วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2568

หลวงพ่อกับของวิเศษ.14หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงฯ

 

พระพุทธไตรรัตนนายก วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา

หลวงพ่อโต ซำปอกง วัดพนัญเชิง

  สำหรับมนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัป ที่อัประดับถึงวัยหลังเกษียณ ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว แน่นอนว่าต่างต้องเคยไปกราบนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายกันมาแล้วทั้งนั้น เป็นการไปกราบนมัสการตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในวัยเด็กที่บรรพบุรุษพาไป จนกระทั่งวัยหนุ่มสาว(ในครั้งนั้น) และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันในวัยชราก็ยังไปเที่ยวกราบนมัสการ(ถ้ายังถ่อสังขารไปไหวนะ) อย่างน้อยก็ต้องมีนึกอยากกลับไปเที่ยวไปกราบหลวงพ่อกันบ้างแหละ

  ข้าพเจ้าจำได้ว่าเมื่อ 60 ปีก่อนบวกลบเล็กน้อย(สะดุ้งเลยวุ๊ย) บิดามารดาพาไปกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์หลายวัด ได้แก่ หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อมงคลบพิตร หลวงพ่อโตซำปอกง วัดพนัญเชิง หลวงพ่อโตซำปอกง วัดกัลยาฯ หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี หลวงพ่อวัดบ้านแหลม และอีกหลายวัด ข้าพเจ้าจำได้แม่นว่า พอเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ทุกวัด จะต้องได้รับแจกวัตถุมงคลมาแบบหนึ่ง เป็นวัตถุมงคลแบบเดียวกันทุกวัด นั่นก็คือ... ชายผ้าจีวรหลวงพ่อ

  ชายผ้าจีวรหลวงพ่อนั้น ไม่ใช่ผ้าจีวรจากพระสงฆ์ แต่เป็นผ้าจีวรของหลวงพ่อพระพุทธรูปวัดนั้น ๆ ซึ่งก็คือผ้าสีจีวรพระบ้างสีเหลืองบ้าง เป็นผ้าผืนยาว ๆ ที่เขาใช้คลุมพาดบ่าพระพุทธรูป เรียกเป็นจีวรหลวงพ่อพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดนั้น ๆ เช่น จีวรหรือผ้าคลุมหลวงพ่อโสธร

  ทางวัดจะนำผ้าคลุมหลวงพ่อพระพุทธรูปนี้ เอามาฉีกเป็นริ้วเล็ก ๆ ตัดเป็นเส้นยาวพอที่จะเอามาผูกข้อมือได้ ถือเป็นวัตถุมงคลทำนองว่าเป็นผ้าชายจีวรหลวงพ่อ จะมอบให้ผู้ไปกราบนมัสการพระศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด โดยจะมีพระสงฆ์ท่านหยิบมาแจกให้ทุกคน บางทีจะผูกข้อมือให้กันเลย ถ้าพระท่านไม่อยู่ ไม่ว่างมานั่ง ก็จะเอาผ้าชายจีวรพระพุทธรูปนี้วางบนพาน เพื่อให้สาธุชนหยิบได้ตามอัธยาศัย

  ตอนที่ข้าพเจ้ายังเด็กก็ได้รับแจกผ้าชายจีวรของพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มาทุกครั้งที่ไปกราบนมัสการ มีหลวงปู่หลวงพ่อผูกข้อมือให้หลายครั้ง ผ้าชายจีวรหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าได้รับมาบ่อยที่สุด จะเป็นของหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโตซำปอกง หลวงพ่อมงคลบพิตร หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ เพราะบิดามารดาพาไปกราบนมัสการบ่อย ๆ

  ผ้าชายจีวรหลวงพ่อทั้งหลายนี้ ต่อมาได้พัฒนาไปเป็นด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือ และมีการผูกปมเล็ก ๆ ดูดีขึ้นไม่น้อย วัสดุคงทนถาวรกว่าแบบที่เป็นผ้าคลุมหลวงพ่อ โดยใช้แทนเป็นด้ายสายสิญจน์ ในที่สุดก็ใช้เป็นเชือกเส้นเล็ก จนถึงปัจจุบันบางทีใช้เชือกไนล่อนแบบที่เรียกว่าไหมเจ็ดสีไหมห้าสี ซึ่งทำเป็นวงๆสำเร็จรูป แต่ข้าพเจ้าชอบแบบดั้งเดิมที่เป็นผ้าชายจีวรที่สุด

  สมัยที่ยังเป็นเด็กนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าพอมีผ้าชายจีวรหลวงพ่อต่าง ๆ ผูกข้อมือ แล้วเคยเจอประสบการณ์อะไรบ้าง ประมาณว่าเพราะยังเป็นเด็ก พระท่านจะผูกข้อมือให้ก็ยอมให้ท่านผูกให้เท่านั้นเอง จำมาแค่ว่า มีของดีจากหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์แล้ว

  วัตถุมงคลที่ทางวัดสมัยก่อนมักจะมีแจกอีกอย่างหนึ่งนั้น จะนิยมกันในหมู่ชาวจีน ตลอดจนถึงชาวไทยเชื้อสายจีน แบบนี้คนทั่วไปไม่ค่อยได้สังเกตและไม่ค่อยจะคุ้นเคย จึงไม่ค่อยเข้าไปรับแจกติดตัว วัตถุมงคลนี้ก็คือ... ฮู้...

  ฮู้ แบบที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้ ไม่ได้มีในทุกวัด จะมีก็เฉพาะวัดที่มีคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีนนิยมไปกราบนมัสการทำบุญกัน ทั้งจะต้องมีพวกอาแป๊ะอาก๋งนั่งประจำที่โต๊ะค่อยแจก "ฮู้ของหลวงพ่อ" ให้ด้วย แถมยังมีการให้คนที่ทำบุญเขียนชื่อและจำนวนเงินที่บริจาคลงในสมุดอีกด้วย ประมาณว่าทำบัญชีอย่างโปร่งใสกันเลยทีเดียว ถึงจะไม่บริจาคเงิน อาแป๊ะอาก๋งก็จะหยิบ "ฮู้ของหลวงพ่อ" แจกให้อยู่ดี

  ฮู้ของหลวงพ่อนี้ ก็คือกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งพิมพ์รูปหลวงพ่อพระพุทธรูปของวัดนั้น ๆ แบบลายเส้นพู่กันจีน มีตัวอักษรภาษาจีน มักมีตราประทับหมึกแดง สีของกระดาษฮู้ส่วนมากมักเป็นสีเหลืองหรือสีแดง

  ฮู้ของหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยที่สุด ก็คือ "ฮู้ซำป่อฮุดกง" เพราะได้ไปกราบนมัสการตั้งแต่ยังเด็ก ไปกราบนมัสการติดต่อมาจนถึงวัยทำงาน และจนถึงปัจจุบัน ถ้ามีโอกาสผ่านไปที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ต้องแวะไปกราบนมัสการ หลวงพ่อซำป่อฮุดกงนี้ก็คือ หลวงพ่อซำปอกง หรือหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง นั่นเอง


ฮู้หลวงพ่อโตซำป่อฮุดกง

อภินิหารฮู้หลวงพ่อโตซำปอกง

  เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ข้าพเจ้าพบกับประสบการณ์ชายจีวรหลวงพ่อและฮู้หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง เป็นประสบการณ์ชายจีวรและฮู้หลวงพ่อโตซำปอกงล้วน ๆ เพราะไม่มีวัตถุมงคลอื่นใดเลย ไม่ใช่ประสบการณ์ที่โดนที่ตัวเรา แต่เป็นประสบการณ์ที่เกิดกับรถยนต์ของข้าพเจ้า... เรื่องมีอยู่ว่า...

