มิวเซียมสยาม
Museum Siam : Discovery Museum
มิวเซียมสยาม
เมื่อนึกถึงพิพิธภัณฑ์แล้วเรามักจะนึกถึงสถานที่เก็บของเก่าๆพวกวัตถุโบราณ
ของที่แตกๆหักๆ และแน่นอนว่าต้องนึกถึงเรื่องประวัติศาสตร์ ซึ่งเรามักลืมสนใจกันอยู่เสมอ
พิพิธภัณฑ์จึงคล้ายๆกับว่าเป็นสถานที่เก็บของที่เราลืมกันไปโดยปริยาย
พิพิธภัณฑ์จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในลำดับท้ายๆของคนไทยเราเสมอมา
พิพิธภัณฑ์บางแห่งไม่ได้เป็นสถานที่เก็บวัตถุโบราณโดยตรง
แต่จะออกไปในทางเป็นแหล่งนำเสนอหรือเรียนรู้ความเป็นมาของประวัติศาสตร์เสียมากกว่า
พิพิธภัณฑ์แบบนี้มักใช้สื่อการแสดงชนิดต่างๆเป็นเครื่องมือนำเสนอความรู้
และจะมีเรื่องที่จะแสดงหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเป็นระยะๆ
มิวเซียมสยามจัดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ในแบบนี้
มิวเซียมสยามเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดบริการมายังไม่นาน
ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก
ทั้งยังเป็นพิพิธภัณฑ์ในแบบที่นำเสนอด้วยสื่อมากกว่าตัววัตถุโบราณ
ดังนั้นที่มิวเซียมสยามจึงมีวัตถุโบราณแสดงไม่มาก แต่จะเน้นไปที่สื่อทำนองสื่อการเรียนการสอนมากกว่า
ลักษณะของการนำเสนอแบบนี้เองจึงเรียกเป็น มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้
 |
บนยอดตึกยังมีชื่อกระทรวงพาณิชย์ |
ที่ตั้งของมิวเซียมสยาม
สถานที่ตั้งของมิวเซียมสามจะอยู่ข้างวัดโพธิ์ท่าเตียน
(วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) อาคารและพื้นที่ทั้งหมดของมิวเซียมสยามนั้น
เดิมก็คือกระทรวงพาณิชย์นั่นเอง
อาคารมิวเซียมสยาม(กระทรวงพาณิชย์เดิม)นั้นออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน
ชื่อ มาริโอ ตามาญโญ ซึ่งเดินทางเข้ามา ทำงานในประเทศสยามตั้งแต่ปีพ.ศ.2443
เป็นช่วงเวลาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
มาริโอ
ตามาญโญได้ทำงานออกแบบสถานที่สำคัญๆมากมายในกรุงเทพฯ ร่วมกับสถาปนิกคนอื่นๆ เช่น
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระที่นั่งดุสิต วัดเบญจมบพิตร สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาริโอ ตามาญโญก็ได้ออกแบบ
บ้านนรสิงห์ บ้านพิษณุโลก สนามแข่งม้า กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง
สำหรับงานปูนปั้นหรืองานหล่อที่ปรากฏให้เห็นลวดลายอันงดงามในตัวกระทรวงพาณิชย์นั้น
เป็นฝีมือการออกแบบของ วิตโตริโอ โนวี นายช่างเอกจากเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
ผู้สลักเสลาความงดงามตามอาคารต่างๆ แทบทุกโครงการที่สร้างขึ้นในรัชการที่ 5
และรัชการที่ 6 เช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม
