วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566

หลวงพ่อกับของวิเศษ.1 หลวงปู่แก้ววัดช่องลม


พระเทพสาครมุนี วัดสุทธิวาตวราราม ตำบลท่าฉลอม อำเภอเมือง จ.สมุทรสาคร


หลวงปู่แก้ว วัดช่องลม จ.สมุทรสาคร

พระเทพสาครมุนี วัดสุทธิวาตวราราม

  ระลึกอดีต...เล่าเรื่องประสบการณ์วัตถุมงคล

  สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น ก็ 50 ปีบวกเล็กน้อย ในตอนนั้นชอบเสาะหาวัตถุมงคลประเภทบู๊ๆหนังเหนียว และวัตถุมงคลทางเมตตาหานิยมมหาเสน่ห์ พอได้มาแต่ละอย่างก็อาราธนาแขวนคอแบบเดี่ยวๆไปเลย แถมยังมีเลือกใช้ตามสถานการณ์ด้วย คือ ถ้าเป็นช่วงที่ต้องเสี่ยงฝ่าดงตีนหรืออาจมีการยกพวกตีกัน ก็แขวนพระที่เชื่อว่าหนังเหนียว ถ้าจะไปจีบสาวก็เปลี่ยนเป็นวัตถุมงคลทางมหานิยมมหาเสน่ห์ เรียกได้ว่าแขวนเดี่ยวองค์เดียวจะได้รู้ชัดๆว่าวัตถุมงคลนี้ขลังจริงหรือไม่ ก็มีประสบการณ์ดีจริงบ้าง กับมีบางอาจารย์ที่ต้องเลิกพกติดตัวประมาณว่าไม่ดีจริง และยังมีบ้างที่พบว่า ที่ในหนังสือพระเขาบอกว่ายอดเยี่ยมทางนั้นทางนี้นั้น มันไม่ใช่เลย แต่ไปดีทางด้านอื่น เช่นข่าวว่าดีทางเจ้าชู้ แต่พอทดลองใช้กลับดีทางแคล้วคลาด ที่ว่าหนังเหนียว แต่โดนตีหัวแตกซะงั้นต่อมาเมื่อข้าพเจ้ามีอายุมากขึ้น ถึงค่อยเข้าใจว่าเรื่องที่เขาพรีเซ้นต์กันนั้น ที่แท้เป็นแนวทางประชาสัมพันธ์ตามสมัยนิยมนั่นเอง

  ตอนที่เรียนมัธยมต้นและข้ามไปถึงช่วงเรียนช่างกล ข้าพเจ้าพบว่าพระสมเด็จแก้วสุทธิของหลวงปู่แก้ววัดช่องลมนั้นดีทางเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์จริงๆ ดีจนต้องอาราธนาแขวนคอองค์เดียวอยู่หลายปี ต่อมาต้องถอดออกก็เพราะว่าพระเริ่มมีเนื้อกระเทาะและละลายตามขอบพระ สาเหตุเพราะไปเที่ยวสงกรานต์และแอ่วสาวเมืองเหนือในช่วงสงกรานต์ พระโดนน้ำที่เล่นสงกรานต์จนเริ่มกระเทาะ ข้าพเจ้ากลัวเนื้อพระจะเปื่อยชำรุด เลยถอดออกตั้งแต่นั้นมา และจำฝังใจว่าพระรุ่นนี้ของหลวงปู่แก้วนี้ มีเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ชั้นสุดยอดองค์หนึ่งที่เคยพบมา หลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าพบวัตถุมงคลทางเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ ที่เทียบชั้นหลวงปู่แก้วได้ไม่กี่หลวงพ่อ(จะเล่าในตอนต่อๆไป) ส่วนมากเทียบพระสมเด็จแก้วสุทธิของท่านไม่ได้เลย

  เมตตามหานิยมมหาเสน่ห์แบบของหลวงปู่แก้วนั้น จะไม่ใช่แบบเสน่ห์สะกดให้ผู้หญิงหลงยอมให้เราอึ๊บๆมีเพศสัมพันธ์ง่ายๆอะไรอย่างนั้น มหาเสน่ห์แบบของท่านออกไปในทางเป็นที่นิยมรักใคร่รับไมตรีมีไมตรีต่อกันได้ง่ายขึ้น จากนั้นเราก็ค่อยๆจีบสานความรักต่อไป หึๆๆๆ

  ประสบการณ์ทางเมตตามหานิยมในช่วงที่อาราธนาพระสมเด็จแก้วสุทธิติดตัว จะขอเล่าตามความทรงจำ เล่าบางเรื่องนะ