  ครั้งที่ยังทำงานบริษัทจนถึงมีเงินซื้อรถยนต์คันแรก ข้าพเจ้าไม่เคยขับรถไปให้หลวงปู่หลวงพ่อท่านใดเจิมและลงยันต์ที่รถเลย ทั้งยังไม่มีวัตถุมงคลแขวนที่กระจกมองหลังแบบที่ใคร ๆ เขามีกัน สาเหตุเพราะแขวนแล้วจะบังสายตานั่นเอง ที่ไม่ลงอักขระเลขยันต์ที่รถเช่นตรงเพดานรถ ก็เพราะเกรงว่าต่อไปถ้าเราขายรถ คนซื้อเขาจะอ้างว่าต้องรื้อบุเพดานใหม่ จะกดราคาขาย

  วันหนึ่งขับรถไปอยุธยา ได้แวะกราบนมัสการหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง เห็นมีผ้าชายจีวรหลวงพ่อโตวางไว้บนพาน ก็นึกแปลกใจว่าเดี๋ยวนี้มักเปลี่ยนเป็นด้ายผูกข้อมือด้วยกันทั้งนั้น เพราะซื้อมาไว้ที่วัดได้เลย แต่ครั้งนี้มีผ้าชายจีวรหลวงพ่อโตด้วย ดีเลย จะขอบารมีหลวงพ่อโตเอาชายจีวรไปไว้ที่รถของเรา ได้หยิบผ้าชายจีวรหลวงพ่อโตซำปอกงมานิดหน่อย

  พอออกจากวิหารหลวงพ่อโต มองไปทางด้านข้างซ้ายมือ เห็นมีอาก๋งคนหนึ่งนั่งจิบน้ำชา มีโต๊ะเล็ก ๆ มีสมุดลงชื่อแบบสมัยก่อนด้วย จึงเดินเข้าไปบริจาคเงินที่อาก๋ง แกหยิบฮู้หลวงพ่อซำปอกงมามอบให้เป็นที่ระลึก ฮู้นี้ภายในวิหารไม่มีให้เช่าบูชา จะมีก็แต่ที่ด้านประตูเข้าวิหารหลวงพ่อโตเท่านั้น พอมองพิจารณาดูฮู้ก็พบว่า ยังเป็นฮู้หลวงพ่อโตซำปอกงตามสไตล์จีนแบบที่เคยเห็นในสมัยก่อน 

  ฮู้หลวงพ่อซำป่อฮุดกง เป็นกระดาษสีเหลือง มีรูปพระพุทธและพระอัครสาวกซ้ายขวายืนพนมมือ มีตัวหนังสือจีนอ่านรวมได้ว่า หลวงพ่อซำป่อฮุดกงคุ้มครองให้ปลอดภัย

  ข้าพเจ้าอัญเชิญผ้าชายจีวรหลวงพ่อโตและฮู้หลวงพ่อโต วางไว้ที่ใต้กระจกด้านหลังรถ หลังจากนั้นรถยนต์คันนี้ ก็มีวัตถุมงคลเพียงเท่านี้เอง

  วันหนึ่งจะเข้าหน้าฝน วันนั้นที่กรุงเทพฯ เกิดพายุพัดลมแรงมาก ๆ ลมแรงจนน่ากลัว ข้าพเจ้าไม่เคยเจอลมแรงขนาดนี้ที่กรุงเทพฯ มาก่อนเลย ใคร ๆ ต่างก็มองดูสถานการณ์ลมพายุด้วยกันทั้งนั้น  มีป้ายหน้าร้านต่าง ๆ หลุดกระจายให้เห็น มีรถมอเตอร์ไซด์โดนลมพัดจนเสียหลักล้มเกิดอุบัติเหตุตามหลังกันเป็นทอด ๆ ต้นไม้ข้างถนนถูกลมพัดกิ่งหักไปหลายต้น ป้ายโฆษณาบนหลังคาตึกแถวนั้นพังหล่นลงมาหลายป้าย

และแล้ว... ขณะที่พวกข้าพเจ้าที่ออฟฟิศมองดูลมพายุพัด อยู่ ๆ ก็มีเสียงดังลั่นทางด้านชั้นบนของตึกที่ทำงาน เสียงดังมากและพื้นสั่นสะเทือน ปรากฏว่าป้ายบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่บนดาดฟ้าถูกลมพายุพัดหลุดกระจาย เศษป้าย เศษวัสดุหล่นลงตรงหน้าออฟฟิศและกระจายไปไกลหลายเมตร 

ธงหลวงพ่อโตรูปเดียวกันกับ ฮู้


  แล้วก็มีเสียงอะไรถล่มลงมาอย่างแรง ปรากฏว่า เสาเหล็กโครงสร้างป้ายโฆษณาถล่มทะลุเพดานลงมาให้เห็นกันจะ ๆ เห็นเสาเหล็กเป็นต้น ๆ แทงทะลุพื้นชั้นบนจนงง  แล้วป้ายด้านบนก็พังลงมาที่ด้านหน้าออฟฟิศ โครงสร้างที่พังลงมาฟาดต้นไม้แถบนั้นหลายต้น กิ่งไม้ใหญ่หักกันเป็นแถว... ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ว่า... อ้าว วันนี้เราจอดรถไว้ตรงหน้าออฟฟิศนี่หว่า เลยตกใจกลัวรถพัง ต้องรีบวิ่งลงไปดูรถ

  พอวิ่งไปถึงหน้าออฟฟิศ ภาพที่เห็นก็คือ มีเศษวัสดุ เหล็กโครงสร้างป้ายโฆษณา กิ่งไม้ กระจายเกลื่อนไปตามถนน รถที่จอดริมถนนถูกเศษวัสดุและกิ่งไม้ทับได้รับความเสียหายมากบ้างน้อยบ้างทุกคัน ไม่มีรถใครที่รอดจากการโดนเศษวัสดุและกิ่งไม้ทับ ส่วนรถของข้าพเจ้านั้นมีกิ่งไม้ใหญ่เล็กปกคลุมจนมองไม่เห็นรถ ข้าพเจ้าใจไม่ดีคิดว่า... กรูซวยแล้ว ชาวบ้านที่มาตรวจความเสียหายของรถตัวเองต่างก็ปลอบใจข้าพเจ้า

  เมื่อเข้าไปรื้อกิ่งไม้ที่มองเห็นว่ามีมากเหมือนเป็นซุ้มไม้ปกคลุมรถข้าพเจ้า ปรากฏว่า... ที่จริงแล้วไม่มีเศษวัสดุหรือกิ่งไม้ใดหล่นลงมาโดนรถข้าพเจ้าเลย ที่มองเห็นเป็นกิ่งไม้และเศษวัสดุสุมอยู่บนรถของข้าพเจ้านั้น ที่แท้เป็นเพราะมีกิ่งไม้ใหญ่ตกลงมาที่ช่องว่างหน้าและหลังรถ โดยแขนงย่อยของกิ่งไม้ทั้งสองบังเอิญสอดกันเหนือหลังคารถพอดี แล้วเศษวัสดุกับกิ่งไม้ท่อนอื่น ๆ นั้นแค่ค้างอยู่บนกิ่งย่อยของกิ่งไม้ใหญ่นี้ ประมาณว่ากิ่งไม้ใหญ่สองกิ่งที่หน้าและหลังรถนั้น เหมือนเป็นหลังคาคลุมรถข้าพเจ้า... ส่วนรถของคนอื่นๆได้รับความเสียหายทุกคัน

