ภาพจาก dotclue.org |
ภาพจาก tomhuhuronroberts.com |
ภาพจาก CafeBiz |
ถ้าจะให้เข้าใจเรื่องเจเนอเรชั่นได้ง่ายๆแบบกำปั้นทุบดินก็คือ โลกเก่ากับโลกใหม่ ขนาดแผนที่โลกต่างยุคมันยังไม่เหมือนกันเลย ความรอบรู้และมุมมองของยุคสมัยมันต่างกัน
ภาพจากi.pinimg.com แผนที่โลกในแบบยุคเก่าแต่ยังไม่เก่าสุด |
ภาพจาก mapsofworld.com แผนที่โลกยุคปัจจุบัน |
1.Lost Generation ล็อซทเจเนเรชั่น เกิดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๒๖ - ๒๔๔๓ หรือ ค.ศ. 1883 - 1900 โอ้โฮ....นี่มันสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่๑(พ.ศ.๒๔๕๗-๒๔๖๑)กันเลย คนยุคนี้เอาแค่เกิดพ.ศ.๒๔๔๓ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเจเนอเรชั่น ถ้าอยู่ถึงตอนนี้(พ.ศ.๒๕๖๕)ก็ปาเข้าไปถึง ๑๒๒ ขวบปี คนเจเนอเรชั่นนี้จะทันเห็นหรือเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่๑ จึงเรียนคนเจเนอเรชั่นนี้ว่าเป็นคนในยุคสงครามโลกครั้งที่๑ แบบนี้จึงประมาณการว่า คนเจเนอเรชั่นนี้สูญไปหมดแล้ว จึงเรียกว่ายุค ล็อซทเจเนอเรชั่น เรียกแบบไทยๆว่า ลอสเจเนอเรชั่น คือเป็นคนในเจเนอเรชั่นที่สาบสูญไปแล้ว
ถ้าเป็นชาวยุโรปในรุ่นนี้
ก็เป็นรุ่นที่ยุโรปกำลังมีอำนาจ และอยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมในระยะที่สอง (ปีค.ศ.1860-1914)
ซึ่งความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ
ในช่วงนี้เข้ายุคเปลี่ยนจากการใช้เครื่องจักรไอน้ำ ถ่านหิน มาเป็นใช้ก๊าซ น้ำมัน
ไฟฟ้า และยังเป็นช่วงปลายที่ประเทศทางยุโรปยังล่าอาณานิคม
สงครามโลกครั้งที่ 1 |
นิวยอร์ก ค.ศ.1900 |
จากการที่เริ่มเปลี่ยนแปลงวิทยาการและอุตสาหกรรมอีกครั้ง ในที่สุดก็ใกล้เกิดสงครามโลกครั้งที่
1 ( ค.ศ. 1914 ถึง ค.ศ. 1918) คนยุคนี้จึงมีความตื่นตัว ขยัน และรักการค้นคว้า
ผจญภัย มีระเบียบวินัย แต่ละประเทศเสริมอำนาจเพื่อป้องกันตนเอง
ในขณะนี้(พ.ศ. 2565) คนยุคนี้น่าจะหมดไปแล้ว
ถ้ายังมีเหลืออยู่ก็จะกลายเป็นมนุษย์ที่อายุยืนที่สุดในโลก อย่างน้อยต้องอายุ
122ปี จึงเป็นที่แน่ใจว่า คนรุ่นนี้น่าที่จะหมดไปแล้ว เลยเรียกคนยุคนี้ว่า Lost
Generation
รุ่นที่สิ้นสูญ
2. Greatest Generation เกรทเต็สเจเนอเรชั่น
เกิดระหว่าง พ.ศ.2444-พ.ศ.2467 (ค.ศ.1901-ค.ศ.1924) คือเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่2(พ.ศ.2482-2488
หรือ ค.ศ.1939 ถึง ค.ศ.1945) และอยู่จนถึงการเข้าร่วมรบในมหาสงครามครั้งที่ 2
เจเนอเรชั่นนี้ได้รับผลกระทบจากภัยสงครามทุกคน
นิวอิงแลนด์ ค.ศ.1908 |
สงครามโลกครั้งที่ 2 |
คนรุ่นนี้เกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่พอโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาว
ก็เข้าช่วงสงครามโลกพอดี เหตุการณ์สำคัญๆประวัตศาสตร์โลกช่วงสำคัญและยิ่งใหญ่
ต่างก็เกิดขึ้นในช่วงนี้ คนรุ่นนี้ต้องเข้าร่วมสงครามอย่างทนทรหด
ต้องอดอยากต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง
เพราะสถานการณ์รอบด้าน
จึงทำให้คนรุ่นนี้มีความอดทน มีระเบียบวินัย มัธยัสถ์ กล้าหาญ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น
สงครามโลกครั้งที่ 2 |
เนื่องจากตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
