ช่วงปลายปี
พ.ศ. 2566 ข้าพเจ้าติดโควิด จึงเป็นคนทันสมัยได้ในทันที
ในช่วงที่ติดโควิดได้ระลึกถึงเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา หลายเรื่องเคยลืมไปนานแล้ว
พอป่วยครั้งนี้กลับได้ความทรงจำกลับมาตั้งหลายๆเรื่อง
พอนึกได้ก็เลยเขียนบันทึกความทรงจำเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
และบางเรื่องก็นำมาเล่าสู่กันฟังดังเช่นเรื่องนี้
แหม...พอผลตรวจเป็นโควิด ต้องกักบริเวณ
ก็เลยมีเวลาว่างซะงั้น...ว่างเฉพาะตอนไข้ไม่กำเริบไม่นอนซมนะครับท่าน
ขณะนี้ยังมีสติ ก็ขอเล่าเรื่องอภินิหารของดีที่ข้าพเจ้าเคยเจอมากับตัว
ครั้งนี้จะเล่าเรื่องของขลังปลัดขิกหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน
ข้าพเจ้ารู้จักหลวงปู่เมฆตั้งแต่สมัยที่ท่านยังไม่ดังเป็นวงกว้าง
รู้จักตอนเรียนช่างกล ป.ว.ช. เพราะญาติเพื่อนที่อยู่แถวนั้นเขาเล่าให้ฟังว่า
หลวงปู่เมฆมีปลัดขิกขลัง มีประสบการณ์ทางป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอดีนัก
ทางเมตตาก็ดีมากเหมือนกัน เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว เรื่องมันก็ต้องดั้นด้นไปบ้านเพื่อนแถวนั้น
ซึ่งทำให้สาวสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญคนหนึ่ง เข้าใจผิดว่า ข้าพเจ้าไปจีบเธอ
ซึ่งก็หวานแว๋วไม่น้อย...และ...พี่ขอโทษ
สมัยก่อนนั้น(ก็ 50ปี) จะเรียกพื้นที่ทางฝั่งที่เลยถนนรามอินทราออกไปนั้น
ส่วนมากจะเรียกเป็นที่เข้าใจกันว่า..มีนบุรีหนองจอก
คือเป็นเขตมีนบุรีและเขตหนองจอกที่อยู่ติดกัน
และรู้สึกกันว่า...โคตะระไกล...ข้าพเจ้าในยุควันรุ่นช่างกลนั้น
พอจะไปรับส่งสาวที่มีนบุรีนั้น ต้องทอดถอนใจเลยว่า..โคตรของโคตรไกล...
ยุคที่ข้าพเจ้าจะไปกราบหลวงปู่เมฆ
จะเรียกว่าไปกราบหลวงปู่เมฆวัดลำกระดานมีนบุรี ตอนนั้นวัดลำกระดานอยู่ในเขตมีนบุรี
ปัจจุบันแยกพื้นที่เป็นเขตคลองสามวา แต่คนรุ่นข้าพเจ้ายังเรียกกันคุ้นปากว่า หลวงปู่เมฆวัดลำกระดานมีนบุรี
![]() |
หลวงปู่เมฆ สจฺจาสโภ |
เมื่อไปกราบหลวงปู่เมฆ ดูแล้วเหมือนท่านจะดุโคตรๆ แต่ข้าพเจ้ากลับว่าท่านไม่ดุ ท่านใจดีด้วยซ้ำ ท่านพูดกูๆมึงๆบางครั้งมีคำสบถ ที่ข้าพเจ้าฟังแล้วถึงกับเผลอหัวเราะ ท่านก็หัวเราะหึๆๆๆ
ท่านว่า....ไอ้หนู เอ็งจะเอาอะไรวะ
มึงอยากได้ปลัดขิกใช่มั๊ย....แบบนี้ก็ยิ้มกราบท่านทันทีน่ะสิ
พนมมือแต้รอรับปลัดขิกของดีของท่าน ท่านหยิบ “ถุงกระดาษ”
ซึ่งสมัยนั้นเรียกกันว่า “ถุงกล้วยแขก” แล้วท่านก็มอบปลัดขิกให้ในแบบที่ข้าพเจ้าต้องสะดุ้งโหยง..
จะไม่ให้สะดุ้งได้ไง
ก็หลวงปู่เมฆท่านเล่นกอบเอาปลัดขิกใส่ลงในถุงกล้วยแขกจนเต็มถุง
ท่านว่า...มึงเอาไปแจกคนอื่นเขาบ้าง พวกมึงมันชอบยกพวกดีกัน...นี่ไงที่ข้าพเจ้าว่าหลวงปู่เมฆแท้ที่จริงแล้วท่านใจดี ใจดีมากๆ
แผ่นปั๊มหลวงปู่เมฆ |
สมัยเรียนถึงชั้น ป.ว.ส.
