วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เจดีย์.๓ เจดีย์ภูเขาทองวัดสระเกศ


พระบรมบรรพต(ภูเขาทอง)วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

The Golden Mount





ภูเขาทองวัดสระเกศ นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ภูเขาทองยิ่งเป็นสิ่งคุ้นตาของคนกรุงเทพฯมาช้านานแล้ว แต่เพราะความเร่งรีบในการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯในปัจจุบันนั้น ทำให้ไม่ค่อยได้สนใจถึงความเป็นมาของภูเขาทองกันสักเท่าไร ทั้งๆที่ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานั้น ภูเขาทองที่ตั้งอยู่ ณ วัดสระเกศนับได้ว่าเป็นศูนย์รวมของอะไรหลายๆอย่าง ที่บ่งบอกถึงวิถีแบบไทยๆในอดีตก่อนหน้านั้นขึ้นไปอีก

          แต่ก่อนนั้นใครๆก็รองานวัดสระเกศ ซ้ำยังเรียกกันด้วยซ้ำว่าไปเที่ยวงานภูเขาทอง งานภูเขาทองก็คืองานวัดที่จัดกันปีละหน เป็นวัฒนธรรมงานวัดแบบไทยแท้ๆ ยิ่งในงานภูเขาทองด้วยแล้ว ถือว่าเป็นงานวัดระดับมหึมาของเมืองกรุงกันเลยทีเดียว งานวัดที่สุดคลาสสิคที่สุดก็คืองานภูเขาทองหรืองานวัดสระเกศนี่เอง

จดีย์ภูเขาทอง(พระบรมบรรพต)วัดสระเกศ


ภาพจาก www.maneger.co.th

          วัดสระเกศเป็นวัดโบราณสมัยอยุธยา เล่ากันว่าเดิมชื่อวัดสะแก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้พระราชทานนามวัดว่าวัดสระเกศ วัดสระเกศนี้มีเกร็ดเล่าว่า ตอนสร้างกรุงเทพฯต้องการที่จะให้เหมือนพระนครศรีอยุธยามากที่สุด จึงหมายจะให้ทำคลองมหานาคแถบวัดสระเกศให้เป็นที่เล่นเพลงเรือ เพลงสักวา และจะให้มีพระมหาเจดีย์สูงใหญ่เหมือนเจดีย์ภูเขาทองที่พระนครศรีอยุธยา


ภาพจาก www.gotoknow.com เจดีย์ภูเขาทอง อยุธยา

ภาพจาก  www.wikimepia.com เจดีย์ภูเขาทอง

          พอถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างพระสุวรรณบรรพต ซึ่งแปลตรงๆว่าภูเขาทองนั่นเอง โดยโปรดให้สร้างเป็นเจดีย์แบบพระปรางค์(ยังไม่ทำเป็นเจดีย์ดังที่เห็นในปัจจุบัน) ได้มีการลงรากฐานด้วยท่อนซุงขนาดใหญ่ถมดินหิน ก่อโครงด้วยไม้ซุงขึ้นไป ทำการก่ออิฐสร้างได้สองชั้น ปรากฏว่าฐานรับน้ำหนักมากและพื้นชั้นรากฐานเป็นเลนตม อันเป็นไปตามสภาพธรรมชาติทางธรณีวิทยาของพื้นดินกรุงเทพฯ น้ำหนักของฐานที่มากจึงกดให้ดินทรุดพังลงมาทำให้ต้องหยุดการสร้างพระสุวรรณบรรพตไป


ภูเขาทองสมัยแรกสร้างเป็นทรงแบบพระปรางค์



ชั้นฐานของภูเขาทองยุคแรก

          ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้สร้างพระเจดีย์ภูเขาทองขึ้นมาให้สำเร็จ ทำเป็นบันใดสองทางสำหรับขึ้นลง การสร้างพระเจดีย์ครั้งนี้ก่อด้วยปูน สามารถทำได้สูงถึง ๑ เส้น ๑๘ วา  ๒ ศอก การสร้างในครั้งนี้ทำเป็นพระเจดีย์อยู่ด้านบนสุดเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตามประวัติการสร้างว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯพระราชทานนามใหม่เป็นพระบรมบรรพต การสร้างยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ดีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯก็สวรรคตก่อน


ภาพจาก bloggang.com

ภาพจาก pantip.com

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างต่อจนสำเร็จเมื่อ วันศุกร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู ตรงกันสุริยคติกาลคือวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๐ ทรงให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากในวังมาประดิษฐานในองค์พระเจดีย์


