โคตรไอ้เคี่ยม
The Legend of Man Eater in Thailand
โคตรตำนานจระเข้กินคน
ไอ้ด่างคลองบางมุด อ.หลังสวน จ.ชุมพร
ตอนที่ผู้เขียนหรือแอดมินยังเป็นเด็กจำได้ว่ามีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง เป็นข่าวสะเทือนขวัญซึ่งผู้คนทั้งหลายในยุคนั้นต่างสนใจติดตามข่าวนี้กันมาก เรียกว่าเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์กันเลยทีเดียว ผู้เขียนนี้เพิ่งเข้าเรียนหนังสือได้ไม่นาน แต่ข่าวนี้ดังมากมีผู้ใหญ่เล่าให้ฟังทุกวัน แถมยังกางหนังสือพิมพ์ชี้ให้ดูรูปดูข่าวนี้ด้วย ข่าวใหญ่สะเทือนขวัญข่าวนี้ คือข่าวจระเข้ยักษ์ดุร้ายที่ไล่กินคน เป็นจระเข้ที่ออกอาละวาดในแถบ อ.หลังสวน จ.ชุมพร จระเข้โคตรดุตัวนี้เริ่มออกอาละวาดตั้งแต่ต้นเดือนกันยา โดยอาละวาดหนักในแถบคลองบางมุด บ้านหนองไก่ปิ้ง ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพรและเป็นข่าวพาดหัวในหน้าหนังสือพิมพ์
ปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๗เรียกจระเข้โคตรดุตัวนี้ว่า ไอ้ด่างคลองบางมุด
ภาพค่อนข้างผิดส่วนตรงจระเข้ตัวสั้นไป |
ภาพนี้เกิดจากการยืดภาพยาวไป |
ผู้เขียนหรือแอดมินนี้จำเรื่องไอ้ด่างคลองบางมุดได้กระท่อนกระแท่นเพราะยังเด็ก ต่อมาโตขึ้นมาหน่อยก็ยังมีคนเล่าเรื่องไอ้ด่างคลองบางมุดให้ฟัง จึงยังจำเรื่องนี้ได้ ต่อมาเมื่อผู้เขียนมีแฟนแล้ว บังเอิญอีกว่าแม่ของเมียหรือแม่ยายผู้เขียนนี้เป็นคนอ.หลังสวน จ.ชุมพร แถมยังเป็นคนทันยุคทันเหตุการณ์จริงในพื้นที่เสียด้วย ก็เลยได้ฟังเรื่องของไอ้ด่างคลองบางมุดที่สุดแสนจะโคตรดุระดับเป็นตำนานของเมืองไทยกันเลย
แม่ยายเล่าให้ฟังว่าในตอนที่ไอ้ด่างคลองบางมุดอาละวาดนั้น คนหลังสวนหวาดกลัวกันมาก ถึงขนาดว่ากลัวไอ้ด่างคลองบางมุดจะเข้ามาป้วนเปี้ยนในลำคลองอื่นๆ หรือแม้แต่ในแม่น้ำหลังสวน ตอนนั้นไม่ค่อยมีใครกล้าอาบน้ำในลำคลองและแม่น้ำหลังสวน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ตอนไปอาบน้ำก็ต้องมีคนคอยเฝ้าระวังจระเข้ไอ้ด่าง และต้องอาบน้ำในคลองอย่างรวดเร็วสุดๆ แต่ส่วนมากจะใช้วิธีรีบๆตักน้ำหาบหรือหิ้วขึ้นมาอาบห่างๆตลิ่ง เพราะระแวงว่าไอ้ด่างคลองบางมุดอาจจะมาล่าเหยื่อแถวๆบ้าน
บ้านของแม่ยายบังเอิญว่ามีด้านที่ติดแม่น้ำหลังสวนพอดี เพื่อนบ้านของแม่ยายยังจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ดี เพราะต่างก็ต้องหาบน้ำจากแม่น้ำหลังสวนขึ้นมาใช้อาบกันทั้งนั้น คนที่อาบน้ำแล้วปลอดภัยที่สุดก็คืออยู่ในบ้านที่มีบ่อน้ำ หลายๆบ้านก็เพิ่งจะมาขุดบ่อน้ำจากครั้งที่ไอ้ด่างคลองบางมุดอาละวาดนั่นเอง
ภาพจากวิกิพิเดีย จระเข้พันธุ์ทองหลาง |
จระเข้ไอ้ด่างคลองบางมุดเป็นจระเข้พันธุ์ที่เรียกกันว่า "ไอ้เคี่ยม" ซึ่งเป็นจระเข้น้ำเค็มพันธุ์ทองหลาง (อังกฤษ Saltwater crocodile, ชื่อวิทยาศาสตร์: Crocodylus porosus) ลักษณะพิเศษของจระเข้น้ำเค็มคือจะมีตีนแบบตีนเป็ด เพื่อช่วยให้ว่ายน้ำในทะเลได้เร็ว มีลักษณะทั่วไปคล้ายจระเข้น้ำจืด จุดที่แตกต่างกันคือ ขาคู่หลังมีลักษณะแข็งแรงกว่าขาคู่หน้าและมีเพียง 4 นิ้ว ที่นิ้วจะมีพังผืดระหว่างนิ้วมากกว่าจระเข้น้ำจืด จะงอยปากยาวและส่วนปลายค่อนข้างแหลม มีฟันประมาณ 60 ซี่ ลักษณะแตกต่างจากจระเข้น้ำจืดคือไม่มีเกล็ด 4 เกล็ดที่ท้ายทอย ปากยาวกว่าจระเข้น้ำจืดอย่างเห็นได้ชัด มีสันเล็ก ๆ ยื่นจากลูกตาไปตามความยาวของส่วนหัวจนถึงตำแหน่งของปุ่มจมูก หรือที่เรียกว่าก้อนขี้หมา สีลำตัวออกเหลืองอ่อนหรือสีขาว และมีการเรียงตัวที่ส่วนหาง ดูคล้ายตาหมากรุก ตัวผู้มีความยาวหางยาวกว่าตัวเมีย แต่ลำตัวของตัวผู้ผอมเพรียวกว่าแต่โดยรวมแล้วขนาดลำตัวของตัวเมียจะเล็กกว่าเมื่อเทียบกันตัวต่อตัว และระยะห่างของโหนกหลังตาจะกว้างกว่าหัวของตัวผู้ดูป้อมสั้น(แต่เทียบกับคนแล้วก็ยังใหญ่มาก) ตัวเมียจะดูหัวยาวเรียว(ข้อมูลจากวิกิพิเดีย)
