วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย.๑๑ ผีปอบ



ผีปอบ (Ogress, Ghost Eater, Ghoul)

   คนไทยเรานั้นถ้าเอ่ยถึงคำว่า “ผีปอบ” แน่นอนว่าต่างต้องเคยได้ยินเรื่องผีปอบด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็รู้จักผีปอบ โดยอาจจะรู้จักจากการเล่าสู่กันฟังบ้าง เล่าในวงสนทนาเช่นวงเหล้า แม้แต่เล่าเรื่องผีให้ชวนขนหัวลุกกันเล่นๆก็มักมีเรื่องผีปอบรวมด้วยอยู่เสมอ หรือแม้กระทั่งรู้จักผีปอบจากภาพยนตร์ไทย ซึ่งสร้างเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผีปอบไว้มากเป็นพิเศษ ผีปอบจึงเป็นผีที่ขึ้นชื่อในระดับมหาชนสุดๆ

   ผีปอบจัดว่าเป็นผีที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ความเชื่อเรื่องผีปอบนั้น ถ้าจะแยกเป็นหลักใหญ่แล้ว จะแยกได้เป็นสองคติคือ ผีปอบแบบที่เป็นวิญญาณร้าย ที่เข้าไปสิงในร่างมนุษย์ และผีปอบแบบที่เป็นตัวคนเป็นๆอย่างเราท่านทั้งหลาย คือเป็นมนุษย์เห็นเนื้อเห็นตัวจับต้องกันได้แบบตัวเป็นๆแต่เป็นมนุษย์ที่มีพฤติกรรมเหมือนผี

ภาพผีปอบจากละครช่อง7สี เรื่อง เจ้านาง


   ความเชื่อเรื่องผีปอบจะมีทั่วทุกภาคของประเทศไทย ที่มีคนเชื่อกันมากเป็นพิเศษจะเป็นทางภาคอิสานและทางภาคเหนือ ทางภาคอิสานนั้นจะเรียกผีปอบ ส่วนภาคเหนือมักจะเรียกกันว่าผีกะ แต่คำว่าผีปอบจะเป็นที่รู้จักกันมากกว่าอย่างอื่น

   คติความเชื่อเรื่องผีปอบนี้ถ้าพิจารณากันดูแล้ว จะพบว่ามีความแตกต่างแปลกแยกกันอยู่ไม่น้อย ทั้งบางกรณีก็ออกจะขัดๆกันเองอย่างชอบกล เรียกได้ว่าผีปอบของแต่ละท้องถิ่นมีมาตรฐานไม่เหมือนกัน เช่นบางท้องถิ่นจะเห็นผีปอบเป็นผีโคตรดุมีอิทธิฤทธิ์มาก จนต้องหวาดกลัวกันขนาดหนัก ไม่กล้าเข้าไปข้องแวะเกี่ยวข้อง หรือถ้าจะขับไล่ก็ต้องหาอาจารย์ที่มีเวทมนตร์คาถาขลังๆมาทำพิธีไล่หรือต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตายกันเลย

   แต่ในขณะเดียวกันในอีกท้องถิ่นหนึ่งกลับกลายเป็นว่า ถ้ารู้ว่าใครเป็นผีปอบ ชาวบ้านก็จะไม่คบค้าสมาคม ถ้าผีปอบเฉียดมาใกล้ก็จะโดนขว้างปาขับไล่กันง่ายๆ หรือชาวบ้านจะระดมพลกันขับไล่คนที่ถูกเข้าใจว่าเป็นผีปอบตนนั้น ให้ออกไปจากหมู่บ้าน ถ้าไม่ไปเป็นต้องโดนกระทืบหรือถูกจับเอาไปโยนออกนอกเขตให้พ้นหมู่บ้าน เรียกได้ว่าแบบนี้ผีปอบเป็นฝ่ายกลัวมนุษย์

