ยันต์สลักเกล้า
ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าผู้เขียนมีอายุถึงวัยหลังเกษียณ
ก็เกิดอารมณ์อย่างหนึ่งขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้ คือ
อารมณ์ระลึกอดีต...ก่อนที่จะแซยิดนั้นถึงจะระลึกอดีตก็แค่เป็นครั้งคราว
พอแซยิดเป็นต้นมา...แมร่ง ระลึกอดีตอยู่เรื่อย ระลึกแล้วบางทียังสะดุ้งว่า
กรูเคยทำแบบนั้นไปได้ไงวะ
การระลึกอดีตบ่อยๆก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย เช่น
สาวๆ(ในยุคนั้น)ที่เราลืมเธอไปนาน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยสนิทกันอย่างไร
แล้วพลัดพรากอย่างไร
แม้แต่หลายๆเหตุการณ์ที่เคยไปกราบพระอาจารย์ด้วยกันซึ่งเราเลือนๆไปแล้ว
พอระลึกถึงเธอๆๆ
ก็ทำให้นึกออกว่าวันนั้นได้คุยกับหลวงปู่หลวงพ่อพระอาจารย์เรื่องใดบ้าง
ข้าพเจ้าระลึกอดีตที่พาแฟนซึ่งก็คือภรรเมียในปัจจุบันไปกราบหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ
หลวงพ่อท่านทักว่า.. “อ้าว...มึงพาสาวคนใหม่มาอีกแล้ว
ไม่ใช่สาวคนเดิมนี่หว่า”...แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะหึๆๆเมื่อเห็นแฟนข้าพเจ้าหน้าจ๋อย
ท่านหัวเราะพูดว่า... “กูล้อเล่น
ไอ้นี่มันชอบมาคนเดียวมาถามโน่นนี่กับกูอยู่เรื่อย”
หวนระลึกไปถึงครั้งเรียนประถมปลาย
ทางโรงเรียนพาไปทัศนศึกษาที่หอสมุดแห่งชาติ ก็นานถึงห้าสิบกว่าปีนิดๆ
ระลึกอดีตตรงนี้แล้วนึกได้ถึงเพื่อนหญิงที่ลืมเธอไปแล้ว
ครั้งนั้นคุณครูแยกกลุ่มนักเรียนให้ค้นหนังสือทำรายงาน
ข้าพเจ้าคู่กับเพื่อนหญิงที่เราลืมเธอไปแล้ว
มานึกได้ก็ตอนระลึกอดีตการไปหอสมุดแห่งชาติเป็นครั้งแรกนี่เอง
จำได้ว่าช่วยกันค้นระเบียนรายชิ่อหนังสือ ซึ่งสมัยนั้นเป็นลิ้นชักเล็กๆยาวติดกันเป็นแผง
ต้องไปค้นหาชื่อหนังสือ จะเจอเลขรหัสของโซนและชั้นวางหนังสือ เราเรียกลิ้นชักที่มีรายชื่อหนังสือว่า
“เก๊ะรายชื่อหนังสือ”
หลังจากนั้น
ข้าพเจ้าชอบไปอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติ อ่านหนังสือหลายหลาก
จนกระทั่งในกาลต่อมา ก็เริ่มรู้จักค้นหายืมตำราสมุดข่อยมาดู ดูโหราศาสตร์ วิทยาคม
ภาพวาดจิตรกรรม
เมื่อเรียนชั้นมัธยมก็ทำบัตรหอสมุดแห่งชาติ
แล้วไปหาหนังสืออ่านเล่น จนกระทั่งเรียนช่างกลก็ยังไปค้นหนังสืออ่านเหมือนเดิม
จนกระทั่งไปค้นตำรับตำราสมุดไทยสมุดข่อยปั๊บสา เรื่องนี้มีขั้นตอนการขอดูหนังสือด้วย
ไม่ใช่ว่าเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปค้น...และแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นตำราเก่ามากมาย
หลายเล่มมียันต์รูปภาพสวยๆก็จดและจำเอามา มียันต์หนึ่งซึ่งจำได้แม่นชื่อว่า ยันต์สลักเกล้า
ในตำราเขียนชื่อยันต์เป็นตัวอักษรขอมซึ่งถอดเป็นอักษรไทยว่า ยันสลักเกลา อ่านว่า
ยันต์สลักเกล้า
