วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าฝรั่ง 3..แม่มด

แม่มด (Witch)

แม่มดเป็นคำที่ใช้เรียกผู้หญิงที่รู้เวทมนต์ ทุกชาติทุกภาษาต่างก็มีความเชื่อเรื่องแม่มดด้วยกันทั้งนั้น ส่วนมากมักเข้าใจกันว่าแม่มดเป็นพวกที่ไม่ดี ซึ่งไม่ถูกเสมอไป เพราะแม่มดฝ่ายที่ดีก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน แม่มดฝ่ายที่ร้ายจะเรียกกันว่าแม่มดดำ แม่มดที่ดีเรียกแม่มดขาว

แม่มดดำ คือแม่มดที่เคารพบูชาจอมปีศาจซาตาน(Satan) รวมทั้งปีศาจชั้นรองๆลงไปเช่น เบลเซบัพ ลิลิธ เวทมนต์ที่ใช้ก็จะดูร้ายๆน่ากลัว มีการฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญ มีพิธีกรรมที่ดูลึกลับน่าเกรงกลัว เช่นปริมณฑลที่เขียนด้วยเลือด   แม่มดดำจะมีชื่อเสียงเล่าลือกันไปในทางร้ายๆน่ากลัว จะมั่วสุมอยู่กับภูตผีปีศาจ วัตถุอาถรรพ์ที่น่าหวาดกลัวน่าขยะแขยงเช่นข้อมือมนุษย์ ลูกนัยน์ตา ซากสัตว์ ซากศพ

แม่มดขาว เป็นแม่มดที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ (Supreme being) เวทมนต์คาถาที่ใช้ก็จะออกไปทางที่ดีๆเช่นเวทมนต์รักษาโรค แม่มดขาวจะมีความสะอาด ปกติแล้วก็เหมือนผู้หญิงใจดีทั่วๆไป จะดูไม่ออกว่าเป็นแม่มดขาวเลย แต่แม่มดขาวก็มีความลึกลับเช่นกัน



 Witch  หรือแม่มดมาจาก  wit  ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง การหยั่งรู้  ต้องการรู้ ซึ่งความหมายดังนี้เข้ากับพฤติกรรมของแม่มดด้วย แม่มดจะสนใจอยากรู้และทดลองทั้งเวทมนต์และตัวยาต่างๆ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้แล้วคล้ายๆนักเล่นแร่แปรธาตุนักวิทยาศาสตร์ไม่น้อย 

   คนทั่วไปถ้านึกถึงแม่มด แทบทั้งหมดมักนึกถึงกันแต่เพียงแม่มดดำ จะคุ้นกับตำนานแม่มดที่ต้องมีรูปร่างน่ากลัว เป็นหญิงแก่จมูกงุ้ม สวมหมวกทรงแหลม เวลาจะไปไหนมาไหนก็ขี่ไม้กวาดเหาะไป จะมีแมวดำอยู่ข้างๆตัว มีหม้อใบใหญ่ๆไว้ต้มยาที่ใช้ในทางเวทมนต์ร้ายๆ อยู่ร่วมกับปีศาจ วันร้ายคืนร้ายก็จะออกไปสาปชาวบ้าน





   แม่มดจะมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งมีด้วยกัน 13 ตน  กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และจะมีการรวมตัวแม่มดกลุ่มต่างๆปีละสี่ครั้งซึ่งตรงกับวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่

วัน Candlemas(2 ก.พ.)
วัน Walpergist Night( 1พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ)
วัน Rammas Day(วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี)
และครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของปี คือวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันฮัลโลววีน 
การที่แม่มดกำหนดวันชุมนุมรวมกลุ่มกันในวันดังกล่าวนั้น นัยว่าเพื่อแสดงการแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนานั่นเอง

   การชุมนุมกันของแม่มดนั้น หากมีบุคคลภายนอกเข้าร่วมพิธีด้วย จะมีกฏข้อบังคับว่า ทุกๆคนจะต้องเปลือยกายเหมือนพวกแม่มด จะต้องยอมบูชาซาตาน การชุมนุมจะมีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนกระทั่งสมสู่กันในกลุ่มอย่างเสรี ในคืนวันเพ็ญที่แม่มดมาชุมนุมกันนั้น คนที่กลัวแม่มดจะแอบอยู่แต่ในบ้าน