  ชาวบ้านที่มาดูความเสียหายที่รถของตนเอง ต่างก็เข้ามาถามว่าหลวงพ่อที่ไหนเจิมรถให้หรือมีพระอะไรแขวนไว้บ้าง ข้าพเจ้าจึงหยิบฮู้หลวงพ่อโตซำปอกง วัดพนัญเชิง อยุธยา ให้ดู ทั้งรถมีแค่ฮู้และชายจีวรหลวงพ่อ ต่อมาคนแถวนั้นต่างก็ไปขอรับฮู้และชายจีวรหลวงพ่อโตซำปอกง

หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงคุ้มครองนายแพทย์ทหารญี่ปุ่น

  เรื่องนี้แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง เป็นเรื่องที่เกิดในสมัยปลายสงครามเอเชียบูรพา (พ.ศ.2484-2488) เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเพิ่งเลิกสงคราม ซึ่งเทียบกับเหตุการณ์จริงแล้ว เรื่องนี้น่าจะอยู่ในช่วง พ.ศ.2488 – 2490 เพราะเจ้าของเรื่องเป็นนายแพทย์ทหารญี่ปุ่นที่ประจำการอยู่ที่ประเทศพม่า แล้วย้ายมาเมืองไทย โดยประจำการที่โรงพยาบาล จ.เชียงใหม่

  เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ท่านผู้นี้ยังตกค้างอยู่ที่เมืองไทย และระหกระเหินหนีภัยจากผู้ที่เกลียดชังญี่ปุ่น

  เหตุที่ข้าพเจ้าทราบเรื่องราวของนายแพทย์ทหารญี่ปุ่นท่านนี้ ก็เพราะท่านผู้นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา นับเป็นศิษย์ยุคเก่าสุดๆเสียด้วย เรื่องราวของนายแพทย์ทหารญี่ปุ่นจะรู้จักกันในหมู่ศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อพรหม ที่จะเรียกนายแพทย์ทหารญี่ปุ่นท่านนี้ว่า หมอญี่ปุ่น

  เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม คุณหมอญี่ปุ่น ร้อยเอก นามิโอะ นากายามา ต้องการจะกลับญี่ปุ่น แต่คลาดกันกับพวกเพื่อนทหาร เนื่องจากย้ายมาเมืองไทยเพียงไม่นาน การสื่อสารภาษาไทยจึงทำได้ลำบากมาก  ต้องเดินทางทุลักทุเลจากเชียงใหม่มา จ.พระนครศรีอยุธยา โดยหวังว่าจะพบชาวญี่ปุ่นช่วยกันได้บ้าง ระหว่างที่ระหกระเหินเดินทาง ก็ต้องคอยหลบหนีพวกที่เกลียดญี่ปุ่นจะรุมทำร้าย 

เหรียญ พ.ศ.2517

ด้านหลัง

  ที่อยุธยา ไม่พบชาวญี่ปุ่นที่จะช่วยให้กลับญี่ปุ่นได้ สุดท้ายคุณหมอญี่ปุ่นคิดจะกลับไปเชียงใหม่ แต่ขึ้นรถไฟผิดหลงไปโคราช ต้องตกระกำลำบากเงินทองหมด ไม่มีข้าวกิน ได้พยายามจะหาทางกลับไปเชียงใหม่ให้ได้..แต่แล้ว ขณะที่สิ้นหวังอยู่นั้น อยู่ๆก็ฝันเห็นลำแสงสีทองส่องสว่าง เห็นหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง หลวงพ่อโตบอกว่า...ให้กลับไปที่อยุธยา แล้วจะพบแสงสว่างพบหนทางแห่งความก้าวหน้า

  คุณหมอญี่ปุ่นขอร้องให้นายสถานีรถไฟช่วยให้ได้ไปอยุธยา นายสถานีก็ใจดีช่วยเหลือเต็มที่ ในที่สุดคุณหมอญี่ปุ่นก็พเนจรไปถึงวัดขนอนเหนือ หลวงพ่อพรหมเมตตาให้พักอาศัยอยู่กับท่าน ทั้งยังสักยันต์ให้คุณหมอเพื่อป้องกันอันตราย ซึ่งคุณหมอไปโดนพวกที่เกลียดญี่ปุ่นรุมทำร้ายทั้งตีทั้งฟันแทง แต่ไม่เข้าเนื้อ

  คุณหมอเชื่อในความฝันที่ฝันเห็นหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง จึงไม่กลับ จ.เชียงใหม่ ยังอยู่ที่วัดขนอนเหนือ อยุธยา จนกระทั่งมีโอกาสก่อร่างสร้างตัวได้ขึ้นเรื่อยๆ ได้สมรสกับหญิงชาวไทย และเปลี่ยนชื่อเป็นไทย นับถือศาสนาพุทธ มีความเคารพนับถือศรัทธาหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง และหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือมาก

  เรื่องราวของคุณหมอร้อยเอก นามิโอะ นากายามา ที่ปลอดภัยตั้งตัวได้ในเมืองไทย ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คหรือบังเอิญอย่างแน่นอน แทนที่จะฝันเห็นเทพเจ้าญี่ปุ่น แต่กลับฝันเห็นหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงมาชี้ช่องทางรอดจากภัยในต่างบ้านต่างเมืองได้ คุณหมอไม่รู้ภาษาไทย แต่คุยกับหลวงพ่อโตในฝันจนเข้าใจได้ อย่างนี้ต้องเป็นอภินิหารหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงท่านมาช่วยอย่างแน่นอน

วัตถุมงคลหลวงพ่อโตซำปอกงวัดพนัญเชิงฯ

  แน่นอนว่าวัดที่มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ย่อมต้องมีวัตถุมงคลที่เกี่ยวกับพระศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดนั้น วัดพนัญเชิงฯก็มีวัตถุมงคลหลวงพ่อโตที่เป็นที่นิยมมานานมากแล้ว มีสร้างมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.2500 แต่ถ้าจะนับกันจริงๆแล้ว วัตถุมงคลหลวงพ่อโตน่าจะสร้างกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วด้วยซ้ำ

  มีข้อสันนิษฐานว่า พระเครื่องเนื้อดินกรุอยุธยาพิมพ์หนึ่ง เรียกว่าพระหลวงพ่อโต เป็นรูปพระปางมารวิชัย ลักษระองค์พระดูล่ำสันอวบใหญ่โต ดูคล้ายหลวงพ่อโตซำปอกงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเรียกกันมาแต่ดั้งเดิมว่าพระหลวงพ่อโตอีกด้วย จึงสันนิษฐานว่าที่แท้ก็คือพระเครื่องรูปจำลองหลวงพ่อโตซำปอกง แต่ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น

  วัตถุมงคลที่เป็นรูปจำลองหลวงพ่อโตซำปอกงที่สร้างโดยวัดพนัญเชิงฯมีหลายรูปแบบ มีประสบการณ์คุ้มครองป้องกันภัยเป็นที่เลื่องลือ วัตถุมงคลหลวงพ่อโตยุคแรกๆก่อน พ.ศ.2500 บางแบบปัจจุบันมีราคาแพงมาก แถมยังมีของเก๊อีกต่างหาก ถ้าจะให้ปลอดภัยจากของเก๊ ข้าพเจ้าเห็นว่ารุ่นปี พ.ศ.2517 ก็นับว่าเก่าไม่น้อยแล้ว ยังไม่พบของปลอม หรือรุ่น พ.ศ.2525 รุ่นฉลองรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ซึ่งเป็นวาระสำคัญ ราคายังถูกอยู่มาก ที่แนะนำ 2 รุ่นนี้ก็เพราะมีอายุการสร้างเก่าไม่น้อยแล้ว และยังหาได้ง่าย ถ้าหา 2 รุ่นนี้ไม่ได้ ก็เอาเป็นรุ่นไหนๆก็ได้เพราะเป็นรูปหลวงพ่อโตเหมือนกัน