เรื่องไอ้ด่างคลองบางมุดนี้แอดมินมาอ่านเจออีกครั้งในเว็บพันทิป ซึ่งท่านเจ้าของเรื่องทำไว้ดีมาก ดูได้จากลิงก์นี้ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6885107/X6885107.html
หมายเหตุ..ข้อความต่อไปนี้ได้ตรวจทานกับจัดย่อหน้าใหม่เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น และขออนุญาตแก้ไขคำที่น่าจะตกหล่นหายไปบ้างเล็กน้อย
ภาพจาก www.sites.google.com จระเข้น้ำเค็มพันธุ์ทองหลาง |
"คำบอกเล่าของชาวบ้าน จระเข้ตัวนี้มีขนาดใหญ่มาก และดุร้ายถึงขั้นไล่กัดผู้คนที่เดินริมตลิ่ง และไล่กัดเรือที่สัญจรไปมา จนชาวบ้านไม่กล้าพายเรือหรือเดินเลาะริมตลิ่ง ต่อมาในกลางเดือนกันยายน เย็นวันหนึ่ง นายอุดม ชาวบ้าน ต.นาขา ลงอาบน้ำในคลอง ถูกจระเข้ยักษ์คาบไปกินต่อหน้าต่อตา ต่อหน้าชาวบ้านนับสิบ รุ่งเช้าพบศพนายอุดมลอยขึ้นมา ปรากฏว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้อง ๒ – ๓ วันต่อมา นายอิน ชาวเขมรบ้านเดิมอยู่ จ.ตราด มาตั้งรกรากที่คลองบางมุด ได้นำเรือเล็กไปตัดจากเพื่อนำมามุงหลังคาบ้าน ขณะยืนตัดกิ่งจากอยู่ในเรือ จระเข้ยักษ์ ได้พุ่งตัวขึ้นมาบนเรือคาบขานายอินตกลงไปในน้ำ นายอินดิ้นและเกาะแคมเรือร้องให้ภรรยาซึ่งอยู่บนฝั่งช่วย เธอพยายามกระพุ่มน้ำและส่งเสียงไล่ แต่ไม่เป็นผล จระเข้ยักษ์ได้คาบนายอินจมหายลงไปใต้ท้องน้ำต่อหน้าต่อตา รุ่งขึ้นศพนายอินลอยขึ้นมา ก็พบว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้องเช่นเดียวกับนายอุดม
ข่าว จระเข้ยักษ์ อาละวาดกินคนไปแล้ว ๒
ศพแพร่กระจายไปทั่ว ชุมพร ส.ต.อ.บุญโชติ
และครูสมพงษ์ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายอินผู้ตาย
ถึงกับลาราชการเพื่อออกล่าจระเข้ล้างแค้นแทนเพื่อนโดยร่วมกับนายแดง
เจ้าของโรงสี มีปืนและดินระเบิด โดยใช้เรือ ๒ ลำ
กลางเดือนตุลาคณะล่าจระเข้ยังออกควานหาตัวแต่ไม่มีวี่แวว
กระทั่งบ่ายจึงใช้ระเบิดกระป๋องนมจุดโยนลงไปในน้ำถึง ๑๔ กระป๋อง
ระเบิดติดต่อกันจนถึงกระป๋องสุดท้ายจระเข้ยักษ์ก็โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน พุ่งเข้าใส่เรือลำหนึ่ง
พร้อมกับอ้าปากกว้างงับแคมเรือจนขาดทะลุ
นายแดงเจ้าของโรงสีซึ่งทำหน้าที่คัดท้ายเรือเสียหลักตกน้ำ
จระเข้ยักษ์ว่ายรี่เข้าไปจะคาบนายแดง
ตำรวจชุดติดตามล่าจึงพากันระดมยิงใส่ลำตัวจระเข้ยักษ์ด้วยปืนเล็กยาวแบบ .๘๓
และปืนพก จระเข้ยักษ์ จึงผละจากนายแดงจมหายไปทันที นายแดงจึงรอดหวุดหวิด
หลังจากถูกคณะไล่ล่าใช้ระเปิดกระป๋องนมและระดมยิงจนจระเข้ยักษ์อาละวาดฟาด หัวฟาดหาง ทำให้ชาวบ้านเห็นชัดว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้มีสีดำทั้งส่วนลำตัวและส่วนหัว ยกเว้นที่คอเท่านั้นที่มีสีขาวคาดอยู่รอบลำคอ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ไอ้ด่าง”
ภาพจากวิกิพิเดีย จระเข้น้ำเค็มดุขนานกระโจนงับเหยื่อ |
หลังจากถูกคณะไล่ล่าใช้ระเปิดกระป๋องนมและระดมยิงจนจระเข้ยักษ์อาละวาดฟาด หัวฟาดหาง ทำให้ชาวบ้านเห็นชัดว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้มีสีดำทั้งส่วนลำตัวและส่วนหัว ยกเว้นที่คอเท่านั้นที่มีสีขาวคาดอยู่รอบลำคอ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ไอ้ด่าง”
จากนั้น จระเข้ยักษ์
เงียบหายไประยะหนึ่งกระทั่งวันที่ ๒๕ ตุลาคม สายตรวจ สภอ.หลังสวน ๒
นายออกตรวจพื้นที่โดยใช้เรือหางยาวแล่นไปตามคลองบางมุด
ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นและฝนตกพรำ
ฉับพลันน้ำในคลองก็ปั่นป่วนและเกิดกระแสคลื่นลูกใหญ่
ด้วยความสงสัยจึงเหลียวดูรอบกาย
และต้องตัวเย็นวาบเมื่อพบกับตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาอย่างอาฆาตมาดร้าย
เห็นเข้าก็รู้ว่ามันคือจระเข้ และมันกำลังว่ายตามเรืออยู่
ด้วยความตกใจทั้งสองจึงรีบเร่งเครื่องหนีทันทีโดยไม่สนใจว่าจระเข้ยักษ์จะ
จมหายไปตอนไหน
จากการที่จระเข้ยักษ์อาละวาดไล่กัดกินคนจนประชาชน ชาวคลองบางมุดนับพันครอบครัวต่างพากันเดือดร้อน จึงมีคำสั่งให้ตำรวจพลร่มหน่วย " เสือดำ " ๒ นายแห่งค่ายนเรศวร หัวหิน เข้าร่วมกับราษฎรคลองบางมุดทำการออกล่าจระเข้ยักษ์
โดยสมทบกับคณะล่าของ ส.ต.อ.บุญโชติ โดยตีวงตั้งแต่ปากอ่าวตะโกจุดหนึ่ง
กับจากคลองบางมุดเข้าหากัน ปลายเดือนตุลาคม นักล่าทั้ง ๒
คณะได้นำเรือชุดละลำหายออกจากปลายคลองบางมุดตั้งแต่เช้าเพื่อค้นหาจระเข้ยักษ์ โดยเรือของ
“เสือดำ” พายล่วงหน้าไปก่อน ๑ คุ้งน้ำ
จากนั้นนักล่าชุดส.ต.อ.บุญโชติจึงออกติดตามไป
การค้นหายังดำเนินต่อไปกระทั่งบ่ายก็ยังไม่พบ จนเวลาเย็น ขณะที่เรือของตำรวจเสือดำ ผ่านถึงหมู่บ้านบางหมี กับบ้านทับซัน จนลับคุ้งน้ำไปแล้ว ไอ้ด่างก็ลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำกลางคลองบางมุดจนเห็นชัดถนัดตา พอดีกับเรือ ส.ต.อ.บุญโชติและครูสมพงษ์ตามมา โดยมีนายหยึดเป็นคนแจวท้าย พอเห็น "ไอ้ด่าง" เท่านั้นครูสมพงษ์เร่งให้นายหยึดรีบแจวเรือเข้าไปเพื่อได้ระยะยิงหวังผลแต่ นายหยึดกลัวจนตัวสั่นค้างอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง "ไอ้ด่าง" จมลงไป พลาดโอกาสทองอย่างน่าเสียดาย
การค้นหายังดำเนินต่อไปกระทั่งบ่ายก็ยังไม่พบ จนเวลาเย็น ขณะที่เรือของตำรวจเสือดำ ผ่านถึงหมู่บ้านบางหมี กับบ้านทับซัน จนลับคุ้งน้ำไปแล้ว ไอ้ด่างก็ลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำกลางคลองบางมุดจนเห็นชัดถนัดตา พอดีกับเรือ ส.ต.อ.บุญโชติและครูสมพงษ์ตามมา โดยมีนายหยึดเป็นคนแจวท้าย พอเห็น "ไอ้ด่าง" เท่านั้นครูสมพงษ์เร่งให้นายหยึดรีบแจวเรือเข้าไปเพื่อได้ระยะยิงหวังผลแต่ นายหยึดกลัวจนตัวสั่นค้างอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง "ไอ้ด่าง" จมลงไป พลาดโอกาสทองอย่างน่าเสียดาย
รุ่งขึ้นนายสุคนธ์ บ้านอยู่ปากอ่าวตะโก
พายเรือขนานคู่กับเพื่อนบ้านซึ่งพายมาคนละลำ
ทั้งสองคุยกันและหัวเราะเสียงดังเพื่อความเพลิดเพลิน ทันใดนั้น
ไอ้ด่างก็โผล่ขึ้นมาในช่องกลางระหว่างเรือทั้งสองลำ
โดยให้เห็นแค่ส่วนหัวและกลางหลัง คนขับเรือทั้งสองจึงรีบพายจ้ำหนีขึ้นฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต
ข่าวไอ้ด่างลอยตัวครั้งที่สองเช้าวันนั้น
ครูสมพงษ์รู้เรื่องเข้าจึงขอแรงชาวบ้านนั่งห้างดักยิง ไอ้ด่าง
โดยครูสมพงษ์กุมปืนไรเฟิล .๓๗๕ นั่งห้างอยู่ที่ต้นโกงกาง
แล้วให้คนนำสุนัขไปผูกแพล่อ แต่ก็ไม่มีวี่แววไอ้ด่าง พร้อมๆกับนักล่าทั้ง ๒
ชุดที่นำเรือออกล่าถึง ๔๘ ชั่วโมง ปรากฏมีนักล่าชุดที่ ๓ เป็นแขกชื่อนายหะหมัด
อายุ ๖๕ ปี ผมขาวโพลนทั้งศรีษะ มาจาก ต. เขาสง ท่าชนะ
โดยใช้วิธีบุกเดี่ยวลงเรือเล็กออกล่าด้วยตนเองโดยใช้หอกเล่มเดียวซึ่งอ้าง
ว่าเคยฆ่าจระเข้มาแล้ว ๑๕ ตัวด้วยหอกเล่มนี้
ขณะนี้นายหะหมัดยังคงลงเรือเล็กออกควานหาไอ้ด่างในคลองบางมุดทุกวัน
จากความล้มเหลวในการล่า ไอ้ด่าง
หลายสิบครั้งจนครั้งล่าสุดความมุ่งมั่นในการล่าของ ๓ คณะติดตาม จระเข้ยักษ์ ได้เรียกขวัญชาวบ้านที่หวาดกลัวกลับคืนมาและร่วมมือกันวางแผนประกาศขีดเส้นตายไอ้ด่าง ในการนี้กำนันตำบลปากตะโก กำนันตำบลบางน้ำขวาง