ภาพจากpostjung ละครช่อง7สีเรื่องเจ้านาง

   คติผีปอบแบบที่เชื่อกันมากที่สุดนั้น จะเชื่อกันว่าผีปอบมีที่มาจากคนที่เรียนทางไสยศาสตร์มนต์ดำเลี้ยงผี โดยมีการเลี้ยงผีเอาไว้สำหรับใช้ให้ไปทำการร้ายต่างๆ ผู้ที่เลี้ยงผีก็ย่อมไม่พ้นไปจากพวกหมอผีทั้งหลายนั่นเอง คติเรื่องการเลี้ยงผีนั้นเชื่อว่า เมื่อเลี้ยงผีไว้ใช้งานก็ต้องมีการเซ่นผีด้วยอาหารสดๆคาวๆเป็นการตอบแทน ซึ่งเรื่องการเซ่นผีนี้ถือเป็นกฎเหล็กที่จะละเมิดไม่ได้อย่างเด็ดขาด คือเมื่อใช้ผีให้ไปกระทำการตามที่เราสั่งแล้ว ผีก็ต้องการค่าตอบแทนด้วย ไม่ใช่ว่าผีจะยอมทำงานให้ฟรีๆ ผู้ที่เลี้ยงผีไว้ใช้ต้องตอบแทนรางวัลด้วยเครื่องเซ่นผีทุกครั้ง เครื่องเซ่นผีที่ถือเป็นหลักก็คือเนื้อสดๆดิบๆ เครื่องในสดๆคาวๆ เหล้า ทั้งยังมีเครื่องเซ่นที่จัดเฉพาะสำหรับผีบางตนอีกด้วย

จากละครเจ้านาง ผีปอบล้วงลำไส้ออกมากิน

   วิธีการเลี้ยงผีเซ่นผีนั้นจะทำเป็นเล่นๆหรือทำส่งเดชไม่ได้ ถือเป็นกฎตายตัวที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้ากำหนดว่าต้องเซ่นผีด้วยเนื้อสดๆดิบๆเครื่องในสดๆ หรือเซ่นด้วยเลือดสดๆ ก็ต้องเซ่นด้วยของจริงๆทุกครั้ง จะเลี่ยงไปใช้เป็นสิ่งเทียมแทนเนื้อสัตว์ หรือของทำปลอมเป็นเนื้อสัตว์ เช่นใช้แป้งใช้ถั่วทำเป็นรูปเนื้อสัตว์หรือลำไส้แบบอาหารเจแบบนี้ใช้ไม่ได้ ต้องใช้ของจริงเท่านั้น ถ้าตำราบอกว่าต้องเซ่นด้วยการเชือดคอไก่เป็นๆ แล้วเอาเลือดเอาเนื้อไก่ทั้งตัวมาเป็นเครื่องเซ่น ก็ต้องเชือดคอไก่กันจริงๆ จะไปซื้อเอาเนื้อไก่ตามตลาดมาเซ่นไม่ได้อย่างเด็ดขาด



   บางคติเรื่องการเลี้ยงผีปอบที่เคร่งมากๆนั้น จะบังคับถึงขนาดว่าตอนที่สั่งการให้ผีปอบไปทำอะไร ต้องจำว่าหมอผีผู้สั่งงานผีไปนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดไหน แล้วตอนนั้นเอ่ยปากบอกว่าจะเซ่นด้วยอะไร พอถึงตอนที่ให้เครื่องเซ่นผี ก็จะต้องเอาเสื้อผ้าชุดที่ใส่ตอนที่สั่งงานผี เอาเสื้อผ้าชุดนั้นมาใส่ก่อนแล้วจึงทำพิธีเซ่นผีปอบ และเครื่องเซ่นก็ต้องเป็นเครื่องเซ่นที่ได้เคยออกปากบอกไว้แล้วเท่านั้น

   ถ้าหมอผีใช้งานผีปอบแล้วลืมให้เครื่องเซ่น ก็จะถูกผีลงโทษให้เจ็บไข้ได้ป่วย ขนาดเบาะๆก็เริ่มจากต้องล้มหมอนนอนเสื่อ จนกระทั่งป่วยหนักเจียนตาย ยิ่งถ้าไปละเมิดลืมเซ่นผีหลายๆครั้ง ก็อาจโดนผีปอบลงโทษโดยการสิงร่างกันเลย ถ้าถึงขนาดนี้แล้วก็คือ ตัวหมอผีได้กลายไปเป็นผีปอบไปเสียเองแล้ว จะกลายเป็นเหมือนคนป้ำๆเป๋อๆเสียสติ หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมเช่น อารมณ์ร้าย ชอบกินเนื้อสัตว์ดิบๆ กินเลือดสดๆ ชอบความสกปรก



   นอกจากการโดนผีสิงร่างให้กลายเป็นผีปอบแล้ว ยังมีคนกลายเป็นผีปอบแบบที่เป็นเพราะเรียนไสยศาสตร์มนต์ดำ ตำราไสยศาสตร์ทำนองนี้ไม่ได้ใช้ผีไปทำการใดๆ แต่เป็นการเอาวิชาในตำราไปใช้ ถ้าทำไม่ถูกต้องตามที่ตำราระบุไว้ ก็อาจกลายเป็นปอบเอาได้ดื้อๆ

