โรค Computer Vision Syndrome
คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆนั้นต้องสร้างด้วยงบประมาณที่สูงมากๆ ที่มีประสิทธิภาพดีเลิศนั้น
จะมีขนาดใหญ่ประมาณว่ารถยนต์คันหนึ่ง ยิ่งถ้าเป็นแบบทำนองซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ยุคแรกด้วยแล้ว
ขนาดก็ห้องทั้งห้องหรือบ้านหลังย่อมๆกันเลยทีเดียว
พอมาถึงยุคนี้คอมพิวเตอร์ดีๆมีขนาดเพียงหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น
หรือแค่สมุดฉีกเล่มเล็ก
![]() |
คอมพิวเตอร์เครื่องแรกชื่อ ENIAC |
![]() |
ระบบคอมพิวเตอร์ยุคแรก |
โทรศัพท์ในสมัยก่อนนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากเอามากๆ
เพราะกว่าจะขอมีโทรศัพท์สักเครื่องต้องใช้เวลาเป็นปีๆถึงจะได้
และพกพาโทรศัพท์ไปไหนก็ไม่ได้ เพราะยังไม่มีระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่
พอเริ่มมีระบบโทรศัทพ์เคลื่อนที่เข้ามาในช่วงแรกๆ
เครื่องโทรศัพท์ก็ใหญ่ขนาดถังแกลลอน ต้องหิ้วกันไหล่แทบหลุด
แต่พอถึงสมัยนี้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีขนาดแค่นิดเดียว เล็กขนาดใช้มือข้างเดียวถือได้สบายๆ
เราเลยเรียกกันแบบไทยๆว่า โทรศัพท์มือถือ และในที่สุดเหลือแค่เรียกมือถือ ซึ่งฝรั่งเขาเรียก mobile
![]() |
โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคแรกๆที่เริ่มทันสมัย |
![]() |
เห็นอย่างนี้ราคาเป็นแสนๆ |
ปัจจุบันนี้ใครไม่มีมือถือไม่มีคอมพิวเตอร์นี่จะกลายเป็นคนตกโลกไปเสียแล้ว
ก็ขนาดเด็กเล็กๆเขายังใช้คอมพิวเตอร์กันได้ ใช้โทรศัพท์มือถือกันเป็น
คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตไปโดยปริยาย
สิ่งที่เหลือเชื่อที่ต้องเชื่อก็คือ การใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นเหมือนสิ่งเสพติด
ติดกันถึงขนาดว่าพอจะใช้แล้วเกิดเน็ตล่มสัญญาณหลุด รับรองว่าต้องอารมณ์เสียกันทุกคน หลายๆท่านถึงกับออกอาการยั๊วะกันสุดๆ การใช้คอมพิวเตอร์และเล่นโทรศัพท์มือถือนั้น
ก็ใช้กันแบบนานสุดๆ
ที่ตามมากับการใช้คอมพิวเตอร์ใช้โทรศัพท์มือถือนานๆก็คือ
จะเกิดอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกล้ามเนื้อตา
เพราะเราต้องจ้องมองจอของคอมพิวเตอร์หรือจอโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ
เราโดนทั้งแสงจากหน้าจอและระยะของสายตาที่เพ่งดูที่ระยะห่างเพียงระยะเดียวนานๆ
อาการที่ตามมาอย่างชัดเจนก็คืออาการปวดตา รู้สึกว่าสายตาพร่า เมื่อยต้นคอ อาการที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์นานๆนี้มีศัพท์เรียกกันว่าเกิด “โรค Computer
Vision Syndrome”
โรค
Computer Vision Syndrome หรือ CVS ซีวีเอส กลายเป็นโรคยอดฮิตสามัญประจำบ้านของคนยุคดิจิตอลไปแล้ว
ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหันมาเอาใจใส่กับอาการปวดตากันแล้ว
จากสำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เนื่องจากมีความทันสมัยและสะดวกรวดเร็ว
แต่การใช้งานที่มากเกินความจำเป็น
อาจส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไม่รู้ตัว
ซึ่งหนึ่งในโรคที่อาจส่งกระทบต่อสุขภาพ คือ "คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม"
(Computer
Vision Syndrome) หรือ "โรคซีวีเอส"
คนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น เกินสองถึงสามชั่วโมง
มักจะมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัวร่วมด้วย
อาการทางสายตาเหล่านี้เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป
อาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75
ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า40 ปี
อาการในบางคนอาจเป็นเล็กๆน้อยๆ ไม่บั่นทอนการทำงาน
หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์สักครู่ก็หายไป บางคนอาจต้องว่างเว้นการใช้เป็นวันก็หายไป
บางรายอาจต้องใช้ยาระงับอาการ
สาเหตุของโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมเกิดจาก
การใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนานๆ และไม่ค่อยกระพริบตา หากเราอ่านหนังสือหรือนั่งจ้องคอมพิวเตอร์
อัตราการกระพริบจะลดลง ประกอบกับแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ตาเมื่อยล้า ทั้งแสงจ้าและแสงสะท้อนมายังจอภาพ