และผู้ใหญ่บ้านคลองบางมุด ได้ร่วมมือประสานงานกับชาวบ้าน ๒๐๐ คน
และระดมเรือที่จะใช้เป็นพาหนะปราบจระเข้ประมาณ ๑๐๐ ลำเศษ โดยได้ทำพิธีบวงสรวงกรมหลวงชุมพรขอไอ้ด่าง
โดยมีจุดนัดพบคือหน้าโรงถ่านของนายจรัญ ปรกติ คหบดีใหญ่แห่งปากอ่าวตะโก
อ.สวีโดยมีแผนการล่าคือ
ให้ผูกเรือเล็กเป็นแพ แพละ ๕ – ๖
ลำแยกย้ายไปเริ่มต้นจากในบาง ( คลองซอย ) ที่เป็นต้นน้ำ แล้วใช้ไม้
กระทุ้งลงไปถึงพื้นน้ำ ไล่ไปทุกระยะจนถึงคลองใหญ่
ในคลองใหญ่จะมีกองเรืออีกขบวนหนึ่งใช้ไม้กระทุ้งไล่มาจาก ๓ คลองคือ คลองบางมุด
คลองน้ำขาว และคลองบางด้าน
จากนั้นยังมีกองเรือขบวนหลังไล่ตามใช้ไม้กระทุ้งจระเข้ที่กบดานอยู่
ให้หนีมุ่งออกไปยังปากคลองตะโก ที่บริเวณปากคลองกว้าง ๒๐ วานั้น ได้ขึงอวนขนาดใหญ่ปิดกั้นขวางทั้งคลอง
และก่อนจะถึงกำแพงอวน มีการวางเบ็ดราวขึงจากหน้าดินสลับเป็นชั้นขึ้นมาถึงผิวน้ำ
จระเข้ทุกตัวจะหนีการขับไล่ มารวมกันที่นี่และไม่มีทางรอดไปได้
ส่วนระยะทางจากปลายคลองถึงปากคลองตะโกที่เป็นเขตกวาดล้างมีความยาวประมาณ ๙
กิโลเมตร เรือทุกลำได้แยกย้ายออกกระทุ้งตั้งแต่ก้นคลองออกมาตามแผนการที่วางไว้
เรือที่ผูกเป็นแพได้ใช้ไม้กระทุ้งลงไปถึงก้นคลอง
จนพลบค่ำไม่ปรากฏว่าพบจระเข้แม้แต่ตัวเดียว
ทั้งๆที่คลองตะโกกับคลองบางมุดเป็นแหล่งที่มีจระเข้ชุกชุมมากที่สุด
ทำให้แผนการกวาดล้างต้องล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ส่วนสาเหตุของการล้มเหลวน่าจะเกิดจากการออกกวาดล้างอย่างหนักก่อนหน้านี้
จากคณะล่าหลายกลุ่ม ประกอบกับช่วงนี้ระดับน้ำขึ้นสูง
และน้ำเหนือไหลบ่าทำให้น้ำเชี่ยวกราก
จระเข้น้อยใหญ่ถูกกวนจึงย้ายถิ่นหนีไปอยู่ที่อื่น
จากเหตุดังกล่าวทำให้พักการออกล่าจระเข้ยักษ์ไว้ชั่วคราว
จนกว่าน้ำจะลดสู่ระดับปกติ เพราะเชื่อว่าเมื่อระดับน้ำลดจระเข้จะหวนสู่ถิ่นเดิม
แต่พรานใหญ่จาก อ.โคกโพธิ์ จ. ปัตตานี นำโดยนายประยูร คณาณุรักษ์
พร้อมกับคณะถ่ายภาพยนตร์ของไทย ที.วี ได้เดินทางไปบันทึกภาพ
รวมทั้งบังหะหมัดผู้บุกเดี่ยวด้วย สภาพคลองบางมุดในสมัยนั้น สองข้างทางมีป่าโกงกางสลับด้วยป่าจากเป็นระยะ
ตอนบนของคลองแคบ แต่น้ำลึกไม่ต่ำกว่า ๓ วา ( ๖ เมตร ) บางแห่งเช่นทางโค้ง
จะมีวังน้ำลึกซึ่งมีจระเข้อาศัยอยู่เป็นแห่งๆ
นายยวย ภู่ไทย
ต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลและสงวนพันธุ์จระเข้ที่บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์
เผยว่าสาเหตุที่การล่าในวันดี –เดย์ ล้มเหลวเพราะผู้ล่าไม่เข้าใจลักษณะนิสัยจระเข้ซึ่งจะขึ้นผึ่งแดดบน
ฝั่งในเวลากลางวัน แต่คณะล่าควานหาตัวเฉพาะในน้ำ มิได้ครอบคลุมถึงบนฝั่งในป่าจาก
ขณะเดียวกัน นายมง สุวรรณสินธ์ พรานใหญ่ผู้คลุกคลีกับจระเข้ที่หลังสวนตั้งแต่อายุ ๑๓ หรือชาวบ้านเรียกลุงมง ผู้เฒ่าวัย ๖๐ เศษ
ซึ่งมีที่พักริมคลองจากกึ่งกลางจุดเกิดเหตุครั้งแรกและครั้งที่สอง
เผยว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อในการพิชิตจระเข้ยักษ์ตัวนี้
หลังจากการตามล่าล้มเหลวมาตลอด
ลุงมงได้กล่าวอีกว่าสมัยก่อนบริเวณแถบคลองบางมุดอุดมไปด้วยจระเข้
แทบทุกปีต้องมีชาวบ้านตกเป็นเหยื่อ ต่อมามีพวกญวนจากสุราษฎร์ มาจับเอาไปแล่ขาย
ทำให้จำนวนลดลง
ท่ามกลางมรสุม
และพายุดีเปรสชั่นในอ่าวไทยที่โหมทั้งฝนและลม
ทำให้น้ำท่วมในเขตชุมพรและภาคใต้ขณะนี้ ข่าวร้ายได้เกิดขึ้นในคลองบางมุด
อำเภอหลังสวน ดินแดนจระเข้ยักษ์อีกครั้ง “ไอ้ด่าง”
จระเข้ยักษ์ได้อาละวาดลอยขึ้นมากันกินคนอีกในคลองเขาปีบ
เขตติดต่อระหว่างอำเภอหลังสวนกับอำเภอสวี เมื่อตอนเช้าวันที่ ๑๘ พฤศจิกายนเวลา ๘
น.เศษ จระเข้ยักษ์ได้ลอยตัวขึ้นมาในคลองเขาปีบแล้วคาบนายช้วน พิมาน