ก็ยังอยากได้ปลัดขิกหลวงปู่เมฆเพิ่มอีก เพราะแจกไปเยอะ
ตอนนั้นพอไปมีนบุรีเพื่อกราบหลวงปู่เมฆ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
ทำให้น้องเทคนิคมีน(เรียกกันอย่างนี้)เข้าใจผิดว่าข้าพเจ้าไปจีบ
ก็หวานแว๋วอีกแล้วครับท่าน...และ...พี่ขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆ
ไปกราบหลวงปู่เมฆ ท่านก็ยังกอบปลัดขิกใส่ถุงกล้วยแขกมาให้อีก
ท่านใจดีเหมือนเดิม
ต่อมาภายหลังภายหลังหลวงพ่อแจกปลัดขิกแบบใส่ในถุงก๊อบแก๊บ เพราะถุงกล้วยแขกเลิกใช้กันแล้ว
![]() |
เคยมีเต็มถุง แจกจนเหลือแค่นี้ |
เพื่อนข้าพเจ้าที่เมืองนนท์คาดปลัดหลวงปู่เมฆที่ข้าพเจ้ามอบให้เพียงดอกเดียว
วันหนึ่งมันทำกิจกรรมสันทนาการภายในสวนแถบบางใหญ่พร้อมเพื่อนๆ
ข้าพเจ้ายังด่ามันว่า...กูไม่เอาด้วยนะโว๊ย...เพราะมันเอากัญชามาโชว์เพื่อนๆ
มันชวนเพื่อนลองสูบ
ไอ้เพื่อนมันเอาขวดน้ำมันพืชเปล่ามาเจาะรูป
เอาท่อนไม้ซางเสียบ แล้วมันนั่งยองๆเอามือควานดินท้องร่องสวน
เอาที่เป็นดินเหนียวมาปั้นๆพอกๆที่ขวด...แล้วมันก็ร้องสุดเสียงว่า....เฮ๊ยๆๆๆ
ปรากฏว่ามันเสือกไปคว้าโดนงูติดมือขึ้นมา งูตัวยาว 1 เมตรกว่าๆ
ไม่ใช่งูเหลือมเพราะตัวดำๆ ด้วยความตกใจจึงไม่มีใครมัวไปดูว่าเป็นงูอะไร
ต่างกระโดดหนีกันทั้งนั้น ไอ้เพื่อนไม่กล้าคลายมือปล่อยงู
มันร้องว่าพวกมึงช่วยกูด้วยๆ
พอตั้งสติได้ก็บอกให้มันยืนเฉยๆอย่าเพิ่งปล่อยมือ ตอนนี้จึงสังเกตเห็นว่า
งูตัวดำๆมันแน่นิ่งไม่ฉก เพื่อนบางคนนึกว่าที่แท้เป็นงูตาย
แต่พอขว้างงูลงพื้นเท่านั้น เจ้างูมันชูหัวชูคอขึ้นมา ดูคล้ายแผ่แม่เบี้ย
พวกข้าพเจ้าจึงเอาก้อนดินเศษกิ่งไม้แห้งขว้างใส่ จนงูเลื้อยหนีปรู๊ดปร๊าด
สันนิษฐานว่าเจ้างูนี้น่าจะเป็นงูเห่า
ตอนที่เพื่อนคว้าโดนงูนั้น งูมันแน่นิ่งเหมือนงูตาย แสดงว่าเป็นอภินิหารปลัดขิกสยบงูของหลวงปู่เมฆ อันที่จริงเจ้าเพื่อนคาดปลัดขิกหลวงปู่เมฆ เพื่อนหวังทางเจ้าชู้ประตูดินมากกว่า.....
แบบมีลูกสะกดพญาท้าวเอว |
อีกเรื่องเป็นประสบการณ์ทางมหานิยมมหาเสน่ห์...หึๆๆ ประสบการณ์ของข้าพเจ้าเอง เป็นสมัยที่ข้าพเจ้าเรียนจบทำงานแล้ว
ที่ทำงานข้าพเจ้ามีสาวสวยหลายคน
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเป็นรุ่นเดียวกับข้าพเจ้า...ขาว สวย หมวย แต่ไม่ค่อยจะอึ๋ม
ผิวสวยมาก ผิวสวยเพราะเธอเป็นจีนไหหลำ เธอดูดีมากๆเชียวมีคนจีบเยอะ
รู้จักกันใหม่ๆข้าพเจ้าก็มองว่าเธอค่อนข้างจะเหยียดๆชนชั้นช่างกล เธอจบการศึกษาทางสายที่เรียกว่า
คอมเมอร์ส หรือ คอมเมอร์เชียลส์ เรียกง่ายๆว่าจบพาณิชย์แต่เป็นแบบพาณิชย์ของโรงเรียนฝรั่ง
เพื่อนคนนี้สวยและวางตัวหรูไฮโซ พูดภาษาอังกฤษปรื๋อ เพราะเธอเรียนจบภาษาที่
AUA
มีซุปเปอร์ไวเซอร์และรุ่นพี่มาจีบหลายคน
เธอไม่เล่นด้วยจนคนลือว่าเธอหยิ่ง...ข้าพเจ้าเองคุยกับเธอก็คุยเรื่องงานแค่นั้น
ไม่เคยคิดเกินเลยอะไร...และแล้วปลัดขิกหลวงปู่เมฆก็แสดงอภินิหาร
![]() |
ที่แสดงฤทธิ์กับสาวไฮโซ คือ 1 ในรูปนี้ |