  ตอนเรียนมัธยมต้นตอนนั้นเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ก็อาราธนาพระสมเด็จแก้วสุทธิเลี่ยมสแตนเลสติดตัวแค่องค์เดียว และในเมื่อเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม เพื่อนๆในกลุ่มรวมทั้งข้าพเจ้าก็เริ่มริอ่านจีบหญิง จีบนักเรียนหญิงต่างห้องกันเป็นที่ครึกครื้น ข้าพเจ้าออกจะยังอายๆไม่ค่อยกล้าเท่าพวกเพื่อนๆ แต่ค่อยๆสังเกตเห็นว่า เอ..ตอนที่ไปกับเพื่อนร่วมแกงค์ไปแซวหญิงนั้น ผู้หญิงมักจะชวนข้าพเจ้าคุยก่อนอยู่เสมอ บางทีก็เหมือนบังเอิญได้กลับบ้านด้วยกันได้ไงก็ไม่รู้ คือตอนรอรถสองแถวมักจะเจอกันบ่อยๆ และเจอหญิงหลายคนสลับกันไปตามช่วงเวลา แถมตอนลงรถยังชิงตัดหน้าออกค่ารถให้ข้าพเจ้าบ่อยครั้ง ต่อมาก็นัดกันไปเที่ยว สมัยนั้นต้องไปเที่ยวราชดำริอาเขต ส่วนสยามสแควร์นั่นมาดังทีหลัง ฮิตฮอตสุดๆต้องราชดำริอาเขต 

พระสมเด็จแก้วสุทธิ องค์ประสพการณ์

ด้านหลัง

 
  ข้าพเจ้าแอบควงเพื่อนนักเรียนหญิงสลับกันไปเที่ยว แต่ความเป็นวัยรุ่นใหม่ๆและทางบ้านอบรมมาดี ก็เลยควงหญิงโดยไม่มีอะไรเลยเถิดเกินงาม แค่เดินคล้องแขนกันแค่นี้ ไอ้พวกเพื่อนๆก็อิจฉากันตัยห่ะแล้ว

  ความที่มีนักเรียนหญิงหลายคนมาชอบคุยกับข้าพเจ้าง่ายๆ มีไมตรียิ้มหวานมันแปลกจนข้าพเจ้าเอะใจ มิหนำซ้ำพวกเธอยังไม่รู้จักกันด้วย เลยไม่มีกรณีรถไฟชนกัน คำว่าพวกเธอนี้ถ้านับเฉพาะที่เคยไปเที่ยวด้วยกันบ่อยก็มีอยู่...เดี๋ยว นึกก่อน...1,2,3,4 อ้อ  5 คนที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน และอีก 2 คนอยู่โรงเรียนอื่น นี่เฉพาะตอนเรียนมัธยมต้น

  พอเรียนช่างกลชั้น ป.ว.ช. ที่นี้ก็จีบสาวพาณิชย์ สาวโรงเรียนสตรี สาวโรงเรียนการเรือน และที่แปลกสุดก็คือ สาวแถวบ้านที่อยากจะจีบมาตั้งนานแล้ว เห็นน้องตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนผูกคอซองประถมปลาย..โรงเรียนนาฏศิลป์.. ตอนนั้นยังเห็นน้องเป็นเด็กเป็นเล็ก ยังไม่สนใจ แต่สะดุดใจว่า..น้องสวยน่ารักมากๆ..ข้าพเจ้ามาปิ๊งตอนน้องเรียนมัธยมแล้วข้าพเจ้าเรียนช่างกล เรื่องเป็นดังนี้

  วันหนึ่งเห็นน้องเดินอยู่อีกฝั่งถนน ตอนนั้นคิดพิเรนทร์เอามือจับพระสมเด็จแก้วสุทธิขึ้นมาว่า หลวงพ่อผมอยากคุยกับน้องคนนี้จังเลย อยู่แถวบ้านแท้ๆแต่ไม่เคยคุยกัน แล้วก็ขำตัวเอง ก็มองๆน้องอยู่ในขณะนั้น..จะบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ น้องหันมาเห็นข้าพเจ้า มองสบตากันแล้วน้องก็..ยิ้ม..น้องยิ้มให้ข้าพเจ้าแน่นอน เพราะแถวนั้นมีข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ข้าพเจ้าจึงยิ้มและโบกมือทักทาย 