อาจเกิดจากแสงสว่างไม่พอเหมาะ มีไฟส่องเข้าหน้าหรือหลังจอภาพโดยตรง หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างปะทะหน้าจอภาพโดยตรง
ก่อให้เกิดแสงจ้าและแสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้ ทำให้เมื่อยล้าตาง่าย
ระยะทำงานที่ห่างจากจอภาพไม่เหมาะสม
มีสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวไม่มากโดยการทำงานตามปกติไม่ก่อให้เกิดอาการ แต่ถ้ามาทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะก่ออาการเมื่อยล้าตาได้
โรคตาบางอย่างประจำตัวอยู่ เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ
เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ตลอดจนโรคทางกาย เช่น ไซนัสอักเสบ โรคหวัด
ภูมิแพ้เรื้อรัง หรือ ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่อต้องปรับสายตามากเวลาใช้คอมพิวเตอร์
จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยตาได้ง่าย การทำงานจ้องจอภาพนานเกินไป
ย่อมเกิดอาการทางตาได้ง่ายจากการเกร็งกล้ามเนื้อตาตลอดเวลา
![]() |
ปวดตาจากดูจอคอมพิวเตอร์นานๆ |
![]() |
ปวดตาเพราะจ้องจอโทรศัพท์มือถือ |
สำหรับการแก้ไขกันและป้องกันคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมหรือโรคซีวีเอส คือ
ฝึกกระพริบบ่อยๆ ตาขณะทำงานหน้าจอ และหากแสบตามาก อาจใช้น้ำตาเทียมช่วย
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ ควรปรับห้องและบริเวณทำงาน
อย่าให้มีแสงสะท้อนจากหน้าต่าง หลอดไฟบริเวณเพดานห้อง ไม่ควรให้แสงสะท้อนเข้าตา
และไม่หันจอภาพเข้าหน้าต่าง ควรใช้แผ่นกรองแสงวางหน้าจอหรือใส่แว่นกรองแสง
จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
ในระยะที่ตามองได้สบายๆ ปรับเก้าอี้นั่งให้พอเหมาะ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ใช้แว่นตา 2ชั้น
จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตา
เพื่อจะได้ตรงกับเลนส์แว่นตาส่วนที่ใช้มองใกล้
ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆต่อเนื่อง ควรปรึกษาจักษุแพทย์ ใช้แว่นตาเฉพาะดูได้ทั้งระยะอ่านหนังสือ ระยะจอภาพ และระยะไกล เป็นกรณีพิเศษ
หากมีสายตาผิดปกติหรือโรคตาบางอย่างอยู่
ควรแก้ไขและรักษาโรคตาที่เป็นอยู่ควบคู่ไปด้วย
และหากงานในหน้าที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทุก1–2ชม.ควรมีการพักสายตาโดยละสายตาจากหน้าจอแล้วมองออกไปไกลๆหรือหลับตาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่
ต่อไปเป็นสรุปบทความดีๆจาก เกร็ดความรู้.net
สาเหตุของอาการปวดตา
อาการปวดตาในปัจจุบันส่วนใหญ่นั้นเป็นผลมาจากการจ้องจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เป็นเวลานาน
รวมถึงการอยู่ภายใต้ภาวะแสงที่จ้ามากเกินไป ซึ่งเต็มไปด้วยรังสีต่างๆมากมายที่คอยทำร้ายดวงตา
อีกทั้งแสงสว่างที่มากเกินไปทำให้สายตาเมื่อยล้าขึ้นได้
วิธีแก้ปวดตา
วิธีแก้อาการปวดตาที่ดีนั้นควรหมั่นดูแลบำรุงรักษาดวงตาให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ
ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. บริหารดวงตา
ด้วยการกรอกตาไปมา และนวดบริเวณดวงตาเบาๆ
อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยดวงตารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
2. พักสายตา
การพักสายตาจำเป็นอย่างมาก
เพราะถ้าเราใช้สายตาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ได้พักเลยนั้น
เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดตาได้อย่างดีเลยทีเดียว
ดังนั้นควรพักสายตาทุกๆ ชั่วโมง เพื่อให้ดวงตาได้มีโอกาสปรับสภาพ
3. น้ำตาเทียม
น้ำตามเทียมช่วยให้อาการปวดตาดีขึ้นได้
เมื่อรู้สึกว่ามีอาการปวดตา สิ่งที่ต้องทำคือ หยอดน้ำตาเทียมนั่นเอง
จะช่วยป้องกันไม่ให้ตาแห้ง และช่วยกำจัดสิ่งสกปรกในตาได้เป็นอย่างดี
4. รับประทานอาหารเสริมบำรุงสายตา
โดยเฉพาะวิตามิน A และเบต้าแคโรทีน ที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น
และดูแลสุขภาพดวงตาให้แข็งแรงได้
เพียงเท่านี้คุณก็ไม่ต้องทนทรมานกับอาการปวดตาอีกต่อไป
แต่ถ้าลองทำตามวิธีแก้ปวดตาเหล่านี้แล้ว อาการปวดตายังไม่บรรเทาลง
ควรรีบพบแพทย์ในทันที เพราะอาการปวดตาที่เกิดขึ้นอาจมีสาเหตุมาจากโรคอย่างอื่นก็เป็นได้
จะได้ทำการหาสาเหตุและรักษาได้ทันเวลา
ท่าบริหารดวงตาจาก kapook.com
1.