เป็นต้น(ข้อมูลจากประวัติกระทรวงพาณิชย์)
แค่ตัวอาคารมิวเซียมสยามก็มีที่มาไม่ธรรมดาแล้ว
อัตราค่าเข้าชมมิวเซียมสยาม
นักเรียน นักศึกษา 50 บาท
ประชาชนทั่วไป 100 บาท
ชาวต่างชาติ 300 บาท
*ยกเว้นค่าเข้าชมสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 15
ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
** เข้าชมแบบกลุ่ม 5 คนขึ้นไปลด
50%
ในบางช่วงจะมีบริการบัตรรวมเที่ยวพิพิธภัณฑ์รวมกันหลายๆที่ แบบนี้ได้ราคาประหยัดมากๆ
 |
เข้าประตูกลางตรงนี้ |
 |
สถาปัตยกรรมโค้งๆแปลกดี |
ทางเข้าไปในอาคารก็คือประตูด้านหน้าตึกนั่นเอง
สังเกตง่ายๆก็คืออยู่ตรงกลางและมีประตูเดียว
หลายๆท่านที่มามิวเซียมสยามมักหยุดถ่ายรูปกันที่หน้าตึกก่อน
โดยเฉพาะตรงสถาปัตยกรรมโค้งๆ ผู้เขียนไม่ได้เป็นอาร์ทติ๊สเลยดูไม่ออกไม่ทราบว่าเจ้าโค้งๆนี้สื่อหรือเรียกอะไร ก็เลยได้แค่ถ่ายรูป เมื่อถ่ายรูปแล้วก็เข้าไปซื้อบัตรเข้าชมมิวเซียมสยามภายในตึกได้เลย
พอเราผ่านประตูก็จะเห็นสถาปัตยกรรมของบันใดไม้ที่วกวนแต่สวยงามมาก ถัดเข้าไปด้านในห้องจะเป็นเค้าท์เตอร์จำหน่ายบัตร
เมื่อเราซื้อบัตรแล้วก็อาจต้องรอคิวเข้าชมห้องแรกก่อน ห้องนี้เรียกว่า ห้องเบิกโรง
ที่อาจต้องรอก็เพราะห้องนี้เป็นห้องแสดงวิดิทัศน์นั่นเอง หรือเราจะเดินไปชมบันใดไม้กันก่อนก็ได้ ผู้เขียนหรือแอดมินชอบบันใดของที่นี่มากๆ
 |
บันใดสวยมาก |
 |
ดูลึกลับ |
 |
มิวเซียมสยามแค่บันใดก็น่าดูแล้ว |
ตอนรอเข้าชมวิดิทัศน์สามารถเดินเข้าห้องที่อยู่ใกล้ๆเพื่อชมอะไรไปพลางๆก่อน ตรงทางเข้าจะมีรูปคล้ายๆคนกางมือกางขา ซึ่งทางมิวเซียมสยามใช้เป็นสัญญลักษณ์ เรียกรูปนี้ว่า คนกบแดง รูปคนกบแดงนี้ประมาณว่าเป็นภาพเขียนของคนในสมัยโบราณ หมายถึงกบและสื่อไปในเรื่องความอุดมสมบูรณ์
พอเข้าไปในห้องจะเห็นว่าห้องโล่งๆโปร่งสบายๆ ห้องนี้จะมีวัตถุโบราณเล็กน้อย มีรูปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์
กรมพระจันทบุรีนฤนาท ซึ่งทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์พระองค์แรกของประเทศสยามภายในห้องแสดงแผนที่กรุงเทพฯ(บางกอก)สมัยร.6 และตรงกลางห้องเจาะพื้นให้เห็นการวางโครงสร้างของตัวตึก
 |
ห้องข้างๆเข้าไปดูได้ จะเห็นสัญญลักษณ์คนกบแดงที่หน้าประตู |
 |
เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์พระองค์แรก |
 |
ตรากระทรวงพาณิชย์ |
 |
วัตถุโบราณในห้องนี้ |
เมื่อถึงเวลาเข้าชมวิดิทัศน์ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาแจ้งให้ทราบ คราวนี้เราจะเริ่มชมมิวเซียมสยามซึ่งมีห้องแสดงจัดไว้ 17 ห้อง เราจะเข้าชมทีละห้องตามลำดับ จะไปเข้าชมมั่วๆไม่ได้เพราะเส้นทางเดินชมบังคับเอาไว้ในตัวเองแล้ว
ห้องที่ 1 เบิกโรง (Immersive Theater)