คนรุ่นนี้ยังอยู่ในช่วงเป็นเด็กเล็กและที่อายุมากสุดก็อยู่ในช่วงวัยรุ่น
หรือที่เข้าเพิ่งรุ่นหนุ่มก็มี ผู้คนมีเกิดมาน้อย
แต่จำนวนคนที่เสียชีวิตเพราะภัยสงครามมีมากมายมหาศาล บ้านเมืองเสียหายจากภัยสงคราม
ถึงแม้เป็นประเทศที่ไม่ใช่สมรภูมิรบก็ยังได้ผลกระทบด้วยกันทั้งโลก
เกิดความขาดแคลนไปทั่วโลก โลกอยู่ในความเศร้าหมอง
คนรุ่นนี้ถูกสภาพแวดล้อมของยุคสมัยที่มีสงครามชั
กนำให้ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ขัดสน อดอยาก จึงค่อนข้างเศร้าหมอง แต่สถานการณ์ทำให้เกิดมีความอดทนสูง
มีความสามารถในด้านการเอาตัวรอด และเนื่องจากทันเห็นภัยสงคราม
และส่วนหนึ่งเข้าร่วมสงครามในช่วงท้ายๆ ดังนั้นจึงมีความรู้สึกเบื่อสงคราม
4.Baby Boomer เบบี้บูมเมอร์ เกิดระหว่างปี พ.ศ.2489-2507(ค.ศ.1946-1964) ยุคนี้สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงพอดี จึงเป็นช่วงฟื้นฟูของยุคสมัย สาเหตุที่เรียกยุคนี้ว่า "เบบี้บูมเมอร์" ก็เพราะว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่2สงบลง โลกและมนุษยชาติได้รับความเสียหายอย่างหนักมากที่สุดเท่าที่เคยมี ผู้คนล้มตายไปในสงครามประมาณถึงมากกว่า 60 ล้านคน นี่คือตัวเลขที่เฉพาะที่ประมาณการได้ค่อนข้างแน่ชัด ส่วนผู้เสียชีวิตที่สาบสูญหาหลักฐานไม่ได้ยังไม่ทราบว่ามีอีกเท่าไร พลเมืองโลกลดหายไปมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
เมื่อมนุษยชาติต้องฟื้นฟูโลกขึ้นมาใหม่
จึงเกิดความนิยมว่าต้องมีลูกมากๆเอาไว้ก่อน
ดังนั้นจึงเกิดเบบี้ที่บูมขึ้นมานั่นเอง
เจเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์เป็นมนุษย์ที่อยู่ในยุคสงครามสงบและเป็นยุคฟื้นฟูโลก
ความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆของโลกเริ่มก้าวกระโดดอย่างจริงจังก็ในยุคนี้เอง
ชาวเบบี้บูมเมอร์จึงเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษที่ทันได้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นวิวัฒนาการของมนุษยชาติมากกว่าคนในเจเนอเรชั่นอื่นที่ผ่านมา
Daytona Beach ค.ศ.1957 |
ในปัจจุบันนี้(พ.ศ.2565)คนเจเนเรชั่นเบบี้บูมเมอร์ถูกมองว่าคือคนแก่
เพราะทั้งหมดเป็นมนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟขึ้นไปทั้งนั้น
คนรุ่นนี้อยู่ในยุคที่โลกสงบเพิ่งฟื้นจากภัยสงคราม โลกมีความปลอดภัยขึ้น ทั้งยังเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการที่โลกฟื้นฟูศิลปวิทยาการในทุกด้าน
และพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว คนรุ่นนี้จึงรู้สึกกระฉับกระเฉงกับชีวิต สนใจทฤษฎีใหม่ๆ
ที่สำคัญคือเคยพบเคยเห็นความยากลำบากของคนรุ่นพ่อแม่ จึงทำให้มีระเบียบวินัยและอดออม
ขยันทำงานเพื่อสร้างชีวิตใหม่ มีความเคารพกฏกติกามรรยาทสังคม สร้างครอบครัว ยังมีความติดยืดกับระบบความคิดแบบเก่า
แต่ก็รับเอาสิ่งใหม่ๆได้ด้วย
Sydney ค.ศ.1975 |
คนรุ่นนี้ถูกเลี้ยงดูมาด้วยคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์
ดังนั้นจึงได้ลักษณะนิสัยของรุ่นเบบี้บูมเมอร์มาด้วยส่วนหนึ่ง
แต่เพราะบรรพบุรุษได้สร้างรากฐานครอบครัวมาให้เป็นต้นทุนชีวิตให้แล้ว คนรุ่นนี้จึงมีบางสิ่งเปลี่ยนไปจากคนรุ่นก่อน