   สาวรุ่นน้องคนนี้สวยน่ารักมาก  เห็นกันรู้จักหน้ากันว่าเป็นคนแถวบ้าน แต่ไม่มีเหตุให้ได้รู้จักกันจริงๆจังๆ ประมาณว่าเป็นแค่คนคุ้นหน้าคนบางเดียวกันเฉยๆ แต่แล้วพอข้าพเจ้าอาราธนาพระองค์นี้ติดตัว ก็มีเหตุบังเอิญให้ได้คุยกัน..แหม มันเหมือนนิยายน้ำเน่าจริงๆ คือ

  วันหนึ่งข้าพเจ้าจะไปวิทยาลัยเร็วกว่าปกติตามที่อาจารย์สั่งธุระ ทีแรกจะขึ้นรถป้ายหน้าบ้าน แต่อยู่ๆก็นึกอยากเดินไปขึ้นรถอีกป้ายหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ใช้ป้ายนี้ ก็รีบไปที่ป้ายรถเมล์ ตอนเดินไปสักครู่ยังคิดอยู่เลยว่าเราเดินมาทำไมวะ พอรถเมล์มาจอดก็มีนักเรียนสาววิ่งมาจากด้านหลังข้าพเจ้า แล้วรีบก้าวขึ้นรถซึ่งมีคนแน่น ข้าพเจ้าเกาะราวบันใดรถเมล์แบบที่วัยรุ่นยุคนั้นชอบทำกัน พอรถเมล์ออกตัวกระชากเร็วไปหน่อย นักเรียนสาวก็ร่วงลงมาตกจากรถ ข้าพเจ้ารีบคว้าเอวมากอดช่วยไว้ได้ พอมองดูก็ร้องว่า..อ้าว น้องเอง ส่วนน้องก็มองแล้วว่า..อ้าว พี่เอง แล้วน้องก็ขอบคุณที่ช่วยไม่ให้ตกจากรถ วันนั้นเลยไปส่งน้องถึงโรงเรียนได้ไงก็ไม่รู้ หลังจากนั้นก็ได้รู้จักกันจริงๆจังเสียที ต่อมาได้ไปคุยกับน้องถึงในบ้าน มีความสัมพันธ์ที่ดีตลอดมา ข้าพเจ้ายังนึกแบบงมงายเลยว่าเหตุการณ์วันนี้เป็นการดลใจของหลวงพ่อแก้ว ให้เราเดินมาตรงนี้แน่ๆ พระของหลวงพ่อแก้วดีจริงๆ

พิมพ์เล็ก

ด้านหลัง


  ข้าพเจ้าคิดว่า เราเลือกน้องนาฏศิลป์นี้ไว้ในใจคนหนึ่ง น้องน่ารัก เป็นคนดี และอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเบี้ยวน้องไม่ได้ เพราะเดี๋ยวโดนตามถึงบ้าน แต่แล้วตอนต่างฝ่ายต่างเรียนจบ น้องไปเป็นครูต่างจังหวัด ข้าพเจ้าก็ทำงานเลิกดึกทุกวัน ติดต่อกันยาก สมัยนั้นโทรศัพท์บ้านยังมีได้ยาก จะใช้ตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญ ซึ่งก็มีน้อยเสียอีก ไปๆมาๆก็ห่างกัน

    ประสบการณ์ทางเมตตามหานิยมนั้นมาแบบรู้จักสาวๆได้ง่าย จนกระทั่งไปเที่ยวสงกรานต์เมืองเหนือ ไปแอ่วสาว 2 คน สวยทั้ง 2 คน คนเหนือจะเรียกสาวในถิ่นที่ข้าพเจ้าไปแอ่วสาวนี้ว่า...สาวเมืองยอง แม่หญิงเมืองยอง...ซึ่งสาวๆเมืองนี้โดยรวมเขาเรียก..สาวเมืองล่ะปูน

  ตอนนั้นข้าพเจ้าเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม ยังเรียนช่างกล ยังไม่รู้ธรรมเนียมทางภาคเหนือที่เรียกว่า..แอ่วสาว..

