  ได้เป็นผงหัวเชื้อกุมารทอง แล้วจึงผสมกับว่านยาผงวิเศษที่เกี่ยวข้อง เสกปลุกขึ้นมาเป็นมหาภูตกุมารทองในแบบผงวิเศษ เรียกว่าผงกุมารทอง

ผงกุมารทองของจริง

   ตำรับกุมารทองแบบที่เป็นผงของร่างกุมารนี้ จะคล้ายและใกล้เคียงกับกุมารทองแบบของท่านขุนแผนแสนสะท้านมากที่สุด จะต่างกันที่กุมารทองของขุนแผนนั้น ใช้เป็นกุมารทองร่างสมบูรณ์ทั้งตัว คือมีกุมารทองที่เป็นผีเด็กแท้ๆใช้ได้เพียงตนเดียว   ซึ่งกุมารทองของขุนแผนนั้นมีอิทธิฤทธิ์มากที่สุดในตำนานของกุมารทองทั้งปวง มีฤทธิ์จนเหลือเชื่อ ก็ขนาดปรากฏตัวช่วยแบกพ่อขุนแผนพาเดินทางไปไกลๆได้ ปรากฏร่างมาพูดคุยกับมนุษย์ได้ ดังตอนที่ปรากฏร่างมาคุยเป็นเพื่อนพลายงามครั้งยังพลายงามยังเป็นเด็ก

   กุมารทองผงพรายจะมีขั้นตอนการสร้างและเสกปลุกคล้ายคลึงกับกุมารทองของขุนแผน คือ ต้องสร้างจากลูกกรอกที่มีอาการครบสามสิบสอง ต้องปิ้งย่างลูกกรอกทั้งตัว แต่พอย่างสำเร็จแล้ว แบบของขุนแผนจะเอากุมารที่ย่างแล้วมาลงรักปิดทองทั้งตัว แล้วพกติดตัวติดย่าม แต่กุมารทองผงพรายนั้น เมื่อย่างเสร็จแล้ว จะเอาร่างกุมารทองมาตำเป็นผง เรียกว่าผงพรายหรือผงกุมารทอง แล้วจึงเอาผงพรายหรือผงกุมารทองไปบรรจุในรูปตุ๊กตากุมารทอง ซึ่งสามารถทำกุมารทองได้หลายๆตน

   กุมารทองผงพรายเพียง 1 ตน พอตำบดเป็นผงแล้วสามารถเอาไปบรรจุในตุ๊กตาได้หลายๆตัว แล้วเสกปลุกเป็นกุมารทองตามร่างตุ๊กตานั้นๆ ราวกับว่าจากดวงวิญญาณเพียง 1 ดวง กลายเป็นมีวิญญาณเกิดขึ้นอีกมากมาย ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้น ดวงวิญญาณของกุมารทองตัวจริงยังคงมีเพียงดวงเดียวเหมือนเดิม

ผงกุมารทอง

   เท่าที่เคยกราบเรียนสอบถามหลวงปู่หลวงพ่อที่เรืองวิชา ท่านเล่าว่าผงพรายนั้นเป็นสื่อถึงดวงวิญญาณเจ้าของร่างนั้นๆ คล้ายๆแบ่งภาคการรับรู้มาที่ตุ๊กตาตัวนั้นๆ เมื่อมีเหตุให้ช่วย ดวงวิญญาณนั้นถ้ามีฤทธิ์ก็มาช่วยได้ ถึงจะมีหลายเหตุในหลายที่ก็ช่วยได้ เพราะในโลกวิญญาณนั้นการเดินทางไปได้เร็วมาก

   กุมารทองแบบที่แปรรูปให้เป็นผงแบบนี้ ข้าพเจ้าเคยพบเคยเห็นของจริง และยังเคยรับรู้ต้นสายปลายเหตุในการสร้างด้วย เพราะในการสร้างกุมารทองครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อพระอาจารย์รูปหนึ่งของข้าพเจ้า เพื่อนของข้าพเจ้าเป็นผู้เสาะหาลูกกรอกได้มานั่นเอง

   หลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นท่านหนึ่งที่เรืองวิชาเป็นอย่างยิ่ง ในสมัยที่ท่านยังหนุ่มนั้น ก็ร้อนวิชาชอบทดลองทำวิชาที่ท่านเรียนมาอยู่เสมอ และวิชาหนึ่งนั้นก็คือวิชาสร้างกุมารทอง

   วิชากุมารทองของหลวงพ่อเป็นไปในแบบกุมารทองของท่านขุนแผน คือทำเป็นลูกกรอกกุมารทองร่างสมบูรณ์ ต่อมาท่านเลิกทำวิชานี้ เพราะเห็นว่าเป็นแนวไสยศาสตร์อาถรรพ์เวทโดยตรง หลวงพ่อพรหมท่านมุ่งไปในพระกรรมฐานเพื่อละกิเลสให้สิ้น เรื่องราวของลูกกรอกกุมารทองหลวงพ่อพรหมจึงเหลือแค่ตำนานที่เล่าขานในหมู่ลูกศิษย์

สร้างใหม่แต่บรรจุผงกุมารทอง

   ในช่วงปัจฉิมวัยของหลวงพ่อ เพื่อนของข้าพเจ้ายังจำตำนานลูกกรอกกุมารทองของหลวงพ่อพรหม ยังอยากได้กุมารทองของจริงเป็นอย่างมาก เคยตื้อขอให้หลวงพ่อทำให้หลายครั้ง ท่านก็ปฏิเสธทุกครั้งว่ามันเป็นไสยศาสตร์มากเกินไปท่านไม่ทำแล้ว แต่ท่านว่าใช้เป็นตุ๊กตากุมารไม่ต้องมีผงกุมารทองก็ได้ แค่ไปซื้อตุ๊กตาเอามาให้ท่านเสกก็ใช้ได้แล้ว

   หลังจากหลวงพ่อพรหมมรณภาพไปราวๆ 20 ปี มีศิษย์ อยากได้กุมารทอง จึงมีการสร้างร่างขึ้นมาใหม่ แล้วบรรจุผงกุมารทองของหลวงพ่อพรหม ปรากฏว่ากุมารทองแสดงฤทธิ์ให้ศิษย์เห็นหลายคน

   เรื่องตุ๊กตากุมารทองที่เป็นตุ๊กตาเปล่าๆไม่มีผงกุมารทองของหลวงพ่อ แต่ท่านเสกให้เป็นกุมารทองได้ จะเล่าถึงในข้อกุมารทองที่ไม่ใช้ผงผี

   เพื่อนคนนี้ยังไม่ละความพยายาม ในที่สุดไปเสาะหาลูกกรอกตามตำราได้มา 2 ตน จึงมากราบขอร้องหลวงพ่อให้ทำกุมารทองให้ด้วย คราวนี้หลวงพ่อเห็นว่าไหนๆก็เกินเลยมาขนาดนี้แล้ว ท่านจึงเลี่ยงว่าท่านทำให้ตรงๆไม่ได้ ให้ไปทำกันเองตามตำรา อย่าให้ท่านรู้เห็นร่วมในพิธี หลังจากนั้นท่านจะเสกให้

   หลังจากนั้นเมื่อถึงวันฤกษ์ยามดี เพื่อนจึงได้จัดการปิ้งกุมารทองทั้งสองตนนั้น ช่วงที่ปิ้งย่างนั้นเป็นช่วงหลังเที่ยงคืน ขณะที่ทำก็มีบรรยากาศแปลกๆ วังเวงชวนให้หวาดกลัว มีเสียงหมาหอนอยู่เป็นระยะๆ

   เมื่อปิ้งย่างลูกกรอกทั้งสองตนเสร็จ ก็เก็บเป็นกุมารทองร่างสมบูรณ์ไว้ตนหนึ่ง และอีกตนหนึ่งเอามาแปลงรูปให้เป็นผง การแปลงรูปใช้วิธีตำในครกตำข้าว และในการตำครั้งสุดท้ายเกิดเหตุแปลกประหลาด ในจังหวะที่คิดว่ากระแทกสากตำลงไปเป็นครั้งสุดท้ายนั้น ครกตำข้าวใบนั้นแตกเป็นสองเสี่ยงต่อหน้าต่อตา

   ต่อมาเมื่อนำผงกุมารทองและลูกกรอกกุมารทองร่างสมบูรณ์ไปขอให้หลวงพ่อท่านเสก ท่านก็ให้ทิ้งเอาไว้ที่กุฏิ ส่วนเรื่องที่ท่านเสกปลุกกุมารทองแบบไหนก็ไม่มีใครได้เห็น กราบเรียนสอบถามท่านก็ไม่ค่อยเล่าให้ฟัง ท่านว่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง

   ภายหลังท่านมอบกุมารทองและผงกุมารทองให้กลับมา ท่านว่าส่วนที่เป็นผงกุมารทอง ให้เอาไปใส่ไว้ในตุ๊กตาก็ใช้ได้แล้ว