ห้องนี้อยู่ข้างๆจุดขายบัตรเข้าชม เป็นห้องคล้ายๆโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก มีจอโค้งๆงอๆชอบกล คงเป็นดีไซน์ให้ทันสมัยล้ำยุค ห้องเบิกโรงจะแสดงวิดิทัศน์เป็นเรื่องเล่าถึงดินแดนสุวรรณภูมิ โดยมีตัวละคร 7 คน เนื้อเรื่องพอรับได้ถึงจะไม่ละเอียดยิบๆเพราะใช้เวลาแสดงประมาณ 15 นาที
 |
ห้องเบิกโรง |
 |
วิดิทัศน์ที่แสดง |
ห้องที่ 2 ไทยแท้ (Typically Thai)
เมื่อออกจากห้องเบิกโรงแล้ว เราจะต้องเดินไปตามทางที่จัดไว้ ตอนที่ผู้เขียนไปชมนั้นดันมีผู้เขียนเพียงคนเดียวในช่วงนั้น พอเดินไปตามทางจึงรู้สึกโหวงเหวงชอบกล
จะพบห้องที่ 2 มีป้ายใหญ่ๆเขียนข้อความ ตามหาไทยแท้ มีข้อความชวนให้เราคิดเรื่องใครคือไทยแท้อะไรทำนองนี้ ภายในห้องจะมีรถสามล้อหรือรถตุ๊กๆ แต่มีแค่ครึ่งคันติดเอาไว้ที่ผนัง มีรถเข็นขายของขายส้มตำไก่ย่าง มีแม่ค้าหาบเร่ ซึ่งไม่กี่สิบปีมานี้ยังเห็นได้ง่ายๆในกรุงเทพฯนี่เอง ในห้องยังมีศาลพระภูมิแบบสมัยก่อนตั้งเอาไว้ เพื่อสื่อถึงความเชื่อพื้นบ้านของไทย มีรูปภาพบรรยากาศสมัยก่อนแบบรวมๆคือ ให้ดูเหมือนมีงานวัด มีโรงหนัง มวยไทย ละครรำ ที่ห้องนี้คนชอบมาถ่ายรูปกับหุ่นแม่ค้า หรือไม่ก็ไปแอ๊คท่าตำส้มตำ
ห้องนี้ประมาณว่า นี่ๆคนไทยสมัยก่อนเขาประมาณนี้
 |
ป้ายตามหาไทยแท้ |
 |
จำลองความเป้นอยู่สมัยก่อน |
 |
จำลองชีวิตคนไทยสมัยก่อน(ไม่นานนัก) |
ห้องที่ 3 เปิดตำนานสุวรรณภูมิ (Introduction to Suvarnabhumi)
พอเดินออกจากห้องที่ 2 จะพบบันใดเล็กขึ้นไปบนตัวตึกชั้นที่ 3 จะมองเห็นโมบายแขวนอยู่เป็นรูปคนกบแดง บันใดของตึกนี้จะสวยงามทุกๆด้าน ห้องนี้ต้องเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้น 3 ห้องนี้จะแสดงเรื่องราวของสุวรรณภูมิ ซึ่งหมายถึงบริเวณประเทศไทยและเพื่อนบ้านนั่นเอง ดินแดนที่เรียกกันว่าสุวรรณภูมินี้เรียกกันมาแต่โบราณแล้ว
 |
คนกบแดงข้างๆบันใด |
ภายในห้องจะแสดงตำแหน่งที่ตั้งของดินแดนสุวรรณภูมิ มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในแถบนี้ จะมีแผนภูมิแสดงไว้อย่างชัดเจน แสดงวิวัฒนาการในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่โบราณ ห้องนี้มีความรู้เกี่ยวกับดินแดนสุวรรณภูมิแสดงไว้ได้อย่างลงตัว เราแค่เดินดูสื่อที่แสดงเอาไว้ก็จะเข้าใจได้ไม่น้อย
 |
แสดงดินแดนสุวรรณภูมิ |
 |
แสดงวิวัฒนาการของสุวรรณภูมิ |
 |
มนุษย์โบราณในสุวรรณภูมิ |
ห้องที่ 4 สุวรรณภูมิ (Suvarnabhumi)
ห้องนี้จะแสดงเรื่องราวของดินแดนสุวรรณภูมิที่ละเอียดขึ้น จะเป็นเรื่องการค้าการเกษตร บ้านเมืองต่างๆในสมัยโบราณ ความเชื่อของภูมิภาคที่มีทั้งความเชื่อเรื่องผี เจ้า เทวดา ศาสนาพุทธ