   ความเชื่อเรื่องแม่มดนั้นทางฝรั่งยุคโบราณเขาเชื่อกันมาก ทั้งเชื่อทั้งหวาดกลัวแม่มดกันทั้งทวีปยุโรป ความเชื่อว่าแม่มดเป็นสิ่งชั่วร้ายได้ทวีความรุนแรงขึ้น จนถึงสมัยยุโรปยุคกลาง(Middle Ages) ที่บางช่วงเรียกว่ายุคมืด(Dark Ages) นั้น เกิดมีการตามล่าสังหารแม่มดกันอย่างขนานใหญ่ การล่าแม่มดในยุคนั้นมีหญิงผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกฆ่าอย่างน่าสยดสยอง ประมาณว่ามีผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดถูกฆ่าไปถึงประมาณไม่ต่ำกว่าสองแสนคน

   หลังจากมีหนังสือเล่มหนึ่งเกิดขึ้น การล่าแม่มดก็ยิ่งทวีความรุนแรงจนถึงขีดสุด การตามล่าสังหารแม่มดดำเนินต่อไปนับร้อยๆปี หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า มาเลอัส มาเลฟิคารัม(Malleus Maleficarum) หรือ คู่มือล่าแม่มด(Hammer of Witches)  เป็นหนังสือที่แต่งโดย ไฮน์ริช เครมเมอร์ (Heinrich Kramer) และ จาคอบ สเปรนเกอร์ (Jacob Sprenger) 


หนังสือคู่มือล่าแม่มด ต่อมาโดนประณามว่าเป็นหนังสือที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก

   ไฮน์ริช เครมเมอร์และจาคอบ สเปรนเกอร์ นั้นเป็น ผู้พิพากษาที่สนองพระโองการสำนักพระสันตะปาปา (Papal Bull) ประกาศสำเร็จโทษพวกพ่อมด แม่มด หมอผีทั้งหลายอย่างรุนแรง ทั้งคู่เป็นเป็นชาวโดมินิกัน โดยบาทหลวงไฮน์ริช เครมเมอร์ เป็นอดีตเจ้าหน้าที่สอบสวนจากแคว้นไทรอล(อยู่ระหว่างออสเตรีย ตะวันตกและทางเหนือของอิตาลี) และจาคอบ สเปรนเกอร์(ทางเหนือของสวิสเซอร์แลนด์บนฝั่งแม่น้ำไรน์) 

   หนังสือ Malleus Maleficarum แปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Hammer of Witches คู่มือสำหรับการล่าแม่มด มีตัวอักษรประมาณ 250,000 คำ หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลแพร่หลายนานถึงสองศตวรรษ แล้วในที่สุดหนังสือคู่มือล่าแม่มดได้ถูกเรียกว่าเป็นหนังสือที่ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา และคนทั้งหลายเห็นว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ไม่ควรมีในโลก 

   พวกที่ทำการล่าสังหารแม่มดในประเทศต่างๆนั้น ต่างก็ใช้วิธีการตรวจสอบไต่สวนที่น่าขยะแขยงที่มีในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีวิธีทรมานโหดๆต่อหญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เพื่อให้ยอมรับและสารภาพ แน่นอนว่าผู้ที่ถูกทรมานต้องจำยอมรับสารภาพเพราะทนรับการทรมานที่โหดเหี้ยมไม่ไหว วิธีการทรมานมีสารพัด เช่น ตอกเล็บ บีบขมับ เข้าเครื่องยืดแขนขา บีบอัดขา เอาเหล็กเผาไฟจนแดงจี้ตามตัว จนถึงวิธีฆ่าแม่มดแบบโหดเหี้ยมทารุณ เช่นวิธี "แสตปตาโด" โดยจับเปลื้องผ้าจนร่างเปลือยเปล่า แล้วเอาร่างผู้ต้องสงสัยขึ้นแขวนโยงกับรอก และถ่วงน้ำหนักที่เท้า ดึงห้อยแขวนไว้ จนกว่าจะยอมสารภาพ หรือการฆ่าผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดด้วยการมัดร่างกับหลักไม้แล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น มีทั้งการเผาแบบเดี่ยวและเผาสังหารคราวละหลายๆคน