วันหนึ่งทางแผนกมีประชุม เธอไม่ต้องเข้าประชุมเพราะเรื่องไม่เกี่ยวกับหน้าที่ในส่วนของเธอ ก่อนเข้าห้องประชุมข้าพเจ้ายืนคุยกับพวกรุ่นพี่เรื่องเครื่องรางของขลัง บังเอิญเธออยู่ใกล้ เธอจึงถามว่าของขลังรึ นั่นอะไร...คือ ในมือข้าพเจ้าถือปลัดขิกหลวงปู่เมฆ ต้องรีบหุบกำมือไม่ให้เธอเห็นปลัดขิก กลัวโดนหาว่าหยาบคาย
เธอถามว่า...ขอฉันดูหน่อย ไม่แย่งหรอก
งกไปได้...ข้าพเจ้ากลัวว่าถ้าเธอเห็นเป็นรูปองคชาติ เธอคงอายและโกรธน่าดู
จึงพูดปัดส่งเดชไปว่า...ให้ดูเดี๋ยวเธอก็หลงรักฉันตามฉันไปจู๋จี๋นะ....เธอกลับหัวเราะประมาณว่าข้าพเจ้าช่างล้อเล่นกับสาวไฮโซของแผนก
เธอเสียงแข็งสั่งว่า...เอามาดูเสียดีๆ...แถมยังทำท่าจะแกะมือข้าพเจ้าดูของข้างในเสียด้วย
ตอนนั้นพวกรุ่นพี่สะดุ้งรีบหนีเข้าห้องประชุมทันที
คิดว่าเธอเห็นปลัดขิกต้องวี๊ดแตกแน่
ข้าพเจ้านึกไงไม่รู้แบมือให้ดู นึกในใจว่ากรูโดนด่าแน่...แต่แล้ว
พอเธอก้มลงมองที่ปลัดขิก เธอก็ว่า..ตะกรุดอะไร จะทำให้ฉันนี่นะไปจู๋จี๋กับเธอได้ ..เธอหัวเราะขำใหญ่ เธอเห็นองคชาติทำจากไม้เป็นตะกรุด
ข้าพเจ้าดันล้อเล่นกับเธอว่า ต้องอย่างนี้ เธอแบมือก่อน พอเธอแบมือ
ข้าพเจ้าก็เอาปลัดหลวงปู่เมฆมาจิ้มที่กลางฝ่ามือเธอ
แล้วทำท่าว่าเขียนยันต์เขียนนะมั่วๆให้เธอดู...ที่จริงอยากลองจับมือเธอ...นุ่มนิ่มดีชะมัด
อุ้งมือคุณหนูๆ จำได้ว่าแกล้งท่องคาถามั่วๆว่า จู้ฮุกกรูๆหลงรักฉันจงตามฉันมานะ....แล้วรีบเผ่นเข้าห้องประชุม
ข้าพเจ้าเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์บริษัท
ที่กล้าแต๊ะอั๋งจับมือเธออย่างดื้อๆ...ตอนนั้นเห็นเธอยืนอึ้ง
เหลือเชื่อ เธอตามเข้ามานั่งข้างๆข้าพเจ้าในห้องประชุม
พวกรุ่นพี่ที่หนีเข้ามาก่อนร้อง...เอาล่ะเว๊ยๆเขาตามมาด่ามึงแล้ว...ปรากฏว่าเธอมานั่งข้างๆข้าพเจ้า
ทำหน้าแดงๆพูดว่า...เธอว่าอะไรนะเราจะไปไหนกันเหรอ ไปตอนเลิกงานนะ ฉันว่าง
นี่คือเรื่องจริงที่ยิ่งกว่าจริง เธอรอข้าพเจ้าตอนเลิกงาน ไปดินเน่อร์ด้วยกัน
ตอนเช้าเจอกันก็มาชวนคุยนั่นคุยนี่ แต่คล้ายๆคุยแบบงงๆอยู่บ้าง
มองสบตาแบบหวานๆบ้าง(ยังจำสายตาเธอได้ หวานแทบตาย) แถมเวลาเดินยังเกาะแขนข้าพเจ้าด้วย
เล่นเอาจิตฟุ้งซ่าน เป็นแบบนี้อยู่หลายวันจนข้าพเจ้าเอะใจว่า...เพื่อนสาวไฮโซคนโคตรสวยโดนทีเด็ดปลัดขิกหลวงปู่เมฆครอบงำเสียแล้ว
ข้าพเจ้าจึงคิดหาทางแก้ เรื่องนี้ไม่ได้กราบเรียนสอบถามหลวงปู่เมฆเอาไว้เสียด้วย
แต่นึกขึ้นได้ว่า คนโบราณท่านใช้ก้นปลัดฝนทำน้ำมนต์แก้ไข้แก้อาถรรพ์
พอคิดได้ก็แกล้งเข้าไปที่ด้านหลังเธอ พอเพื่อนคนสวยเผลอก็เอาก้นปลัดจิ้มให้โดนตัวเธอ
แล้วขอหลวงปู่ช่วยปัดเป่าหน่อย....แล้วอาการหวานแว๋วจนโลกลือของเธอก็หายไป
อย่างไรก็ตามยังมีควันหลงตามมาว่า จากเธอสาวไฮโซหยิ่งๆ
ก็กลายเป็นเธอเพื่อนซี้ของข้าพเจ้า ที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ
สนิทมากขนาดว่าเธอชวนไปเที่ยวที่บ้านหลายครั้ง
สนิทกันมาตลอดจนถึงวันที่ข้าพเจ้าลาออกจากบริษัท
ปลัดขิกหลวงปู่เมฆอันนั้น ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงเธอ ระลึกถึง
อุ้งมือนิ่มๆ ไหล่นุ่มนิ่ม เส้นผมหอมๆ...และ...เพื่อนรัก ฉันขอโทษ...