  เพื่อนชวนไปเที่ยวสงกรานต์ภาคเหนือก็ไปกับมัน นึกว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่ พอไปเข้าจริงๆกลับไปงานทำบุญช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ จ.ลำพูน​ ที่แท้เพื่อนไปติดสาวที่นี่ มันจึงชวนเพื่อนๆขึ้นไปเที่ยวเป็นเพื่อนมันแค่นั้น

  เมื่อไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เพื่อนมันบอกนั้น เพื่อนๆอยากจะกระทืบมัน เพราะนึกว่าจะไปเที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่ แต่มันดันพามาเที่ยวงานทอดผ้าป่า แถมยังเป็นหมู่บ้านที่บ้านนอกสุดๆ ก็เลยตามเลยเพราะหลวมตัวเชื่อมันจนถ่อกันมาตั้งไกลแล้ว ในที่สุดก็ต้องไปนั่งอยู่ในงานวัด ทางวัดก็ต้อนรับ..พอตอนค่ำ ข้าพเจ้าก็ได้เจอประสบการณ์มหานิยมมหาเสน่ห์ของพระสมเด็จแก้วสุทธิ

  งานวัดตอนค่ำ มีเลี้ยงอาหารยกมาเป็นถาดที่สานด้วยหวายมีขาตั้งด้วย ถามดูถึงรู้ว่าชาวเหนือเรียกว่า "ขันโตก"

  พวกข้าพเจ้าก็รับประทานด้วยความหิว มีสาวที่เพื่อนรู้จักมานั่งคุยด้วย สาวนี้คือต้นเหตุที่เพื่อนชวนมาเที่ยวสงกรานต์นั่นเอง ขันโตกดินเนอร์ในค่ำวันนั้นค่อนข้างทุลักทุเล เพราะมีแต่ข้าวเหนียว สาวหัวเราะที่เห็นพวกข้าพเจ้ารับประทานข้าวเหนียวที่เธอเรียกว่าข้าวนึ่ง หยิบข้าวนึ่งไม่เป็น คือปั้นข้าวนึ่งไม่เป็น เธอบอกว่าเดี๋ยวรอข้าวหุงนะเจ๊า

  ทีนี้พอมีสาวๆหลายคนยกขันโตกมาใหม่ มีข้าวสวยแบบภาคกลางมาด้วย อยู่ๆข้าพเจ้าก็ถูกสาวสวยคนหนึ่ง แยกข้าพเจ้าออกจากวง เธอเชิญให้นั่งรับประทานขันโตกชุดใหม่ เธอนั่งคุยด้วย อู้คำเมืองฟังไพเราะมาก ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยิน... เสียงสาวเหนือพูดลงท้ายว่า.. เจ๊าๆ.. ทำเอาใจสั่นระทวย

  ต่อมารับประทานขันโตกเสร็จ สาวสวยก็ยกขันโตกไปเก็บ แล้วสักครู่ก็มีสาวสวยมากอีกคนยกขันโตกใส่ขนมหวานมาให้ เธอนั่งคอยดูข้าพเจ้ารับประทานพร้อมทั้งชวนคุย ก็คุยถูกคอทั้งสองสาว ข้าพเจ้าไม่ได้คิดอะไร คุยไปตามมรรยาท แล้วสาวสวยคนที่สองก็ยกขันโตกไปเก็บ ช่วงนี้คงเก็บสำรับและล้างถ้วยชาม

  ตอนนี้แหละที่ข้าพเจ้า..อึ้ง งุนงง เขิน..เพราะสาวสวยคนแรกมาบอกเป็นคำเมืองประมาณว่า ดึกแล้ว ไปพักผ่อนได้แล้วและให้ไปนอนที่บ้านเธอ ข้าพเจ้างงว่า ทำไมไม่นอนค้างที่วัดล่ะวะ ปกติไปงานบุญวัดต่างจังหวัดก็นอนวัดนี่นา แล้วเพื่อนทั้งหมดไปนอนบ้านสาวที่เป็นต้นเหตุให้มาเที่ยวที่นี่ มีข้าพเจ้าคนเดียวที่โดนแยกกลุ่ม แถมยังโดนสาว(แฟนเพื่อน)ดันหลังให้ไปกับสาวสวยคนที่หนึ่งอีกด้วย...แล้วสาวสวยก็พูดเบาๆทำนองน้อยใจว่าไม่ไปนอนที่บ้าน..สุดท้ายเลยตามเลย ข้าพเจ้าเดินไปกับเธอ

  ไปถึงบ้านก็พบว่าบ้านใหญ่ไม่น้อย พ่อแม่และน้องๆของเธอมานั่งคุยด้วย ครอบครัวเธอต้อนรับอย่างดี แถมเอาเหล้ามาต้อนรับ จำได้ว่าเรียก "เหล้าเดือน" แถมสอบถามว่าข้าพเจ้า "มีเมีย" แล้วยัง ข้าพเจ้าหัวเราะตอบว่ายังเรียนหนังสืออยู่ พ่อแกก็ชอบใจ

