กฎแห่งกรรม
บทประพันธ์ของ ท.เลียงพิบูลย์
เรื่อง เสียสัตย์
วันหนึ่งเมื่อปลาย พ.ศ.
๒๕๐๒
มีเพื่อนผู้หนึ่งมาหาข้าพเจ้า
เพื่อนผู้นี้ได้ไปประกอบอาชีพอยู่ต่างจังหวัด นานทีปีหนจึงจะได้เข้ามาธุระในกรุงเทพฯ
เลยถือโอกาสมาเยี่ยมข้าพเจ้าในฐานะที่ชอบพอรักใคร่ คิดถึง
และจากกันไปนาน เราดีใจที่ได้พบกันสนทนาตามอัธยาศัย ไต่ถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน
หลังจากสนทนาเรื่องอาชีพทุกข์สุขและดินฟ้าอากาศกันพอสมควรแล้ว เพื่อนผู้นั้นพูดว่า
“มีเรื่องเศร้าใจเกิดขึ้นสด ๆ
ร้อน ๆ ต่อหน้า
ผมอยากจะเล่าให้คุณฟัง
บางทีเรื่องนี้อาจเป็นคติเตือนใจแก่บุคคลทั่วไป และผู้ที่มีอาชีพอย่างเดียวกัน
อย่าให้เกิดเหตุเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่รู้จักสิ้นสุด”
เรื่องของเขานั้นมีดังนี้
“สถานที่ผมอยู่นั้นห่างไกลจากตัวจังหวัด เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในป่าใกล้ลำน้ำ มีโรงเลื่อยจักร และมีตลาดเล็ก ๆ สมกับสภาพของบ้านป่า ชาวบ้านนั้นส่วนมากมีอาชีพทำไม้และเป็นกรรมกรรับจ้างแรงงาน บ้างก็มีช้างไว้สำหรับจ้างลากจูงไม้ซุง
แม้เวลานี้ความเจริญจะทำให้มีรถบรรทุกและรถแทรกเตอร์ลงลากจูง เครื่องยกกว้านและเครื่องทุ่นแรงอื่นๆมากมายก็ดี
แต่ช้างก็ยังเป็นสัตว์ที่จำเป็นจะต้องใช้งานเพื่อประโยชน์ จะขาดเสียมิได้ ฉะนั้น
ที่ผมอยู่จึงมีช้างสำหรับใช้งานจำนวนไม่น้อย
ช้างเหล่านั้นฝึกใช้การได้ดี
ทั้งยังรู้เวลาทำงานและพักงานเลิกงานเป็นสำคัญ
วันนั้น
เผอิญผมอยู่ในที่นั้นด้วยจึงเห็นเรื่องราวได้ตลอด
คือมีควาญช้างคนหนึ่งรับเหมาขนไม้ซุงซึ่งกองไว้ใกล้ๆกับโรงเลื่อย ขนลงไปไว้ทีท่าน้ำ เพื่อรอเวลาน้ำมากจะได้ผูกแพล่องไป แกเริ่มใช้ช้างลากจูงไม้ซุงกองนั้น ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวัน ยังคงเหลืออีก ๒ ต้นก็จะหมดกอง ก็พอดีสัญญาณทางโรงเลื่อนดังขึ้น หมายถึงเวลาเที่ยงเป็นเวลาที่หยุดพัก ควาญผู้นั้นไสช้างขึ้นจากท่าน้ำพอดี แล้วไสช้างให้เข้าไปที่กองซุง แต่ช้างนั้นชะงักอยู่ไม่ยอมเดินเข้าไป เพราะถือเป็นเวลาเที่ยงสำหรับพักผ่อน ช้างอื่น ๆ พากันหยุดพัก ควาญได้นำไปใต้ร่มไม้ใหญ่ให้หญ้าให้น้ำตามที่เคยปฏิบัติกันมา พวกกรรมกรต่างก็ไปหาที่ร่มไม้แล้วก็แก้ห่อข้าวออกมานั่งรับประทานกัน
บ้างก็สรวลเสเฮฮาหยอกล้อซึ่งกันและกันตามประสาของผู้ใช้กำลังเป็นแรงงาน
ไม่ต้องมีภาระหนักใจรับผิดชอบในสิ่งใดทั้งสิ้น ส่วนควาญช้างผู้ขยันเห็นช้างชะงักไม่ยอมเข้าไป ก็พูดขึ้นว่า
“ไอ้เพื่อนยาก ลากลงไปตีนท่าอีกสักต้นเถิด แล้วจึงค่อยพักผ่อนกินหญ้ากินน้ำ คงไม่เสียเวลามากนัก”
เมื่อช้างได้ยินดังนั้น ก็ยอมตรงเข้าฉุดลากซุงลงไปท่าน้ำต่อไป พวกเพื่อนๆควาญช้างและกรรมกรที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ ต่างก็นึกว่า
วันนี้ทำไมทั้งช้างและคนช่างขยัน
แล้วก็ตะโกนล้อเล่นขันๆแกมตลกพากันหัวเราะสนุกสนาน เมื่อช้างขนซุงลงไปท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ควาญก็ไสช้างขึ้นมาทางเก่า
เพื่อจะนำช้างไปพักใต้ร่มไม้
ครั้นผ่านกองซุงยังเหลืออีก ๑ ต้นก็ไสช้างตรงเข้าไป แล้วพูดว่า
“มันเหลืออยู่ต้นเดียวเท่านั้น ทิ้งไว้ทำไม
ทำเสียให้มันเสร็จเรียบร้อย
บ่ายจะได้ทำงานอื่นต่อไปไม่ต้องเสียเวลา”