      หนังสือ มาเลอัส มาเลฟิคารัม(Malleus Maleficarum) ก่อให้เกิดการลงโทษคนบริสุทธิ์นับล้านคนในยุคกลางของยุโรป คนที่ไม่ได้เป็นแม่มดต้องยอมรับสารภาพเพราะทนรับการทรมานไม่ไหว








  ผู้ถูกสงสัยว่าเป็นแม่มดที่ยังไม่ถูกทรมานนั้น ก็มีการทดสอบว่าจะเป็นแม่มดจริงหรือไม่ แต่เป็นการทดสอบที่ไปๆมาๆก็เป็นการทรมานอยู่นั่นเอง และถึงตายเอาได้ง่ายๆด้วยคือ จะจับมัดมือมัดเท้าแล้วโยนลงน้ำ โดยตั้งสมมติฐานว่า ถ้าเป็นแม่มดจะต้องลอยน้ำได้ แต่ถ้าไม่ได้เป็นแม่มดก็จะต้องจมน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดเกิดจมน้ำแล้ว ก็จะรอว่าจมน้ำจริงๆไม่ได้แกล้งจม กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่แม่มดก็ขาดใจตายไปแล้ว

จับผู้ต้องสงสัยถ่วงน้ำพิสูจน์แม่มด

   การตรวจสอบแม่มดที่พิลึกพิลั่นอีกแบบหนึ่งก็คือ จะจับตัวผู้ถูกกล่าวหามาชั่งน้ำหนัก โดยเชื่อกันว่าแม่มดจะต้องมีน้ำหนักตัวเบามากเพราะไม่ใช่คน แม่มดมีน้ำหนักตัวเบาจึงสามารถบินได้ การทดสอบวิธีนี้ดูเหมือนไม่โหดร้าย แต่ในความเป็นจริงว่าน้ำหนักจะเบาหรือปกติ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ทดสอบแม่มดว่าจะให้ผลลงเอยอย่างไรนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าผู้บริสุทธิ์ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นแม่มดเสมอ โดยเฉพาะพวกยากจนและพวกที่ผู้ทดสอบและศาลไม่ชอบหน้า 

การชั่งน้ำหนักแม่มด


   วิธีตรวจสอบอีกวิธีหนึ่งตามที่หนังสือล่าแม่มดบอกไว้คือ การตรวจหา รอยปีศาจซึ่งเป็น รอยที่ปีศาจทิ้งไว้แทนคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่มดเจ้าหน้าที่จะหา"รอยปีศาจ"นี้โดยโกนผมและขนทุกเส้นบนร่างกายของผู้ต้องสงสัย แล้วจึงตรวจตามร่างกายอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมต่อหน้าพยาน ซึ่งก็เป็นพวกของเจ้าหน้าที่นั่นเอง การตรวจจะเอาเข็มแทงตามจุดต่างๆของร่างกายที่มีตำหนิมาตั้งแต่เกิด เช่น รอยแผลเป็น หูด ไฝ ปาน  ถ้าแทงแล้วไม่เจ็บหรือเลือดไม่ออก แสดงว่าจุดนั้นเป็นรอยปิศาจสัญลักษณ์แห่งซาตาน แต่แน่นอนว่าถ้าผู้ต้องสงสัยแสดงอาการเจ็บปวด ก็จะยังไม่เชื่อว่าเจ็บจริง จะคิดไว้ก่อนว่าแม่มดแกล้งเจ็บ จึงจะทรมานต่อไปจนพอใจ ผู้รอดชีวิตจากการทดสอบจำนวนมากนั้น ในที่สุดแล้วอาจต้องพิการหรืออาจถึงตายในเวลาต่อมา