   เมื่อรับผงกุมารทองกลับมา ก็จัดหาตุ๊กตากุมารทองมาหลายตัว บรรจุผงกุมารทองแล้วแบ่งกันไปบูชาที่บ้าน ได้ปรากฏเหตุการณ์ที่ยืนยันได้ว่า กุมารทองที่ทำขึ้นมาใหม่นี้ มีอิทธิฤทธิ์ดียิ่งนัก ช่วยให้มีโชคลาภค้าขายเจริญรุ่งเรือง เข้าฝันบอกเลขหวย และที่มหัศจรรย์ยิ่งที่เตือนภัยได้ถึงขนาดว่า เขย่ารถเก๋งสั่นไหวจนเจ้าของรถสะดุ้งตื่น รอดจากการถูกรถสิบล้อชนได้

   มีการเข้าใจผิดถึงกุมารทองแบบที่ใช้ดินป่าช้าว่าเป็นกุมารทองผงพราย เพราะจะนึกกันว่าเมื่อเป็นดินป่าช้าแล้ว ก็ต้องมีผีมีภูตพรายรวมอยู่ด้วย ซึ่งไม่ใช่

กุมารทองผมพราย

   กุมารทองแบบนี้จะมีวิธีทำไม่ยุ่งยากเท่ากุมารทองของขุนแผน ออกจะง่ายกว่ามากๆด้วยซ้ำ ในสมัยโบราณก็นิยมทำไว้เหมือนกัน ข้าพเจ้าเคยเห็นกุมารทองแบบนี้มาแล้ว 4 ตน

  วิธีสร้างกุมารทองผมพราย จะใช้แค่ปอยผมของกุมารหรือกุมารี โดยดึงเส้นผมออกมาจากศพเพียงนิดเดียว แล้วนำไปเสกปลุกตามตำรา ต้องรู้ชื่อของกุมารกุมารีด้วย ในบางกรณีที่พ่อแม่ไม่ได้ตั้งชื่อให้เด็กที่ตาย ก็จำเป็นที่จะต้องตั้งชื่อให้กุมารเจ้าของร่างนั้นก่อน

  เมื่อได้เส้นผมของกุมารมาแล้ว ท่านอาจารย์ผู้รู้วิชาจะทำร่างให้กุมารหรือกุมารีตามแต่เพศของเจ้าของเส้นผม โดยจะใช้ไม้ที่มีมงคลนาม เอามาแกะเป็นตุ๊กตากุมารกุมารีตัวเล็กๆ แล้วเอาเส้นผมนี้ผูกติดไว้กับตุ๊กตา ถ้าเป็นตุ๊กตาตัวใหญ่ที่ผูกเส้นผมไม่ได้ ก็จะใช้วิธีบรรจุเส้นผมเข้าไว้ในร่างตุ๊กตานั้น แล้วเสกปลุกไปตามตำรา

   เมื่อสำเร็จเป็นกุมารทองแล้ว ก็จะเรียกชื่อกุมารตามชื่อกุมารเจ้าของร่างนั้น จัดของเซ่นไหว้ตามแต่จะเหมาะสมกับฐานะ ประสงค์สิ่งใดก็ให้บอกกล่าวต่อกุมารนั้น นับถือกันว่ามีคุณวิเศษทางด้านมหาโชคมหาลาภมหานิยม และเตือนภัยได้

กุมารลิ้นทอง

  มีตำราสร้างกุมารทองแบบหนึ่งที่ใช้ลิ้นของศพลูกกรอก กุมารทองแบบนี้นับว่าซ่อนความเป็นกุมารทองได้แนบเนียบเป็นอย่างยิ่ง เพราะมิได้ใช้ศพลูกกรอกทั้งร่างให้เป็นที่เพ่งเล็งสังเกตเห็นจากผู้อื่น แต่ใช้เพียงแค่ปลายลิ้นชิ้นเล็กๆของลูกกรอกเท่านั้น

   ที่ข้าพเจ้าว่าแนบเนียนมากๆนั้น ก็เพราะว่า การเอาปลายลิ้นของลูกกรอกมาทำเป็นกุมารทอง มิได้เอาไปใส่ไว้ในตุ๊กตา ที่พอใครๆเห็นย่อมต้องรู้ว่านี่คือกุมารทอง แต่กลับเอาไปใส่ไว้ในหัวแหวน ทำให้ผู้อื่นไม่มีทางรู้ว่าเป็นกุมารทองอย่างแน่นอน เพราะกลายเป็นเครื่องประดับไปได้อย่างแนบเนียนที่สุด

   วิธีทำกุมารลิ้นทอง ท่านอาจารย์ผู้รู้วิชาจะเอาปลายลิ้นลูกกรอกไปตากแดดให้แห้งสนิท นึกเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนทำปลาแห้งนั่นเอง   เมื่อลิ้นกุมารแห้งสนิทดีแล้ว ก็จะเอาไปแช่หรือดองไว้ในน้ำมันหอม เสกปลุกพร้อมแหวนที่ทำรอไว้ พอได้ฤกษ์ยามดี ก็จะทำพิธีบรรจุชิ้นส่วนลิ้นไว้ภายในหัวแหวน อุดรูที่บรรจุลิ้นให้สนิท เสกปลุกเป็นแหวนอาคมกุมารลิ้นทอง

   สาเหตุที่ต้องอำพรางรูปแบบกุมารทองให้เป็นแหวน ก็มาจากการที่มีการจ้องจะขโมยตัวกุมารทองนั่นเอง การขโมยตัวกุมารทองมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะกุมารทองเป็นของวิเศษในตำนานมาตั้งนมนานกาเล ผู้ที่จะขโมยตัวกุมารทองมีทั้งคนใจถึงกล้าขโมย และที่แปลกคือ แม้แต่อาจารย์ไสยศาสตร์ ก็ยังจ้องจะขโมยกุมารทองเพื่อเอามาใช้งาน เข้าทำนองว่าสร้างกุมารทองเองไม่ได้ จึงต้องขโมยเอาดื้อๆ

กุมารทองฟันผี

   สมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ก็ผ่านมาร่วมๆ 50 ปีแล้ว ขณะนั้นยังมีอายุใกล้ๆ 10 ขวบบวกลบเล็กน้อย ได้เห็นพวกผู้ใหญ่เขาเอาขวดยาหอมมาดูกัน เมื่อมองไปก็เห็นว่าในขวดนั้นมีก้อนอะไรสีขาวๆอมเหลือง สีออกไปทางขุ่นๆ ก้อนสีขาวหม่นๆนี้แช่อยู่ในน้ำมันที่หอมๆฉุนๆสีคล้ายน้ำชาที่ใสๆสักหน่อย

   เมื่อข้าพเจ้าถามดูก็ได้ความว่า นี่คือกุมารทองที่แกะจากฟันของคนตาย พอฟังแล้วก็ยังงงๆไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ของเล่นแน่ๆ

   พอข้าพเจ้าเรียนจบเข้าทำงานแล้ว วันหนึ่งแวะไปกราบสนทนากับพระอาจารย์รูปหนึ่ง พอดีท่านกำลังรื้อของในกุฏิมาจัดใหม่ ก็ได้เห็นตุ๊กตากุมารทองอยู่ในขวดยานัตถุ์ที่ใสๆจำนวน 3 ขวดๆละตัว ดูครั้งแรกนึกว่านึกว่าแกะจากงาช้างดูเก่าๆฉ่ำๆ

   เมื่อกราบเรียนสอบถามก็ได้ความว่า นี่คือกุมารทองแกะจากฟันผีตายโหง 1 ตน กุมารทองอีก 2 ตนแกะจากฟันผีตายท้องกลมรายเดียวกัน ตอนนั้นข้าพเจ้ายังสงสัยว่า แบบนี้เป็นผีผู้ใหญ่ แล้วอย่างนี้จะกลายเป็นกุมารทองที่เป็นผีเด็กได้ยังไงกัน

   พระอาจารย์อธิบายเรื่องฟันผีผู้ใหญ่ที่เอามาทำเป็นกุมารทองที่เป็นผีเด็กว่า ให้วิญญาณในบางทีจำแลงเป็นรูปผีเด็ก เพื่อไม่ให้แสดงรูปลักษณ์ขณะตายโหง ซึ่งจะดูดุร้ายจนเกินไป และแบบนี้ไม่ใช่กุมารแท้ เพราะไม่ใช่ผีเด็ก เพียงแต่อาศัยดวงวิญญาณที่ยังหลงอยู่ยังไม่ไปผุดไปเกิด ให้มาเกาะเกี่ยวกับรูปที่ทำเป็นลักษณะกุมารทองเท่านั้น