แต่คราวนี้ช้างไม่ยอมทำงาน ดื้อนิ่งยืนเฉยหูกางอยู่ ควาญเห็นเช่นนั้นก็มีความโกรธ ร้องด่าว่าไปหลายคำล้วนแต่หยาบๆ แถมยังว่า
“อ้ายมึงนี่มันสันดานขี้เกียจและจองหอง
ซุงเพียงต้นเดียวแค่นี้มึงจะทำให้เสร็จก็ไม่ยอมทำ มึงคอยดู
กูจะให้มึงอดหญ้าอดน้ำ
มึงลองดีกับกูก็ให้รู้ไป”
ว่าแล้วก็จะเอาชนะช้างให้ได้ พลางเอาขอสับแล้วเอาส้นเท้ากระทุ้งหูสองข้าง
ช้างนั้นเมื่อเห็นควาญโกรธ
ก็ยอมตรงเข้าไปฉุดลากไม้ซุงต้นสุดท้ายลงไปท่าน้ำแต่โดยดี ถึงกระนั้นยังไม่เป็นที่พอใจของควาญ แกบ่นด่าไปตลอดทาง
ครั้งถึงท่าริมน้ำ ช้างก็วางซุงลงเรียบร้อย
แล้วก็ใช้งวงตระหวัดขึ้นบนหลังรัดตัวควาญซึ่งไม่ทันรู้ตัว และกำลังบ่นอย่างคนปากไม่อยู่สุข
แล้วจับฟาดลงมากับพื้นริมตลิ่งท่าน้ำขาดใจตายทันที
ท่ามกลางหมู่กรรมกรที่คอยผูกแพไม้ซุงและพวกล่องแพ ต่างก็เห็นเหตุการณ์โดยตลอด แต่ไม่สามารถจะเข้าช่วยแก้ไขได้ทันท่วงที เพราะมัวตกตะลึง และไม่นึกว่าเหตุร้ายแรงจะเกิดขึ้น
ช้างนั้นเมื่อจับควาญฟาดลงมาถึงแก่ความตายแล้ว เหมือนจะรู้สึกสำนึกตัวได้
จึงตรงเข้าไปยืนเอาขาทั้งสี่คร่อมศพไว้น้ำตาไหลพราก พลางส่ายหัวอยู่ไปมา เหมือนจะรู้ความผิดที่ตัวได้กระทำลงไป และน้ำตาไหลคร่ำครวญ
อาลัยควาญซึ่งเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันมาแต่เก่าก่อน ต้องมาดับชีพลงเพราะอารมณ์โกรธของตนเพียงวูบเดียว”
ข้าพเจ้าฟังเพื่อนเล่าแล้วก็พลอยสลดใจไปด้วย มานึกและคิดว่า
แม้แต่ช้างซึ่งเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉานยังรู้จักโกรธ ในเมื่อมนุษย์ผู้ซึ่งเจริญแล้วไม่รักษาคำพูด เอาแต่ประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ยอมเห็นอกเห็นใจช้าง ซึ่งเป็นสัตว์ที่นำผลประโยชน์มาให้ สัญญาจะให้พักก็ไม่ให้ตามสัญญา ครั้งช้างจะไม่ยอมทำตามก็มีอารมณ์โกรธ ไม่นึกถึงเหตุผลและคำที่ตัวพูดไว้ ดูถูกว่าช้างเป็นสัตว์ที่อยู่ใต้อำนาจของตน
จะทำอะไรก็ทำตามความชอบใจ
ขาดความเมตตาปราณี
จึงต้องจบชีวิตอย่างน่าอเนจอนาถใจ
เมื่อหวนมานึกถึงมนุษย์เราทุกวันนี้ มีจิตใจเสื่อมทรามลงมิใช่น้อย
มีข่าวฆ่าฟันกันตายในหน้าหนังสือพิมพ์มากมาย เหลือที่จะจดจำได้เกือบจะเป็นข่าวธรรมดา
ผิดกับสมัยก่อนนานทีปีหนกว่าจะมีข่าวฆ่ากันตาย เห็นจะเป็นเพราะสมัยก่อนคนกลัวบาป และมีสัตย์มากกว่าคนสมัยนี้ แต่คนสมัยนี้ส่วนมากมีแต่คำพูดไม่แน่นอนพูดกลับไปกลับมา มีแต่ความหลอกลวงไม่รักษาคำพูด ไม่มีศีลสัตย์
ไม่มีความอายต่อบาป
แม้แต่ช้างซึ่งเป็นสัตว์ที่ไร้เดียงสา
ก็ยังมีความโกรธแค้นอาฆาตจนทนไม่ไหว
ต้องสังหารควาญถึงแก่ความตายเช่นในเรื่องนี้
หากมนุษย์เรายังมีชีวิตจิตใจเสื่อมทรามไม่รักษาความสัตย์ เอาแต่อารมณ์ของตนเป็นใหญ่ เห็นประโยชน์ของตนเป็นสำคัญกว่าสิ่งอื่น ขาดความเมตตา
คนผู้นั้นย่อมจะมีแต่ศัตรูมากกว่ามิตร
และชีวิตย่อมจะไม่ยั่งยืนเหมือนผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ รักษาสัตย์
เห็นอกเห็นใจ มีจิตเมตตารู้ให้อภัย คนผู้นั้นย่อมจะมีแต่มิตร ปราศจากศัตรูและภัยอันตราย จะไปไหนก็ไม่ต้องหวาดระแวงคอยระวังภัย
นี่ก็เป็นรางวัลชิ้นหนึ่งของผู้ที่ประพฤติแต่กรรมดี ที่ทันตาเห็นในชาตินี้ก็คือ “ความสบายใจที่ปราศจากศัตรู”
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์
เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวีชัย
เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น