เช่น ความอดทนในการทำงานน้อยลง มีความทะเยอทะยานเพราะต้องแก่งแย่งในสังคม ชอบความฟุ้งเฟ้อ
และชอบหาความรู้ให้มากยิ่งขึ้น อยากสร้างตัวสร้างครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อยุคนี้การแข่งขันเริ่มชัดเจน ดังนั้นคนยุคนี้จึงมีส่วนหนึ่งที่แยกพรรคแยกพวก มีความกล้าในการแสดงออกทั้งส่วนตนและที่คิดแบบเดียวกัน
6.Generation Y เจเนอเรชั่น วาย หรือ ยุค Millennials คือคนที่เกิดอยู่ในช่วงปีพ.ศ.2523-2540(ค.ศ.1980-1997) เจเนอเรชั่นนี้มาพร้อมกับความแตกต่างของอายุและความคิดระหว่างเจเนอเรชั่นเก่ากับใหม่ ซึ่งนับว่าแตกต่างกันอย่างมาก ยุคนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีอิทธพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ คือ มีอินเทอร์เน็ตเข้ามาอยู่กับชีวิตประจำวัน จนแทบที่จะใช้เวลาแทบทั้งวันหมดไปกับโลกไซเบอร์
คนเจเนอเรชั่นนี้ที่รับช่วงความสำเร็จมาจากบรรพบุรุษ
จะไม่เคยผ่านความยากลำบาก ดังนั้นจึงขาดความอดทน ขาดความเข้าใจในความร่วมมือประนีประนอม
ที่เป็นส่วนสำคัญของสังคมในยุคก่อน
นอกจากนี้ การเลี้ยงดูคนรุ่นนี้แบบประคบประหงมเอาใจของพ่อแม่
ไม่ยอมให้ลูกลำบาก ตามใจลูกทุกอย่าง จึงทำให้คนรุ่นนี้ขาดการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมในสังคม
ขาดการยับยั้งชั่งใจเหมือนพบกับความผิดหวัง จึงเริ่มเพาะนิสัยเห็นแก่ตัวชอบเอาชนะ
ภาพจาก AMAZON.com |
คนรุ่นนี้จะแวดล้อมไปด้วยความเปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆที่เห็นอยู่ทุกวัน
ต้องคลุกคลีกับเทคโนโลยีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อินเทอร์เน็ตจะเข้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกนึกคิดมาก
จนเกิดความแตกต่างระหว่างคนรุ่นนี้กับรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เกิดความเห็นต่างกับคนรุ่นเก่า
เกิดความคิดเปรียบเทียบความรู้กับคนรุ่นเก่า เกิดความรู้สึกอยากเป็นผู้ชนะอยากเป็นผู้นำ
คนรุ่นนี้จะไม่ชอบการถูกตีกรอบหรือกฏข้อบังคับ ถ้าก้าวหน้าเป็นใหญ่ในองค์กรไม่ได้
ก็ออกมาสร้างงานเป็นนายตนเองดีกว่า
เมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารรวดเร็วมาก
ข่าวสารรู้เท่าทันกันได้ทั่วโลก จึงเหมือนกับโลกแคบลง จนเกิดคำว่า โลกาภิวัตน์(Globalization) หมายถึงโลกไร้พรมแดน
7.Generation Z เจเนอเรชั่น ซี ฝรั่งจะออกเสียง Z ว่า ซี หมายถึงคนที่เกิดตั้งแต่พ.ศ.2541(ค.ศ.1998)มาถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาก อะไรๆก็ใช้เทคโนโลยีไปหมด ดิจิตอลก้าวล้ำสุดๆ วันๆจะขลุกอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และโซเชี่ยลมีเดีย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนเริ่มน้อยลง
เทคโนโลยี่ทางการสื่อสารและคอมพิวเตอร์ในรุ่นนี้จะก้าวล้ำมาก
จนกระทั่งโลกทั้งโลกอยู่ในโทรศัพท์มือถือ คนรุ่นนี้จะใช้โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา
เริ่มขาดการปฏิสัมพัมธ์ต่อสังคม
ภาพจาก st-remy-authentic.com |
คนรุ่นนี้จึงเป็นไปตามสภาพแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนไป จะไม่ค่อยมีเพื่อน
มักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ จะไม่อยากเป็นลูกน้อง