กุมารทองผงกระดูกผี

   คนแทบทั้งหมดจะนึกว่ากุมารทองที่เป็นตุ๊กตาดินป่าช้าจะต้องมีผงผีผงกระดูก ซึ่งความจริงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะมีทั้งกุมารทองดินป่าช้าที่เป็นดินล้วนๆ กับกุมารทองแบบที่เป็นดินกองฟอนที่เขาเผาศพ และยังเข้าใจผิดอีกว่าผงกระดูกผีนี้คือผงพรายกุมาร

จุดขาวๆที่กระจายคือผงกระดูก

   ผงกุมารทอง ผงพรายกุมาร จะต้องเป็นผงที่ทำมาจากศพลูกกรอกศพเด็ก คำว่า กุมาร ย่อมหมายถึงเด็กอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นผงที่ทำมาจากศพทั่วไปที่ไม่ใช่ศพลูกกรอก จะเรียกเป็นผงกระดูก หรือเรียกว่าผงผี ผงผีพราย ผงพราย จะไม่มีคำว่ากุมารต่อท้าย

   กุมารทองแบบนี้จะใช้ผงกระดูกมาเสกปลุก สื่อเรียกดวงวิญญาณ(ถ้ายังอยู่) แล้วเอามาบรรจุเข้าในรูปตุ๊กตากุมารทอง ผงกระดูกนี้ถ้าเป็นกระดูกศพเด็ก ก็นับเป็นกุมารทองได้ค่อนข้างพอจะเต็มปากได้บ้าง แต่ถ้าเป็นกระดูกผู้ใหญ่ ก็จะคล้ายๆกับกุมารทองฟันผี

   ผงกระดูกผีที่เอามาเสกปลุกเรียกวิญญาณ นับว่าเป็นไสยเวทไสยดำตรงๆ อาจารย์ทางด้านนี้เรียกกันว่าหมอผี ซึ่งไม่ค่อยจะน่าฟังนัก โดยมากจึงเรียกกันแบบเกรงใจว่าอาจารย์นั้นอาจารย์นี้ เท่าที่เคยพบเคยสนทนาก็พอจะจับใจความได้ว่า ที่เอากระดูกผีมาใช้นั้น ก็เพราะหวังใช้อาถรรพ์แรงผีเข้ามาช่วย

   การเอากระดูกผีมาใช้นั้น หมอผีหรืออาจารย์แต่ละท่านก็ใช้แบบรวมๆกันไป ไม่ได้เน้นว่าจะต้องเป็นผีเพศใดวัยใด เพียงต้องการอาถรรพ์แรงผีมาใช้งานเท่านั้น ในข้อนี้ถ้าจะนับเป็นข้อสะดวกในการใช้งานก็นับว่าสะดวกดี เช่น จะทำกุมารทองก็ไม่ต้องรอหาร่างลูกกรอก แค่มีผงกระดูกผีก็เอามาใช้ได้ ถึงจะยังไม่ตรงกับคติกุมารทองนัก ก็ยังปรากฏว่ามีอาจารย์ที่ใช้กระดูกผีทำได้ขลังอยู่เหมือนกัน

กุมารทองใส่ผงกระดูกผีขวดนี้เป็นคราบดำคล้ำ

                                                         

กุมารทองอุดกระดูกผี59ตน

                                                                      

   ข้าพเจ้าเคยรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ผู้ชราท่านหนึ่ง อาจารย์ท่านนี้มีชื่อเสียงในเรื่องวิชาอาถรรพ์ทางภูตผีเป็นอย่างมาก แกเคยเล่าถึงของของขลังของอาถรรพ์ที่แกมั่นใจที่สุดว่า ต้องเป็นแบบที่แกเอากระดูกผีสารพัดวัยหลายๆตนมารวมกัน เพื่อใช้แรงผีช่วยงานในด้านต่างๆ ท่านผู้เฒ่าแกเล่าว่ามีผีเยอะๆมันมั่นใจกว่า เผื่อผีบางตัวฤทธิ์น้อยก็ยังมีผีที่ฤทธิ์ใหญ่ช่วยได้ แล้วปรากฏว่าของขลังของท่านผู้เฒ่านี้ ได้แสดงอาถรรพ์แปลกๆที่สรุปได้ว่า ของขลังของแกนั้นมีแรงผีรวมอยู่ด้วยจริงๆ

กุมารทองอุดกระดูกผี59ตน

   ความขลังของกุมารทองยังอยู่ที่ผู้เสกปลุกกุมารทองด้วย ข้อนี้สำคัญมาก กุมารทองที่มีผีมีภูตพรายที่เสกปลุกมาขลังมากๆนั้น ถ้าถึงวาระที่ดวงวิญญาณจะไปเกิด จะมีสิ่งบอกเหตุคือ รูปลักษณ์ของกุมารทองจะแตกหักเสียหายไป โบราณท่านให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศล แล้วเอารูปกุมารทองนั้นลอยไปกับน้ำ

   เท่าที่เล่ามานี้ ล้วนเป็นกุมารทองแบบที่เกี่ยวข้องกับผีโดยตรง ต่อไปจะเล่าถึงกุมารทองที่ไม่ใช้ชิ้นส่วนของศพหรือผี

2. กุมารทองที่ไม่ใช้ผี หรือ กุมารทองวิทยาคม

   กุมารทองแบบที่ไม่มีผีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนี้ นับว่ามีการสร้างขึ้นมาอย่างมากมายที่สุด พบเห็นกันได้ทั่วไป แต่ในปัจจุบันส่วนมากแค่หวังขายรูปลักษณ์ความเป็นกุมารทองเพียงเท่านั้น

   โบราณจารย์ท่านกำหนดตำรับกุมารทองแบบที่ไม่มีแรงภูตผีเอาไว้ แต่ทั้งๆที่ไม่มีเรื่องภูตผีปีศาจดวงวิญญาณเข้ามาผสม พระอาจารย์ท่านกลับสามารถทำให้มีคุณวิเศษแฝงอยู่ ราวกับมีดวงวิญญาณคอยช่วยด้วย เรื่องนี้ออกจะเข้าใจได้ยากสักหน่อย ข้าพเจ้าผู้เขียนเองตอนยังเป็นวัยรุ่น ก็ไม่เชื่อว่ากุมารทองแบบไม่มีผีมันจะขลังได้ ยังนึกเข้าใจว่า กุมารทองที่ดังๆของหลายหลวงปู่หลวงพ่อในยุคนั้น ต้องเป็นกุมารทองแบบมีผี ภายหลังถึงได้รู้ว่าเข้าใจผิด เพราะหลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านบอกเองว่า... “กุมารทองของข้าไม่ใช้ผี”

   หลวงปู่หลวงพ่อหลายรูปที่ท่านเคยทำกุมารทองแบบดิน 7 ป่าช้า ท่านเคยเล่าตรงกันว่า ท่านใช้แค่ดินที่อยู่ภายในบริเวณป่าช้าเท่านั้น ไม่ได้ใช้ดินที่มีเถ้ากระดูก ไม่ได้ใช้ดินตรงจุดที่เผาศพหรือฝังศพ แต่พวกลูกศิษย์เขาเข้าใจกันไปเองว่าเป็นดินผสมผี แถมยังมีคนไปเล่าถึงตำรับของท่านว่า ต้องผสมกระดูกบ้าง น้ำมันพรายบ้าง ซึ่งท่านว่าท่านไม่เคยทำเลย

   หลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือท่านเสกปลุกกุมารทองได้ขลังมาก กุมารทองของท่านในสมัยแรกๆที่ท่านยังร้อนวิชา ก็เป็นพวกกุมารทองภูตพราย ต่อมาท่านเสกปลุกแต่พวกกุมารที่ไม่ใช้แรงภูตผีพรายอะไร ท่านแค่เสกปลุกตุ๊กตากุมารทองที่ทำมาจากวัสดุสารพัด ทั้งไม้แกะสลัก งาช้าง เขี้ยวสัตว์ ดนปั้น ปูนหล่อ พลาสติก เซรามิก เรซิ่น แม้กระทั่งผ้าขนหนูผืนเล็ก ก็ปรากฏว่าขลังมากๆ พอกราบเรียนสอบถามก็ได้ความว่า เสกให้เป็นกุมารทองหุ่นพยนต์ กุมารทองที่เป็นพยนต์มันอยู่ได้คงทนถาวรว่าแบบกุมารผีๆ เพราะกุมารทองแรงภูตพรายนั้น เขามีเวลาที่จะต้องจุติไปปฏิสนธิในภพอื่นตามวาระ ถ้าทำให้เป็นกุมารทองแรงภูตพรายผี ก็จะใช้ได้แค่ช่วงที่ดวงวิญญาณของเขายังไม่ไปเกิด พอไปเกิดแล้วก็หมดฤทธิ์ หลวงพ่อท่านจึงทำเป็นกุมารทองหุ่นพยนต์