 ข้าพเจ้าเห็นว่า  รีบไปขอรับ ฮู้หลวงพ่อซำป่อฮุดกง จีวร พระเครื่อง เอามาบูชาติดตัวติดบ้านติดรถ จะเป็นมหาศิริมงคลยิ่ง

เรื่อง จากความทรงจำ

ภาพวัตถุมงคล ของข้าพเจ้า



วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2568

หลวงพ่อกับของวิเศษ 13.หลวงปู่ทองอยู่วัดท่าเสา

 


หลวงปู่ทองอยู่ อตฺตทีโป วัดท่าเสา อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร

  เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน(ปีนี้ พ.ศ.2567) ข้าพเจ้าเป็นหนุ่มช่างกล(สะดุ้งเลย ทำไมเวลาผ่านมานานขนาดนี้) เป็นช่วงวัยรุ่นวัยหนุ่มยุคต้น ที่นับว่าไม่ใช่เด็กๆแล้ว เป็นช่วงชีวิตที่สนุกสนานไปกับเพื่อนๆ ชีวิตเริ่มลิ้มรสของการฝ่าดงตีน และเป็นช่วง..อินเลิฟ..เป็นที่ยิ่ง

  ช่วงเรียนช่างกลเป็นช่วงที่มีเพื่อนเป็นคนต่างจังหวัดหลายคน มีครบทุกภาคของไทย มีเพื่อน 3 คนเป็นคน จ.สมุทรสาคร   การที่ข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นคนสมุทรสาคร ทำให้ได้รู้จักหลวงปู่หลวงพ่อของ จ.สมุทรสาคร หลายรูป

   เพื่อนคนหนึ่งมันอยู่ อ.กระทุ่มแบน ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จัก หลวงปู่ทองอยู่วัดท่าเสา เพื่อนคนนี้มันแขวนเหรียญหลวงปู่ทองอยู่รุ่นปี พ.ศ.2511


  ช่วงวันหยุดได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ อ.กระทุ่มแบน แน่นอนว่าต้องมีการดื่มเหล้าสำมะเลเมเมาไปตามเรื่อง พอเหล้าหมด เพื่อนก็ขับมอเตอร์ไซด์ไปซื้อเหล้าทั้งที่ยังเมาๆ มันไปคนเดียวโดยให้พวกข้าพเจ้านั่งรอ สักพักก็มีคนมาบอกว่าเพื่อนเกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซด์ล้มนอนหมดสติ จึงพากันตกใจรีบออกไปดู

  ปรากฏว่า เพื่อนขับมอเตอร์ไซด์ชนขอบทางเดินของสะพาน แล้วตัวกระเด็นตกลงข้างทางนอนนิ่ง มอเตอร์ไซด์ล้อหน้าบิดงอพังไป ใครๆก็นึกว่าเพื่อนแย่แล้วเพราะนอนแน่นิ่ง ต้องนำส่งสถานีอนามัยที่อยู่ใกล้ๆ

  เมื่อตรวจร่างกายแล้ว ไม่มีรอยบาดแผลใดๆ ไม่แตกไม่หัก ที่เพื่อนนอนนิ่งไปก็ประมาณว่าเพราะเมาเหล้า ทั้งตัวเพื่อนยังมีเหรียญหลวงปูทองอยู่วัดท่าเสา

  เรื่องประสบการณ์วัตถุมงคลหลวงปู่ทองอยู่วัดท่าเสาที่ข้าพเจ้าพบเจอเองนั้น ไม่ได้เจอเรื่องบู๊ตีรันฟันแทง เพราะเป็นช่วงทำงานแล้ว หมดยุคช่างกลไปแล้ว ที่พบประสบการณ์กลับเป็นเรื่องโชคลาภ เมตตามหานิยม และ..การบอกเหตุที่ดี หรือเหตุร้ายที่จะเกิด ข้อนี้แปลกมหัศจรรย์

  ช่วงที่ข้าพเจ้าทำงานได้ไปกราบหลวงปู่ทองอยู่เกือบทุกสัปดาห์ เพราะงานที่ทำเป็นงานภาคสนาม ซึ่งมีเขต อ.กระทุ่มแบน รวมอยู่ด้วย ข้าพเจ้าจะไปจอดรถรอวิทยุเรียกที่ มหาชัยและกระทุ่มแบนทุกวัน บางวันไปจอดรถนอนข้างกุฏิหลวงปู่ทองอยู่กันเลยทีเดียว

  จากการที่ไปกราบหลวงปู่บ่อยๆแถมยังจอดรถนอนข้างกุฏิหลวงปู่ จึงได้เห็นเรื่องราวหลายอย่าง ได้ฟังประสบการณ์ของขลังหลวงปู่ทองอยู่จากผู้ประสบเหตุโดยตรงหลายครั้ง ซึ่งพอจะอนุมานได้ว่าของดีของวิเศษของหลวงปู่ทองอยู่วัดท่าเสานั้น ดีเด่นทางด้านแคล้วคลาดสารพัดภัย มีโชคลาภ เมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ ข้าพเจ้าเองก็พบประสบการณ์มากับตัวเองหลายครั้ง

พระปิดตายาจินดามณี หลวงปู่ทองอยู่มอบให้

ด้านหลัง

ในช่วงที่ทำงานนั้น ข้าพเจ้าจะทดลองแขวนเดี่ยวพระเครื่องทีละหลวงพ่อ ช่วงที่แขวนพระปิดตาผงยาจินดามณีที่หลวงปู่ทองอยู่มอบให้ เมื่อไปติดต่องานที่ไหนๆ มักจะมีสาวออฟฟิศมาติดพันเสมอ สาวๆชวนไปบ้านพักหอพักอยู่ประจำ ถึงขนาดสาวๆมาดักรอที่รถก็มาก ช่วงนั้นชีวิตเป็นสีชมพูหรรษามาก

  เรื่องประสบการณ์ที่ดังมากใน อ.กระทุ่มแบน เป็นเรื่องพนักงานการไฟฟ้าที่ขึ้นไปทำงานบนยอดเสาไฟฟ้า แล้วเกิดการผิดพลาดทางเทคนิค เกิดไฟชอร์ตสลบติดคาเสาไฟฟ้า ใครๆต่างก็คิดว่าเสียชีวิต พอนำร่างลงมาจึงพบว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงนำส่งโรงพยาบาลรักษาอาการ จนกลับเป็นปกติมาทำงานได้

  เรื่องที่แปลกมากๆก็คือเรื่องการบอกเหตุ หลวงปู่เคยบอกไว้ว่า ถ้าเคลื่อนที่อยู่ก็ให้หยุด ถ้าหยุดอยู่ก็ให้เคลื่อนที่ออกไป โดยการบอกเหตุนี้ก็มาจากกลิ่นหอมของพระยาจินดามณีนั่นเอง

  เรื่องนิมิตรเป็นกลิ่นหอมบอกเหตุได้ ข้าพเจ้าพบอีกหลวงพ่อ ก็คือหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ

  วันหนึ่งจำได้แม่นว่าใกล้ๆสี่แยกที่คลองถม ขณะที่กำลังเดินจะไปซื้อของที่ย่านคลองถม อยู่ๆก็มีกลิ่นหอมพระยาจินดามณี นึกถึงคำบอกของหลวงปู่จึงหยุดเดินก่อน ตรงนั้นมีแผงขายลอตเตอรี่อยู่พอดี ข้าพเจ้าจึงลองเสี่ยงโชคซื้อมาคู่หนึ่งแบบหยิบมั่วๆ สุดท้ายถูกรางวัลเลขท้ายสามตัว วันนั้นแขวนพระปิดตาที่หลวงปู่มอบให้เพียงองค์เดียว