  หลังจากนั้นเธอแนะให้ไปอาบน้ำ พร้อมทั้งเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน แล้วพาไปยังห้องนอนที่จัดไว้ให้แล้ว เธอว่าเป็นห้องนอนของเธอเอง เธอนั่งคุยกับข้าพเจ้าในห้องนอนอยู่..นานมาก..จนคนอื่นปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เธอก็ยังนั่งอยู่กับข้าพเจ้าอีกนาน สุดท้ายข้าพเจ้าเห็นเธอตาปรือเต็มที่ จึงบอกเธอว่านอนเถอะดึกมากแล้ว เธอก็ลาไปนอนและปิดไฟให้

  ข้าพเจ้าหลับๆตื่นๆเพราะแปลกที่ และตื่นเมื่อมีเสียงเปิดประตู มองเห็นว่าเธอเข้ามาดูข้าพเจ้า ดูแล้วก็ออกไป เป็นอย่างนี้ 3-4ครั้ง ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า เธอห่วงว่าข้าพเจ้าหลับดีหรือไม่ หรือนอนไม่สบายต้องการเรียกใช้อะไรหรือไม่

  เช้าตื่นมา รับประทานอาหารแล้วเธอชวนไปเที่ยว ข้าพเจ้านึกว่าจะไปรวมตัวกับเพื่อนข้าพเจ้าและเพื่อนเธอ แต่กลายเป็นว่าเธอไปเที่ยวกับข้าพเจ้าเท่านั้น โดยให้ข้าพเจ้าขับมอเตอร์ไซด์แล้วเธอซ้อนท้าย เที่ยวแล้วเข้าบ้าน กลางคืนก็นอนบ้านเธออีก เธอนั่งคุยในห้องนอนเหมือนเดิม คืนที่สองนี้แม่เอาที่นอนมาปูให้อีกที่ ปรากฏว่า เธอนอนในห้องด้วย... ข้าพเจ้าชักฟุ้งซ่าน

  วันต่อมาตอนเย็นสาวสวยคนที่สองมาที่บ้าน มาชวนไปรับประทานอาหารที่บ้าน เธอคนที่หนึ่งไปด้วยกับข้าพเจ้า ขันโตกดินเนอร์แล้วก็ไปนั่งคุยในห้องนอน สาวสวยคนที่สองบอกว่าวันนี้นอนบ้านเธอบ้างนะ ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบได้แต่ยิ้มๆ งงๆ ในที่สุดสาวสวยคนที่หนึ่งดึงแขนข้าพเจ้าให้กลับบ้าน​ไม่ยอมให้นอนบ้านนี้

 พอกลับถึงบ้าน นอนห้องเดียวกันอีก ข้าพเจ้าเริ่มสงสัย เธอคล้ายมีใจให้ แถมไอ้พวกเพื่อนมันก็ไม่โผล่มากันเลย เหมือนทิ้งข้าพเจ้าซะงั้น 



  วันรุ่งขึ้นสาวสวยคนที่สองก็มาชวนไปเที่ยว เธอคนที่หนึ่งก็ไปด้วย ตอนค่ำก็ดึงแขนให้กลับไปที่บ้านอีก เธอบอกว่าที่บ้านไม่มีคนอยู่ ก็นอนห้องเดียวกันอีก ทั้งบ้านอยู่กันแค่สองคน ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า มหานิยมวัตถุมงคลนั่นเอง

  พอถึงวันสงกรานต์ เธอพาข้าพเจ้าไปพบเพื่อนเธอและเพื่อนๆข้าพเจ้า ไอ้พวกเพื่อนๆมันบอกว่า..โคตรอิจฉามึง...ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามันคิดอะไร เลยสั่นหน้าบอกเป็นนัยว่า.. ไม่ใช่อย่างที่พวกมันคิด.. จากนั้นทั้งกลุ่มก็ไปเที่ยวสงกรานต์ที่เชียงใหม่ด้วยรถกระบะ โดยที่สาวสวยไม่รอสาวคนที่สอง

  ถึงวันที่พวกข้าพเจ้ากลับ แต่ความจริงข้าพเจ้าจะอยู่ต่อที่เชียงใหม่ ไปเยี่ยมญาติที่ย้ายไปอยู่ที่นั่น สาวทั้งสองคนมาส่งขึ้นรถ เธอน้ำตาไหลร้องไห้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเธอทั้งสองคิดอย่างไร แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ในช่วง "หนุ่มช่างกลกับสาวพาณิชย์"ไปแล้ว ได้แต่รับน้ำใจสาวเมืองยองเท่านั้น