   กุมารทองแบบนี้ถ้าเรียกให้เหมาะสมก็ต้องเรียกว่า กุมารทองมงคล เพราะไม่มีซากศพซึ่งนับเป็นอวมงคลเข้าไปผสมเลย จะใช้วิทยาคมล้วนๆ จะเรียกให้เข้าใจก็คือ เป็นกุมารทองหุ่นพยนต์

ร่างกุมารทอง

    เนื่องจากกุมารทองแบบนี้ไม่ได้ใช้ศพลูกกรอก จึงต้องใช้วัสดุต่างๆที่เห็นว่าดีเอามาทำรูปสมมติเป็นร่างกุมารทองขึ้นมาก่อน จะไม่ใช้ส่วนผสมใดๆของซากศพ กุมารทองแบบ จะมีแบบ แกะสลัก แบบปั้น แบบหล่อโลหะ แบบวาดรูปยันต์

แบบแกะสลัก   

   การสร้างกุมารทองมงคลจะสร้างร่างของกุมารทองด้วยวัสดุต่างๆที่หาได้ตามตำรา มีทั้งแกะด้วยไม้ ว่าน งาช้าง เขี้ยว หล่อด้วยโลหะ ปั้นด้วยดิน แต่ที่พบมากมักจะใช้วิธีแกะสลักด้วยไม้ โดยจะใช้ไม้ที่มีมงคลนามเป็นหลัก เช่น ไม้สัก ไม้ขนุน ไม้รัก ไม้คูณ บางคติให้ใช้เป็นไม้ตายพราย ซึ่งหมายถึงต้นไม้ที่ยืนต้นตายไปเอง ที่พบมากที่สุดมักจะใช้ไม้มะยมตายพราย ไม้รักซ้อนตายพราย

กุมารทองแกะจากไม้รักซ้อน



กุมารทองแกะจากไม้มะยมตายพราย

   คติที่ใช้ไม้ตายพรายเอามาแกะเป็นตุ๊กตากุมารทอง บางที่มีความเชื่อก้ำกึ่งไปในทางเชื่อว่ามีแรงผีผสมด้วย เรื่องนี้จะกล่าวแยกในส่วนเรื่องคติของกุมารทองแบบกึ่งภูตผี ในที่นี้จะเล่าถึงการใช้ไม้ตายพรายแบบเป็นวัสดุธรรมชาติเท่านั้น

   ถ้าเป็นร่างกุมารที่แกะด้วยไม้ ส่วนมากจะใช้ไม้ที่มีมงคลนาม เช่น ไม้สัก ไม้ขนุน ไม้รัก ไม้คูณ ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้โพธิ์ ไม้มะยม แต่เฉพาะไม้มะยมนั้นมีคติแยกไป 2 ทาง คือ คติแรกว่า มะยมคือมหานิยม ส่วนอีกคติว่าจะดุเกินไป เพราะไปมุ่งคำว่ายมให้อิงกับ ยมราช

   เท่าที่เคยเห็นตำรากุมารทองแบบดั้งเดิม พบว่ามักให้แกะเป็นรูปเด็กหัวจุก หัวแกละ แต่แบบเด็กหัวจุกจะกล่าวถึงมากกว่า การแกะรูปร่างท่าทางพบว่าเป็น ท่านั่งขัดสมาธิพนมมือ ขัดสมาธิยกมือขึ้นสองมือ ท่ายืนกำหมัด ยืนพนมมือ ยืนเท้าเอว ต่อมาในยุคหลังๆจึงมีแบบยืนถือถุงเงินถุงทอง ถืออาวุธ

กุมารทองแกะจากไม้รักซ้อน

   ขนาดของกุมารทองที่แกะไว้ จะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ว่าจะใช้พกติดตัว หรือใช้ตั้งบูชา จึงพบว่ากุมารทองที่แกะด้วยไม้จะมีขนาดตั้งแต่เล็กจนใส่ในขวดเล็กๆได้ มีไปจนถึงขนาดหน้าตักเกินกว่า 5 นิ้วฟุต และมีที่แกะเป็นกุมารยืนสูงถึง 1 ศอก(0.5เมตร) แต่ในยุคปัจจุบันนี้ กุมารทองยุคใหม่มีการทำไว้ใหญ่ขนาดเป็นเมตรกันแล้ว

แบบปั้น 

   กุมารทองแบบปั้นนี้มีทั้งปั้นด้วยดินและปั้นปูน ปูนหล่อ แต่จะพบแบบที่ปั้นด้วยดินมากกว่า จะพบเป็นขนาดตั้งบูชามากกว่าแบบที่เป็นตัวเล็กๆ

   ตามตำราจะบอกว่าให้หาส่วนผสมที่เป็นดินแบบต่างๆมารวมกันแล้วค่อยปั้น หลายๆตำราจะบอกคล้ายๆกัน จะมีแตกต่างบ้างก็เพียงเล็กน้อย โดยรวมแล้วส่วนผสมจะเป็นไปในทำนองเดียวกัน คือ

   ให้หาดินโป่ง ดินป่า ดินยอดเขา ดินกลางนา ดินขุยปู ดินป่าช้า ฯลฯ ข้อที่เป็นดินป่าช้านี้ยังแยกเป็น 2 คติว่า มีผี และ ไม่มีผี ในที่นี้หมายถึงแบบที่ไม่มีผี 

 

ภาพอินเทอร์เน็ต กุมารทองหลวงพ่อเต๋เนื้อปูนผสมดินป่าช้า

                                                           

   เรื่องดินป่าช้าที่มี 2 คติ คือมีผีกับไม่มีผีนั้น สมัยก่อนข้าพเจ้าก็งงว่า มันจะไม่มีผีได้ไง เพราะป่าช้านั้นใครๆเขาก็รู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีทั้งนั้น กว่าที่จะทราบต้นสายปลายเหตุก็ผ่านไปหลายปี ตอนที่ได้รู้สาเหตุเรื่องนี้ก็อึ้งไปเหมือนกัน และคิดคล้อยตามคนโบราณว่าท่านมีความเห็นเข้าทีดีจริงๆ...เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คือ

   คติที่ว่าดินป่าช้าที่เอามาใช้ทำร่างกุมารทองนั้นไม่มีผีเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นเพราะมุ่งเอาดินที่อยู่ในเขตป่าช้าเท่านั้น ไม่ใช่ไปเอาดินที่มีเศษกระดูกผีปนอยู่ และที่แปลกมากแถมคนทั่วไปไม่ค่อยรู้ก็คือ ถือกันว่าดินป่าช้าเป็นดินมงคล(เฉพาะดินที่ไม่มีผงเถ้ากระดูกปนมา) เพราะไม่ว่าจะยากดีมีจนชนชั้นไหน เมื่อมาถึงเขตป่าช้าแล้วย่อมเท่าเทียมกัน

   สำหรับดินที่เป็นส่วนผสมที่หามาได้นั้น เอาแค่ผสมลงไปในดินปั้น ไม่ใช่ว่าเอามาใช้ปั้นล้วนๆ ขืนใช้ทั้ง 100% รับรองว่าปั้นเสร็จไม่นาน ตัวกุมารจะแตกร้าวแน่ๆ ข้อนี้เปรียบเทียบได้ง่ายๆกับการผสมปูนฉาบ ที่พอใช้ปูนฉาบที่ใส่ทรายใส่น้ำผิดส่วน ผิวปูนที่ฉาบจะพังในเร็ววัน

   ดินส่วนผสมตามตำราถ้าได้มามาก ก็มักจะใช้บรรจุเข้าไปใต้ฐานรูปปั้นนั้นๆ

แบบหล่อโลหะ 

   ในสมัยโบราณการหล่อโลหะเป็นเรื่องยุ่งยาก มักจะใช้หล่องานใหญ่หรือรูปเคารพทางศานสนาเป็นหลัก ส่วนที่เอามาหล่อเป็นเครื่องรางของขลังนั้นมีน้อยกว่ามาก ยิ่งถ้าเป็นกุมารทองที่หล่อในสมัยโบราณด้วยแล้วยิ่งพบน้อย บางทีพบแล้วยังไม่ชี้ชัดว่าใช่กุมารทองหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องประดับเครื่องตกแต่ง หรือเป็นเพียงตุ๊กตาของเล่นของชนชั้นสูง

กุมารทองโลหะผสม

                                                                             

   เท่าที่เคยพบกุมารทองแบบหล่อโลหะของสมัยโบราณนั้น แทบทั้งหมดพบเป็นกุมารหล่อด้วยตะกั่วและเนื้อผสมที่เรียกว่าเนื้อชิน ส่วนพวกโลหะทองเหลืองทองแดงพบน้อยมาก กุมารทองที่เป็นโลหะหล่อมาสวยๆจะเป็นกุมารทองของยุควงการพระเครื่องที่เฟื่องฟูเมื่อไม่กี่สิบปีมานี่เอง