การตรวจหา รอยปีศาจ


    ในยุโรปยุคกลางนั้น มีผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดถูกจับเผาทั้งเป็นไปไม่น้อยกว่าสองแสนคน ผู้ต้องสงสัยที่เคราะห์ร้ายนั้น ปรากฏว่าถูกใส่ร้ายเอาดื้อๆ ผู้ที่จะรอดจากการถูกเผาทั้งเป็นมีทางเดียวคือต้องติดสินบน แน่นอนว่าต้องเป็นคนรวยเท่านั้นจึงจะมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะต่อรองได้ บางทีก็ต้องยอมพลีกายให้ข่มขืนเพื่อแลกกับการตัดสินว่าไม่ใช่แม่มด ช่วงยุโรปยุคกลางนับเป็นช่วงฝันร้ายของผู้หญิง

     การกล่าวหาใครว่าเป็นแม่มดนั้น ก็สามารถทำกันได้ง่ายๆอย่างเหลือเชื่อเช่น เกิดความแห้งแล้ง หรือเกิดภัยทางธรรมชาติพวกเกิดพายุ เกิดน้ำท่วม เกิดโรคระบาด แม้แต่คนป่วยตามปกติ ก็จะคิดกันง่ายๆว่าเป็นเพราะแม่มดทำให้เกิดขึ้น จากนั้นก็จะเกิดการระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และมักมีตัวเลือกอยู่ในใจแล้วให้เป็นแพะรับบาป 






    หลักฐานในการกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนั้นก็ง่ายจนเหลือเชื่อเช่น แค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็โดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มด หรือบางทีผู้ถูกกล่าวหามีความรู้ทางสมุนไพร ก็โดนข้อหาว่าเป็นแม่มดได้แบบดื้อๆ นอกจากนี้หญิงสาวที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย เพราะต้องสงสัยว่าจะต้องทำสัญญาปีศาจ โดยแลกความสวยงามกับการยอมเป็นสาวกของปีศาจ ในสมัยนั้นผู้ชายที่มีอำนาจมีฐานะนั้น ชอบกล่าวหาผู้หญิงที่ไม่ยอมพลีกายให้ตนเองว่าเป็นแม่มด ทั้งยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง และจบลงด้วยการลากหญิงเคราะห์ร้ายไปเผาไฟทั้งเป็นโดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างเอาเองว่า "สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต ( "Thou shlt not a suffer a witch to live" )"










คดีของ เอลลิน ฮอวส์นอส
   ตัวอย่างของหญิงเคราะห์ร้ายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดมีหลายราย เช่น คดีของ เอลลิน ฮอวส์นอส ซึ่งเป็นหญิงม่ายที่ยังอยู่ในวัยสาว เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเพียงแค่เพราะทะเลาะกับสามีเก่าเท่านั้น

   เหตุเกิดขึ้นในตลาดของวันหนึ่ง มาแรตต้า ลาริสซ่า สามีที่หย่าไปของเธอเกิดมีปากเสียงกับเอลลินขึ้นกลางตลาด 
ครั้นเมื่อไม่สามารหาเหตุผลใดมาว่าร้ายเอลลินได้ มาเรตต้าก็ด่าเอลลินด้วยถ้อยคำต้องห้ามในสมัยนั้น ซึ่งน่ากลัว
และเสี่ยงต่อการติดคุกต่อผู้ถูกด่ามากคือคำว่า "แม่มด" เอลลินจึงตบหน้าของมาเร็ตต้า มีผู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมากเพราะเหตุเกิดขึ้นในตลาด

   หลังจากนั้นไม่นานบังเอิญ มาเรตต้า ผู้เป็นสามีเก่าของเอลลินเสียชีวิต เอลลินจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เพราะไปทะเลาะกันก่อนหน้านี้ 
เอลลินโดนจับขังคุกและจะต้องถูกทดสอบความเป็นแม่มดด้วยการถูกจับถ่วงน้ำ ซึ่งถ้าจมก็แสดงว่าไม่ใช่แม่มด แต่ถ้าลอยขึ้นมาได้ก็แสดงว่าเป็นแม่มด เอลลินจึงต้องผ่านการทดสอบที่ไร้เหตุผลนี้ ถ้าผ่านได้ก็มีโอกาสรอด 