ปู่ปลัดขิกไม้เขยตาย |
อีกเรื่อง
ครั้งก่อนเล่าเรื่องปลัดขิกหลวงปู่เมฆแสดงฤทธิ์ให้เพื่อนสาวไฮโซจอมหัวสูง ที่ต้องมาเคลิบเคลิ้มกับข้าพเจ้าแล้ว ก็นึกขึ้นได้อีกว่า หลังจากที่ข้าพเจ้าถอนพิษความเคลิบเคลิ้มโดยเอาก้นปลัดขิกไปถูกแผ่นหลังของเธอ หลังจากนั้นความหวานแว๋วในระดับโชว์สกิลพิศวาสของเธอก็หายไป ไม่มีการมาเกาะแขนคล้องแขนกันแล้ว แต่ก็แปลกที่สาวไฮโซดาวบริษัทยังกลายมาเป็นเพื่อนซี้กับข้าพเจ้าในแบบเพื่อนซี้คนละขั๊ว ที่ว่าคนละขั๊วก็เพราะวิถีชีวิตมันต่างกันมากๆ แวววงของเธอนั้นหรูหราพิถีพิถัน ส่วนข้าพเจ้ายังติดนิสัยช่างกลยังแบดบอย แต่ข้าพเจ้ากับเธอกลายเป็นเพื่อนซี้จนคนในบริษัทงุนงง
ปู่ปลัดพญาท้าวเอวจอมอหังการ |
เล่าเรื่องอภินิหารหลวงปู่เมฆแล้วก็ขอเล่าต่อ เพิ่งนึกขึ้นได้
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของข้าพเจ้า เป็นเรื่องวาบหวิวหวานซึ้ง
และผสมกับสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย
เป็นเรื่องในช่วงประมาณหลังปี พ.ศ.2525
ไม่เกิน2530 เป็นช่วงเรียนจบทำงานแล้ว
อภินิหารปลัดขิกในแบบที่จะเล่านี้ ข้าพเจ้าเคยเจอกับปลัดขิกของหลวงพ่อ(....)ด้วย
เป็นแบบเดียวกันเป๊ะ ขอเล่าเรื่องของหลวงปู่เมฆก่อน
ประมาณหลังปี
พ.ศ.2525 ไม่เกิน พ.ศ.2530 ข้าพเจ้ามีธุระที่จะต้องไปถึงเกือบสุดชายแดนภาคเหนือ
คือต้องไปเกือบถึงสามเหลี่ยมทองคำ จ.เชียงราย ต้องเดินทางคนเดียว
ไปขึ้นรถทัวร์ที่ข้างๆโรงแรมอินทรา แต่รถไปถึงแค่เพียงตัวเมือง จ.เชียงราย
แล้วต้องต่อรถโดยสารท้องถิ่นไปยังจุดหมายปลายทาง
เมื่อขึ้นรถทัวร์ที่ข้างโรงแรมอินทรา ข้าพเจ้าได้ที่นั่งริมทางเดิน
ส่วนที่นั่งด้านข้างนั้นผู้โดยสารยังไม่มา
ระหว่างที่นั่งบนรถรู้สึกว่าแอร์เย็นเจี๊ยบ
เลยหยิบเสื้อแจ็คเก็ตไฟท์ทหารอากาศมาใส่
ระหว่างนั้นเห็นว่างๆก็เลยเอามือจับปลัดขิกหลวงปู่เมฆที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
ใช้นิ้วมือวนๆตรงหัวปลัดขิกฝึกภาวนาคาถาของหลวงปู่เมฆ ภาวนาคาถาบทสั้น...โอม มะ
หัวดอ หี หัวร่อ งอหาย สัมปะติฐฉามิ...ประมาณว่าฝึกวิทยายุทธไปเรื่อยเปื่อย
อีกบท... ปลัดขิกของวิเศษหลวงปู่เมฆ
โอม มะ กะดอ กอ ข้อ ขอ งอ ออ จอ หี ยอ อากาคะงะ
คะอัง ฤ ฤา สวาหะ สวาโหม โอม มะ หัวดอ หี หัวร่อ งอ หาย สัมปะติฐฉามิ
![]() |
ปู่ปลัดขิกดอกนี้แหละ |
ก่อนรถทัวร์ออกเล็กน้อย
มีผู้หญิงร่างเล็กๆผอมเพรียวผิวขาวจั๊วะเดินเข้ามาจะนั่งที่ว่างข้างๆด้านหน้าต่างรถ
ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นหลีกทางให้เธอ มองเห็นว่าเธอน่าจะมีอายุพอๆกับข้าพเจ้า ก็ประมาณ
20ต้นๆไม่น่าเกิน 25 หน้าตาสวยใช้ได้ สวยแบบสาวเหนือ
เธอถือกระเป๋าใบใหญ่
จะเอากระเป๋าใส่ไว้ตรงที่เก็บด้านบนของที่นั่งก็ทำไม่ได้เพราะเธอตัวเตี้ย
ข้าพเจ้าเลยช่วยเป็นธุระยกกระเป๋าใส่ในช่องเก็บของให้เธอ
เธอก็เฉยๆไม่ได้พูดทักทายอะไร แล้วเธอก็นั่งตรงที่นั่งของเธอที่เป็นเก้าอี้ติดหน้างต่างรถ
ข้าพเจ้าก็นั่งตรงที่นั่งติดกับเธอ
สมัยนั้นบนรถทัวร์ยังไม่มีจอTVส่วนตัวตรงหลังพนักพิงที่แยกเป็นของใครของมัน