ยันต์สลักเกล้านี้ข้าพเจ้ายังได้เห็นสำเนาอื่นจากที่หอสมุดและจากพระอาจารย์ทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ทั้งยังได้เคยสอบทานจากพระอาจารย์ทางแถบเพชรบุรี
พบว่าเป็นยันต์เดียวกันแต่มีการคัดลอกจดจำต่างกันบ้างนิดๆหน่อยๆ ส่วนมากหลวงปู่หลวงพ่อมักจะเรียกว่า
หนุมานถวายแหวน หนุมานสะกดทศกัณฐ์ หนุมานสลักเกสา หนุมาณปราบลงกา และ สลักเกล้า
ข้าพเจ้าเห็นและได้ยินมาเช่นนี้
ตำราที่ท่านอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ได้จัดพิมพ์นั้น ในฉบับหนึ่งก็มียันต์
สลักเกล้า ซึ่งเป็นยันต์ในชุดตำรับวัดประดู่ทรงธรรม อยุธยา ท่านอาจารย์เทพย์เล่าไว้เองในคำนำว่า
การจัดพิมพ์ตำรานั้นครั้งแรกเริ่มมาจากท่านเจ้าคุณศรีฯสนธิ์วัดสุทัศนฯ
ประสงค์จะรวบรวมตำราเพื่ออนุรักษ์เผยแพร่
โดยท่านอาจารย์เทพย์รับหน้าที่จัดพิมพ์ให้สำเร็จ
ทั้งท่านยังช่วยหาตำราสำนวนอื่นมาสอบทานกับตำราเดิมของท่านเจ้าคุณฯศรี ตำราก็จัดพิมพ์เป็นชุดต่อๆมา
เรื่องนี้ในปัจจุบันคนไม่ค่อยรู้ เพราะไม่อ่านคำนำกันสักเท่าไร ก็แปลกดี
ในตำราเล่มที่มีตำรับวัดประดู่ฯ
มียันต์สลักเกล้ารวมอยู่ด้วย โดยสะกดคำอ่านว่า ยันต์ ยมสลักเกลา
ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า
ท่านอาจารย์เทพอาจจะเห็นตำรับสำเนาหนึ่งที่เขียนอักษรขอมคลาดเคลื่อนไปนิด
และเขียนในสไตล์ขอมไทย ซึ่งข้าพเจ้าก็เคยเห็นแบบนี้เหมือนกัน คือ เขียนตัวขอมเป็น
ยะ มีตีนอักษรใต้ตัวยะเป็น มะ เขียนแบบนี้จะอ่านว่า ยม หรืออ่าน ยัม ซึ่งมีตำราเล่มอื่นที่เขียนเป็นตัว
ยะ และมีตีนอักษรเป็น น ท่านอาจารย์เทพย์ท่านคงยึดตามตำราเล่มที่เห็น
คือยึดตามหลักฐานชั้นต้นไปก่อน
จากยม
บ้างก็อ่านเป็นยัมแบบไม่ใส่ไม้หันอากาศ
ซึ่งในการเขียนขอมไทยก็มีเขียนแบบใส่วรรณยุกต์บ้างไม่ใส่บ้าง
เคยพบว่าเขียนแบบนี้จริงๆ ส่วนที่เขียนเป็น ยะ และมีตีนเป็น น แบบนี้ชัดๆเลยว่า
อ่านว่า ยัน ก็คือ ยันต์ นั่นเอง คำถัดไปเป็น เกลา อ่าน เก-ลา หรือ เกลา ในขอมไทยมีทั้งใส่วรรณยุกต์และไม่ใส่
เวลาอ่านถึงกับต้องเดาเอาก็มาก ดังนั้นคำว่า เกลา จึงอ่าน เกล้า รวมเป็นชื่อว่า
ยันต์สลักเกล้า
![]() |
การเขียนชื่อยันต์สลักเกล้าที่เคยพบ |
คำว่ายันต์สลักเกล้า ยันต์ยมสลักเกลา กลับไม่ค่อยมีการเรียก
แต่ไปปรากฏชื่อโดยทั่วไปอย่างแพร่หลายว่า ยันต์ไมยราพสะกดทัพ
ข้าพเจ้าเองก็ได้ยินแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งวัยรุ่น(แหม ก็ตั้ง 50กว่าปีก่อนแน่ะ)
ในวงการพระเครื่องจะเรียกชื่อยันต์ไมยราพสะกดทัพกันอย่างแพร่หลาย
ทั้งยังยกย่องว่าเป็นยันต์ชั้นสุดยอดยันต์หนึ่ง
ที่ดังสุดนิยมสุดก็เป็นของหลวงพ่อกุนวัดพระนอน จ.เพชรบุรี
![]() |
หลวงพ่อกุนวัดพระนอน |
![]() |
ยันต์ของ ล.พ.กุน ภาพจากอินเทอเน็ต หาต้นทางไม่เจอ |
พระอาจารย์และคนเก่าๆทาง จ.เพชรบุรีเล่าว่า หลวงพ่อกุนท่านลงยันต์แล้วลบถมเพื่อลงยันต์ซ้ำ