จะมีวิดิทัศน์แสดงเรื่องราวโดยผูกเรื่องเข้ากับโครงกระดูกที่เรียกว่า นางพญาแห่งโคกพนมดี จำลองเหตุการณ์ประมาณว่านางพญาซึ่งคล้ายๆแม่หมอมาเล่าเรื่องแสดงวิถีชีวิตของคนในยุคนั้น ในวิดิโอจะเห็นว่าเธอเปลือยอกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของยุคนั้น แต่การเปลือยอกของนักแสดงนี้เป็นเทคนิคสวมชุดที่ทำไว้อย่างนั้น
 |
แสดงโครงกระดูกนางพญาที่คอยเล่าเรื่องให้เราฟัง |
 |
นี่แหละนางพญาแห่งโคกพนมดี |
ในห้องจะมีวัตถุโบราณที่พบในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแสดงไว้ด้วย
 |
วัตถุโบราณและแผนภูมิต่างๆ |
 |
เตาสมัยโบราณ |
 |
เครื่องประดับที่พบในสุวรรณภูมิ |
 |
แผนที่แสดงการค้าของสุวรรณภูมิกับเพื่อนบ้าน |
ห้องที่ 5 พุทธิปัญญา (Buddhism)
ห้องนี้แสดงถึงประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาที่เข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิ ห้องนี้จะค่อนข้างมีแสงสลัวๆ คงเพราะต้องการใช้แสงในการสื่อข้อความ ซึ่งก็ดูแล้วสวยดี
 |
คาถา เย ธัมมา ที่พบเป็นครั้งแรกของสุวรรณภูมิ |
 |
การใช้แสงเงาสื่อถึงดอกบัว |
ห้องที่ 6 กำเนิดสยามประเทศ (The Founding of Ayutthaya)
ห้องนี้เล่าความเป็นมาของประเทศไทยหรือสยาม โดยแสดงถึงประวัติย้อนหลังจาก ละโว้ สุวรรณภูมิ จนถึงกรุงศรีอยุธยา ควาทผสมผสานของชาติพันธุ์ในแถบนี้
 |
ลอมพอก |
 |
ภาพเปรียบเทียบ โกษาปานกับคณะฑูตสวมลอมพอก |
ห้องที่ 7 สยามประเทศ(Siam)
ห้องนี้ต่อเนื่องกันกับห้องที่ 6 จุดเด่นจะเป็นแบบจำลองขบวนเรือพระราชพิธีที่เรียกว่า พยุหยาตราทางชลมารค เรือสำเภาแบบต่างๆ โดยใช้วิธีแขวนเรือไว้เป็นแถวเรียงรายกันตามลำดับชุดขบวนเรือ
 |
แบบจำลองขบวนพยุหยาตราทางชลมารค |
 |
แบบจำลองเรือสำเภาที่ใช้ในสมัยอยุธยา |
ห้องที่ 8 สยามยุทธ์(The War Room)
แสดงหุ่นจำลองทหารสมัยอยุธยา มีปืนใหญ่ขนาดย่อมๆพร้อมลูกกระสุนปืนให้ชม ห้องนี้แสงค่อนข้างสลัวๆให้ความรู้สึกลึกลับโบราณๆ คนที่มาชมห้องนี้มักแวะถ่ายรูปคู่กับหุ่นทหารและปืนใหญ่
 |
ลูกกระสุนปืนใหญ่ |
ห้องที่ 9 แผนที่(The Map Room)
พอออกจากห้องที่ 8 ก็ต้องลงบันใดมาที่ชั้นที่ 2 จะพบห้องแสดงแผนที่โบราณ มีทั้งแผนที่ภูมิภาคนี้ที่เขียนขึ้นโดยชาวยุโรป และแผ่นที่แบบไทยๆ
 |
ห้องแผนที่ |
ห้องที่ 10 กรุงเทพฯ
ภายใต้ฉากอยุธยา(Bangkok:New Ayutthaya)
ห้องนี้แสดงความต่อเนื่องหลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก มีภาพการจัดทัพตามตำราพิชัยสงครามโบราณ ภาพวาดชาวต่างชาติในยุคนั้น สื่อถึงว่าหลังกรุงศรีฯแตกแล้ว ก็ได้มีการสร้างกรุงเทพฯขึ้นมาใหม่ โดยสร้างเลียนแบบกรุงศรีอยุธยา
 |
ภาพจากเว็บมิวเซียมสยาม |
ห้องที่ 11 ชีวิตนอกกรุงเทพฯ(Village Life)