  วันหนึ่งไปซื้อของที่ห้างแห่งหนึ่ง ยืนดูของอยู่ดีๆ มีกลิ่นหอมของพระปิดตาผงยาจินดามณี นึกถึงหลวงปู่ทองอยู่ที่ท่านว่า...ถ้าหยุดอยู่ก็ให้เดินออกจากที่ ถ้ากำลังเคลื่อนที่ก็ให้หยุด...ข้าพเจ้าจึงเดินออกจากจุดนั้นซึ่งเป็นชั้นวางสินค้า พอเดินสุดทางก็เดินเลี้ยวไปอีกทาง บังเอิญเดินชนกับผู้หญิงกระทันหัน ปรากฏว่าเป็นลูกสาวเจ้าของกิจการแห่งหนึ่ง ที่มีทีท่าว่าชอบพอข้าพเจ้า จึงได้ไปเที่ยวด้วยกันต่อสายสัมพันธ์ ขนาดว่าพ่อแม่ฝ่ายหญิงไฟเขียวให้ด้วย วันนั้นถ้ายังมัวยืนดูของ ก็จะไม่ได้เจอสาวสวยคนนี้ จะต้องคลาดกันอีกนาน

  ประสบการณ์ทางเมตตามหานิยมพบหลายครั้ง ข้าพเจ้าประทับใจมากๆ

  เนื่องจากข้าพเจ้าไปกราบหลวงปู่ทองอยู่บ่อยมากๆ จึงได้บังเอิญรู้เห็นอะไรหลายเรื่อง อยู่ร่วมในเหตุการณ์ก็มี แล้วมันดันไม่ตรงกับเรื่องที่เล่ากันในยุคนี้ เลยไม่ทราบว่าจะแนะนำการเสาะหาพระยาจินดามณีหลวงปู่ทองอยู่ได้อย่างไร บอกตรงๆว่า..กลัวพลาด

  พระปิดตาและพระพิมพ์สมเด็จมีส่วนที่ไม่ทันหลวงปู่ด้วย แต่จะมีจำนวนกี่องค์ก็ไม่ทราบเพราะไม่ได้ถามตอนที่มีการสร้างใหม่(หลังจากหลวงปู่มรณภาพ) เรื่องนี้ข้าพเจ้าอยู่ร่วมในเหตุการณ์ตอนจัดสร้าง  น่าจะเป็นข้าพเจ้าคนแรกนี่แหละที่รู้เรื่อง เพราะร่วมปรึกษากัน ท่านผู้สร้างไม่ได้คิดปลอมพระ แต่แค่คิดไม่ละเอียดไม่รอบคอบ แค่คิดจะสร้างไว้แจกเท่านั้น มีเนื้อยาจินดามณีเดิมของหลวงปู่ผสมกับยาทำใหม่ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะแยกพิมพ์ว่าทันไม่ทันได้อย่างไร แต่น่าจะมีผู้รู้แยกได้อยู่กระมัง...เลยมีพระจำนวนหนึ่งที่ไม่เก๊ แต่ไม่ทันหลวงปู่



องค์นี้ไม่เก๊แต่ไม่ทัน ล.ป.ทองอยู่

  
ไม่เก๊แต่ไม่ทัน ล.ป.ทองอยู่


ด้านหลัง


    พระปิดตามีพิมพ์ที่เป็นเนื้อผงสีขาวหม่นด้วย มีประสบการณ์ดีมากเหมือนกัน เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ส.จ.ท่านหนี่งของกระทุ่มแบน แกแหวกเสื้อให้ดูว่าแขวนอยู่องค์เดียว

  ท่านอดีต ส.จ.ท่านนี้นับว่าเป็นขาใหญ่ท่านหนึ่งของกระทุ่มแบน มีกิจการสำคัญระดับหนึ่งของอำเภอ แกเล่าให้ฟังว่าแกเคยผจญภัยไปทั่ว แขวนเหรียญหลวงปู่ทองอยู่เหรียญเดียว เมื่อรวยแล้วก็เลี่ยมทองแขวนมาเรื่อย พอเริ่มแก่ก็กลัวว่าจะไปเมาสุราอยู่กับสาวๆ จะเผลอโดนปลดเอาพระเลี่ยมทอง แกเลยเปลี่ยนมาใช้พระปิดตาเนื้อผงขาวที่เลี่ยมเงิน แกเล่าว่าไปไหนแคล้วคลาดปลอดภัย แถมยังมีเมตตามหานิยมดี

พระปิดตาเนื้อผงขาว

ด้านหลัง

ด้านข้าง

  สำหรับวัตถุมงคลแบบที่เป็นเหรียญ นอกจากรุ่นหนึ่งที่ราคาแพงและหายาก รุ่นอื่นๆยังพอที่จะเสาะหาได้ เสียดายที่ข้าพเจ้าค้นหาจะเอามาถ่ายภาพให้ชม แต่ค้นเท่าไรก็ไม่เจอ น่าจะเก็บไว้อีกบ้านหนึ่ง ยังไม่มีเวลากลับไปค้น มีเหรียญ รูปหล่อ ผ้ายันต์ธง 

น้ำเต้าผงยาจินดามณี

  ยังมีพระพิมพ์หนึ่งที่พบเห็นได้ไม่ยาก เป็นพิมพ์ลีลาหนังตะลุง ข้าพเจ้าเคยกราบเรียนสอบถามหลวงปู่ทองอยู่ถึงพระพิมพ์นี้ จึงทราบรายละเอียดการสร้าง ซึ่งจะไม่ขอเล่าถึงรายละเอียดในเชิงลึก เอาเป็นว่าหลวงปู่ท่านบอกว่า...อย่าเอาไปกิน    ถ้าจะกินเอาเม็ดยาไปฝนกิน...ท่านว่า...พระนี้ข้าเสกไว้แล้ว ก็ใช้ติดตัวไปแล้วกัน ป้องกันอันตรายได้

  เรื่องของเรื่องก็คือ พระพิมพ์นี้ไม่ใช่เนื้อยาจินดามณีล้วนๆ มีส่วนผสมแบบที่ใช้สร้างเป็นพระเครื่องเช่นปูนและตัวประสานเนื้อพระรวมอยู่ด้วย จึงควรแขวนแบบพระเครื่องมากกว่า

  สำหรับลูกอมหรือเม็ดยาจินดามณีของหลวงปู่ จะปั้นด้วยมือไม่ได้ใช้เครื่องปั๊มเม็ดยา ดังนั้นเม็ดยาจินดามณีจึงมีขนาดไม่เท่ากัน สีของเม็ดยามีทั้งเข้มจัดบ้างและสีอ่อนลงมาบ้าง ถ้าจะกินเป็นยาก็แค่ฝนเม็ดยาออกมาเล็กน้อย แล้วผสมน้ำกินแบบกินยาหอม หลวงปู่ท่านบอกวิธีมาอย่างนี้ ไม่ใช่ให้กินทีละเป็นเม็ดแต่อย่างไร

ประวัติ หลวงปู่ทองอยู่ วัดท่าเสา

  หลวงปู่ทองอยู่ วัดท่าเสา จ.สมุทรสาคร เกิดที่บ้านท่าไม้ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร

  ท่านได้อุปสมบทที่ วัดนางสาว อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน มีพระครูถาวรสมณศักดิ์ (คง) วัดหงอนไก่ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเพี้ยน จันทสโร วัดนางสาว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูสุนทรคุณธารี วัดนางสาว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อยู่จำพรรษาที่วัดนางสาว