ดังนั้นคนรุ่นนี้จึงอยากที่จะสร้างงานด้วยตนเองมาก โดยจะเป็นการทำงานแบบสมัยใหม่
ที่สามารถทำที่บ้านได้ โดยใช้โลกอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ งานที่ทำจะใช้คนน้อย
หรือใช้ตนเองทำเพียงคนเดียวด้วยทักษะการใช้คอมพิวเตอร์
8.Generation Alpha เจเนอเรชั่นอัลฟ่า ฝรั่งเขานับที่ค.ศ.2010หรือเกิดตั้งแต่ พ.ศ.2553 เป็นต้นไป ยุคนี้อะไรๆก็ดิจิตอล ตอนนี้คนเจเนอเรชั่นนี้ยังไม่มีบทบาทอะไรเพราะยังเด็ก แต่คนเจเนอเรชั่นอื่นๆเกรงว่าเจเนอเรชั่นอัลฟ่ามีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นมาแบบขาดปฏิสัมพันธ์สุดๆ เพราะจะใช้แต่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับโลกไซเบอร์ จนขณะนี้คนเจเนอเรชั่นอื่นเกิดความกังวลว่า ต่อไปเด็กรุ่นนี้จะมีความรู้สึกถึงการแก่งแย่ง การแข่งขันจะรุนแรง เพราะขาดน้ำใจ ขาดความร่วมมือ ขาดสังคม มองตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก
ภาพจาก MR.KRON |
ในขณะนี้(ปี
พ.ศ.2565) เรื่องเจเนอเรชั่นหลักๆที่ทั่วโลกยอมรับก็นับสุดท้ายไว้ที่ Generation Alpha หรือเรียกสั้นๆว่า
เจนอัลฟ่า หรือ เจนอัล....แต่จากสภาพสังคมและเทคโนโลยี่ ทำให้มีมนุษย์เจเนอเรชั่นพันธุ์ผสมขึ้นมาแทรก
เป็นเจเนอเรชั่นพิเศษที่ไม่ได้เรียงลำดับปีศักราชหรือยุคที่เกิด แต่ดูจากพฤติกรรม
นอกจากนี้ยังเกิดมนุษย์เจเนอเรชั่นพิเศษขึ้นมาไว้ประดับโลกด้วย
พวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน ที่แท้ก็คือพวกมนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟนั่นเอง
มนุษย์พันธุ์พิเศษที่เก่าแต่เก๋าส์..ว่ะ
มนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟทั้งหมดคือ Baby Boomer ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่เกือบเก่าสุดไปแล้ว
อาจมีSilent Generation เหลืออยู่บ้างแต่ก็ชราภาพเต็มทีแล้ว
เบบี้บูมเมอร์พ่วงด้วยเจเนอเรชั่นX มีอยู่ไม่น้อยที่ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีได้
แถมยังสนุกไปกับเทคโนฯและโซเซี่ยลได้ อยู่ในโลกไซเบอร์ได้
คนแก่แต่เก๋าส์กลุ่มนี้ถูกจัดให้เป็น เจเนอเรชั่น ซี Generation C ชื่อนี้มาจากคำว่า Connected Generation
Generation C เจเนอเรชั่น ซี หรือ Connected
Generation
ถ้านับเอายุคปัจจุบันที่ พ.ศ.2565
ผู้เขียนเองต้องสะดุ้งไปเหมือนกันว่า นี่ตัวกรูนี้มีวัยหลังเกษียณเข้าให้แล้ว แถมยังกลายเป็นคนที่เกิดอาการที่ว่า
นึกเรื่องเก่า เล่าความหลัง กินของขม ชมเด็กสาว
อันเป็นกฏสี่ประการที่บ่งชี้ว่าเริ่มแก่ แต่ข้อที่ว่าชมเด็กสาวนี้ ผู้เขียนยังพอยั้งไว้อยู่
จึงหมายความว่ายังไม่แก่เพราะยังไม่ครบกฎสี่ข้อที่ว่า
อย่างไรก็ตามมาพักหลังๆชักเห็นเด็กสาวสมัยนี้ว่าน่ารัก และน่าสนับสนุนทุนการศึกษาค่าขนมค่าอพาร์ทเม้นท์
เป็นที่ยิ่ง
ภาพจากcolourbox.com |
คนในเจเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์ ในพ.ศ.2565นี้
ทั้งหมดเป็นคนที่มีอายุครึ่งร้อยอัฟทั้งนั้น จะอยู่ในช่วงอายุ 58 ถึง 76 ปี
นับได้ว่าชาวเบบี้บูมเมอร์ นี้ มีทั้งท่านที่ยังแข็งแรงและร่วงโรย
ได้ผ่านได้พบเห็นอะไรมามาก ความสำเร็จความล้มเหลวก็ได้พบมาเยอะ
ความรักความหลังของมนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟเบบี้บูมเมอร์