แสดงแบบจำลองวิถีชีวิตชาวไทย โดยสื่อถึงวิถีชีวิตนอกกรุงเทพฯที่เป็นวิถีเกษตร แต่ในความเห็นของผู้เขียนหรือแอดมินแล้วกลับเห็นว่า ในยุคก่อนนั้นแม้แต่ในกรุงเทพฯเอง วิถีชีวิตก็เป็นวิถีเกษตรแล้ว ไม่ต้องตามไปดูถึงนอกกรุงเทพฯ เอาแค่ฝั่งธนบุรีแถบตลิ่งชันก็มีทุ่งนาแล้ว ทุ่งนากว้างใหญ่ของกรุงเทพฯยุคต้นเอาง่ายๆแค่ย่านปทุมวันก็เป็นท้องนา
 |
วิถีเกษตร |
ห้องที่ 12 แปลงโฉมสยามประเทศ(Changes)
ห้องนี้แสดงถึงว่าประเทศไทยวิวัฒนาการไปตามยุคสมัย ก้าวเข้าสู่สมัยใหม่ วิถีชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไป ความเจริญทางวัตถุแบบสมัยใหม่เข้ามาถึงในประเทศไทยแล้ว
จะเห็นเครื่องโทรเลข โทรศัพท์ยุคแรก ตู้ไปรษณีย์ตู้แรกของประเทศสยาม(แต่เป็นของทำจำลอง) ตู้ไปรษณีย์ตู้แรกของสยามนั้นรัฐบาลประเทศเยอรมนีมอบให้เนื่องในโอกาสที่สยามเปิดกิจการไปรษณีย์ในพ.ศ.2426 ในห้องนี้ยังมีเครื่องสูบน้ำโบราณแบบคานโยก ที่เวลาใช้ต้องโยกคานปั๊มน้ำ เครื่องสูบน้ำนี้คลาสสิกมาก มีเครื่องหมายของการประปาชัดเจน คือเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้าแบบฝรั่งที่นิยมในสมัยนั้น มีรูปภาพแสดงให้เห็นถึงการแต่งกายที่เปลี่ยนมาเป็นแบบสมัยใหม่
 |
เข้าห้องมาจะเห็นแบบนี้ |
 |
โทรเลขยุคแรก |
 |
ตู้ไปรณีย์ยุคแรก(จำลอง) |
 |
เครื่องสูบน้ำโบราณ |
 |
ตราพระแม่ธรณีบีบมวยผม |
ห้องที่ 13 กำเนิดประเทศไทย(Politics & Communication)
พอเข้ามาถึงภายในห้องนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปคล้ายๆเหมือนในภาพยนตร์ย้อนยุค เพราะเริ่มมีภาพที่คุ้นเคยทำนองว่าเกือบร่วมสมัยของตัวผู้เขียนเอง หรืออย่างน้อยก็เคยเห็นหลักฐานใกล้สมัยของตัวเองที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก จะแสดงภาพโฆษณาสมัยก่อนหนังสือพิมพ์สมัยก่อน แสดงประวัติการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีสถานีโทรทัศน์จำลองซึ่งคนที่มาชมห้องนี้ชอบไปแอคชั่นเป็นผู้ประกาศข่าวแล้วถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
 |
หนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต |
 |
วิทยุแบบหลอดยุคเก่า |
 |
หนังสือพิมพ์ไทยใหม่ |
 |
หนังสือพิมพ์ประมวญสาร |
 |
จำลองสถานีโทรทัศน์มาให้ชม |
ห้องที่ 14 สีสันตะวันตก(Thailand and the World)
ห้องนี้แสดงยุคที่ผู้เขียนหรือแอดมินทันเห็น จะจำลองสถานที่เที่ยวเช่นบาร์ไนท์คลับ ซึ่งผู้เขียนเองทันไปเที่ยวเสียด้วย เห็นแล้วระลึกถึงอดีตขึ้นมาจับใจ
ภายในห้องจะแสดงรถยนตร์รุ่นเก่าที่เป็นยอดฮิตของสมัยนั้น แต่มีเพียงครึ่งคันติดผนังห้อง มีไนท์คลับจำลองบรรยากาศการเที่ยวในสมัยนั้น เค๊าท์เตอร์บาร์นี้เหมือนเปี๊ยบเลย ผู้เขียนชอบตู้เก็บน้ำแข็งของยุคนั้นซึ่งเคยคุ้นเคยมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ได้เห็นตู้เก็บน้ำแข็งแบบนี้มานานหลายสิบปีแล้ว สมัยก่อนเขาเก็บน้ำแข็งไว้ในตู้ไม้แบบนี้ ทั้งยังแช่น้ำอัดลมและเบียร์เอาไว้ด้วย ในห้องนี้จะมีคนมาแอ๊คท่าถ่ายรูปกันมากเป็นพิเศษ