          ถึงพ.ศ.๒๔๔๑ มิสเตอร์ วิลเลี่ยม เครกตัน เปบเปอร์ ชาวอังกฤษ ได้ขุดพบอัฐธาตุในสถูป อยู่ในพื้นที่ใกล้ตำบลปิบราห์วะ ซึ่งก็คือเมืองกบิลพัสดุ์ มีอักษรจารึกอ่านได้ว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในส่วนที่ศากยะวงศ์(ตระกูลของพระพุทธเจ้า)ได้รับแบ่งปันมา ดังนั้นพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบครั้งนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์อย่างแน่นอน


Mr.William Claxton Peppe

          ขณะนั้นมาเควส เคอสัน เป็นอุปราชปกครองอินเดีย มีความคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เพราะเคยอยู่ที่กรุงเทพฯมาก่อน มาเควส เคอสัน เห็นว่าพระมหากษัตริย์ที่เป็นพุทธศาสนูปถัมภกนั้น ก็มีแต่ที่ประเทศสยามเท่านั้น จึงได้ทำเรื่องกราบบังคมทูลเกล้าฯจะถวายพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบในครั้งนี้ มีเรื่องเล่าว่าเหตุที่ท่าน มาเควส เคอสัน รีบทูลเกล้าถวายนั้นเพราะเกรงว่า พระบรมสารีริกธาตุอาจถูกทำลายไป ดังที่เคยมีข่าวบาดหลวงทุบทำลายพระบรมสารีริกธาตุที่ประเทศศรีลังกา



ผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุชุดที่ขุดพบ

พระบรมสารีริกธาตุที่ภูเขาทองเป็นชุดขุดพบครั้งนี้ รูปร่างเป็นกระดูกมนุษย์


พระบรมสารีริกธาตุ พิพิธภัณฑฯกรุงนิวเดลี เหลือจากที่แบ่งถวาย ร.5


ภาพจาก mcukkradio.com พระยายมราช(ปั้น สุขุม)
          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยายมราช(ปั้น สุขุม) เมื่อครั้งยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต เป็นผู้แทนไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดียมายังประเทศสยาม คราวนั้นประเทศญี่ปุ่น ลังกา พม่า ไซบีเรีย ได้ส่งทูตมาขอรับพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุชุดที่ขุดพบที่อินเดียนี้ด้วย พระองค์ได้พระราชทานให้เพื่อพุทธศาสนิกชนในประเทศอื่นจะได้มีไว้กราบไหว้ระลึกเป็นพุทธานุสติ


ภาพจาก www.thaigramophone.com

ภาพจาก pantip ถ่ายเมื่อ พ.ศ.2433

          วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๒ ทรงโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมขุนนครราชสีมา เสด็จแทนพระองค์เนื่องจากทรงพระประชวร ให้เสด็จมาประกอบพระราชพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์บนยอดพระบรมบรรพต





          ต่อมาในพ.ศ.๒๔๙๓ ในรัชกาลปัจจุบัน ได้มีการซ่อมแซมบูรณะพระบรมบรรพตใหม่ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกมาชั่วคราว เมื่อการปฏิสังขรณ์พระบรมบรรพตเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว จึงได้จัดพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นไปประดิษฐานดังเดิม

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเป็นองค์ประธานในครั้งนี้ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๗


          พระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานบนพระบรมบรรพตนี้ มีลักษณะเป็นกระดูกมนุษย์จริงๆ มีร่องรอยของการถูกเผามาจริงๆ ทั้งยังถูกค้นพบยังพระสถูปโบราณเขตเมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองกบิลพัสดุ์นี้ก็คือเมืองของพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระพุทธองค์นั่นเอง

       



ภาพจาก www.thailovetrip.com พระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายในองค์เจดีย์

          พระบรมสารีริกธาตุบนพระบรมบรรพตหรือภูเขาทองนี้ ต้องถือว่าคือพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ที่เชื่อถือได้มากที่สุด มีหลักฐานความเป็นมาทางประวัติศาสตร์โบราณคดีชัดเจนที่สุด ชาวไทยเราสมควรต้องหาโอกาสไปกราบนมัสการให้ได้ ยิ่งคนกรุงเทพฯแล้วใกล้ๆแค่นี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว


www.hotelthailand.com

www.oknation.com

www.oknation.com


www.thailovetrip.com

www.travel.thaiza.com
www.thaihrhub.com

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆและรูปภาพจากเว็บไซด์ดังที่แจ้งไว้ในภาพ


1 ความคิดเห็น:

  1. ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของข้อมูลมากครับท่ีนำเน้ือหาสาระทางพระพุทธศาสนามาเสนอแนะให้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนชนรุ่นหลังจะได้กระทำแต่ส่ิงดีงามตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.สาธุ สาธุ สาธุ ครับ...

    ตอบลบ