ต่างก็คงมีอดีตให้ระลึกถึงอยู่อย่างไม่หวาดไม่ไหว
คนในเจเนอเรชั่นใหม่มักคิดว่า
พวกเบบี้บูมเมอร์นี้เป็นพวกโบราณ(ได้ไงวะ) เป็นพวกตกยุคตกโลกไปแล้ว
เรื่องนี้เป็นเพราะเจเนอเรชั่นเก่ากับใหม่ล่าสุดมันมีอายุห่างกันมาก
คิดดูง่ายๆว่าชาวเบบี้บูมเมอร์ที่แก่สุด ณ พ.ศ. นี้ ก็ปาเข้าไปถึง 76ปีแล้ว
ที่หนุ่มสุดก็ 58ปี ชีวิตความเป็นอยู่ก็แตกต่างกับยุคใหม่เอามากๆ
ซึ่งพิสูจน์ได้ง่ายๆว่า
ชาวเบบี้บูมเมอร์แค่ยุคปลายๆเล่าเรื่องในอดีตให้เด็กรุ่นใหม่ฟัง
มันไม่เชื่อแล้วยังหาว่าโกหกมันเสียอีก เช่น เงินสิบสตางค์ซื้อท๊อฟฟี่ได้หนึ่งเม็ด
ข้าวแกงจานละ1บาท เล่าให้ตายเด็กมันก็ไม่เชื่อ ยิ่งถ้าเบบี้บูมเมอร์ยุคต้นๆเล่าเรื่องเก่าๆให้ฟัง
อย่างนี้เด็กมันคงหาว่าเป็นอัลไซเมอร์แน่ๆ
ภาพจาก istockphoto.com |
สำหรับข้าพเจ้าผู้เขียนเองมีความเห็นว่า
คนที่เป็นเจเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์
จะเป็นคนที่ได้ผ่านอดีตที่ค่อนข้างยังเป็นแบบสมัยเก่า
และได้ผ่านเข้าสู่ในยุคสมัยใหม่ช่วงต่างๆจนถึงยุคดิจิตอล ดังนั้นชาวเบบี้บูมเมอร์
จึงคาบลูกคาบดอกระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่
แน่นอนว่าเบบี้บูมเมอร์หลายๆท่านคงขัดๆที่จะเข้ากับคนเจเนอเรชั่นใหม่ๆ
ความคิดความอ่านก็ขัดแย้งกัน
แต่ก็มีเบบี้บูมเมอร์อีกเป็นจำนวนมากที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ได้
ข้อนี้เป็นความสามารถพิเศษของชาวเบบี้บูมเมอร์
ซึ่งมาจากการได้ทันเห็นโลกเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
มนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟเบบี้บูมเมอร์
ที่มีพื้นฐานชีวิตมีโอกาสในการศึกษา ก็มีส่วนทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับยุคใหม่ได้
แถมยังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตแบบสะสมไมล์มาเหลือเฟือ
คนเจเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์ นั้น จะให้ไปกราบหาพระอาจารย์ฟังธรรมปฏิบัติธรรมก็ชอบ
วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังก็เสาะหา ถึงสมัยนี้จะว่าเป็นเรื่องงมงายกรูก็ไม่สน
เพราะกรูเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง
ถึงจะแก่แต่ก็เจ๋งนะ |
ในขณะเดียวกันกับที่ชาวเบบี้บูมเมอร์ ห้อยพระคาดตะกรุดพกปลัดขิกหยิบสีผึ้งสีปาก มือหนึ่งถูหัวปลัดขิกภาวนาจีบหญิง อีกมือหนึ่งถือ iphon ipad ชาวเบบี้บูมเมอร์สามารถทำตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆได้ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชำนาญการทางด้านนี้อีกไม่น้อย ผู้เขียนเคยเจอเด็กรุ่นใหม่ที่มันคิดว่าคนรุ่นผู้เขียนนี้ไม่มีทางที่จะรู้เรื่องเทคโนโลยีเลย เพราะไปซื้อสายไฟเคสคอมพิวเตอร์ที่ห้างพันธุ์ทิพย์ ไอ้เจ้าเด็กคนขายมันเห็นผู้เขียนหยิบสายไฟสำหรับคอมพิวเตอร์ มันร้องเลยว่า..ป๋าๆ แบบนี้ใช้กับหม้อหุงข้าวไม่ได้ เออแน่ะ..ดูมันทำ เลยต้องบอกมันไปว่า ตัวกรูนี้ออกสเปคประกอบคอมโอเวอร์คล็อกได้เองเลยนะเว้ย และอย่าเรียกกรูว่า ป๋า
เบบี้บูมเมอร์ที่ปรับตัวไปกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยตามยุคได้
ใช้โซเชี่ยลมิเดียได้ อยู่ในโลกไซเบอร์ได้