บางทีไปลงยันต์ตามป่าช้า เมื่อเสกตามตำรับแล้วขลังดีนัก
ตะกรุดมีทั้งที่ลงยันต์ด้านหน้าและด้านหลัง ที่ไม่ลงยันต์ด้านหลังก็มี
แต่ถึงจะไม่มียันต์ด้านหลัง ตะกรุดหลวงพ่อกุนก็ขลัง
![]() |
ภาพสมุดต้นฉบับ |
รูปยันต์ด้านหน้าพบว่ามีแปลกไปบ้าง คือ รูปทศกัณฐ์กับนางมณโฑนั้น มีทั้งแบบที่นอนหลับเอามือกอดกันเฉยๆ
และมีแบบที่ทศกัณฐ์จับหน้าอกนางมณโฑ ก็คือจับนมนางมณโฑนั่นเอง
ข้อนี้ตรงตามที่คนเก่าๆท่านเล่าขำๆว่า “นางมณโฑนมโตข้างเดียว”
เพราะรูปทศกัณฐ์นางมณโฑมักวาดเป็นทศกัณฐ์ชอบจับนมข้างหนึ่งของนางมณโฑ
นมเลยบวมโตอยู่ข้างเดียว
รูปยันต์ด้านหลังซึ่งมีบ้างไม่มีบ้าง จะเป็นรูปส่วนศีรษะของทศกัณฐ์นางมณโฑ
และมัดมวยผมเข้าด้วยกันเป็นเกลียว การที่มัดมวยผมเข้าด้วยกันนี้
ก็คือการสลักเกล้านั่นเอง
![]() |
แผ่นยันต์สลักเกล้าด้านหน้า |
ยันต์นี้ไปดังที่ จ.เพชรบุรี เหตุเพราะหลวงพ่อกุนวัดพระนอนท่านเสกปลุกมอบให้ศิษย์มีประสบการณ์สุดขลัง
ทั้งท่านยังเป็นพระอาจารย์ยุคเก่า ท่านสร้างตะกรุดนี้ไว้จนเหมือนเป็นวัตถุมงคลหลักของท่าน
มีชื่อเสียงร่ำลือมาจนถึงปัจจุบัน
![]() |
ยันต์สลักเกล้าของหลวงพ่อแลวัดพระทรง
ภาพจากอินเทอเน็ต
ยันต์สลักเกล้าเป็นยันต์ตำรับวัดประดู่ทรงธรรม
กรุงเก่า มีการคัดลอกออกไปโดยศิษย์ตั้งแต่ครั้งโบราณ
เมื่อคัดลอกเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น ก็ย่อมต้องมีที่คลาดเคลื่อนกันไปบ้าง
บางกรณีเราเห็นยันต์จากสำนวนหนึ่ง แล้วไปเห็นอีกสำนวนหนึ่งที่ต่างกัน เรานึกว่าคลาดเคลื่อน
แต่บางทีนั่นคือความลับ เพราะเป็นเรื่องของการเน้นการใช้ให้เด่นไปในทางใดทางหนึ่ง
เรื่องนี้ข้าพเจ้าเองเคยเข้าใจผิดมาแล้ว นั่นคือ เข้าใจผิดตรงที่หนุมานคือ
มีทั้งหนุมาณถือ แหวน จักร พวงมาลัย เข้าใจผิดไปว่า ตำราเขียนผิด แต่พอนึกถึงตำรับนั้นๆที่มีคาถาเสกแปลกออกไป
จึงรู้ว่าที่แท้นี่คือความลับที่เน้นเสกด้านนั้นๆนี่เอง เช่น มีแหวนเพิ่มเจรจามหาอำนาจ
จักรเพิ่มมหาปราบ พวงมาลัยเพิ่มมหานิยมมหาเสน่ห์
![]() |
แผ่นยันต์สลักเกล้าด้านหลัง |
นอกจากนี้ยังมีการแยกใช้ยันต์ด้านหน้าใช้ทางคุ้มครองป้องกันภัย คาถาที่เสกเน้นทางอำนาจ คงกระพัน จังงัง สะกด และแยกใช้เฉพาะยันต์ด้านหลังเป็นมหานิยมมหาเสน่ห์ คาถาที่เสกก็เป็นคาถามหานิยมมหาเสน่ห์ เรียกจิต
ถ้าสรุปโดยรวมถึงคุณวิเศษของยันต์สลักเกล้า
ก็ประมาณว่า คุ้มครองป้องกันภัย ป้องกันและล้างคุณไสยอาถรรพ์ ทั้งยังอยู่ยงคงกระพัน
สะกดให้เคลิ้มเผลอไผล ส่วนเรื่องการสะกดคนให้หลับไหลนั้น
แบบนี้มันระดับผู้มีวิทยาคมประกอบแล้ว
เรื่องจากความทรงจำที่เคยเห็นจากสมุดข่อยต่างๆ
,จากการสอบถามพระอาจารย์
ภาพ ล.พ.กุนและยันต์ จากอินเทอเน็ตแต่หาต้นทางไม่เจอ
ภาพแผ่นยันต์
ภาพสมุดต้นฉบับเป็นของข้าพเจ้าเอง