ชาวบ้านในคลองเขาปีบดำหายไปในคลองเขาปีบ โดยชาวบ้านเพื้อเห็นเหตุการณ์ยืนยันว่าเป็นไอ้ด่างแน่นอน
การอาละวาดครั้งใหม่ของ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ที่ย้ายแหล่งใหม่จากคลองบางมุดครั้งนี้ คาดว่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ได้หลบหลีกการกวาดล้างครั้งใหญ่ของวันดี-เดย์ ตลอดวันที่ ๖ เดือนนี้รอดไปได้ แล้วเข้าไปอยู่ในคลองเขาปีบซึ่งเป็นคลองแยกไปจากคลองบางมุด และคลองตะโก โดยการกวาดล้างวันนั้นไปไม่ถึงคลองเขาปีบ ทำให้ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ได้แหล่งใหม่ในคลองเขาปีบอันสงบเงียบเป็นที่ซุ่มซ่อนกบดานอยู่ ตั้งแต่วันที่ ๖ เป็นต้นมา
การอาละวาดครั้งใหม่ของ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ที่ย้ายแหล่งใหม่จากคลองบางมุดครั้งนี้ คาดว่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ได้หลบหลีกการกวาดล้างครั้งใหญ่ของวันดี-เดย์ ตลอดวันที่ ๖ เดือนนี้รอดไปได้ แล้วเข้าไปอยู่ในคลองเขาปีบซึ่งเป็นคลองแยกไปจากคลองบางมุด และคลองตะโก โดยการกวาดล้างวันนั้นไปไม่ถึงคลองเขาปีบ ทำให้ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ได้แหล่งใหม่ในคลองเขาปีบอันสงบเงียบเป็นที่ซุ่มซ่อนกบดานอยู่ ตั้งแต่วันที่ ๖ เป็นต้นมา
จากการเปิดเผยของชาวบ้านปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๖
พฤศจิกายน มีจระเข้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งลอยตัวขึ้นกลางคลองและบางทีก็ขึ้นฝั่งบนตลิ่ง
ท้ำให้คลองเขาปีบที่เคยสงบเงียบเพราะเป็นคลองไม่สู้กว้างใหญ่นักต้องเป็นเขตอันตราย
ยิ่งกว่านั้นจระเข้ใหญ่ตัวนี้ยังอาละวาดไล่หนุนกัดเรือพาย
ที่ผ่านเข้าไปในคลองเขาปีบ
และไล่งับพายจนชาวบ้านไม่กล้านำเรือผ่านคลองเขาปีบอีกเลย
ต่อมาวันที่ ๑๗
กระบือของชาวบ้านลงไปแช่ในคลองถูกจระเข้ยักษ์ตัวเดียวกันนี้
ใช้หางฟาดถูกตัวและกัดที่ขาหลังข้างซ้าย
โดยจระเข้ยักษ์พยายามจะลากกระบือตัวนั้นลงไปในน้ำเสียงร้องของกระบือประกอบ
กับการปักหลักดื้อของมันทำให้เจ้าของและชาวบ้านมาช่วยใช้ปืนระดมยิงลงไปในน้ำสกัดไว้
จนจระเข้ยักษ์ต้องปล่อยเหยื่อตัวมหึมาไว้พร้อมกับดำน้ำหนีไปซ่อนในบริเวณวังน้ำ
ในตอนเช้าวันนั้น เวลาประมาณ ๔ น.เศษ นายช้วน พิมาน บ้านอยู่ริมคลองเขาปีบ
ต.ทุ่งตะไคร้ บ้านหัวท่า ได้ออกจากบ้านไปตัดกล้วยมาเลี้ยงหมู
และเพื่อไปซื้อเนื้อควายที่ถูกไอ้ด่างกัดเมื่อวันที่ ๑๗ มาทำอาหารด้วย
ในขากลับนั้น นายช้วนแบกต้นกล้วยเดินข้ามคลองเขาปีบตรงบริเวณนั้นกว้างเพียง ๒
วาเท่านั้น อีกมือหนึ่งของนายช้วนหิ้วเนื้อควายมาด้วย
ขณะที่นายช้วนซึ่งแบกต้นกล้วยเดินท่องน้ำที่กำลังขึ้นท่วมสะพานลึกถึงเข่า เดินมาถึงกลางคลองพอดี จระเข้ยักษ์ซึ่งซุ่มตัวอยู่ในร่องน้ำบ่าจากริมคลองก็พุ่งตัวราวกับลูกธนู เข้าใช้ปากอันกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยเขี้ยวอันน่าสะพรึงกลัวกัดเข้าตรงเข่านายช้วนแล้วลากลงใต้น้ำทันที นายช้วนได้ร้องขอความช่วยเหลือดังทั่วบริเวณ ๒ ฝากคลองทำให้ชาวบ้านและญาติพี่น้องออกมาช่วยเหลือ แต่ไอ้ด่างนำนายช้วนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปขัดไว้ใต้รากไม้ริมตลิ่งเสีย แล้วสักครู่หนึ่งไอ้ด่างจึงลอยตัวขึ้นมาอีก ทำให้ชาวบ้านออกติดตามจับความเคลื่อนไหวของมันได้ ทุกระยะจนกระทั่ง “ไอ้ด่าง” ดำน้ำลงไปกบดานอยู่ในแอ่งน้ำลึกถึง ๒ ช่วงตัวคนซึ่งเป็น “วัง” ของมัน