ประคบดวงตาด้วยฝ่ามือ
ท่าแรกเริ่มกันง่าย ๆ ในขณะที่คุณนั่งทำงานอยู่
แล้วรู้สึกล้าสายตาขึ้นมา ให้ถูฝ่ามือทั้งสองข้างพอให้เกิดความร้อนหน่อยๆ
จากนั้นหลับตา แล้วทำมือเป็นรูปทรงคล้ายถ้วย มาประคบดวงตาทั้งสองข้างทิ้งไว้สักครู่
ให้ไออุ่นจากฝ่ามือคลายกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาที่เครียดเกร็งจากการเพ่งจอคอมพิวเตอร์นาน
ๆ
2.
กะพริบตาทุก 4 วินาที
สาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเพลียสายตา
และทำให้ตาแห้งแสบก็เป็นเพราะเราไม่ยอมกะพริบตานั่นเอง
ยิ่งในขณะที่ใช้สมาธิทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ
ส่วนใหญ่ก็มักจะลืมกะพริบตาโดยไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตาแห้ง จนต้องเพ่งสายตาทำงานมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำให้คุณกะพริบตาทุก ๆ 4 วินาที
3. กลอกตาทุก ๆ ชั่วโมง
4.
กวาดสายตาระยะไกล
ในขณะที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
และกำลังมีสมาธิเพ่งเนื้อหางานที่ทำอยู่
บางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้จอมากแค่ไหน
ซึ่งการที่เราใช้สายตาในระยะใกล้ๆแบบนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่พาให้สายตาล้าและเพลียมาก
ๆ เช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า
ให้คุณช่วยบำรุงสายตาด้วยการถอยห่างออกจากจอคอมพิวเตอร์เท่าที่จะเป็นไปได้
และปรับระยะโฟกัสสายตาด้วยตัวเองบ่อย ๆ โดยวิธีก็แค่ถอยออกไปอยู่หน้าประตูห้อง
หรือมุมไหนของห้องก็ได้ที่จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมของห้องกว้างที่สุด
แล้วกวาดสายตามองสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในห้องเป็นแนววงกลม อาจจะไล่มองจากทีวี โซฟา
โต๊ะทำงาน หน้าต่าง โมบาย หรืออื่น ๆ เป็นต้น
แค่นี้ก็เหมือนได้ยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อตาได้
![]() |
มองไกลหน่อย |
![]() |
นี่ก็มองไกลที่เดี๋ยวก็ใกล้ |
5.
ละสายตาไปมองอย่างอื่นทุกชั่วโมง
การใช้เวลาเพ่งสายตาอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินหนึ่งชั่วโมง
ก็ทำให้เกิดความเมื่อยล้าตาได้ง่าย ๆ เช่นกัน ฉะนั้นอย่างน้อยทุกๆ 1 ชั่วโมง
คุณควรละสายตาจากหน้าจอไปมองอย่างอื่นบ้าง หรือลุกออกไปเดินเล่นสักพัก ถือโอกาสขยับแข้งขาไล่ความปวดเมื่อยไปด้วยซะเลย
ในคราวที่รู้สึกปวดตาจนร้อนกระบอกตาผ่าว
ให้คุณหลับตาลงแล้วเหลือบตาขึ้น-ลงสักพัก จากนั้นลืมตาขึ้นแล้วกวาดสายตามองผ่าน ๆ
ประมาณ 1 นาที เสร็จแล้วเริ่มยกใหม่อีกครั้ง
แต่คราวนี้ให้หลับตาแล้วเหลือบตาไปด้านซ้าย-ขวา ประมาณ 1 นาที จากนั้นลืมตาขึ้น
แล้วมองผ่าน ๆ อีกรอบ เว้นระยะห่างสัก 2-3 นาที แล้วเริ่มบริหารตาใหม่อีกครั้ง
หรือจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
ท่านที่จำเป็นต้องดูหน้าจอคอมพิวเตอร์
หรือชอบเล่นโทรศัพท์มือถือนานๆ ควรที่จะต้องเอาใจใส่ดวงตาของตนเองให้มาก
แค่การบริหารดวงตาแบบง่ายๆข้างต้นนี้แล้ว ในบางกรณีอาจยังไม่พอด้วยซ้ำ อาจถึงกับต้องรีบไปพบจักษุแพทย์
ซึ่งถ้าถึงขั้นนี้แล้วก็คงหนักหนาเอาการ ดวงตาของเรามีคู่เดียวจึงต้องถนอมให้ดีที่สุด![]() |
ภาพจาก mykoreabuddy.com |
![]() |
ภาพจาก oknation.com |
![]() |
ภาพจาก boadpostjung.com |
![]() |
ภาพจาก boadpostjung.com |
![]() |
เกมเมอร์สาว คุณ Li Bingjie |
![]() |
ภาพ vcharkarn.com |