จะมีก็แค่ TV ด้านหน้ารถเครื่องเดียว เป็น TV หรือโทรทัศน์บ้านนั่นเอง จะต่อเครื่องเล่นวิดิโอแบบ VHS ที่เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักแล้ว ส่วนมากจะเปิดหนังกำลังภายในสักเรื่องสองเรื่อง
แล้วเปิดเทปตลกคณะต่างๆ
เทปตลกนี้เด็กสมัยนี้ก็ไม่เคยเห็นแล้ว....ถ้าเป็นการเหมารถทัวร์ไปท่องเที่ยว
มักจะเปิดหนัง X
ปลัดขิกไม้เขยตาย |
พอเดินทางไปได้สักครู่
พนักงานก็เอาอาหารกล่องมาแจก และมีผ้าห่มให้คนละผืน...เมื่อรถวิ่งออกพ้นเขตกรุงเทพฯก็รู้สึกว่าแอร์ยิ่งเย็นเจี๊ยบกว่าเดิม
ข้าพเจ้าต้องเอาหมวกออกมาสวมศีรษะ
พอมองไปที่เธอข้างๆเห็นเธอห่มผ้าห่มทั้งตัวแสดงอาการหนาว
ข้าพเจ้าเลยยื่นผ้าห่มของข้าพเจ้าให้เธอ
บอกเธอว่าข้าพเจ้าใส่เสื้อแจ็คเก็ตก็พอแล้ว
เธอมองข้าพเจ้าแล้วขอบคุณรับผ้าไปห่มอีกชั้นหนึ่ง
แบบชุบแลคเกอร์ |
ระหว่างเดินทางข้าพเจ้าก็เอามือจับปลัดขิกหลวงปู่เมฆที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
ใช้นิ้วมือวนๆตรงหัวปลัดขิกฝึกภาวนาคาถาของหลวงปู่เมฆเหมือนเดิม
ไม่ได้คิดอะไรแค่นึกว่าฝึกวิทยายุทธ สายตาก็ดูจอTVดูหนังกำลังภายใน
ดูหนังไปภาวนาคาถาไป หนังจบก็เปลี่ยนเป็นเทปตลก...ข้าพเจ้ายังคงฝึกภาวนาคาถาปลัดขิกไปเรื่อยๆ
พอขยับตัวก็ไปเบียดเธอที่นั่งข้างๆ นึกขึ้นได้ว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ข้างๆ
ประเดี๋ยวเผลอไปนั่งเบียดเธอเข้าจะดูไม่ดี ข้าพเจ้าจึงแอบชำเลืองมองเธอ
แล้วนั่งให้ชิดทางเดินที่สุดเพื่อไม่ให้เผลอไปเบียดโดนตัวเธอ ขณะนั้นยังภาวนาคาถาตามความเคยชิน...
และแล้ว...อยู่ๆเธอก็เอียงตัวมาพิงข้าพเจ้า
เอาศีรษะซบกับไหล่ข้าพเจ้าจนข้าพเจ้าสะดุ้ง
เธอซบไหล่ข้าพเจ้าและดูเทปตลกหัวเราะเป็นพักๆ
แล้วเอามือมาคล้องแขนข้าพเจ้าแบบเป็นแฟนกัน
พอเทปจบสักครู่เธอก็หลับซบข้าพเจ้าอยู่อย่างนั้น
เอ้า..เมื่อเธอจะกอดแขนจะซบไหล่ข้าพเจ้าก็ตามใจ ตอนนั้นยังไม่ได้คุยกัน
ไม่ไปรบกวนให้เธอตื่น...ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า ปลัดขิกหลวงปู่เมฆสำแดงเดชแน่
ในใจวาบหวิวไม่น้อย..ปู้โธ่ ก็ตอนนั้นเรายังหนุ่มแน่น
มีสาวๆมาซบไหล่แล้วจะไม่ฟุ้งซ่านบ้างได้ไง
พอถึงจุดรถจอดพักให้รับประทานอาหาร เห็นว่าเธอยังหลับอยู่ ข้าพเจ้าค่อยๆแกะมือเธอที่คล้องแขนออก ค่อยๆพยุงศีรษะเธอให้พิงพนักพิง พอข้าพเจ้าขยับตัวลุกขึ้น เธอก็ตื่นแล้วมองข้าพเจ้าแบบงงๆเหมือนคิดอะไรอยู่ ข้าพเจ้าลุกจากที่นั่งลงรถเดินไปยังส่วนที่ทางรถทัวร์จัดไว้ให้นั่งรับประทานอาหาร เดินไปนั่งที่โต๊ะสำรับข้าวต้มนั่งอยู่คนเดียว แล้วเธอก็เดินมานั่งข้างๆข้าพเจ้า แล้วเธอชวนคุย
แบบไม่มีรอยด่างดำที่ปลัดขิกก็มี |
เธอบอกว่า ...ไม่รู้เป็นยังไง
พอเห็นพี่(คือข้าพเจ้า)แล้วงงๆเหมือนเคยรู้จักสนิทกันมาก่อน
อยู่ๆก็นึกว่าพี่น่ะเป็นแฟนของ(...)เลยนะ(จำชื่อเธอได้)...ระหว่างนั้นเธอตักข้าวต้มใส่ชาม
2 ใบ ของเธอและข้าพเจ้า จากนั้นก็คุยไปรับประทานไป
เธอเล่าว่า...แปลกที่อยากคุยกับข้าพเจ้ามาก
อยากคุยอยากรู้จักจนทนไม่ไหวต้องเข้ามาชวนคุยด้วย
คุยแล้วก็นึกว่าเป็นแฟนกันเสียอีก..แต่ กลัวว่าข้าพเจ้าจะรังเกียจเธอ
เพราะเธอทำงานกลางคืน แล้วเธอก็เล่าให้ฟังว่า...