   การที่จะหล่อกุมารทองที่ทำด้วยโลหะ ในสมัยโบราณต้องลงอักขระเลขยันต์ลงในแผ่นโลหะก่อน แล้วทำไปหล่อหลอมให้เป็นรูปร่างตุ๊กตากุมารทอง ยันต์ที่ใช้ทำร่างก็จะเป็นพวก อาการสามสิบสอง ธาตุทั้งสี่ ยันต์เรียกจิต เรียกลาภต่างๆ ยันต์คุ้มภัย บางตำราทำเป็นปถมังแบบหนึ่ง บางตำราก็เป็นยันต์รูปกุมารทอง

กุมารทองที่เป็นรูปยันต์

   กุมารทองแบบที่เป็นรูปยันต์จะไม่ค่อยพบเห็นกัน สาเหตุน่าจะมาจากการที่ทำเป็นทำนองผ้ายันต์นั้น ความที่ใช้วัสดุเป็นผ้า จึงมีสภาพชำรุดฉีกขาดได้ง่าย บางทีก็พับผ้าเก็บไว้จนลืมไปถึงรุ่นลูกหลาน เท่ากับว่ากุมารทองแบบนี้สูญหายง่ายที่สุด

ผ้ายันต์กุมารทอง

                                                                             

3.กุมารทองกึ่งภูตผี

   ยังมีกุมารทองอีกแบบหนึ่งที่เหมือนกับใช้ภูตผีด้วย ในขณะเดียวกันก็มองว่าไม่ได้ใช้ภูตผี มันก้ำๆกึ่งๆกันอยู่ คือ ถ้ามองว่าใช้ภูตผีด้วยก็เพราะการสร้างกุมารทองมีส่วนที่คล้ายอิงกับดวงวิญญาณหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ แต่ไม่มีชิ้นส่วนศพ ส่วนการมองว่าไม่มีภูตผีเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เพราะไม่ได้ผสมกับซากศพกระดูกผีอะไรเลย แค่เฉียดๆอาถรรพ์หรือเฉียดๆดวงวิญญาณเท่านั้น

   จะเล่าเรื่องกุมารทองชนิดนี้มันค่อนข้างยาก เพราะมันครึ่งๆกลางๆไม่ชี้ชัด ข้าพเจ้าจะพยายามเล่าให้ฟังให้ง่ายเท่าที่จะเป็นไปได้ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้

   กุมารทองแบบนี้ใช้ความเชื่อเรื่องอาถรรพ์วิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ไม่มีความเป็นซากศพไม่มีชิ้นส่วนศพผสมไว้ในร่างกุมารทองเลย ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างตำราทำกุมารทองแบบนี้มาเล่าสู่กันฟัง แล้วลองพิจารณา

   ตำราสร้างกุมารทองของต้นรัตนโกสินทร์ตำรับหนึ่งมีความว่า....ให้ขุดหลุมเข้าหลุมหนึ่ง แล้วเอาหัวกระโหลกผีตาย หรือกระดูกผีใส่ไว้ที่ก้นหลุม แล้วกลบดินปลูกต้นทองหลางเหนือหลุมนั้น ให้เสกน้ำมนต์รดต้นทองหลางทุกวัน รอจนต้นทองหลางนั้นโตพอจะแกะเป็นรูปกุมารทองได้ ก็ตัดไม้ทองหลางนั้น เอามาแกะเป็นรูปเด็กหัวจุก เสกด้วยคาถาเป็นกุมารทองฯ

   อีกตำราคล้ายกันว่า....ให้เอากระดูกผีตายโหงตายพรายใส่ไว้ก้นกระถาง เอาดินใส่แล้วปลูกต้นรักซ้อนที่กระถางนั้น ให้เสกน้ำรดต้นรักซ้อนทุกวัน แล้วตัดไม้รักซ้อนนั้นเอามาแกะเป็นรูปเด็กหัวจุกหัวแกละ เป็นกุมารทอง

   จะเห็นว่าไม่มีการใช้ชิ้นส่วนซากศพเอามาผสมในร่างกุมารทองที่ทำขึ้นมาเลย แต่ใช้ต้นไม้ที่ปลูกคล่อมทับกระดูกผี แล้วการรดน้ำถึงจะทำให้ดินและกระดูกเปียกน้ำ รากต้นไม้ก็แค่ดูดน้ำมาเลี้ยงลำต้น ไม่ใช่ดูดกระดูก พอต้นไม้โตพอที่จะตัดเอามาแกะเป็นร่างกุมารทองได้ ก็ตัดเอามาใช้ ลักษณะนี้เป็นการอิงอาถรรพ์เท่านั้น

   อีกตำราหนึ่ง จะแปลกเหมือนเจอภูตพรายในตำนาน หรือเหมือนมโนคิดไปเองก็ได้ คือ

ปลีกล้วยตานี

   ให้ไปเกี้ยวพาราสีกับต้นกล้วยตานี เกี้ยวไปจนกว่านางพรายตานีจะออกมาหา เมื่อเกี้ยวจนนางพรายตานี้รักแล้ว ให้เอานางพรายตานีทำเมียไปจนกว่าจะมีลูก คือ ให้ไปกอดเล้าโลมต้นกล้วยตานี แสดงอาการเหมือนร่วมเพศกับผู้หญิง ให้ทำอย่างนี้ทุกวันไป จนกว่าต้นกล้วยตานีนั้นออกเครือ จากนั้นจึงค่อยขอเครือกล้วยปลีกล้วยจากนางพรายตานี เอาเครือนั้นไปทำเป็นกุมารทอง

   ยังมีที่ใช้วิธีจีบนางพรายตานีเอามาทำเมีย จนต้นกล้วยตานีออกเครือ แต่ให้รอจนกลายเป็นหวีกล้วย แล้วเอาเมล็ดกล้วยตานีนั้นมาผสมดินปั้นเป็นกุมารทอง

   กุมารทองตามแบบที่เล่ามานี้ ไม่ได้ใช้ชิ้นส่วนซากศพมาบดมาผสมปั้นเป็นร่างกุมารทองแต่อย่างไร มันแค่เฉียดๆเกือบจะใช้ ยิ่งแบบที่ไปจีบนางพรายตานีนั้น ยิ่งไม่เกี่ยวกับซากศพใดๆทั้งสิ้น เหมือนกับอิงอาถรรพ์ภูตพราย(ถ้ามี)

4.กุมารทองวิทยาคมผนวกภูตผี

   หลายๆท่านอาจจะนึกไม่ถึงว่า จะมีกุมารทองอะไรที่มีแบบนี้ด้วย แต่มีจริงๆมีมานานแสนนานแล้ว เพียงแค่เรานึกไม่ถึงเท่านั้น แม้ขนาดท่านอาจารย์ที่เคยรู้เรื่องกุมารทองนั้น บางทีก็ยังมองข้ามไปเหมือนเส้นผมบังภูเขา บางทีท่านอาจารย์ก็มีความสามารถสร้างกุมารทองแบบนี้ได้ แต่ไม่เคยรู้ตำราแบบนี้ ไม่เคยได้ยินว่าโบราณจารย์ท่านมีสร้างไว้แบบนี้ ถ้าพูดแบบภาษาวิทยายุทธ ก็ประมาณว่า ไม่รู้เคล็ดวิชา

   กุมารทองที่ผนวกไว้ทั้งวิทยาคมและภูตผีนี้ หลายท่านอาจคิดเย้ยหยันว่า นี่มันก็แค่ลีลาภาษาเขียนให้มันโก้ๆ ก็การสร้างกุมารทองทุกแบบมันต้องเสกปลุกด้วยคาถาต่างๆอยู่แล้ว มันก็เป็นการใช้วิทยาคมชัดๆ แล้วจะมาว่ามีประเภทกุมารทองที่ใช้ทั้งวิทยาคมและใช้ทั้งผีอีกได้ไง ข้อนี้จะขอเล่าให้ฟังตามที่ได้เคยพบมา เรื่องราวเป็นดังต่อไปนี้

   การสร้างกุมารทองที่ใช้ภูตผีเป็นตัวหลักนั้น จะเป็นการอาศัยแรงภูตผีของดวงวิญญาณ ที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนซากศพที่เอามาทำกุมารทอง พูดง่ายๆก็คือใช้ผีกุมารทองตนนั้นๆ ให้มาช่วยตามที่เราต้องการว่าให้ช่วยเรื่องอะไร กุมารทองที่เฮี้ยนๆย่อมแสดงฤทธิ์ช่วย เพราะดวงวิญญาณยังอยู่ยังรับรู้ยังรับการเซ่นไหว้ได้