ขณะที่นายช้วนซึ่งแบกต้นกล้วยเดินท่องน้ำที่กำลังขึ้นท่วมสะพานลึกถึงเข่า เดินมาถึงกลางคลองพอดี จระเข้ยักษ์ซึ่งซุ่มตัวอยู่ในร่องน้ำบ่าจากริมคลองก็พุ่งตัวราวกับลูกธนู เข้าใช้ปากอันกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยเขี้ยวอันน่าสะพรึงกลัวกัดเข้าตรงเข่านายช้วนแล้วลากลงใต้น้ำทันที นายช้วนได้ร้องขอความช่วยเหลือดังทั่วบริเวณ ๒ ฝากคลองทำให้ชาวบ้านและญาติพี่น้องออกมาช่วยเหลือ แต่ไอ้ด่างนำนายช้วนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปขัดไว้ใต้รากไม้ริมตลิ่งเสีย แล้วสักครู่หนึ่งไอ้ด่างจึงลอยตัวขึ้นมาอีก ทำให้ชาวบ้านออกติดตามจับความเคลื่อนไหวของมันได้ ทุกระยะจนกระทั่ง “ไอ้ด่าง” ดำน้ำลงไปกบดานอยู่ในแอ่งน้ำลึกถึง ๒ ช่วงตัวคนซึ่งเป็น “วัง” ของมัน
ญาติของนายช้วนได้เดินทางเข้าตัวจังหวัดชุมพร
โดยนำข่าวไปบอกกับ ส.อ.ห้วง พิมานกับ ส.อ.จำนง
พิมานญาติของนายช้วนซึ่งเป็นทหารประจำค่ายทหารบกชุมพร พอได้รับข่าวร้ายเท่านั้น
ส.อ.ห้วง พิมาน กับ ส.อ.จำนง พิมาน
ได้รายงานผู้บังคับบัญชาขอลาและขออนุมัติติดตามล่าจระเข้ยักษ์โดยใช้อาวุธ
ซึ่งผู้บังคับบัญชามีคำสั่งอนุญาต ในการออกเดินทางครั้งนี้นอกจาก ส.อ.ห้วง พิมาน
กับ ส.อ. จำนง พิมานแล้ว ได้มีผู้ร่วมเดินทางไปปราบจระเข้ยักษ์อีก ๔ คน คือ ร.ท.ลิขิต จันทโรทัย ร.ท.มาโนช เขียนยาคำ ส.อ.ละออ
นาคจิตติ และส.อ.ช่วน แปลงรอด โดยไปถึงเมื่อเวลา ๑๒ น.เศษ
ขณะที่คณะล่าจระเข้ไปถึงได้พบว่า ชาวบ้านประมาณ ๑๐๐ กว่าคน
พร้อมด้วยอาวุธปืน และฉมวกกำลังค้นหาจระเข้ยักษ์กับศพนายช้วน ตีแนวขนานทั้ง ๒ ฝั่งคลองเขาปีบอย่างชุลมุน ซึ่งในที่สุดได้ค้นพบศพนายช้วนอยู่ใต้รากไม้ริมตลิ่งถูกไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ลากไปขัดไว้
และไม่มีทางที่จะดึงออกมาได้ ต้องให้นักประดาน้ำดำลงไปใช้เชือกผูกศพแล้วใช้คนกว่า
๒๐ คนดึงอยู่พักใหญ่จึงลากศพนายช้วนมาได้
ปรากฏว่าศพนายช้วนไม่มีส่วนใดเหลือเป็นชิ้นดีให้เห็นเลยเพราะถูกจระเข้กัด
กินด้วยความหิวกระหายกับถูกรากไม้ครูดจนจำแทบไม่ได้ ทุกคนได้แต่สังเวชและอนาถใจไปตาม
ๆ กัน
จากแหล่งที่พบศพของนายช้วนนั้นเอง
คณะนักล่ากับชาวบ้านจึงรู้ว่า เป็นบริเวณแอ่งน้ำลึกหรือวังจระเข้เก่าที่ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ใช้เป็นที่หลบซ่อนและกบดานอยู่ในวัง
พอรู้แหล่งซ่อนของจระเข้ยักษ์ คณะนักล่าแห่งค่ายทหารบกชุมพรได้ให้ชาวบ้านทุกคนหลบซุ้มอยู่บนตลิ่งแล้วใช้
ระเบิดซี .๓ หย่อนลงไปในบริเวณวังจระเข้ยักษ์เป็นนัดแรก
เสียงระเบิดดังก้องสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับน้ำพุ่งเป็นลำขึ้นสูงเทียมยอดตาล
กลางลำน้ำ พอสิ้นเสียงระเบิดและสงบลงแล้วไม่ปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งได้ลอยขึ้นมาเลย
จากนั้นอีก ๑๐ นาที ส.อ.ห้วงได้ตัดสินใจทิ้งระเบิดซี.๓ นั้นที่ ๒
ตามลงไปในวังน้ำลึกนั้นอีก เสียงระเบิดครั้งที่ ๒
นี้เองทำให้ทุกคนเห็นพรายน้ำผุดขึ้นแล้ววิ่งพุ่งเป็นทางจากจุดระเบิดเหนือ
วังไปตามลำคลองด้านเหนืออย่างรวดเร็ว “นั่นไอ้ด่าง หนีไปแล้ว”
เสียงคนร้องบอก
ทำให้คนนับร้อยและคณะล่าจระเข้วิ่งไล่ตามทั้งสองฝั่งคลองไปอย่างกระชั้นชิด
จนกระทั่งทุกคนเหนื่อยหอบ
และได้พบว่าพรายน้ำผุดเป็นทางนั้นไปหยุดที่ริมตลิ่งที่มีน้ำลึกแค่เอว
แต่ก่อนที่ใครจะทำอะไรต่อไป ส.อ.ห้วงได้สั่งให้ทุกคนหนีขึ้นตลิ่งก่อนแล้ว
ส.อ.ห้วงได้ปีนขึ้นต้นตาตุ่มริมคลอง พร้อมเหวี่ยงระเบิดซี .๓ นัดที่ ๓
ลงไปในน้ำตรงบริเวณที่พรายน้ำวิ่งมาหยุดตรงนั้น การระเบิดครั้งที่ ๓ นี้ได้ผล
เพราะแรงระเบิดตกถูกเป้าหมาย
เป็นผลให้ส่วนหางของจระเข้โผล่ขึ้นก่อนลอยกระเพื่อมตามกระแสน้ำ
บอกให้รู้ถึงการสิ้นอิทธิฤทธิ์ของ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์แล้ว ทันใดนั้น ส.อ.