เธอทำงานในค็อกเทลเล้าน์แถวๆ ถ.สุขุมวิท
บางครั้งจำเป็นที่จะต้องไปค้างกับผู้ชาย เธอจำเป็นต้องทำเพื่อเงิน
เธอถามว่าเธอเป็นอย่างนี้แล้วรังเกียจที่จะคบเธอมั๊ย แต่เธอไม่รอให้ข้าพเจ้าตอบ
เธอบอกว่า...พี่เป็นแฟน(...)นะ พี่ไม่ต้องรัก ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ขอแค่เป็นแฟน(...)ให้(...)มีผู้ชายที่ไม่ได้มาซื้อดริ๊งก์ซื้อตัวเธอ
แค่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน อยู่ด้วยกันบ้าง...ตอนนั้นข้าพเจ้าตกใจเหมือนกัน
แต่สงสารไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่ยิ้มๆ
ปู่ปลัดขิกดอกบนมีคราบเทียนติดเห็นชัด |
ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้แล้วว่า
ปลัดขิกหลวงปู่เมฆสำแดงเดชมหาเสน่ห์อีกแล้ว
และเป็นการแสดงฤทธิ์แบบชวนสาวที่ไม่ใช่สาวพรหมจารี
ซึ่งตรงกับคำเล่าของคนรุ่นเก่าว่า ครูอาจารย์มักอนุญาตให้ใช้ในหญิงมีตำหนิ
อำนาจท่านปลัดจะอำนวยผลได้ง่ายขึ้น ส่วนสาวพรหมจรรย์นั้นมักช่วยแค่อำนวยผลให้มีทางได้รู้จักกัน
พอรู้จักกันได้แล้ว ต่อจากนั้นก็เรื่องของมึงที่จะสานต่อ
ครูอาจารย์ไม่เกี่ยวไม่ยุ่งกับมึงเว๊ย
พอได้ทำความรู้จักกันแล้ว เธอดีใจมาก แต่ข้าพเจ้ามองออกว่าเธอออกจะงงๆ
ประมาณว่าต้องมนต์ พอรับประทานอาหารเสร็จก็ขึ้นรถ เธอกอดแขนและซบไหล่ข้าพเจ้าอีกแล้ว
ข้าพเจ้ารีบแก้ไขอำนาจมหาเสน่ห์โดยเอาก้นปลัดขิกมาลูบศีรษะของเธอ แล้วเธอหัวเราะว่ามือไวจริง(ไม่เห็นปลัดขิก)
คนบนรถนึกว่าข้าพเจ้ากับเธอเป็นผัวเมียกัน...เธอว่าเสียดายที่ไม่ได้นั่งรถไปถึงเชียงราย
เพราะเธอจะลงรถที่ทางแยกเข้า อ.ดอกคำใต้ ที่แท้เธอเป็นสาวดอกคำใต้นั่นเอง
อีกดอกที่ผิวเรียบ |
ในสมัยนั้นสาวดอกคำใต้จำนวนไม่น้อยที่ต้องทำงานกลางคืน
มีตั้งแต่ระดับล่างๆจนถึงระดับสูงแบบเธอ
ที่ต้องทำงานอย่างนี้ก็เพราะส่งเงินให้ทางบ้าน
ใกล้สว่างรถก็จอดที่ทางแยกเข้า อ.ดอกคำใต้ เธอต้องลงจากรถแล้ว
ปรากฏว่ากอดข้าพเจ้าแน่นแล้วร้องไห้ เธอบอกว่าต้องเอาเงินไปให้แม่ที่บ้าน
อยากพาข้าพเจ้าไปบ้านด้วย แต่ข้าพเจ้าต้องไปทำธุระที่ อ.เชียงแสน ไปงานแต่งงาน
ถ้าไปบ้านดอกคำใต้กับเธอ จะทำให้ไปงานแต่งงานไม่ทัน
เธอขอไปเจอข้าพเจ้าที่
จ.เชียงราย จะได้นั่งรถกลับกรุงเทพฯด้วยกัน ก็เลยนัดเจอกันที่โรงแรมที่ จ.เชียงราย
ซึ่งข้าพเจ้าได้ติดต่อจองห้องพักไว้ตั้งแต่แรกแล้ว....เมื่อสองปีก่อนไปธุระที่
จ.เชียงราย พบว่าโรงแรมนี้ยังมีอยู่ แต่เขารีโนเวตใหม่หมด วันนั้นอดระลึกถึงเธอขึ้นมาไม่ได้
ข้าพเจ้าได้พบกับเธอที่โรงแรมดังกล่าว เธอดีใจที่ข้าพเจ้าไม่ได้หลอกว่าพักที่นี่
