วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

นึกเรื่องเก่า เล่าความหลัง กินของขม ชมเด็กสาว..แปลว่า แก่แล้ว.๑๒ โก๋หลังวัง



โก๋หลังวัง

   คำว่า “โก๋หลังวัง”นับเป็นคำที่มีความหมายสำหรับคนที่มีอายุห้าสิบกลางๆขึ้นไป(พ.ศ2559) นอกจากคำๆนี้จะมีความหมายแล้ว ยังมีความสำคัญความประทับใจความรักความหลังกับคนอายุห้าสิบกลางๆขึ้นไปเป็นอย่างยิ่ง ความสำคัญของคำว่า “โก๋หลังวัง” นั้น กินความหมายเหนือกว่าการเป็นจิ๊กโก๋ธรรมดาๆ เพราะ “โก๋หลังวัง”นี้ต้องนับว่าเป็นชื่อยุคๆหนึ่งกันเลยทีเดียว ยุคที่คนทั้งหลายเรียกกันว่า “ยุคโก๋หลังวัง”

ภาพจาก วิกิพิเดีย วังบูรพาภิรมย์

   คนอายุห้าสิบขึ้นไปก็คือมนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟ ซึ่งสะสมไมล์แห่งอดีตมามากแล้ว มนุษย์พันธุ์ครึ่งร้อยอัฟจะเป็นพวกที่ได้ผ่านยุคโก๋หลังวังมาด้วยกันทั้งนั้น แต่ต้องมีอายุห้าสิบกลางๆขึ้นไปจึงจะพอจำช่วงชีวิตยุคโก๋หลังวังในช่วงยุคปลายๆได้ ถ้าอายุหกสิบกว่าขึ้นไปก็เป็นโก๋หลังวังเต็มๆกันเลย โก๋หลังวังรุ่นใหญ่ในปัจจุบันต้องอายุเจ็ดสิบกว่ากันแล้ว

   โก๋หลังวังตัวจริงจะต้องเป็นคนเกิดก่อนพ.ศ.2500หลายปีหน่อย ประมาณว่าช่วงเป็นวัยรุ่นจะอยู่ระหว่างพ.ศ.2497-2510 เพราะยุคโก๋หลังวังจะเริ่มบูมกันจริงๆก็ตั้งแต่พ.ศ.2497ไปจนถึงพ.ศ.2507 จึงประมาณได้ว่าโก๋หลังวังแบบเต็มๆจะต้องเกิดประมาณช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง(พ.ศ.2482-2488) จึงจะโตเป็นวัยรุ่นหนุ่มจิ๊กโก๋ในช่วงที่เรียกว่ายุคโก๋หลังวังได้พอดี ถ้าเกิดหลังพ.ศ.2488แล้วเป็นได้ก็ประมาณโก๋หลังวังรุ่นเล็กหรือรุ่นน้องรองลงไปตามลำดับของปีพ.ศ.ที่เกิด 

    ช่วงหลังพ.ศ.2507-2510 โก๋หลังวังค่อยๆลดจำนวนลง เพราะโก๋หลังวังรุ่นหนุ่มกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว และโก๋หลังวังรุ่นเล็กก็ค่อยๆหายไปเป็นโก๋ที่อื่นแทน จะไม่ค่อยมาซ่าที่หลังวังแล้ว ส่วนโก๋รุ่นใหม่เขามีที่ซ่าแห่งใหม่เกิดขึ้น จึงเป็นการปิดฉากยุคโก๋หลังวังไปโดยปริยาย

   แอดมินหรือผู้เขียนนี้โตมาในยุคโก๋หลังวังพอดี แต่อย่างมากนับได้แค่เป็นเพียงรุ่นน้องโก๋หลังวัง หรืออย่างน้อยก็เป็นรุ่นหลานคนโตของโก๋หลังวัง ญาติๆก็เป็นโก๋หลังวัง และบ้านหลังที่สองในตอนนั้นของผู้เขียนก็อยู่ภายในบริเวณที่เรียกว่าย่านวังบูรพา จึงได้มีโอกาสเห็นความเจริญรุ่งเรืองของย่านวังบูรพายุคโก๋หลังวัง จนถึงความโรยราที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ความทรงจำของยุคโก๋หลังวังที่ยังจำได้ชัดเจนจะเป็นช่วงปลายยุคแล้ว ยุคกลางๆแค่จำได้คลับคล้ายคลับคลา แต่ยังดีที่รุ่นพี่ๆเล่าขยายความทวนความหลังให้ฟัง