แบบนี้ฝรั่งเรียกว่าเป็นเบบี้บูมเมอร์(รวมเจน Xด้วย) ที่จัดว่าเป็นคนเจเนอเรชั่นซี(Generation
C)
ความแตกต่างของสภาพแวดล้อมวิวัฒนาการและสังคมของแต่ละเจเนอเรชั่น ทำให้ต่างคนต่างวัยมีพื้นฐานทางความคิดไม่เหมือนกัน
นับเป็นช่องว่างระหว่างวัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
การนับปีศักราชที่เกิดให้เป็นขอบเขตการกำหนดเจเนอเรชั่น ขณะนี้มันก็มาถึง Generation Alpha เป็นเจเนอเรชั่นล่าสุด แต่แล้วจากสภาพของสังคมในเวลาปัจจุบัน กลับทำให้เกิดมีคนรุ่น Generation Y ที่ปัจจุบัน(พ.ศ.2565)ที่มีอายุระหว่าง 25ปีจนถึงอายุ40ปีบวกลบเล็กน้อย และคน Generation Z เกิดความผันแปรไปตามสภาพการเลี้ยงดู และจากสภาพแวดล้อมสภาพสังคมรอบด้าน และ จากสภาพแวดล้อมของการทำงาน
จากความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ในที่สุดก็ทำให้เกิดมีคนจำนวนหนึ่งของ Generation Y และ Generation Z นอกจากนี้ยังปรากฏว่ามีคนใน Gen. x บางส่วนด้วยไหลไปกับกระแสสังคมและสภาพแวดล้อมของยุคใหม่ ที่เรียกว่ายุคมิลเลนเนียล ( Millennials ) หรืออีกด้านหนึ่งเรียกยุคดิจิทัล แล้วให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นใหญ่ เพราะหลงไปกับโลกไซเบอร์ โลกอินเทอร์เน็ต จนหลุดออกจากโลกของความเป็นจริง คนเหล่านี้จะมีความรู้สึกว่า สิ่งที่ตนรู้สิ่งที่ตนเองเชื่อนั้น คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด จึงไม่ยอมรับความเห็นต่าง ไม่ยอมรับความรู้ของคนรุ่นก่อนๆ จะรู้สึกต่อต้อนความเห็นที่ไม่ตรงกับความเห็นของตัวเอง จะเชื่อมั่นในข้อมูลที่ตนเองได้รับจากโลกอินเทอร์เน็ต และใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับโลกอินเทอร์เน็ต
เมื่อคนเหล่านี้ไม่รับฟังผู้อื่นในทุกกรณี ดังนั้นจึงมีความรู้สึกว่า ตนเองเป็นผู้ที่มีความถูกต้องเสมอ จะมีความรู้สึกว่าโดนกลั่นแกล้งจากคนที่เห็นต่าง จะตีค่าความสามารถของตนเองไว้สูงลิบลิ่ว มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคนรุ่นเก่า แม้แต่บรรพบุรุษของตนเอง
คนในกลุ่มนี้จะชอบความมีอิสระเสรีโดยนึกว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล
แต่ส่วนหนึ่งจะไม่นึกถึงว่าสิทธิส่วนบุคคลที่ดีจะต้องไม่ไปล่วงสิทธิของผู้อื่น
หรือสิทธิอิสระที่ทำนั้น อาจผิดศีลธรรมผิดจารีตประเพณีผิดกาลเทศะ แม้แต่มุมมองในเรื่องเซ็กซ์
เช่น การมีคู่มีเพศสัมสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย การเปลี่ยนคู่เลิกร้างกันง่ายๆ การแสดงออกทางด้านเซ็กซ์
ข้อดีของคนกลุ่มนี้คือ จะมีความมุ่งมั่นสูง พยายามไปถึงจุดเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้
มีจินตนาการในมุมมองใหม่ๆ มีทักษะสูงทางการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
จากพฤติกรรมที่ตนเองต้องเป็นฝ่ายถูก
ต้องได้รับ ต้องชนะ จึงเริ่มมีการเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Generation ME แปลเป็นไทยแบบดิบๆทำนองว่า
อะไรๆก็ต้องเป็นของกู
ความเศร้าของพ่อแม่ที่ลูกกลายเป็น
Generation ME
ข้าพเจ้าพบตัวอย่างของ Generation ME
ที่น่าเศร้าใจจากเพื่อนรุ่นพี่ จึงขอเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ เรื่องมีอยู่ว่า...