  ภายหลังเพื่อนแต่งงานกับสาวที่เป็นต้นเหตุให้ไปเที่ยวที่นั่น แฟนมันบอกว่า จะว่าไปแล้วข้าพเจ้าทำผิดธรรมเนียมบ้านเขา เธอบอกว่างงเหมือนกันที่อยู่ๆเพื่อนเธอสองคนที่เป็นคนเรียบร้อย กลับกล้ามาแสดงออกว่าเลือกข้าพเจ้า ให้ได้ไปแอ่วสาวถึง 2 สาว 2 บ้าน จนเกิดสิ่งที่ทางบ้านท้องถิ่นนั้นเรียกว่า...ผิดผี...ข้าพเจ้านั้น ไม่รู้อะไรเลย

  คงเพราะคุณวิเศษพระผงสมเด็จแก้วสุทธิที่แสดงผลทางมหานิยมมหาเสน่ห์ สาวสวยที่เพิ่งเจอทั้งสองคน เกิดจิตอ่อนไหวอ่อนโยนอยากรู้จักขึ้นมาง่ายๆ



  สงกรานต์ในปีนั้นข้าพเจ้าแวะบ้านญาติที่ย้ายไปอยู่เชียงใหม่แถวๆวัดพระสิงห์ อยู่ๆก็เจอเพื่อนหญิงที่เป็นเพื่อนเก่า ซึ่งยังเคยมีการสังสรรค์เพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่ทุกปี แต่ตอนหลังเธอหายไป ที่แท้เธอสอบติดที่ ม.เชียงใหม่ อยู่หอพักคนเดียว ช่วงนั้นเธอกำลังจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ แต่เจอข้าพเจ้าเสียก่อน เธอเลยอยู่พาเที่ยวเชียงใหม่อีกหลายวัน

  จะด้วยความที่มาเจอกันอีกครั้งตอนที่เริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือมหานิยมวัตถุมงคลก็แล้วแต่ ข้าพเจ้าและเธอจึงพัฒนาความรู้สึกในช่วงนี้เอง ก็อยู่กันที่หอพักนี่แหละ โลกนี้มีแต่เราสองคน หวานแว๋วสุดๆ...แล้วก็กลับกรุงเทพฯด้วยกัน

  เรื่องข้าพเจ้ากับเพื่อนสาว​ไม่มีเพื่อนในรุ่นรู้​เราปิดเป็นความลับ​ แต่ต่อมาภายหลังไม่ได้เจอกัน เพราะติดต่อสื่อสารกันไม่ได้ เนื่องจากพอเรียนจบทำงานแล้วไม่นาน อยู่ๆมีการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์และเปลี่ยนเลขที่บ้านในกรุงเทพฯ หนุ่มสาวรุ่นข้าพเจ้าจำนวนมาก ที่ขาดการติดต่อกันเพราะสาเหตุนี้  

  ครั้งที่ไปเที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่นี้เอง พระสมเด็จแก้วสุทธิเปียกน้ำจนเนื้อพระละลาย ก็เลยถอดพระเก็บไว้บนหิ้ง แล้วชีวิตช่วงต่อจากนั้น เป็นช่วงวัยฝ่าดงตีน จึงเปลี่ยนไปแขวนพระหลวงพ่อองค์อื่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องหนังเหนียวคุ้มครอง ข้าพเจ้าผ่านการตีรันฟันแทงหลายครั้ง มีทั้งเลือดหัวกระจายเพราะหนังเหนียวไม่จริง และวัตถุมงคลบางหลวงพ่อเจอคงกระพันหนังเหนียวของจริง

  พระสมเด็จแก้วสุทธิของหลวงปู่แก้ววัดช่องลม ท่าฉลอม ที่ข้าพเจ้าพบประสบการณ์สุดยอดเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ ก็คือองค์ตามรูปนี่แหละ ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกจนถึงเดี๋ยวนี้

  เล่าเรื่องอภินิหารพระสมเด็จแก้วสุทธิของหลวงปู่แก้ว แล้วทำให้หวนระลึกถึงพวกเธอสาวๆในเรื่อง ยังระลึกถึงความทรงจำดีๆในครั้งนั้น


เรื่อง จากความทรงจำ
ภาพวัตถุมงคล ของข้าพเจ้าเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น