เธอว่า...จะเป็นแฟนพี่นะ ไปๆมาๆก็เลยเที่ยวเชียงรายต่อ แล้วจึงกลับกรุงเทพฯด้วยกัน
เธอเป็นคนจริงใจ
เธอระบายความในใจว่าเธอมีอาชีพไม่ดี ชีวิตนี้คงไม่มีครอบครัว
เธอขอแค่ระหว่างที่เธอจำเป็นต้องทำงานนี้ ขอแค่ข้าพเจ้าเป็นแฟนไปเที่ยวบ้าง
ได้ปรับทุกข์บ้าง และยอมรับว่าเธอเป็นแฟนต่อหน้าเพื่อนๆเธอ
เพราะจะได้ไม่มีผู้ชายอื่นมาเกะกะ เธอขอเพียงแค่นี้ เธอบอกว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ที่วันที่เจอกันบนรถทัวร์ อยู่ๆก็อยากรู้จักอยากเป็นแฟนข้าพเจ้าจนทนไม่ไหว
ต้องเข้ามาตีสนิทเอง
เธอทำงานอีก
5 – 6 ปี เก็บเงินได้มากพอ ปลูกบ้านได้สำเร็จ จึงเลิกทำงานนี้
เธอมาลาว่าจะกลับไปทำไร่ที่บ้านเกิด เธอว่าที่จริงแล้วอยากอยู่กับข้าพเจ้า
แต่เธอเคยทำอาชีพไม่ดี ไม่อยากจำภาพเก่าๆนั้น
และขอให้ข้าพเจ้ายังเป็นเพื่อนที่ดีของเธอต่อไป...ข้าพเจ้าสะเทือนใจไม่น้อย...สาวดอกคำใต้แสนอาภัพที่ใจเด็ดเดี่ยว
เป็นคนดี
เรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในอุปเท่ห์ของท่านปู่ปลัดขิกในข้อที่ว่า
ใช้กับสาวพรหมจรรย์ไม่หวังผลนัก แต่กับหญิงมีตำหนิใช้ได้ง่ายกว่า...เข้าใจได้ว่า
ครูอาจารย์ท่านไม่สนับสนุนให้ไปเจ้าชู้ไม่เลือก แต่เปิดช่องตรงหญิงมีตำหนิ คือ
แม่หม้าย หญิงเคยผ่านผู้ชาย หญิงรักสนุก ทำนองนี้พอจะมุ่งหวังได้โดยไม่บาปนัก
ปลัดขิกสาริกา ยาว 1.5 ซ.ม. |
อภินิหารปลัดจิกหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน อีกเรื่องหนึ่ง
ได้เคยเล่าเรื่องประสบการณ์ปลัดขิกหลวงปู่เมฆไปแล้ว
ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง
ประสบการณ์เก่าๆครั้งพกปลัดขิกติดตัวยังมีอีกหลายเรื่อง
เอาไว้จะค่อยๆนึกแล้วมาเล่าให้ฟัง ส่วนมากข้าพเจ้าจะจำเรื่องวาบหวามหวิวได้
เพราะเป็นที่บันเทิงยิ่ง เป็นช่วงชีวิตที่อบอวนไปด้วยความเลิฟ
![]() |
กลับมาอยู่ในกระเป๋าคาดเอว |
ปัจจุบันข้าพเจ้ายังคิดว่าคงไม่มีประสบการณ์ใหม่ๆของปลัดขิกหลวงปู่เมฆมาเล่าให้ฟังเพิ่มอีก
เพราะข้าพเจ้าเลยวัยซอกแซกไปกับท่านปลัดขิก
ไม่กล้าสนิทสนมกับน้องหนูสาวๆทั้งหลายเสียแล้ว กลัวคนเขามองว่าเป็นพวกป๋าสายเปย์
หรืออาเสี่ยบ้ากาม
คิดอย่างนี้เลยไม่ได้ใช้อภินิหารปลัดขิกในทางวาบหวามอีกแล้ว...แต่ที่จริง..ยังอยากลองคุณวิเศษท่านปลัดขิกนะ
แต่อายๆอ่ะ
และแล้ว...ถึงไม่ได้พกท่านปลัดขิกไปจู๋จี๋อี๋อ๋อกับสาวๆรุ่นหลาน(สะเทือนใจชอบกล)
อยู่ๆข้าพเจ้าก็พบประสบการณ์ท่านปลัดขิกของหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน
เจอกับตัวเองแบบงุนงงและดีใจ
ทั้งยังทำให้ต้องรีบเสาะหาปลัดขิกหลวงปู่เมฆเก็บเพิ่มขึ้น ตอนนี้ยังพอหาได้
ยังพอดูความเก่าของเนื้อไม้ และศิลป์การแกะ