  ปี พ.ศ.2480 พระครูถาวรสมณศักดิ์ เจ้าคณะอำเภอกระทุ่มแบน ได้ส่งหลวงปู่ทองอยู่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าเสา ซึ่งเป็นวัดร้าง ท่านได้ร่วมกับชาวบ้านบูรณปฏิสังขรณ์ มีการสร้างโรงเรียนวัดท่าเสา โดยท่านทำหน้าที่เป็นครูใหญ่และสอนนักเรียนด้วย

  ด้านสมณศักดิ์ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่พระครูอาทรธรรมนิเทสก์

  หลวงปู่ทองอยู่ มรณภาพลงเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2531 อายุได้ 92 ปี


เรื่อง จากความทรงจำ และประวัติจากหนังสือของวัดท่าเสา

รูปภาพ ภาพหลวงปู่ทองอยู่จากสื่ออินเทอเน็ต

            ภาพวัตถุมงคลเป็นของข้าพเจ้าเอง





วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568

หลวงพ่อกับของวิเศษ 12.หลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ.4

 


หลวงพ่อพรหม ติสฺสเทโว วัดขนอนเหนือ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

หลวงพ่อพรหมกับกระดาษม้วนเล็กๆม้วนหนึ่ง

  วันนี้วันครูของปี พ.ศ.2568 ระลึกถึงครูอาจารย์ทั้งพระทั้งฆราวาส อยู่ๆก็ระลึกถึงหลวงพ่อพรหม ติสฺสเทโว วัดขนอนเหนือ ระลึกถึงความเมตตาของหลวงพ่อพรหมที่มีต่อลูกศิษย์ และท่านเมตตาไปถึงผู้ที่ยังไม่ได้เป็นศิษย์ รวมถึงผู้ที่กำลังจะเป็นลูกศิษย์

  วันหนึ่งของราวๆ 40 ปีก่อน ข้าพเจ้าแวะไปกราบหลวงพ่อพรหมที่กุฏิ นั่งสนทนาสัพเพเหระกับท่านไปเรื่อยๆ แล้วก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อแวะเข้ามากราบท่าน ทั้งร่วมวงสนทนากันแบบบ้านๆ ศิษย์ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนต่างคุยกันอย่างสนิทสนม หลวงพ่อท่านก็รินน้ำชาให้ข้าพเจ้ายกไปแจกเหล่าลูกศิษย์

  ระหว่างที่กลุ่มลูกศิษย์สนทนากับหลวงพ่อนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้าประตูกุฏิแล้วค่อยๆหมอบคลานเข้ามานั่งด้านหลังสุด กลุ่มลูกศิษย์ต่างก็ขยับที่ให้ผู้มาใหม่ เพื่อให้เข้าไปกราบหลวงพ่อพรหมได้ เหล่าศิษย์ของหลวงพ่อพรหมมักจะปฏิบัติเช่นนี้เสมอโดยที่หลวงพ่อท่านไม่ต้องบอก

  ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า ท่านที่เข้ามาใหม่นี้เป็นหญิงวัยกลางคน มีสีหน้าเศร้าหมองกังวล พวกศิษย์ที่มากราบหลวงพ่อพรหมก่อนหน้านี้ ต่างก็เชิญให้เข้าไปกราบสนทนากับหลวงพ่อให้ใกล้ๆ

เลขโชคที่หลวงพ่อเคยเขียนให้ข้าพเจ้า ซึ่งถูกทุกงวด


  หญิงวัยกลางคนผู้มีสีหน้าเศร้าหมองมอบคลานเข้าไปกราบหลวงพ่อแล้วนั่งนิ่งไม่ได้พูดอะไรกับหลวงพ่อ หลวงพ่อพรหมท่านมองๆท่านผู้นี้ อยู่ๆหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาก่อนว่า...เออๆ...ท่านหันไปค้นกระดาษแถวนั้นมาฉีก แล้วเขึยนอะไรยุกยิกลงไป ที่แท้ท่านเขียนเลขเด็ดให้นั่นเอง

  หลวงพ่อพรหมท่านยื่นเศษกระดาษให้หญิงวัยกลางคน แล้วบอกว่า...พวกมึงดูกันเอง...ทุกคนก็ขอดูเลขมหาโชคนั้น หญิงวัยกลางคนท่านนี้ก็ให้ดู

  พอหญิงวัยกลางคนท่านนี้ก้มกราบหลวงพ่อพรหม แล้วขยับตัวถอยออกมาจะกลับ หลวงพ่อพรหมท่านเรียกไว้ว่า...รอก่อนๆอย่าเพิ่งไป...หลวงพ่อเข้าไปในห้องนอนเล็กๆของท่าน พอท่านออกมาจากห้องก็มีม้วนกระดาษหนาประมาณ 1 นิ้วฟุตกว่าๆอยู่ในมือ


  หลวงพ่อพรหมท่านยื่นม้วนกระดาษเล็กๆให้หญิงวัยกลางคนผู้มีสีหน้าเศร้าหมอง หลวงพ่อพูดว่า...เอ้า กูให้มึงไปทำทุน...แล้วหลวงพ่อก็กลับนั่งประจำที่นั่งของท่าน

  ตั้งแต่ที่หญิงวัยกลางคนผู้มีสีหน้าเศร้าหมองเข้ามาที่กุฏิ จนกระทั่งกลับออกไปนั้น ท่านผู้นี้ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่คลานมากราบหลวงพ่อพรหมเท่านั้น

  ข้าพเจ้าจำได้แม่นถึงม้วนกระดาษเล็กๆม้วนนั้น เห็นเลยว่าเป็นธนบัตรใบละ100บาทกับ 20บาทอย่างละหลายใบ ม้วนเป็นก้อนกลมหนาประมาณ 1 นิ้วฟุตกว่าๆ ที่รู้ก็เพราะขนาดธนบัตรหรือแบงค์ไม่เท่ากัน มีสีแดงและสีเขียว ม้วนเป็นก้อนอย่างแน่นมีหนังสติ๊กรัดเอาไว้ ประมาณว่าต้องเกินกว่า 500บาทของเมื่อ 40ปีก่อน น่าจะมีถึงหนึ่งพันบาทด้วยซ้ำ

  พอหญิงวัยกลางคนท่านนี้กลับไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนสอบถามหลวงพ่อว่า หญิงวัยกลางคนผู้นี้เป็นศิษย์เก่าที่สนิทกันหรือ เพราะตั้งแต่ท่านผู้นี้เข้ามากราบหลวงพ่อ จนกระทั่งกลับไปนั้น ท่านผู้นี้ไม่ได้คุยอะไรกับหลวงพ่อเลยสักคำ ทั้งยังเห็นหลวงพ่อท่านเขียนเลขให้ แถมยังเมตตาให้เงินไปอีกจำนวนหนึ่งด้วย คำตอบของหลวงพ่อพรหมทำให้ข้าพเจ้าตื้นตันจุกในอก เพราะ...