การกล่าวหาว่าเป็นแม่มด

   ก่อนการทดสอบเธอได้พบกับ ฮาเกิ่น ผู้ทรมานแม่มด ซึ่งเคยผ่านคดีพิสูจน์แม่มด และเคยเป็นผู้ทรมานแม่มดมาจนนับไม่ถ้วน ฮาเกิ่นเห็นว่าเอลลินยังสาวและสวย จึงยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนกับเอลลินในการไม่ถูกจับถ่วงน้ำ โดยที่เอลลินต้องยอมพลีกายร่วมเพศด้วย เอลลินต้องยอมตกลง ในที่สุดเอลลินก็ได้รับการปล่อยตัว


   เรื่องยังไม่จบแค่นั้นเพราะอีก 10ปีต่อมา เอลลินถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดอีกครั้ง ตอนนั้นเอลลินแต่งงานกับโอลูฟ และมีลูกชายหนึ่งคนอายุราว 8 ขวบ เอลลินถูกตั้งข้อหาเพียงเพราะคู่หมั้นของน้องสาวถอนหมั้น และเอลลินทะเลาะกับพ่อของสามีเก่าที่เสียชีวิต เป็นความบังเอิญที่ในเวลาต่อมา สัตว์เลี้ยงและพืชผลของพ่อสามีเก่าเสียหาย เอลลินจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดอีกครั้งด้วยข้อหาว่า ทำให้สามีคนแรกเสียชีวิต ทำเสน่ห์ใส่คู่หมั้นของน้องสาว ใช้อำนาจของแม่มดสาปพ่อสามีเก่าจนเป็นเหตุให้สัตว์เลี้ยง และพืชผลเสียหาย

   ฮาเกิ่นเป็นผู้ทดสอบแม่มดอีกเช่นเดิม คราวนี้ผู้พิพากษาศาลได้บอกฮาเกิ่นว่า หากเขาพบว่าเอลลินไม่มีความผิด เขาก็ควรจะปล่อยให้เธอผิด เพราะ
เอลลินไม่ได้เป็นสาวสวยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อย่างไรเขาก็ได้เงินค่าตอบแทนอยู่แล้ว ด้วย จึงไม่จำเป็นที่จะต้องช่วยเอลลิน ข้อนี้เป็นการบอกว่าผู้พิพากษาต้องการให้เอลลินตาย

ตรวจหารอยปีศาจ
   ฮาเกิ่นบอกลายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับตำหนิของร่างกายเอลลินว่า เธอมีแผลเป็นตรงไหนบ้าง เพื่อใช้อ้างว่าเธอมีตำหนิสัญลักษณ์ของแม่มดที่เรียกว่า "รอยปีศาจ"  เมื่อผู้ตรวจแม่มดซึ่งเป็นหญิงมาตรวจร่างกายของเอลลิน ก็พบตำหนินั้นและยืนยันว่าเอลลินเป็นแม่มด

   ศาลตัดสินว่าเอลลินเป็นแม่มดจริงและ ถูกสั่งให้โกนหัวก่อนจะโดนประหารด้วยการตัดคอ

   ตัวอย่างผู้เคราะห์ร้ายอีกรายคือคดี แม่มดแห่งนอร์ธ เบอร์วิก
คดี แม่มดแห่งนอร์ธ เบอร์วิก (North Berwick)
    คดีนี้เกิดขึ้นในสกอตแลนด์ และเป็นคดีเผาแม่มดรายแรกของสกอตแลนด์ ทั้งยังเป็นคดีที่กี่ยวข้องกับราชวงศ์แห่งเดนมาร์กและสก็อต โดยพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ (ภายหลังขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ) ได้รับทราบแผนการลอบปลงพระชนม์ที่ เอิร์ล แห่ง โบธเวลล์ (Bothwell) เป็นผู้วางแผนโดยใช้แม่มดให้ทำพิธีเรียกพายุถล่มเรือ