จำนงได้ใช้ฉมวกพุ่งลงไปกลางส่วนหลังของไอ้ด่าง
ซึ่งทำให้มันดิ้นพลิกขึ้นมาให้เห็นทั้งตัวแต่มันไม่สามารถจะอาละวาดต่อไปได้อีกแล้ว เพราะกระดูกสันหลังของมันหักด้วยอำนาจของแรงระเบิดซี .๓
ชาวบ้านจึงช่วยกับเอาเชือกมัดพันธนาการตัว “ไอ้ด่าง” และลากจระเข้จอมเพชฌฆาตแห่งลำน้ำขึ้นมาบนตลิ่ง
ซึ่งไอ้ด่างอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที่
จากนั้นคณะล่าจระเข้ได้ใช้เชือกลากจระเข้ยักษ์จากคลองเขาปีบมุ่งไปยังตลาด อำเภอสวี
แต่ระหว่างที่ลากมาในคลองนั้น “ไอ้ด่าง” ก็พลิกท้องบอกถึงการจบชีวิตปิดฉากอันโหดเหี้ยมของมันเสียก่อน
มีผู้เชื่อว่าจระเข้ที่เคยปรากฏเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วเป็นตัวเดียวกับไอ้ด่าง
เกี่ยวกับประวัติความดุร้ายของ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์กินคนละแวกคลองบางมุดและคลองเขาปีบมี นายอุดม ,นายอิน , นายเต็ก, นางรัด ,ด.ช.เลือน ทองมาก และนายช้วน พิมานเป็นศพที่ ๖
โดยจระเข้ยักษ์ที่อาละวาดตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ - ๒๕๐๐
ที่คลองเขาปีบโดยถูกกัดจนได้รับบาดเจ็บ ๕ คนคือสิบเอกห้วง พิมาน นายเฉียน พิมาน
และนายสาย พวงมาลัย นายจวง และนายนิกูล เสียชีวิต ๑
รายคือนายจ๊ง
สำหรับลักษณะของจระเข้ยักษ์ที่เรียกกันว่า “ไอ้ด่าง” นั้นเพราะเป็นจระเข้พันธุ์ “ไอ้เคี่ยม” ซึ่งเป็นจระเข้ตีนเป็ด หรือพันธุ์ทองหลาง
ตัวดำเมื่อมสนิทมีสีขาวที่คอและตามตัวเวลามันโผล่ลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำนั้น
จะมองเห็นสีขาวพาดที่บริเวณคอ
ซากไอ้ด่างถูกนายไห้ แซ่เซ็งซื้อตัวไปในราคา ๒๓,๐๐๐ บาท ทำให้องค์การสวนสัตว์ชวดได้ตัวไอ้ด่าง จากการวัดจากซากของไอ้ด่าง มีความยาวจากหัวถึงหาง ๔.๒๕ เมตร รอบตัว ๑.๗๕ เมตร เล็กกว่าถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ๗ นิ้ว จากหัวถึงคอ ๒๕ นิ้ว อ้าปากกว้าง ๒๐ นิ้ว
การชำแหละไอ้ด่างเพื่อทำสต๊าฟฟ์ไว้ เมื่อผ่าลงไปในท้องก็พบกระดูกในท้องไอ้ด่างมากมาย และยืนยันได้ว่ากินคนแน่ ปรากฎว่าหลังจากการผ่าชำแหละซากแล้ว ได้พบแผลเห็นได้อย่างชัดเจนในซาก ‘ไอ้ด่าง’ จระเข้ยักษ์ดังนี้ ขาหน้าด้านขวาถูกกระสุนปืนลูกโดดฝั่งในด้านซ้ายของลำตัว เนื้อเละไปทั้งแถบ คอด้านขวาเป็นรูเน่า ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์พบจุดจบ ส่วนสันหลังบริเวณกว้างยาว ๑ ศอก ยุ่ยเป็นรอยไหม้ซี่โครงหักหลายซี่ เพราะถูกแรงระเบิดซ้ำซากหลายครั้งอย่างไม่ปราณี โดยเฉพาะเมื่อผ่าแหวะส่วนกระเพาะของจระเข้ยักษ์แล้ว ทำให้นายบุญถึง และเจ้าหน้าที่ ๑๐กว่าคนต้องตะลึงเมื่อพบว่า นอกจากเศษอิฐ เศษหินแล้ว ยังพบหัวกระโหลกมนุษย์ถึง ๒ หัวยังอยู่ในสภาพมีเศษผมติดกับหนังศรีษะอยู่ นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนของมนุษย์ในกระเพาะจระเข้ตัวนี้อีกมีกระดูกส่วนขา กับสะบ้าจากเข่าคน กับมีตะขอเหล็กขนาดใหญ่อีก ๑ ตัว ด้วย
ซากไอ้ด่างถูกนายไห้ แซ่เซ็งซื้อตัวไปในราคา ๒๓,๐๐๐ บาท ทำให้องค์การสวนสัตว์ชวดได้ตัวไอ้ด่าง จากการวัดจากซากของไอ้ด่าง มีความยาวจากหัวถึงหาง ๔.๒๕ เมตร รอบตัว ๑.๗๕ เมตร เล็กกว่าถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ๗ นิ้ว จากหัวถึงคอ ๒๕ นิ้ว อ้าปากกว้าง ๒๐ นิ้ว
การชำแหละไอ้ด่างเพื่อทำสต๊าฟฟ์ไว้ เมื่อผ่าลงไปในท้องก็พบกระดูกในท้องไอ้ด่างมากมาย และยืนยันได้ว่ากินคนแน่ ปรากฎว่าหลังจากการผ่าชำแหละซากแล้ว ได้พบแผลเห็นได้อย่างชัดเจนในซาก ‘ไอ้ด่าง’ จระเข้ยักษ์ดังนี้ ขาหน้าด้านขวาถูกกระสุนปืนลูกโดดฝั่งในด้านซ้ายของลำตัว เนื้อเละไปทั้งแถบ คอด้านขวาเป็นรูเน่า ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ "ไอ้ด่าง" จระเข้ยักษ์พบจุดจบ ส่วนสันหลังบริเวณกว้างยาว ๑ ศอก ยุ่ยเป็นรอยไหม้ซี่โครงหักหลายซี่ เพราะถูกแรงระเบิดซ้ำซากหลายครั้งอย่างไม่ปราณี โดยเฉพาะเมื่อผ่าแหวะส่วนกระเพาะของจระเข้ยักษ์แล้ว ทำให้นายบุญถึง และเจ้าหน้าที่ ๑๐กว่าคนต้องตะลึงเมื่อพบว่า นอกจากเศษอิฐ เศษหินแล้ว ยังพบหัวกระโหลกมนุษย์ถึง ๒ หัวยังอยู่ในสภาพมีเศษผมติดกับหนังศรีษะอยู่ นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนของมนุษย์ในกระเพาะจระเข้ตัวนี้อีกมีกระดูกส่วนขา กับสะบ้าจากเข่าคน กับมีตะขอเหล็กขนาดใหญ่อีก ๑ ตัว ด้วย