 |
รถหรูแห่งยุค |
 |
ไนท์คลับ |
 |
เค๊าท์เตอร์ในบาร์ |
 |
ตู้แช่น้ำแข็งสมัยก่อน |
 |
ตู้แช่น้ำแข็งจะมีทีเปิดฝาขวดด้วย |
 |
บรรยากาศในไนท์คลับ |
 |
ปฏิทินเหล้ามีคุณป้าแก่นใจ มีนะกนิษฐ์ เป็นนางแบบ |
ห้องที่ 15 เมืองไทยวันนี้(Thailand Today)
ห้องนี้มืดๆทำบรรยากาศแบบหนังไซไฟ มีทางเดินทำเป็นอุโมงค์มีทีวีจอเล็กๆติดตามส่วนโค้งของอุโมงค์ ประมาณว่าเป็นรูปแบบของดีเอ็นเอ ห้องนี้ค่อนข้างจะแสดงการสื่อความหมายให้คิดถึงความเปลี่ยนแปลงของไทย
 |
อุโมงค์ดีเอ็นเอ |
ห้องที่ 16 มองไปข้างหน้า(Thailand Tomorrow)
พอออกจากห้องมืดๆก็จะเจอกับห้องนี้ที่โล่งๆ มีการฉายโปรเจคเตอร์ให้ดู แต่ในความเป็นจริงแล้วห้องนี้กลายเป็นห้องนั่งพัอของคนที่มาชมมิวเซียมสยาม เพราะเดินมาจนเมื่อยขาแล้ว
 |
ภาพจากwww.museumsiam.org |
ห้องที่ 17 ตึกเก่าเล่าเรื่อง
ที่มาของมิวเซียมสยาม(Building Exhibition)
เมื่อเดินมาถึงห้องนี้ก็จะพบว่า ที่แท้ห้องนี้ก็คือห้องที่อยู่ติดกับห้องจำหน่ายบัตรนั่นเอง คือเป็นห้องที่มีแสดงประวัติกระทรวงพาณิชย์ ห้องนี้ส่วนมากจะเป็นห้องที่คนรอคิวชมวิดิทัศน์แวะเข้ามาชมตั้งแต่แรกแล้ว
 |
กลับมาเจอห้องที่เข้าชมครั้งแรก |
นอกจากนี้ในบางโอกาสจะมีการแสดงนิทรรศการที่ห้องชั้นล่างที่อยู่ติดระเบียงทางเดิน สอบถามได้ความว่านิทรรศการจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป บางช่วงก็จะมีการแสดงที่สนามหญ้าหลังตึก ซึ่งจะระบุเวลาแสดงไว้ให้ทราบล่วงหน้า
 |
ห้องที่ระเบียงทางเดิน |
หลังจากเดินชมมิวเซียมสยามจนเมื่อยแล้ว ถ้าหิวก็แวะรับประทานอาหารได้ที่เต้นต่างๆข้างตัวตึก หรือเข้าไปนั่งในร้านติดแอร์เย็นฉ่ำชื่อร้าน“Muse Kitchen by Elefin Coffee” ซึ่งอยู่ข้างๆสนามหญ้านั่นเอง
 |
เต้นท์ขายอาหารข้างตึก |
 |
ร้าน Muse Kitchen by Elefin Coffee |
ผู้เขียนได้ชมมิวเซียมสยามแล้ว
ก็มีความเห็นว่าสำหรับคนไทยอาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับพิพิธภัณฑ์แบบนี้
เพราะเคยเห็นแต่พิพิธภัณฑ์แบบที่มีของเก่าโบราณตั้งให้ดูมากๆ
แต่ผู้เขียนเห็นว่าพิพิธภัณฑ์แบบมิวเซียมสยามนี้ให้ความรู้ได้ดี
แต่ความรู้ที่ผู้มาชมจะได้รับนั้น จะขึ้นอยู่กับแง่มุมที่ทางมิวเซียมสยามต้องเลือกเฟ้นให้ถูกกับจังหวะความสนใจของผู้มาชม
ซึ่งนับว่ายากไม่น้อยเลย
เท่าที่เห็นในวันที่ผู้เขียนไปชมมิวเซียมสยาม พบว่าจะมีชาวต่างชาติไปชมมิวเซียมสยามมากกว่าคนไทย(มากกว่ามากๆด้วย)
ถ้ามาเที่ยวมิวเซียมสยามแล้ว จะได้ความรู้แน่นอน
รูปภาพโดยsihawatchara และรูปจากwww.museumsiam.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น