   ตำราไสยศาสตร์บางตำรานั้นระบุไว้เลยว่า ถ้าเรียนวิชาใช้วิชานั้นๆไปแล้ว จะต้องมีเครื่องบูชาเจ้าของวิชานั้นๆด้วย จะบังคับไว้ในตำราเลยว่าต้องใช้อะไรบ้าง และห้ามละเมิดอย่างเด็ดขาด  สิ่งของที่ต้องหามาถวายหรือเซ่นนั้นก็ออกจดูแปลกๆบ้างเช่น ใช้ข้าวสารจำนวณ ๗ เมล็ด ให้เก็บรักษาไว้ให้ดีอย่าให้เมล็ดข้าวสารนั้นหัก ถ้าหักก็ปรับโทษว่าผิดครู ถ้าผิดบ่อยๆก็จะกลายเป็นปอบ



   บางตำราก็บอกว่าถ้าเรียนวิชาไสยศาสตร์มนต์ดำไปแล้ว ต้องห้ามรับประทานอาหารบางชนิดเช่นห้ามรับประทานแกง ห้ามรับประทานผลไม้บางอย่าง ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์บางอย่างเป็นระยะเวลา ๗ วัน บางตำราบังคับว่าถ้าใช้วิชาไปแล้ว ก็จะต้องจัดเครื่องบูชาถวายหรือจัดเครื่องเซ่นให้ภายในกำหนด ๗ วัน

   ผู้ที่ละเมิดข้อห้ามของมนต์ดำในคติเรื่องผีปอบนั้น โทษที่ได้รับอย่างน้อยก็คือเสียสติ โดยจะเริ่มมีอาการป่วยที่ตรวจรักษาโดยวิธีทางการแพทย์สมัยใหม่ไม่หาย อาการที่เห็นได้จากทางร่างกายมีทั้งแบบที่ผอมลงเรื่อยๆ และมีทั้งแบบที่มีร่างกายบวม ซึ่งอาจบวมทั้งร่างหรือบวมเฉพาะจุด อาการที่เกิดกับร่างกายนั้นจะเหมือนกับการเจ็บป่วยทั่วไป แต่รักษาเท่าไรก็ไม่หาย ในที่สุดก็จะเสียสติ

   โทษที่หนักที่สุดก็คือจะถูกผีปอบสิงแล้วกินตับไตไส้พุง จนในที่สุดแล้วก็ตายกลายเป็นผีไปเอง


ภาพจากละครช่อง7สี ปอบผีฟ้า

   ในหนังสือ “ตำนานผีไทย” ของท่านอาจารย์ ส.พลายน้อย ศิลปินแห่งชาติ ได้มีข้อความกล่าวถึงเรื่องผีปอบที่มีเอกสารเก่าแก่บันทึกเอาไว้ เอกสารดังกล่าวนี้คือหนังสือวชิรญาณฉบับเดือนธันวาคม ร.ศ.๑๑๕(พ.ศ.๒๔๔๐) โดยขุนมหาวิชัย(จัน)เป็นผู้แต่งไว้ เนื้อหาใจความพอจะจำย่อมาได้ประมาณว่า


   ผีปอบมักเป็นคนที่มีคาถาอาคมที่ใช้ไปในทางร้ายเช่นฆ่าคนได้ แต่ฆ่าคนแล้วไม่ได้ทำการปัดเป่าโทษก็จะกลายเป็นผีปอบ  และผีปอบนี้ชอบไปสิงคนให้เจ็บป่วยกระทั่งตายได้ ถ้าผีปอบเข้าสิงร่างใครแล้ว ก็ต้องหาผู้มีอาคมแก่กล้ามาขับไล่ผีปอบ อีกอย่างก็คือถ้ารู้ว่าใครเป็นผีปอบ ก็จะต้องถูกไล่ให้ออกไปจากหมู่บ้าน รวมไปถึงไล่ลูกเมียของปอบนั้นไปด้วย ผีปอบจะกลัวหมอเทวดา กลัวผู้มีอาคมแก่กล้า กลัวพระเณรที่ทรงศีล และถ้าผีปอบเข้าไปในเมืองใหญ่ อำนาจของผีปอบก็จะเสื่อมไป