Man Eater ตัวจริง ผ่าท้องแล้วยังเจอหัวกระโหลกมนุษย์อีก 2 หัว |
จากการพบส่วนกระโหลกศรีษะของมนุษย์ถึง ๒
หัวในท้องจระเข้ยักษ์ตัวนี้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าจระเข้ตัวนี้เป็น “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์แห่งคลองบางมุดแน่
สำหรับส่วนกระโหลก ๒ ชิ้นนี้ แสดงว่า ไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ได้กินคนมาแล้ว ๒ คน นอกจากการกัดกินคนอื่น ๆ
ซึ่งไอ้ด่างเลือกกินเฉพาะส่วนท้องเท่านั้น จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้ต้องกินคนมาก่อนหน้านี้
อ้างอิงจาก: นสพ.พิมพ์ไทย พ.ศ. ๒๕๐๗ www.pantip.com
และ www.siamsouth.com โดย : คุณาพร. [
๒๖/๐๒/๒๐๐๖ ]
ที่มา ไอ้ด่างบางมุด.. ตำนานของจระเข้
"ดุร้าย" ที่สุดโดย คนหลังจอ ปากน้ำหลังสวน.. ชุมพร"
จระเข้ไอ้ด่างคลองบางมุดไปๆมาๆแล้ว พอตรวจพิสูจน์ซากกลับกลายว่าเป็นจระเข้ตัวเมียไปเสียดื้อๆ ต่อมามีการนำซากไอ้ด่างหรือความจริงต้องเป็นอีด่างไปออกงานเก็บค่าเข้าชม ผู้เขียนยังเคยไปดูด้วยแต่จำรายละเอียดได้ไม่มากนัก แถมในภายหลังยังมีจระเข้ไอ้ด่างมาโชว์ตัวในงานวัดสะเกศหรือภูเขาทองอีก ซึ่งมีหลายเจ้าหลายร้าน เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วซากไอ้ด่างคลองบางมุดตัวจริงในที่สุดแล้วไปอยู่ที่ไหน
ไอ้ด่างคลองบางมุดนี้ถูกเข้าใจผิดเป็นไอ้ด่างเกยชัยจระเข้ดังในตำนานแห่งจังหวัดนครสวรรค์ ไอ้ด่างคลองบางมุดเป็นจระเข้น้ำเค็มที่ปกติแล้วตรงคอจะมีรอยด่างเป็นสีขาว ส่วนไอ้ด่างเกยชัยเป็นจระเข้น้ำจืดขนาดยักษ์ที่มีจมูกด่างเป็นสีขาว ขนาดของไอ้ด่างเกยชัยแห่งนครสวรรค์นั้น เล่ากันว่าวัดขนาดจากหัวถึงปลายหางแล้ว จะยาวใหญ่ขนาดขวางลำน้ำกันเลยทีเดียว
ไอ้ด่างคลองบางมุดยังเป็นตำนานจระเข้โคตรดุของเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับเป็นตำนานสุดดังของเมืองชุมพร แม้ในปัจจุบันถ้าได้ไปคุยกับคนเก่าๆของ อ.หลังสวน จะได้ฟังเรื่องตำนานโคตรดุของไอ้ด่างคลองบางมุดกันอย่างสนุกและสยอง ก็ไอ้ด่างคลองบางมุดนี้ดุขนาดไล่งับเรือขาดกลางไปหลายลำ ไล่งับคนอย่างซึ่งๆหน้า โคตรดุจนถึงขนาดต้องเกณฑ์เรือเป็นร้อยลำออกตามล่า โคตรดุขนาดนี้คงหาเทียบได้ยากจริงๆ
ขอขอบคุณเรื่องและภาพจากแหล่งที่มาซึ่งระบุไว้แล้ว และขอบคุณชาว อ.หลังสวนทุกท่านที่เคยเล่าเรื่องให้ฟังด้วยครับ
ภาพจาก canivoraforum.com จระเข้น้ำเค็มชนิดเดียวกับไอ้ด่าง |
ไอ้ด่างคลองบางมุดเปรียบเทียบกับภาพบน |
ท้องป่องขนาดนี้ |
จระเข้ไอ้ด่างคลองบางมุดไปๆมาๆแล้ว พอตรวจพิสูจน์ซากกลับกลายว่าเป็นจระเข้ตัวเมียไปเสียดื้อๆ ต่อมามีการนำซากไอ้ด่างหรือความจริงต้องเป็นอีด่างไปออกงานเก็บค่าเข้าชม ผู้เขียนยังเคยไปดูด้วยแต่จำรายละเอียดได้ไม่มากนัก แถมในภายหลังยังมีจระเข้ไอ้ด่างมาโชว์ตัวในงานวัดสะเกศหรือภูเขาทองอีก ซึ่งมีหลายเจ้าหลายร้าน เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วซากไอ้ด่างคลองบางมุดตัวจริงในที่สุดแล้วไปอยู่ที่ไหน
ไอ้ด่างคลองบางมุดนี้ถูกเข้าใจผิดเป็นไอ้ด่างเกยชัยจระเข้ดังในตำนานแห่งจังหวัดนครสวรรค์ ไอ้ด่างคลองบางมุดเป็นจระเข้น้ำเค็มที่ปกติแล้วตรงคอจะมีรอยด่างเป็นสีขาว ส่วนไอ้ด่างเกยชัยเป็นจระเข้น้ำจืดขนาดยักษ์ที่มีจมูกด่างเป็นสีขาว ขนาดของไอ้ด่างเกยชัยแห่งนครสวรรค์นั้น เล่ากันว่าวัดขนาดจากหัวถึงปลายหางแล้ว จะยาวใหญ่ขนาดขวางลำน้ำกันเลยทีเดียว
ไอ้ด่างคลองบางมุดยังเป็นตำนานจระเข้โคตรดุของเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับเป็นตำนานสุดดังของเมืองชุมพร แม้ในปัจจุบันถ้าได้ไปคุยกับคนเก่าๆของ อ.หลังสวน จะได้ฟังเรื่องตำนานโคตรดุของไอ้ด่างคลองบางมุดกันอย่างสนุกและสยอง ก็ไอ้ด่างคลองบางมุดนี้ดุขนาดไล่งับเรือขาดกลางไปหลายลำ ไล่งับคนอย่างซึ่งๆหน้า โคตรดุจนถึงขนาดต้องเกณฑ์เรือเป็นร้อยลำออกตามล่า โคตรดุขนาดนี้คงหาเทียบได้ยากจริงๆ
ขอขอบคุณเรื่องและภาพจากแหล่งที่มาซึ่งระบุไว้แล้ว และขอบคุณชาว อ.หลังสวนทุกท่านที่เคยเล่าเรื่องให้ฟังด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น