รุ่นพี่สองคนผัวเมียมีความสนิทสนมกับข้าพเจ้ามาก
เป็นคนมีการศึกษาดีจบปริญญาทั้งคู่ เป็นเจ้าของกิจการที่คนนับหน้าถือตาเป็นอย่างสูง
ทั้งสองคนมีลูกสาว 1 คน นับปีเกิดก็เป็น Generation Z ซึ่งข้าพเจ้าเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่ยังไม่เรียนชั้นมหาวิทยาลัย
รุ่นพี่ของข้าพเจ้านั้นเลี้ยงดูลูกมาในแบบที่เรียกว่าคุณหนูๆ
ประคบประหงมตามใจลูกทุกอย่าง ซื้อของกินของใช้ที่ดีและทันสมัยแต่เกินความจำเป็นให้ลูกอยู่เสมอ
แถมยังคล้อยตามความเห็นของลูกแบบไม่ขัดใจ ในตอนนั้นข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า
เด็กคนนี้มีรสนิยมสูงมาก และที่สำคัญคือ ไม่เกรงใจพ่อแม่ กล้าต่อว่าหรือโต้เถียงตำหนิอย่างไม่ถนอมน้ำใจ
ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะรักลูก ทั้งยังเอาใจลูกโดยชมว่าลูกคิดถูกทำถูก
เมื่อลูกเรียนจบปริญญาตรี
ก็ส่งลูกเรียนต่อต่างประเทศ โดยที่ขณะนั้นสภาพทางการเงินของรุ่นพี่ไม่ดีแล้ว
เนื่องจากกิจการบริษัทอยู่ในสถานะที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามหาเงินอย่างยากลำบากเพื่อส่งลูกเรียน
พอลูกเรียนจบกลับมาเมืองไทย รุ่นพี่ก็วิ่งเต้นฝากงานให้ลูกได้เข้าทำงานในบริษัทที่ดีๆ
ต่อมารุ่นพี่มาปรับทุกข์ให้ฟังว่า
มีปัญหาระหองระแหงกับลูกบ่อย ทั้งมีความรู้สึกว่าลูกสาวจะเห็นว่าพ่อแม่นั้นเกะกะน่ารำคาญ
หลายครั้งโทษพ่อแม่ว่าทำผิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ราวกับว่าพ่อแม่ไม่มีการศึกษา และสิ่งที่รุ่นพี่เพิ่งสังเกตเห็นก็คือ
ลูกสาวจมอยู่กับโลกอินเทอร์เน็ต
ความขัดแย้งของลูกสาวมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนขัดแย้งกับคนรุ่นที่อายุมากกว่า
และในที่สุดลูกสาวคิดขัดแย้งในระดับเจเนอเรชั่นกันเลยทีเดียว โดยลูกสาวบอกว่า “คนรุ่นพ่อแม่ทำให้ประเทศและโลกไม่เจริญ
สร้างปัญหาให้คนรุ่นลูกหลานไม่จบสิ้น พวกคนรุ่นลูกจะเข้ามาล้างระบบเน่าๆที่พวกคนแก่สร้างไว้”..!!!