   การอาละวาดของผีปอบจะมีตั้งแต่การเข้าสิงร่างคนแล้วทำให้นิสัยอารมณ์เปลี่ยนไปเป็นขั้นแรก โดยจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว มีอารมณ์ร้ายโดยไม่มีเหตุผล จะโกรธฉุนเฉียวทำลายสิ่งของ หรือบางทีก็ทำร้ายตัวเอง ต่อมาก็จะเริ่มมีอาการเสียสติมากขึ้น จะแอบไปกินเนื้อสัตว์ดิบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือชอบกินพวกเครื่องในสดๆเช่นกินลำไส้ ชอบกินเลือดสดๆ บางทีถึงขนาดอาละวาดทำร้ายคนกันซึ่งๆหน้า อาการขั้นสุดท้ายคือจะคลุ้มคลั่งแล้วตายในที่สุด

   นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่ากันว่า ผีปอบที่ดุร้ายมากๆนั้น บางทีถึงกับลงมือฆ่าคนแล้วแหวกท้องกินตับไตไส้พุงกันเลยทีเดียว เมื่อฆ่าคนครั้งหนึ่งแล้วก็จะฆ่าต่อไปเรื่อยๆแหวกท้องเพื่อกินลำไส้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีผู้เรืองวิทยาคมมาปราบ

ผีปอบกำลังหิว

   บางทีผีปอบที่เข้าสิงร่างคนนั้นจะบอกเลยว่าตัวผีปอบเองมีชื่อว่าอะไร ทั้งผีปอบบางตนนั้นเรายังต่อรองขอให้ไม่ทำร้ายร่างที่สิงได้ด้วย เมื่อรับปากตามที่ผีปอบต้องการแล้วผีปอบก็จะออกจากร่างไปเอง แต่ในกรณีนี้ใช้กับผีปอบที่มุ่งร้ายหมายชีวิตเป็นการเฉพาะบุคคลไม่ค่อยได้

   การต่อสู้กับผีปอบนั้นต้องให้ผู้มีวิทยาคมแก่กล้ามาช่วยเหลือ วิธีการปราบหรือไล่ผีปอบมีตั้งแต่การใช้ข้าวสาร เกลือ เสกด้วยคาถาแล้วซัดไปที่คนถูกผีปอบสิง มีการใช้น้ำมนต์รดตัว ใช้ไม้ลงอาคมเช่นไม่เรียวบ้างหวายบ้างเฆี่ยนผี บางทีก็ใช้ว่านบางชนิดใช้ต้นข่าเสกแล้วจี้ไปที่ตัว จนกระทั่งที่ถือว่ารุนแรงก็คือต้องใช้มีดหมอลงอาคมเอามาไล่ผี




   ในทางการแพทย์นั้นจะมองผู้ที่เป็นผีปอบว่าเป็นอาการทางจิตแบบหนึ่ง ทางการแพทย์ทางวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อเรื่องผีๆสางๆอยู่แล้ว ยิ่งผีปอบนี้เป็นอาการที่เกิดในตัวมนุษย์หรือเกิดในคนเป็นๆอย่างเราๆท่านๆนี่เอง จึงมองไปในทางที่เป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ มองไปในด้านสุขวิทยาหรือเรื่องโภชนาการ เช่นมีพยาธิขึ้นสมองอย่างนี้เป็นต้น

   ในยุคนี้ผีปอบจะมีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงคนที่มีอาการผิดปกติทางจิต แต่คติความเชื่อเรื่องผีปอบก็ยังคงมีอยู่เสมอ สำหรับตัวผู้เขียนหรือแอดมินนี้ก็เคยเจอประสบการณ์แปลกๆ ที่ทำให้ต้องฉงนว่าจะเป็นเรื่องผีๆสางๆ หรือแค่เจอคนป่วยทางจิตกันแน่ เพราะผลลัพธ์ที่เห็นบางครั้งก็อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลย



   ครั้งหนึ่งลูกน้องขอวัตถุมงคล ได้ให้เชือกผูกข้อมือที่ทำจากชายจีวรของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ แห่งวัดบ้านไร่ โดยให้ไปหนึ่งเส้น ต่อมาก็กลับมาขออีกหลายเส้น จึงสงสัยและได้สอบถามดู ปรากฏว่าลูกน้องได้นำเชือกชายจีวรหลวงพ่อคูณไปผูกข้อมือของบุตร แล้วลูกน้องคนนี้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติคือ

   ในหมู่บ้านที่บุตรและภรรยาอาศัยอยู่นั้น ชาวบ้านสงสัยคนๆหนึ่งว่าน่าจะเป็นผีปอบ แต่ก็ยังหาหลักฐานไม่ได้ คราวนี้เกิดเรื่องให้คนสังเกตเห็นคือ พอเด็กที่มีเชือกผูกข้อมือที่เป็นชายจีวรหลวงพ่อคูณเข้าไปใกล้ๆคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นผีปอบทีไร คนๆนี้ก็จะต้องหนีถอยห่างออกไปทุกที ต่อมาภรรยาของลูกน้องที่ได้เชือกผูกข้อมือไปได้ขอเชือกนี้อีกหนึ่งเส้น แล้วทดลองเดินเข้าไปหาบ้าง ปรากฏว่าคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นผีปอบก็ต้องลุกหนีอีก แต่อาการเช่นนี้ไม่เกิดกับคนอื่นเลย ในที่สุดก็ถึงขนาดว่า พอบุตรและภรรยาของลูกน้องเข้าไปใกล้คนดังกล่าวนี้ ปรากฏว่าคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นผีปอบนี้ร้องว่า “ร้อนๆอย่าเข้ามา” จากเหตุนี้เองชาวบ้านจึงเชื่อว่าคนๆนี้เป็นผีปอบไปแล้ว

จากละครช่อง 7

   สมัยที่ผู้เขียนยังเป็นวัยรุ่นได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อเอีย กิตฺติโก วัดบ้านด่าน ได้เห็นชาวบ้านหลายคนช่วยกันคุมตัวผู้หญิงที่กำลังอาละวาดมาหาหลวงพ่อเอีย แค่คุมตัวผู้หญิงคนนี้เข้ามาในชายคากุฏิของหลวงพ่อเอียเท่านั้น ผู้หญิงก็ดิ้นทุรนทุรายร้องกรี๊ดๆว่ากลัวแล้วๆ เมื่อชาวบ้านคุมตัวมาถึงที่หลวงพ่อเอียนั่ง หลวงพ่อเอียเอาเทียนที่วางอยู่แถวนั้นมาแตะที่ศีรษะของผู้หญิงที่อาละวาดนั้น เท่านั้นเองผู้หญิงคนนี้ก็ล้มลงหมดสติ แล้วสักครู่ก็รู้สึกตัวเป็นปกติ

   จากปากคำญาติของผู้หญิงคนนี้ได้ความว่า อยู่ๆผู้หญิงคนนี้ก็อาละวาดแล้วกินแต่เนื้อดิบๆกินเลือดสดๆ และยังพูดออกมาด้วยว่าเป็นผีปอบมาเข้าสิง จะสิงผู้หญิงเพื่อกินโน่นกินนี่ ญาติๆเห็นท่าไม่ดีจึงพามาหาหลวงพ่อเอีย ส่วนผู้หญิงคนนี้เมื่อได้สติแล้วจึงเล่าว่า ก่อนหน้านี้เห็นเหมือนมีเงาวูบเข้ามาแล้วไม่รู้ตัวอะไรเลย เพิ่งมารู้สึกตัวก็ที่วัดนี่เอง

   เรื่องราวของผีปอบจะยังคงเชื่อกันว่ายังมีอยู่ ซึ่งนับเป็นเรื่องลึกลับและเขย่าขวัญอีกเรื่องหนึ่ง ผีปอบจึงเป็นตำนานผีของไทยที่ยังฮิตอยู่เสมอ

  นอกจากนี้ เรื่องของผีปอบยังมีที่แปลกแยกออกไปอีก คือ เป็นผีปอบที่ยิ่งกว่าผีปอบ เรียกว่า  ห่าก้อม...ผีปอบตามที่ได้เล่าสู่กันฟังมาตั้งแต่ตอนต้นนั้น บางกรณีสามารถนับว่าเป็น ห่าก้อม หรือ เจ้าแห่งผีปอบ หรือ โคตรผีปอบ...เอาไว้ว่างๆจะเอามาเล่าสู่กันฟัง










ขอขอบคุณข้อมูลและที่มาของภาพ
จับความบางส่วนจากหนังสือ ตำนานผีไทย ของ ส.พลายน้อย สำนักพิมพ์ พิมพ์คำ
ภาพจากละครช่อง7สี เรื่อง เจ้านาง ,ปอบผีฟ้า
ภาพจาก postjung.com, pbs.twimg



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น