  เริ่มจากพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แล่นเรือไปยังโคเปนเฮเกนเพื่อจะแต่งงานกับเจ้าหญิงแอนน์น้องสาวของพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 กษัตริย์แห่งเดนมาร์ก 


ภาพรายงานเหตุการณ์จากหนังสือ Newes From Scotland ในยุคนั้น

   ระหว่างที่กลับไปยังสกอตแลนด์(ข้อมูลมีแตกต่างบ้างว่า พระเจ้าเจมส์ที่ 6 ไม่ได้ไปเดนมาร์ก แต่ทางเดนมาร์กส่งเจ้าหญิงแอนน์ ให้เดินทางไป) เรือพระที่นั่งพบพายุที่น่ากลัว และต้องหลบอยู่ในนอร์เวย์เป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่แล้วกลับเกิดการกล่าวหาว่าเรือโดนพายุเพราะอำนาจแม่มด ทางด้านเดนมาร์กได้กล่าวหา แอนนา โคลดิ้ง ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดพายุ แอนนาถูกกดดันให้เปิดเผยชื่อของผู้หญิงห้าคน ซึ่งได้ถูกบังคับให้สารภาพว่าใช้เวทมนตร์เรียกพายุให้ขัดขวางการเดินทางของเจ้าหญิงแอนน์ และพวกเขาได้ส่งปีศาจปีนขึ้นไปที่กระดูกงูของเรือ

   ส่วนเอิร์ล แห่งโบธเวลล์ ผู้เป็นราชนัดดาที่ก่อการทั้งหมดได้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศ ชิชิลี

   ต่อมาในเดือนกันยายนหญิงผู้ถูกกล่าวหาสองคนถูกตัดสินว่าเป็นแม่มด และถูกจับเผาทั้งเป็นที่ Kronborg  เมื่อพระเจ้าเจมส์ได้ยินข่าวจากเดนมาร์กเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้ตัดสินใจที่จะตั้งศาลพิพากษาคดีแม่มด ผู้ถูกกล่าวหาว่าใช้เวทมนต์ให้เกิดพายุขัดขวางเรือลำดังกล่าวคือ แอ็กเนส ซิมป์สัน(Agnes Simpsonหรือ แอ็กเนส จอห์น) และ ด็อกเตอร์ จอห์น ฟาน(หรือ จอห์น เฟียน)

   แอ็กเนส โดนจับมัดขังคุก และโดนสวมหน้ากากแม่มด ซึ่งเป็นหน้ากากทำด้วยเหล็กมีง่ามแหลมสี่อัน พอใส่หน้ากากแล้วง่ามแหลมนี้จะถ่างปากให้อ้าออก และจะเกี่ยวจนทะลุแก้ม แอ็กเนสทนไม่ไหวต้องยอมรับสารภาพว่าเป็นแม่มดใช้เวทมนต์สร้างพายุขัดขวางเรือพระที่นั่ง แอ็กเนสโดนประหารชีวิตด้วยการรัดคอและเผาไฟ






   หมอจอห์นโดนทรมานด้วยการสกัดเล็บและโดนแทงด้วยเหล็กแหลม ในที่สุดก็ทนการทรมานไม่ไหวจนต้องยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ร่วมกันกับแอ็กเนสใช้เวทมนต์สร้างพายุ หมอจอห์นถูกลงโทษด้วยการมัดกับเสาแล้วเผาที่เมืองเอดินเบอระในวันที่ 16 ธันวาคม

ภาพรายงานเรื่องหมอจอห์น

 ผู้ถูกใส่ร้ายว่าเป็นแม่มดที่โด่งดังที่สุดก็คือ ฌาน ดาร์ก หรือ  โยนส์ออฟอาร์ค 


ฌาน ดาร์ค ( Jeanne d'Arc , Jehanne Darc หรือโจนออฟอาร์ก , โยนส์ออฟอาร์ค) ( 6 มกราคม ค.ศ. 1412 - 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1431) ชาวคาทอลิกเรียกว่านักบุญโยนออฟอาร์ค เป็นวีรสตรีของฝรั่งเศสและเป็นนักบุญในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก โจนมาจากครอบครัวชาวนาที่เกิดทางตะวันออกของฝรั่งเศสและเป็นผู้นำกองทัพฝรั่งเศสในสงครามร้อยปีหลายครั้งที่ได้รับชัยชนะต่อฝ่ายอังกฤษโดยอ้างว่ามีพระเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง และเป็นผู้มีส่วนทางอ้อมในการขึ้นครองราชบัลลังก์ฝรั่งเศสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 