  หลวงพ่อพรหมท่านตอบว่า...เปล่า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาเพิ่งมาหากูเป็นครั้งแรก เขากำลังเดือดร้อนสาหัส...ท่านยังพูดอีกว่า...ถึงให้เลขไปเขาก็ไม่มีเงินซื้อเลข  แล้วเขาจะพ้นเคราะห์คอขาดบาดตายได้ยังไง กูเลยเวทนาต้องให้เงินไปซื้อ จะถูกรางวัลมีเงินไปแก้ไขเรื่องได้....ข้าพเจ้าฟังแล้วอึ้ง รู้สึกสะเทือนใจ และรู้สึกอิ่มเอิบใจไปกับความเมตตาของหลวงพ่อพรหม ติสฺสเทโว วัดขนอนเหนือ

  แน่นอนว่าหวยในงวดนั้น ออก 3 ตัวตรง ตรงกับเลขมหาโชคที่หลวงพ่อพรหมเขียนให้หญิงวัยกลางคนผู้นั้น ศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ถ้าเล่นเลขโชคก็ต้องถูกรางวัลมีเงินใช้

  ม้วนกระดาษเล็กๆม้วนแน่นจนหนา 1 นิ้ว หลวงพ่อพรหมท่านรวมจากปัจจัยที่ศิษย์ถวายคนละเล็กละน้อย เพื่อถวายหลวงพ่อไว้ใช้ส่วนตัว แต่หลวงพ่อพรหมท่านมอบให้ผู้ที่มาหาท่านเป็นครั้งแรกได้อย่างง่ายๆ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เป็นศิษย์ท่านในขณะนั้นเลย ท่านรู้ได้ว่าผู้ที่มาหาท่านกำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ความเดือดร้อนอันจะทำให้เกิดเหตุร้ายแรงของชีวิต ท่านจึงให้โชคลาภพร้อมเงินทุนที่จะทำให้สำเร็จในโชคนั้น เพื่อให้ชีวิตเขาพ้นวิกฤตไปได้

  เรื่องนี้แสดงถึงญาณหยั่งรู้ที่สุดแสนจะฉับไวของหลวงพ่อพรหม ท่านไม่ต้องนั่งสมาธิเพ่งอะไรเลย แค่ท่านมองนิดเดียวก็รู้ต้นสายปลายเหตุของบุคคลนั้นๆแล้ว(ข้าพเจ้าเจอกับตัวเองหลายครั้ง)

  ข้าพเจ้าคิดว่า ของวิเศษที่สุดของหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือนั้น คือความเมตตากรุณาที่หลวงพ่อมีให้ศิษย์ ทั้งยังเมตตาไปถึงผู้ที่ไม่ได้เป็นศิษย์ของท่านอีกด้วย


เรื่อง จากความทรงจำที่ข้าพเจ้าอยู่ในเหตุการณ์

ภาพ จากเลขโชคลายมือของหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าเก็บรักษาไว้

ภาพหลวงพ่อพรหมจากสำเนาที่ทำต่อๆกันมา อ้างอิงได้จากหนังประวัติหลวงพ่อพรหมที่คุณธีรพล คงอาชาภัทร จัดพิมพ์





วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2568

หลวงพ่อกับของวิเศษ 11.หลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ.3

 


หลวงพ่อพรหม ติสฺสเทโว วัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา

เรื่อง ประสบการณ์หลวงพ่อพรหมให้ของขวัญ ปีใหม่

  วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2567 ไป พ.ศ.2568 ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เพราะป่วยมาหลายสัปดาห์ พออยู่กับบ้านก็ระลึกอดีตไปเรื่อย นึกถึงงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เมื่อราวๆ40ปีก่อน ช่วงนั้นยังทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง มีงานเลี้ยงในวันสิ้นปีที่โรงแรมดังในกรุงเทพฯ แบบว่าบริษัทใจป้ำกล้าจัดงาน

  ในงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น แน่นอนว่าต้องมีการจับสลากแจกของขวัญ ซึ่งทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้หลายสิบรางวัล แต่ละรางวัลไม่ใช่ขรี้ๆ ล้วนเป็นของดีมีราคา เพราะขืนทางบริษัทแจกของขวัญกิ๊กก๊อก รับรองได้ว่าเหล่าพนักงานจะรุมด่าคณะกรรมการจัดงานอย่างแน่ๆ ขนาดแค่ของชำร่วยที่ไล่แจกในงาน ถ้าดูกระจอกยังโดนด่าเลย

  ข้าพเจ้าไม่เคยขาดงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของบริษัท ก็แมร่งเล่นจัดงานที่โรงแรมดังๆทุกปี อาหารชั้นยอดโชว์ชั้นเยี่ยม ของขวัญสุดเจ๋ง...แต่ ข้าพเจ้าไม่เคยได้ของขวัญเลย ไม่เคยได้แม้แต่ครั้งเดียวจนน่าแปลกใจ เพราะทำงานมาหลายปี คนเก่าๆเขาต้องเคยได้รางวัลจากการจับสลากของขวัญบ้างสักครั้ง ในสาขาที่ข้าพเจ้าอยู่นั้น มีข้าพเจ้าเพียงคนเดียวที่ไม่เคยได้เลย ทั้งๆที่ของขวัญรางวัลโคตรเยอะ

  ปีหนึ่งของเมื่อราวๆ 40ปีก่อน ในงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในปีนั้นข้าพเจ้าเป็นกรรมการจัดงานกับเขาด้วย ไม่ได้นึกถึงเรื่องของขวัญรางวัลเพราะไม่เคยได้จนชินไปแล้ว ขณะที่นั่งรับประทานอาหารกับเพื่อนร่วมงาน บนเวทีก็มีการประกาศผู้ได้รับรางวัลของขวัญไปเรื่อยๆทีละชื่อ คือจะฉับสลากรางวัลไปเรื่อยๆเป็นระยะๆ เลขตรงกับใครก็ขึ้นไปรับของขวัญ ซึ่งก็ไม่มีชื่อข้าพเจ้า ก็เหมือนทุกๆปี

  อยู่ๆข้าพเจ้าก็นึกถึงหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ นึกแบบคุยกับท่านว่า....โอ้โฮ หลวงพ่อ..ผมอยู่บริษัทนี้มาตั้งหลายปี ยังไม่เคยได้ของขวัญงานปีใหม่อะไรกับเขาเลย หลวงพ่อเมตตาช่วยให้ผมได้ของขวัญด้วยนะ

  สักครู่โฆษกประกาศว่า ขี้เกียจประกาศทีละชื่อแล้ว เพราะเริ่มเมาเหล้ากันมาก ขอจับสลากประกาศรายชื่อรวบยอดรางวัลที่เหลือทั้งหมดเลย แล้วเรียกชื่อมารวดเดียวตามของขวัญที่เหลืออยู่สิบกว่ารางวัล ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ทั้งหมดเป็นของดีที่สุด...แล้วก็ประกาศเลขของข้าพเจ้าด้วย...ข้าพเจ้าสะดุ้ง นึกถึงหลวงพ่อพรหมทันที

คล้ายๆรุ่นนี้แต่น่าจะเก่ากว่า


  ของขวัญชุดสุดท้ายนี้ ยังไม่ประกาศว่าใครได้อะไร เพราะเสือกทำเป็นเกมว่า ให้ทุกคนลุ้นจับสลากวัดดวงด้วยตัวเองกับมือ ของขวัญราคาแพงพอๆกัน มีทั้งเหมาะกับผู้หญิงและผู้ชาย ข้าพเจ้าชอบเครื่องเสียงที่สุดฮิตในสมัยนั้นซึ่งมีอยู่รางวัลเดียวในงาน คือเครื่องเสียงโซนี่ที่เรียกว่า มินิคอมโป ส่วนรางวัลอื่นๆไม่อยากได้ไม่ถูกจริต แถมยังเป็นของขวัญแบบผู้หญิงๆด้วย ในที่สุดก็วัดดวงจับสลากกันทีละคน

  ถึงคิวข้าพเจ้าจะจับสลาก ก็ระลึกถึงหลวงพ่อพรหมว่า ไหนๆหลวงพ่อช่วยให้ผมได้มีโอกาสรับของขวัญในงานเลี้ยงบริษัท ก็ขอเป็นชุดเครื่องเสียงนะครับ อย่าให้ได้พวกน้ำหงน้ำหอมอะไรเลย (รางวัลน้ำหอมแพงๆมีหลายรางวัล โอกาสจับฉลากโดนมีเยอะมาก)) ขณะนั้นก็แอบเอามือทาบตรงหน้าอกที่มีเหรียญหลวงพ่อพรหมรุ่นนารายณ์ปี 09 แล้วล้วงลงไปในกล่องสลาก