ภาพจาก alert-1.com |
ตัวอย่างของ gen. ME อีกเรื่องหนึ่ง เป็นคนในช่วงปลายๆของ Gen. Y ที่กลายเป็น
Gen ME
รุ่นน้องเป็นคนมีฐานะดีมีลูกชายคนหนึ่ง ลูกชายเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอกชนในระดับหรู
จะเรียนเก่งหรือไม่เก่งก็ไม่ได้ถามพ่อของเขา เมื่อเรียนแบบหรูแพงระยับแล้วยังไม่พอ
ชีวิตของเจ้าเด็กคนนี้ก็หรูตามไปด้วยเพราะพ่อแม่หาเงินไว้ให้เยอะ
แต่ก่อนที่จะเรียนจบดันไปทำผู้หญิงท้อง ซึ่งก็คือเพื่อนนักศึกษาด้วยกันนั่นเอง แถมยังมีทีท่าลังเลจะไม่รับผิดชอบด้วย
พอเรียนจบพ่อแม่จึงให้รีบแต่งงานทันที ไม่งั้นเดี๋ยวผู้หญิงท้องโตความลับแตกจะอายคนอื่น
เมื่อแต่งงานแล้วเขาก็ให้พ่อแม่ลงทุนตั้งบริษัทให้ เหตุผลของเขาก็คือ “เรียนจบมาสูง
ไม่ต้องการทำงานเป็นลูกน้องใคร” ตอนนั้นข้าพเจ้ายังนึกในใจว่า...เอ็งยังไม่เคยทำงานแต่อยากเป็นเจ้าของบริษัทเสียแล้ว...แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไร
พ่อแม่สร้างบริษัทให้ลูกตามที่ขอ
ซึ่งเป็นการสร้างจริงๆโดยที่ไม่ใช่การเช่าห้องในตึกใหญ่แบบคนอื่น คือ
เล่นถมที่ดินและก่อสร้างอาคารบริษัทกันเลย ตอนนั้นข้าพเจ้าชักสังหรณ์ใจไม่ดีแล้ว
แต่มันเงินของเขาเรื่องของเขาลูกของเขา เราไปออกความเห็นจะไม่ดี จึงได้แต่มองและเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ
เมื่อมีบริษัทเป็นของตัวเอง
เจ้าเด็กคนนี้เริ่มด้วยการให้พนักงานเรียกตัวเองว่า “บอส”
และตัวเองก็ใส่สูท(ซึ่งไม่จำเป็นเลย)ชุดใหญ่มาทำงานทุกวัน
เป็นสูทชุดใหญ่ที่มีพร้อมทั้งเสื้อกั๊กเนกไท แน่นอนว่าเป็นของร้านสูทหรูเลิศ ส่วนเครื่องประดับเครื่องแต่งตัวก็ระดับบอสของจริง
นาฬิกาของไอ้หนุ่มนี่มีราคาประมาณ 100เท่าของนาฬิกาข้าพเจ้า ส่วนชุดของเมียก็หรูหราสวยงามเช่นกัน
แต่ของผัวนี้มันหรูเลิศ แบบที่ภาษาของคนยุคก่อนที่เรียกแสลงขำๆว่า “เริ่ดหรูสะแมนแตน”
ทั้งๆที่เจ้าหนุ่มเพิ่งเรียนจบยังไม่เคยทำงานเลย
แต่เจ้าหนุ่มรุ่นหลานคนนี้บริหารงานเองตัดสินใจเองวางนโยบายบริษัททุกอย่าง ฝ่ายเมียก็ชอบชมและชอบพรีเซ้นต์ว่าผัวนี้เก่งเป็นผู้บริหารชั้นเลิศ
ในที่สุดบริษัทก็ดำเนินงานมาครบ 1 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไอ้เจ้าหนุ่มจัดงานเลี้ยงฉลองผลประกอบการว่า
มียอดขายดีมีกำไรงาม แต่ดันไม่คิดถึงทุนที่พ่อแม่ออกให้
เจ้าหนุ่มแถลงว่าขอให้รางวัลตนเองด้วยรถยนต์คันใหม่
ซึ่งแน่นอนว่าตามรสนิยมของเจ้าหนุ่มนี้ต้องเลิศหรู
รถที่เอาเงินที่คิดว่าได้กำไรมาซื้อนั้นก็คือ Porsche
จากสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จของเจ้าหนุ่มในปีแรก เจ้าหนุ่มยังคงบริหารงานใช้ความคิดแบบไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น
เพราะเชื่อว่าตนเรียนมาสูงเรียนมาแบบคนสมัยใหม่ ในที่สุดบริษัทก็เริ่มสั่นคลอน...
ขณะนี้ Generation ME ได้เริ่มเป็นที่จับตามองของคนรุ่นเก่ากว่า
เริ่มทำให้ต้องคิดวิเคราะห์ถึงสังคมของมนุษย์ที่จะต้องดำเนินต่อไป...อย่างน่าหนักใจ
หมายเหตุ
เรื่อง เรียบเรียงจากบทความหลายที่ Sanook.com , ลม เปลี่ยนทิศ , Dr.Chanvit , Kapook.com
ภาพ จากอินเทอร์เน็ต ตามที่บอกไว้ในภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น