   แต่...ถ้าดวงวิญญาณกุมารทองตนนั้นได้เวลาไปเกิดในภพภูมิใหม่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือร่างของกุมารทองจะเหลือแต่ร่างเปล่าๆ เหลือแค่ซากศพชิ้นส่วนศพ ดังนั้นจึงไม่เหลือคุณวิเศษอะไรไว้เลย หรือเรียกว่ากุมารทองตนนั้นเสื่อมไปแล้ว

   โบราณจารย์ท่านใช้วิธีเสกร่างกุมารทอง ที่ทำจากวัสดุต่างๆ เช่น ไม้ ดินปั้น ปูนปั้น โลหะหล่อ ว่าน โดยเสกให้เป็นหุ่นพยนต์สำทับเอาไว้ด้วย คือ เสกร่างที่ปั้นแกะขึ้นมาให้เป็นหุ่นพยนต์ ซึ่งตรงนี้เป็นวิทยาคมล้วนๆ และเสกปลุกในส่วนที่เป็นชิ้นส่วนศพเรียกวิญญาณผูกเอาไว้อย่างหนึ่ง

   กุมารทองแบบที่เป็นทั้งหุ่นพยนต์และมีแรงภูตผีรวมอยู่ด้วยนี้ ปกติแล้วเราแทบไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นประเภทนี้หรือไม่ เพราะกุมารทองอาจเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น สุดแต่ท่านผู้เสกปลุกจะเสกแบบไหน

   การเสกกุมารทองให้เป็นทั้งหุ่นพนต์และมีแรงภูตพรายประกอบไปด้วยก็พราะว่า เมื่อดวงวิญญาณกุมารทองถึงเวลาที่ต้องไปเกิด ก็ยังจะเหลือร่างกุมารทองที่มีความเป็นหุ่นพยนต์ ทำให้ยังมีประโยชน์ต่อไปได้ แต่โบราณท่านให้เอาส่วนที่เป็นชิ้นส่วนศพหรือกระดูกนั้นไปลอยอังคารเสียก่อน ให้เหลือแต่ตุ๊กตากุมารทอง

   ถึงกุมารทองแบบนี้จะใช้ได้ต่อไปแม้ไม่มีดวงวิญญาณแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าดวงวิญญาณกุมารทองไปเกิด เราจะรู้ได้อย่างไรว่ากุมารทองตนนี้เสกปลุกด้วยวิธีนี้ และจะรู้ได้อย่างไรว่าอาจารย์ผู้เสกจะเสกปลุกด้วยวิธีนี้ได้จริง นี่คือข้อเสีย

   เท่าที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น จัดว่าเป็นประเภทของกุมารทองหลักๆของไทยเรา นิยมสร้างกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ

กุมารทองทำจากเรซื่น

 กุมารทองแบบพระเครื่อง

  นอกจากกุมารทองตามแบบที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีกุมารทองอีกแบบหนึ่งที่ทำมาในแบบคล้ายๆพระเครื่อง โดยสร้างขึ้นมาตามวิธีการสร้างกุมารทองทั้ง 4 แบบที่ได้เล่าไว้  ข้าพเจ้าจึงไม่แยกว่าเป็นชนิดกุมารทองพระเครื่อง เพราะมีสร้างไว้ในชนิดของกุมารทองทั้ง 4 ประเภทที่ได้เล่ามาข้างต้น

   กุมารทองแบบพระเครื่องมีสร้างกันมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.2500 ส่วนมาสร้างเป็นแบบอิงกับพระเครื่องที่เรียกว่า พระขุนแผนกุมารทอง ซึ่งมีการสร้างมากที่สุด มากกว่าที่ทำเป็นรูปกุมารทองเพียงอย่างเดียว




พระขุนแผนกุมารทองหลวงพ่อฑูรย์วัดโพธินิมิตร พ.ศ.2495

                                          


พระขุนแผนกุมารทองพ่อท่านแก่นวัดทุ่งหล่อ

                                                            

   พระขุนแผนกุมารทองจะทำเป็นพระเครื่องแบบพระนั่งอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้ว ด้านล่างจะเป็นรูปกุมารทองตัวเล็ก บางทีรูปพระอยู่ด้านหน้า กุมารทองอยู่ด้านหลัง แต่ถ้าเป็นแบบกุมารทองเพียงอย่างเดียว จะนิยมทำเป็นรูปหล่อโลหะมากกว่าแบบที่เป็นดินหรือผงปูน เพราะแบบดินแบบผงนั้นแตกหักได้

กุมารทองโลหะ



กุมารทองเนื้อปูนผสมผง

 การเสกปลุกกุมารทอง

   ในการสร้างร่างกุมารทองแบบโบราณตามที่เล่ามาข้างต้น  หมายถึงเป็นการทำร่างที่สมมติให้เป็น “รูป” เพื่อเอา “จิต” ของกุมารทองเข้ามาใส่ไว้ หรือให้รูปนี้เป็นสื่อถึงจิตเจตสิกที่เป็นฤทธานุภาพของกุมารทอง จากนั้นจึงสำทับด้วยการเสกปลุกด้วยอำนาจสมาธิจิตของท่านผู้เสกปลุก พูดมาอย่างนี้คงเข้าใจอยากสักหน่อย ข้าพเจ้าจะลองหาวิธียกตัวอย่างเปรียบเทียบดู ก็ประมาณนี้

   ถ้าร่างกุมารทองที่สร้างขึ้นมาเพื่อสมมติให้เป็นรูปของกุมารทองนั้น เรายกตัวอย่างมาเปรียบให้เป็นปืนกระบอกหนึ่ง

   ตอนที่ทำร่างแบบทั้งที่มีชิ้นส่วนศพชิ้นส่วนกระดูก ความแรงหรือเฮี้ยนของร่าง พวกชิ้นศพชิ้นกระดูกย่อมเป็นส่วนสำคัญ ร่างกุมารทองที่มีชิ้นส่วนศพกระดูก ก็มีแนวโน้มว่าน่าจะรองรับแรงผีเจ้าของกระดูกได้ดี ก็เหมือนตัวปืนที่ทำจากโลหะเกรดต่างกันคุณภาพของตัวปืนย่อมต่างกัน ปืนชั้นดีก็ต้องใช้เหล็กเกรดดีๆปืนจึงมีแนวโน้มว่าน่าจะดี...นี่คือเปรียบกับร่างกุมารทองที่ยังเป็นร่างเปล่า และตัวปืนเปล่าๆ

   ทีนี้เปรียบเทียบว่าดวงวิญญาณที่มาเป็นกุมารทองเปรียบเป็นลูกปืนลูกกระสุน ถ้าดวงวิญญาณตนนั้นมีแรงอาถรรพ์แรงผีมากหรือน้อย อำนาจผีแรงเฮี้ยนก็มากน้อยตามนั้น ก็เปรียบเป็นหัวลูกกระสุนปืนที่มีขนาดใหญ่เล็ก ถ้าขนาดต่างกันความรุนแรงของการเจาะทะลวงก็ต่างกัน และเป็นหัวตะกั่วหรือทองแดงก็มีอำนาจต่างกัน

   ทีนี้มีกระบอกปืนและหัวกระสุนปืนแล้ว แต่แค่นี้มันยังยิงไม่ได้ มันต้องจุดระเบิดที่ดินขับ เพื่อให้เกิดแรงอัดดันหัวกระสุนออกไป ดินระเบิดดีแรงระเบิดก็ยิ่งแรง เปรียบเทียบการจุดระเบิดหรือยิงเป็นอำนาจจิตของผู้เสกปลุก ถ้าท่านผู้เสกมีอำนาจจิตแก่กล้า ก็เสกร่างกุมารทองแล้วเรียกดวงจิตมาให้ยึดโยงกับร่างกุมารทองได้มาก และคาถาอาคมที่เสกกำกับยังเหมือนกับเป็น option หรือ item ให้กุมารทองนั้นมีฤทธิ์มากยิ่งขึ้น

   เท่าที่ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ตอนนี้นึกออกแค่นี้ น่าจะเป็นแนวทางให้คิดพิจารณาถึงความขลังของกุมารทองที่แตกต่างกันได้บ้าง

    การที่กุมารทองจะขลังมากขลังน้อย ต้องประกอบด้วยท่านผู้เสกปลุกว่าจะมีสมาธิจิตมีวิทยาคมขลังเพียงใด ถ้ากุมารทองขลังได้เพราะแรงผีเพียงอย่างเดียว แบบนี้มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ก็ต้องสร้างกุมารทองเองได้ อย่างนี้ถ้าใครอยากได้กุมารทอง ก็แค่เอาชิ้นส่วนศพเด็กชิ้นส่วนกระดูก เอามาทำกุมารทองกันเอง ก็ต้องสร้างกุมารทองได้ขลังเหมือนๆกันทุกคน แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะอำนาจจิตของคนย่อมไม่เท่ากัน