  ขณะที่ล้วงลงไปในกล่องใส่สลากนั้นเอง ยังไม่ทันที่มือจะถึงก้นกล่อง อยู่ๆก็รู้สึกว่ามีอะไรเด้งลอยขึ้นมาติดฝ่ามือที่กางอยู่ ข้าพเจ้าจึงกำเอาไว้แล้วดึงมือออกจากกล่อง พอแบมือดูก็เป็นสลากหมายเลขของขวัญ ปรากฏว่าของขวัญชิ้นนั้นก็คือ ชุดมินิคอมโปของโซนี่ที่ข้าพเจ้าอยากได้นั่นเอง


  เท่ากับว่าข้าพเจ้าไม่ได้จับเลขรางวัล เพราะยังไม่ทันที่มือจะล้วงลงไปถึงกองกระดาษหมายเลขที่ม้วนอยู่ แต่กระดาษสลากรางวัลนั้น กลับลอยขึ้นมาติดฝ่ามือข้าพเจ้า...แบบนี้เจออภินิหารแบบจะๆตรงๆของหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือว่า ท่านให้ของขวัญปีใหม่

  วันปีใหม่ ข้าพเจ้าขับรถไปกราบหลวงพ่อพรหมที่วัด พอก้มกราบท่านเท่านั้น ท่านอมยิ้มพูดว่า...สมใจมึงแล้วมั๊ยล่ะ...ข้าพเจ้ารีบกราบหลวงพ่อพรหม ยิ้มแต้บอกท่านว่า..สมใจมากๆเลยครับ.. แล้วนึกว่า เราโชคดีมากๆที่ได้พบได้เป็นศิษย์ของ..หลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ


ของขวัญปีใหม่อีกปีหนึ่ง

  ปีหนึ่งซึ่งจำไม่ได้ว่าก่อนที่ข้าพเจ้าได้รางวัลหรือหลังปีนั้น จำได้แค่ว่า  ในตอนเช้าวันสิ้นปีได้ไปกราบหลวงพ่อพรหม ระหว่างที่นั่งสนทนากับท่าน มีศิษย์ทยอยมากราบขอพรในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันมาก จนกระทั่งถึงเวลาที่หลวงพ่อจะฉันเพล ท่านก็ว่า...เดี๋ยวพวกมึงอยู่กินข้าวพระกันก่อนนะ

  ข้าพเจ้ามีธุระจะต้องรีบกลับ จะรอรับประทานอาหารคงจะกลับไม่ทันธุระ ขณะนั้นหลวงพ่อเริ่มก้าวจะเดินแล้ว ข้าพเจ้าจึงจับชายจีวรหลวงพ่อแล้วขอท่านว่า...หลวงพ่อ ผมขอเช็คไปให้แม่ด้วย...ท่านก็หัวเราะหึๆตามสไตล์ท่านว่า...ปู้โธ่ มึงไม่บอกตั้งแต่แรก เอ้า กูให้ไปทีเดียวดูกันเอง....พวกศิษย์ที่นั่งอยู่ต่างยิ้มดีใจ

 หลวงพ่อหันกลับไปฉีกเศษกระดาษมาเขียนเลข 2 ตัว ยื่นให้ข้าพเจ้า แล้วท่านเดินไปหอฉัน พวกศิษย์ต่างขอจดเลขกันไปแบบแฮปปี้สุดๆ หลายคนบอกว่าไม่รู้เลยว่าหลวงพ่อให้เลขได้ด้วย

บางทีท่านเขียนเลขมาแบบนี้ ศิษย์จะรู้ว่าท่านให้ตัวไหน


  วันนั้นข้าพเจ้าขอเลขไปให้แม่จริงๆ ศิษย์รุ่นเก่าจะรู้กันว่า ถ้าบอกหลวงพ่อว่า..ขอเช็ค..นั้นคือขออะไร และในที่สุดหวยปีใหม่ของปีนั้น ก็ออกมาตรงตามที่หลวงพ่อท่านให้มา ราวกับว่าท่านให้เช็คไปเบิกเงินกันเอาเอง..แม่ข้าพเจ้าถูกหวยในงวดนี้

  นี่คือเรื่องของขวัญปีใหม่ของหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ ที่ท่านเมตตามอบให้ศิษย์

ภาพหลวงพ่อพรหมนั่งรับสังฆทาน


ป.ล. สำหรับท่านที่ไม่มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อ และอยากได้ภาพของหลวงพ่อไว้บูชา ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องภาพหลวงพ่อพรหมรับสังฆทานให้ฟัง

  ว้นหนึ่งได้ไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อพรหม เมื่อถวายสังฆทานแล้วได้ขออนุญาติถ่ายภาพท่าน หลวงพ่อพรหมท่านว่า...เอ้า มึงถ่ายภาพกูให้สวยไปเลยนะ...แล้วหลวงพ่อก็ให้พรรับสังฆทานก่อน แล้วท่านนั่งยิ้มให้ข้าพเจ้าถ่ายภาพ ใช้กล้องฟิมล์ ASAHI PENTEX รุ่น SPOTMATIC

  ข้าพเจ้าถ่ายภาพหลวงพ่อพรหมนั่งรับสังฆทานไว้หลายภาพ พอถ่ายภาพเสร็จปรากฏว่า...หลวงพ่อท่านยังนั่งยิ้มนั่งนิ่งไม่กระคุกกระดิกอยู่จนนานเกิน 5 นาที จนข้าพเจ้าสงสัย จึงเข้าไปนั่งดูใกล้ๆขนาดชิดตัวท่าน หลวงพ่อก็ยังนั่งยิ้มๆนิ่งอยู่อย่างนั้น

  ข้าพเจ้าเข้าใจได้ในทันทีว่า...หลวงพ่อพรหมท่านเข้าสมาธิเข้าฌานอธิษฐานจิตให้ไว้ในการถ่ายภาพครั้งนี้แล้ว ภาพนี้จึงเป็นของวิเศษที่ท่านมอบให้ศิษย์ทั้งหลาย สามารถอัดภาพทำสำเนาต่อๆไปได้ เพราะท่านกำหนดอธิษฐานจิตไว้ในรูปนามดังภาพนี้แล้ว

  หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็จับแขนหลวงพ่อแล้วเขย่าๆเบาๆอยู่สักพัก หลวงพ่อท่านก็ถอนสมาธิ

  เมื่อข้าพเจ้าอัดภาพนี้ไปขอให้หลวงพ่อลงจารให้ โดยนำไป 2 ใบ ท่านก็ว่า..เออๆ ภาพนี้ดีแล้ว..ท่านหยิบปากกาเมจิกมาจารให้ ภาพที่มีกรอบกระดาษท่านจารให้ดังรูป ส่วนอีกภาพท่านจารไว้ที่ด้านหลังภาพ ข้าพเจ้าเก็บรักษาไว้จนบัดนี้

  ภาพหลวงพ่อพรหมนั่งรับสังฆทาน ทุกท่านสามารถอัดสำเนา หรือโหลดไฟล์ไปปริ๊นต์ภาพ แล้วอธิษฐานถึงหลวงพ่อพรหม เท่านี้ก็มีภาพหลวงพ่อพรหมไว้เป็นศิริมงคลยิ่ง

เรื่อง จากความทรงจำ

ภาพ หลวงพ่อพรหมรับสังฆทาน เป็นภาพที่ข้าพเจ้าถ่ายไว้เอง

       ภาพอื่นๆจากรูปที่เคยติดไว้ในกรอบที่กุฏิบ้าง และมีในหนังสือเล่มม่วงทึ่คุณธีรพล คงอาชาภัทรจัดพิมพ์ ภาพเก่าส่วนมากหาต้นตอเจ้าของภาพไม่เจอแล้ว