ประสบการณ์ครั้งล่าสุดมีว่า....หลังจากเขียนเล่าเรื่องปลัดขิกของหลวงปู่หลวงพ่อต่างๆ ข้าพเจ้านึกเสียดายปลัดขิกที่เคยแจก รวมทั้งโดนบังคับให้แจกครั้งยังทำงานบริษัท ข้าพเจ้าอยากได้คืนทุกหลวงพ่อ เสียดายของมากๆ ไอ้พวกขอไปนั้น มันเห็นว่าขอฟรีได้แมร่งก็ขอ พวกนี้ไม่ได้นับถือเชื่อถืออะไ รหรอก แค่พวกชอบของฟรี
![]() |
ปู่ปลัดขิกดอกที่กลับมาเองที่กระเป๋าคาดเอว |
เมื่อระลึกอดีตเกิดเสียดายปลัดขิก ก็เลยพลอยให้ระลึกถึงวิทยายุทธปลัดขิกทั้งหลาย จึงค่อยๆนึกทบทวนตำรับหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลาย พบว่าลืมไปเยอะเหมือนกัน จึงต้องมาท่องจำให้แม่น กลัวว่าไม่ท่องไม่ภาวนาเดี๋ยวก็ลืมไปเสียอีก ในชั้นแรกก็ทวนบทสั้นๆเพราะจำง่าย ทั้งระลึกเสียดายปลัดขิกหลวงปู่เมฆ ลังเลว่าเราจะหาเช่าบูชาเพิ่มอีก ขืนช้าไปกว่านี้เดี๋ยวจะแยกปลัดขิกเก่าใหม่ไม่ได้ ตอนนี้ยังพอทัน ข้าพเจ้าอยากได้ปลัดขิกหลวงปู้เมฆคืนจากที่เคยแจกไป ทบทวนไปคิดไปแทบทุกวัน
สัปดาห์ก่อนขณะที่ข้าพเจ้าจะออกไปซื้อของ
ก็หยิบกระเป๋าที่ใส่สตางค์กับของจุกจิกมาคาดเอว กระเป๋าใบนี้พกติดตัวมาตลอด
ในกระเป๋ามีอะไรอยู่บ้างจำได้หมด
และเพิ่งเอาเงินในกระเป๋านี้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อไปเมื่อไม่กี่วันนี้ด้วย
ข้าพเจ้าตรวจดูให้แน่ใจว่ามีเงินในกระเป๋ามากพอหรือไม่
ถ้าไม่พอจะได้ไปถอนเงินมาสักหน่อย
เมื่อรูดซิปเปิดกระเป๋าจะดูจำนวนเงิน
สิ่งแรกที่เห็นก็คือ....ปลัดขิกหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน...อยู่ๆก็มีปลัดขิกหลวงปู่เมฆอยู่ด้านบนของช่องกระเป๋า
ข้าพเจ้าไม่ได้เอาปลัดขิกหลวงปู่เมฆใส่ไว้ในกระเป๋าใบนี้ เพราะเวลาจะไปที่ไหน
ถ้าพกปลัดขิกก็จะเอาใส่ในกระเป๋ากางเกงเท่านั้น ทำเช่นนี้มาตั้งแต่ยังหนุ่ม
ปลัดขิกหลวงปู่เมฆมาอยู่ในกระเป๋าคาดเอว เป็นท่านปลัดขิกที่มันเป็นเงาเสียด้วย
มองเห็นความฉ่ำเก่าได้อย่างชัดเจน
ท่านปลัดขิกมานอนอยู่บนเงินในกระเป๋าโดยที่ไม่ได้ร่วงลงไปก้นกระเป๋าสตางค์
เหมือนจะโชว์ตัวให้เห็นว่า...ข้ามาแล้ว.....มาในช่วงที่ข้าพเจ้าระลึกเสียดายท่านปลัดที่เคยแจกคนอื่นไป
มาในช่วงที่จิตกระหวัดนึกถึงตำรับปลัดขิก....นี่แหละที่ครูอาจารย์ท่านเคยบอกว่า
บางทีปลัดขิกก็หายไปเอง บางที่ก็ไปอยู่ที่ใหม่...เชื่อเถอะ
ตอนนี้ยังเก็บปลัดขิกหลวงปู่เมฆได้ทัน นานไปกว่านี้จะแยกของเก่าของใหม่ไม่ออก
รีบๆเสาะหา เตือนแล้วนะ
เรื่อง จากความทรงจำ ที่ได้พบประสบการณ์จริง
ภาพหลวงปู่เมฆ จากอินเตอร์เน็ต ซึ่งหาต้นทางไม่เจอ
ภาพแผ่นปั๊มหลวงปู่เมฆ และ ปลัดขิกทั้งหมด เป็นของข้าพเจ้าเก็บรักษาไว้