   ระหว่างท่านที่ฝึกจิตกับไม่ได้ฝึกจิต พลังจิตย่อมไม่เท่ากัน และแม้กระทั่งในระหว่างผู้ฝึกจิตฝึกสมาธิวิทยาคม ก็ยังมีอำนาจจิตที่แก่กล้าไม่เท่ากัน การเสกปลุกกุมารทองด้วยวิชาเดียวกันของแต่ละท่าน จึงขลังไม่เท่ากัน


   การเสกปลุกกุมารทองตามตำรับโบราณ ทุกตำรับต่างก็มีขั้นตอนการเสกปลุกไปในทำนองเดียวกัน คาถาที่ใช้เสกอาจมีมากน้อยต่างกัน แต่ขั้นตอนแบบเดียวกัน คือ ต้องเรียกนาม เรียกจิตเจตสิกกุมารทองขึ้นมา แล้วเสกขันธ์ 5 เสกอาการ 32 เสกหัวใจ ต้องมีขั้นตอนนี้ทั้งนั้น แล้วจึงค่อยเสกคาถาเฉพาะตัวกุมารทอง เช่น เอหิตาตะ สุวัณณะปิยะปุตตะฯลฯ เสกคาถาอื่นๆที่กำหนดของตำรับนั้นๆ เสกธาตุ แล้วปลุกกุมารทองขึ้นมาให้เรืองฤทธิ์คะนองเดช

   เท่าที่เล่ามาเป็นตำรับกุมารทองยุคโบราณที่ทำกันมาแบบดั้งเดิม ที่ร่างกุมารทองยังเป็นลูกกรอกแท้ๆทั้งตัว รวมทั้งแบบที่เป็นไม้แกะ งาช้าง เขี้ยว ว่าน ดินปั้น ปูนปั้น หล่อโลหะแบบง่ายๆ ต่อมาการสร้างตุ๊กตากุมารทองในช่วงใกล้ๆ พ.ศ.2500 เล็กน้อย ก็เริ่มมีการทำรูปตุ๊กตากุมารทองให้สวยงามขึ้นและทำง่ายขึ้นด้วยวัสดุแบบใหม่ๆเช่น ปูนพลาสเตอร์ ต่อมาก็เริ่มมีการใช้พลาสติก จนกระทั่งเป็นตุ๊กตาเรชิ่นในปัจจุบัน

กุมารทองยุคใหม่

   กุมารทองยุคใหม่ในทีนี้ เป็นมุมมองของข้าพเจ้าที่เป็นคนวัยหลังเกษียณ ถ้านับเฉพาะช่วงเวลาที่สะสมวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง หรือที่เรียกรวมๆว่า “เล่นพระ” ก็นับได้ราวๆสัก 50ปีนิดๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ได้เคยเช่าบูชาซื้อหาวัตถุมงคลต่างๆมาโดยตลอด ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของแวดวงวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง ว่าหลายเรื่องหลายอย่างเปลี่ยนไป

กุมารทองปูนพลาสเตอร์เพ้นท์สี


   ท่านที่เป็นนักนิยมสะสมวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง ที่มีอายุวัยหลังเกษียณอย่างข้าพเจ้า จะต้องรู้สึกได้ว่า การสร้างวัตถุมงคลของขลังต่างๆนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก มันเห็นได้ชัดว่ามีการดัดแปลงให้สร้างได้ง่ายขึ้นบ้าง หรือมีวิธีการแปลกๆต่างไปจากที่ในสมัยโบราณไม่มี และยังมีคติกุมารทองที่สมัยโบราณไม่เคยพูดถึง

       คำว่า กุมารทองยุคใหม่ ข้าพเจ้าขอยกเวลาตั้งแต่ช่วงฉลองรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี หรือที่เรียกกันว่า 200ปีกรุงเทพฯ พ.ศ.2525 ถ้านับถึงปีนี้ก็ปาเข้าไปนานถึง 40 ปีแล้ว แต่ข้าพเจ้าขอเรียกว่ากุมารทองยุคใหม่ เพราะกุมารทองแบบดั้งเดิมของไทยมีการสร้างมาหลายร้อยปี หรืออาจจะเป็นพันๆปีแล้ว ส่วนกุมารทองที่สร้างกันในช่วงหลัง 200ปีกรุงเทพฯนั้น เริ่มใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ใช้วัสดุยุคใหม่ สร้างแบบเน้นเชิงพาณิชย์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และที่ย่ำแย่คือ การสร้างกุมารทองยุคใหม่นั้น ผู้รู้วิชาเสกปลุกได้ขลังเหลือน้อยมาก เพราะหลวงปู่หลวงพ่ออาจารย์รุ่นใหญ่ๆท่านทยอยมรณภาพทยอยถึงแก่กรรมไปมาก

หุ่นต้นแบบกุมารทองปั้นด้วยขี้ผึ้งหรือแว๊กซ์

                                                               

   กุมารทองยุคใหม่นิยมสร้างด้วยวัสดุเรซิ่น ยางซิลิโคน โลหะ และที่แปลกสุดๆคือ ขณะที่เป็นยุคใหม่ยุคดิจิตอลแล้ว แต่กลับมีผู้ชอบอ้างว่าสร้างกุมารทองด้วยซากศพ แล้วไม่ต้องกลัวผี เพราะเสกให้ผีกลายเป็นเทพได้ กลายเป็นว่ามีบรรดาคนธรรมดาๆนี่แหละ แต่อ้างว่าสามารถเสกเลื่อนสถานะเลื่อนยศให้ภูตผีปีศาจกลายเป็นเทวดาได้ หรือหลายครั้งจะได้ยินโฆษณาว่า เสกอิฐหินดินทรายโลหะต่างๆให้มีจิตมีใจมีชีวิตได้ ประมาณว่าสามารถสร้างดวงวิญญาณหรือสิ่งมีชีวิตขึ้นมาเองได้ หรืออ้างว่าสามารถเรียกเทวดามาบรรจุในตุ๊กตาได้ แบบนี้ยังกับเป็นพระเจ้าสร้างโลกซะงั้น

กุมารทองเรซิ่น

   การสร้างกุมารทองในยุคใหม่นี้ ชอบที่จะทำให้กุมารมีลักษณะท่าทางหลายหลากกว่าของดั้งเดิม เช่น ถืออาวุธ มีงูมีนาคอยู่บนตัว ขี่สัตว์ต่างๆ หรือมีอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน หลายท่าทาง

กุมารทองเรซิ่น

  อย่างไรก็ตาม เมืองไทยเราไม่เคยขาดหลวงปู่หลวงพ่ออาจารย์ที่ดีๆ ถึงแม้ยุคนี้จะมีท่านผู้รู้วิชาน้อยลงไปมาก แต่ก็ยังพอมีอยู่ กุมารทองที่เสกปลุกมาดีถึงจะหาได้ยาก ก็ยังพอจะหาได้ โดยมากนักนิยมเครื่องรางของขลัง จะเน้นหากุมารทองของพระอาจารย์รุ่นเก่าๆก่อน แล้วจึงค่อยดูของรุ่นลูกศิษย์ที่สืบทอดสายวิชาลงมา แบบนี้ยังพอมีลุ้นว่ากุมารทองรุ่นใหม่ๆพอจะขลังอยู่

การบูชาหรือเลี้ยงกุมารทอง

   เรื่องการบูชากุมารทองจะว่าไปก็แล้ว มันค่อนข้างใช้คำไม่ถูกต้อง คือ คำว่าบูชานั้นยังไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะการบูชาหมายถึงการที่เราเคารพนอบน้อมต่อสิ่งใดๆ เช่น บูชาพระพุทธรูป บูชาเทพ แต่สำหรับกุมารทองนั้นเราเอากุมาทองมาเลี้ยงไว้ สถานะจึงคล้ายเลี้ยงน้องเลี้ยงลูกมากกว่า ข้าพเจ้าเคยคุยกับผู้เฒ่าท่านหนึ่งเรื่องกุมารทองของแก แกว่าแกไม่ไหว้กุมารทอง เพราะมันเป็นทาสของแก...แบบแกนี้อย่างโหดเลย แต่มันก็จริงที่แกพูดอยู่เหมือนกัน

   การบูชากุมารทองน่าจะเป็นการเลี้ยงกุมารทองมากกว่า ตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กก็ได้ยินแต่ว่า คนโน้นคนนี้บ้านโน้นบ้านนี้ เขาเลี้ยงกุมารทอง ไม่เคยได้ยินใครพูดว่า บูชากุมารทอง

   นับแต่โบราณการเลี้ยงกุมารทองก็เหมือนการให้เครื่องเซ่น แต่คำว่า เครื่องเซ่น การเซ่น มันฟังแล้วจะนึกออกไปในทางผีสางมากจนเกินไป ซึ่งความจริงไม่ใช่ คำว่าการเซ่นไหว้นั้นใช้ได้กับทั้งเทพและผี