ฌาน ดาร์ค

    ฌาน(โจน)อ้างว่าได้รับนิมิตจากพระเจ้าผู้ทรงบอกให้ไปช่วยกู้บ้านเมืองคืนจากการครอบครองของฝ่ายอังกฤษในปลายสงครามร้อยปี มกุฎราชกุมารชาร์ลส์ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ทรงส่งโจนไปช่วยผู้ถูกล้อมอยู่ในเมืองออร์เลอองส์ ฌานสามารถเอาชนะทัศนคติของนายทัพผู้มีประสบการณ์ได้และสามารถยุติการล้อมเมืองได้ภายใน 9 วัน หลังจากนั้นการได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดหลายครั้งก็นำไปสู่การราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ที่แรส์(Reims) 




   โจนถูกจับโดยฝ่ายเบอร์กันดีและถูกขายให้แก่ฝ่ายอังกฤษ ว่ากันว่าโจนถูกจับเพราะโดนฝ่ายของตัวเองหักหลัง ต่อมาโจนถูกพิจารณาคดี และในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ.1431 โจนถูกเผาทั้งเป็นในข้อหาว่าเป็นพวกนอกรีตหรือแม่มดเมื่ออายุ 19 ปี การเผาโจนนั้นนับว่าทารุณกรรมและไร้มนุษยธรรมอย่างที่สุด คือ หลังจากเผาโจนครั้งแรกแล้วมีการเกลี่ยกองไฟหาร่างที่ยังเหลือของโจน จากนั้นจึงทำการเผาซ้ำอีกถึงสองครั้ง แล้วนำเถ้าของโจนและเศษถ่านไฟทั้งหมดไปทิ้งลงในแม่น้ำแซน  





   ยี่สิบสี่ปีต่อมาพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 ไม่ทรงสามารถที่จะแสดงพระองค์ว่าทรงได้รับอำนาจมาจากผู้ที่ถูกประณามว่าเป็นผู้นอกรีต สมเด็จพระสันตะปาปาคาลิกซ์ตุสที่ 3 จึงทรงมีคำสั่งให้มีตั้งศาลใหม่ในการพิจารณาการดำเนินการการพิจารณาคดีและการตัดสินของศาลแรก ศาลสรุปว่าโจนเป็นผู้บริสุทธิ์ ทางศาลได้ประกาศว่าโจนเป็นผู้บริสุทธิ์เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ.1456 และทางวาติกันประกาศให้โจนเป็น มรณสักขี(มรณสักขี : martyr หมายถึงคริสต์ศาสนิกชนที่ถูกทรมานจนตายหรือถูกฆ่าหรือถูกลงโทษให้ประหารชีวิตเพราะความเชื่อ)

   ในปี ค.ศ. 1909 โจนก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นบุญราศี(บุญราศี : Beatification คือกระบวนการที่คริสตจักรโรมันคาทอลิกกำหนดขึ้นเพื่อรับรองว่าบุคคลหนึ่งได้เข้าสู่สวรรค์และสามารถวอนขอพรจากพระเป็นเจ้าแทนมนุษย์บนโลกได้) และต่อมาโจนได้รับการประกาศเป็นนักบุญเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1920 วันฉลองนักบุญโจนออฟอาร์คตรงกับวันที่ 30 พฤษภาคม 

   โจนออฟอาร์คกลายเป็นเซนต์หรือนักบุญหลังจากถูกใส่ร้ายว่าเป็นพวกนอกรีตหรือแม่มด ใช้เวลาถึงเกือบห้าร้อยปี

เรียบเรียงใหม่จาก วิกิพิเดียไทยและอังกฤษ , www.jw.org , www.cmxseed.com

  





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น