กุมารทองไม้ขนุนตายพราย

   เครื่องเซ่นให้กุมารทองมักจะให้เป็นพวกขนม ของเล่น เครื่องประดับ เสื้อผ้า ห้ามเซ่นด้วยเหล้า ส่วนการจุดธูปความจริงใช้แค่ธูป 1 ดอก แต่ก็ชวนให้นึกถึงจุดธูปไหว้ผีเสียอีก ปัจจุบันจึงไม่นิยมจุดธูป 1 ดอก โดยมากจะจุดธูป 9 ดอกบ้าง 16 ดอกบ้าง หรือหลายคนจุดธูปเป็นกำโดยไม่นับ

   ขณะที่เซ่นกุมารทอง ก็ให้กล่าววาจาเรียกกุมารทองมารับเครื่องเซ่น เราอยากได้สิ่งไรก็บอกกุมารทองไป พอได้สำเร็จตามความประสงค์ ก็ให้รางวัลกุมารทองด้วย

   หลายท่านชอบที่จะใช้คาถากำกับกุมารทอง ข้อนี้ตามแต่จะเชื่อต่อๆกันมา จะใช้คาถาหรือไม่ใช้คาถาก็สุดแต่ความสะดวกความเชื่อของแต่ละคน ข้อสำคัญคือ ให้เรียกให้คุยลอยๆกับกุมารทองบ้างเท่านั้น

การจากลาของกุมารทอง

   เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกคนที่เลี้ยงกุมารทอง(เฉพาะกุมารทองที่ขลัง)เจอกันมาก จนเป็นเรื่องบอกเล่าต่อๆกันมา จะเป็นกับกุมารทองที่มีส่วนเกี่ยวข้องภูตผีพราย คือ เมื่อเลี้ยงกุมารทองไปแล้ว พอนานไปเกิดเหตุให้รูปจำลองกุมารทองแตกหักเสียหาย หรืออยู่ๆฝันเห็นกุมารทองมาลา

   โบราณจารย์ท่านว่า เมื่อถึงเวลาที่ดวงวิญญาณกุมารทองจะไปเกิด ดวงวิญญาณจะบันดาลให้บอกเหตุ ให้ร่างจำลองนั้นชำรุดเสียหาย หรือเข้าฝันกล่าวลา ถ้าเป็นแบบนี้ก็ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กุมารทองนั้น แล้วเอารูปจำลองกุมารทองไปลอยน้ำ

คุณวิเศษของกุมารทอง

   ตามจุดประสงค์หลักของกุมารทองคือ การอำนวยมหาโชคมหาลาภ เรียกจิตคน พร้อมทั้งคุ้มครองเตือนภัยได้ แต่จะให้มีฤทธิ์แบบกุมารทองของขุนแผนแสนสะท้านนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะอภินิหารกุมารทองของท่านขุนแผนนั้นสะท้านโลกจนเกินไป ก็ขนาดแบกขุนแผนแล้ววาร์ปไปไกลๆ พามุดรูกุญแจออกไปข้างนอกได้ แบบนี้ทำไม่ได้แน่

   จะขอเล่าถึงอภินิหารของกุมารทองเท่าที่เคยได้ยินจากปากท่านผู้พบประสบการณ์ และเท่าที่ข้าพเจ้าเจอกับตัวเอง เล่าพอสนุกๆบางเรื่องดังนี้

1.     1.    เพื่อนของข้าพเจ้าได้กุมารทองที่บรรจุผงกุมารทองเอามาตั้งบูชาไว้ที่ร้าน ก็ทำมาหากินไปได้อย่างดี วันหนึ่งสงสัยว่ากุมาทองช่วยให้ขายของดี หรือว่าขายดีเพราะทำเลร้านมันดีจึงขายได้เอง จึงพูดขึ้นมาลอยๆว่า กุมารทองของหลวงพ่อนี้แน่จริงก็ทำอะไรให้ดูหน่อย...ปรากฏว่าเพื่อนนั่งอยู่ในห้องแอร์ ไม่มีพัดลม แต่ผ้าม่านที่เป็นผ้าหนาๆพับจีบเป็นลอนๆนั้น ได้เกิดกระเพื่อมไล่ไปที่ละลอนจนสุดปลายผ้า เหมือนมีใครมารูดผ้าม่านเล่น

2.      2.   คืนวันหนึ่งเพื่อนไปร่วมงานสังสรรค์ ได้ดื่มเหล้าจนเมามาก พองานเลิกก็ขับรถกลับบ้าน ตอนนั้นเริ่มขาดสติแล้ว เพราะรู้ตัวแค่ว่าขับรถแต่ไม่รู้ว่าขับรถไปทางไหน คือขับรถไปตามยถากรรมเสียอย่างนั้น ในที่สุดอาการเมาเริ่มมากขึ้นจนเห็นว่าจะขับรถไปไม่ไหวแล้ว จึงจอดรถบนถนนแล้วหมดสติหลับคาพวงมาลัยรถ

   ขณะที่เมาหลับไม่รู้เรื่องนั้น อยู่ๆรถทั้งคันเกิดสั่นสะเทือนในแบบที่ว่าเหมือนมีคนมาโยกรถเขย่ารถอย่างแรง เพื่อนที่เมาหลับถึงกับสะดุ้งตื่น แล้วมองเห็นว่ารถสิบล้อกำลังพุ่งเข้ามาจะชน จึงสตาร์ทรถแล้วขับรถเข้าไหล่ถนนหลบรถสิบล้อได้อย่างหวุดหวิดที่สุด

   เมื่อรอดตายจากการถูกรถสิบล้อชนจึงลงมาสำรวจสถานที่ พบว่าเมาจนขับรถสะเปะสะปะออกไปนอกเมือง แล้วไปหลับบนนถนนตรงทางโค้งพอดี ตรงนั้นไม่มีแสงไฟด้วย จึงคิดว่า กุมารทองที่ติดไว้บนคอนโซลรถคงมาเขย่ารถปลุก

3.   3.      เรื่องนี้เกิดขึ้นที่แถวบ้านข้าพเจ้าเอง มีคนแถวบ้านอยากได้ตุ๊กตากุมารทอง จึงขอให้ข้าพเจ้าเป็นธุระหาให้ เมื่อได้รับตุ๊กตากุมารทองไปแล้ว ก็เอาไปตั้งบูชาไว้เฉยๆไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ  บ้านนั้นเขาอยู่แค่คนเดียว

   ต่อมาเกิดปรากฏการณ์แปลกๆ คือ มีเพื่อนบ้านมองเห็นเด็กเล็กนั่งบ้างเดินบ้างอยู่ภายในบ้าน จึงได้ต่อว่าคนที่เอากุมารทองไปไว้ที่บ้านว่า ปล่อยให้เด็กตัวเล็กถึงขนาดนี้ทิ้งให้อยู่คนเดียวได้อย่างไร มันอันตราย...แบบนี้แสดงว่า กุมารทองรุ่นนี้มีตัวจริง มาปรากฏให้เห็นว่ามีคนอยู่ในบ้าน คล้ายๆว่าเหมือนช่วยเฝ้าบ้าน

   เรื่องของอภินิหารกุมารทองยังมีอีกมาก มีทั้งกุมารทองมาเล่นเป็นเพื่อนเด็กเล็ก กุมารทองมาไล่สุนัขที่ทำท่าจะกัด กุมารทองเข้าฝันบอกเลขหวย แต่ขอเล่าให้ฟังแค่พอสังเขป เพราะอภินิหารกุมารทองของจริงนั้นมีมากมายจริงๆ เล่าให้ฟังหมดไม่ไหว

   กุมารทองเป็นตำนานมหาภูตมหาเวทของไทยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณกาล และจะยังคงสืบทอดต่อไป ถึงในปัจจุบันของเก๊จะมีเยอะ แต่ของจริงก็ยังพอมีอยู่ จะเสาะหากุมารทองก็ต้องพิจารณาให้ดีๆนะท่านทั้งหลาย



หมายเหตุ

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต ขออภัยที่ลืมจดชื่อ

ภาพที่ไม่บอกที่มาคือภาพที่ถ่ายไว้เอง

เรื่อง   จากความทรงจำที่เคยคุยกันพระอาจารย์หลายรูป และผู้เฒ่าผู้แก่หลายท่าน, จากตำราสมุดข่อยโบราณของวัดและในหอสมุดแห่งชาติ

และ...เคยรู้เห็นปฏิบัติการสร้างกุมารทอง

อนุญาตให้นำบทความไปใช้ได้ ถ้าให้เครดิตที่มา blogger นี้ด้วยก็ขอขอบคุณยิ่ง...แต่ส่วนมากเอาบทความของข้าพเจ้าไปใช้เป็นของตัวเองซะงั้น อย่างเยอะด้วย..หึๆๆไม่ว่ากัน