ศูนย์การค้าวังบูรพา ที่มาของ โก๋หลังวัง ยุคนั้นบ้านของข้าพเจ้าอยู่หลังตึกสีขาวๆที่อยู่มุมขวา

   ยุคโก๋หลังวังเริ่มตั้งแต่พ.ศ.2497 เพราะในปีนี้มีการเปิดย่านศูนย์การค้าแบบสมัยใหม่ล่าสุด มีโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ และสำนักงาน โดยเปิดในบริเวณที่เคยเป็นวังเก่ามาก่อน วังนี้ก็คือวังบูรพาภิรมย์

   วังบูรพาภิรมย์สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2418 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวังที่ประทับของพระราชโอรสที่เป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์สุดท้องในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช

 วังบูรพาภิรมย์ ออกแบบโดย นาย โจอาคิโน กราสซี่ (Gioachino Grassi) สถาปนิกชาวอิตาเลียน-ออสเตรียน  เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานแนวโคโลเนียล สร้างเป็นพระตำหนักใหญ่สูง 2 ชั้น ประกอบด้วยอาคาร 3 หลัง เนื้อที่กว้างขวางตั้งแต่ริมถนนตรงป้อมมหาชัย จนถึงสะพานเหล็ก ใช้เวลาสร้าง 6 ปี ตั้งแต่เริ่มวางศิลาฤกษ์เมื่อวันแรม 4 ค่ำ เดือน 4 ปีกุนสัปตศก จุลศักราช 1237 ตรงกับวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ 2418(ข้อมูลจากวิกิพิเดีย)

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช
ภาพจาก teakdoor.com ประตูวังบูรพาอยู่ซ้ายมือของภาพ ฝั่งตรงข้ามเป็นป้อมมหาไชย

   วังบูรพาเป็นวังที่มีงานรื่นเริงกันอยู่เสมอ สมกับสร้อยคำชื่อวังว่า ภิรมย์ ศิลปะการแสดงและศิลปินในภายหลังนั้น มีที่เคยเกี่ยวพันธ์กับวังบูรพาหลายท่าน ขนาดหลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง)บรมครูดนตรีไทย ก็ยังเคยเป็นข้าราชบริพารของวังนี้ ในภาพยนตร์ไทยเรื่อง “โหมโรงนั้น เหตุการณ์ประชันระนาดเอก ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่วังบูรพานี่เอง

ภาพจาก oknation.net

   ต่อมาภายหลังจากหมดยุคของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช วังบูรพาถูกให้เช่าเป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนสตรีภาณุทัต ของท่านอาจารย์ เยื้อน ภาณุทัต ผู้เป็นปรมาจารย์ด้านประณีตศิลป์และการเรือน พอหลังสงครามโลกครั้งที่2 วังบูรพาถูกใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนพณิชยการพระนคร
วังบูรพาภิรมย์ทางปีกขวา

ภาพจาก reurnthai.com นักเรียนของโรงเรียนสตรีภาณุทัต

   พอถึงพ.ศ. 2495 ทายาทราชสกุลภาณุพันธุ์ได้ขายวังบูรพาให้นายโอสถ โกศิน ในราคา 12 ล้าน 2 หมื่นบาท วังบูรพาภิรมย์ถูกทุบทิ้งเพื่อสร้างเป็นศูนย์การค้าสมัยใหม่ เรียกว่าย่านการค้าหรือศูนย์การค้าวังบูรพา ในช่วงนั้นเองนายบัณฑูรย์  องค์วิศิษฐ์ ได้ซื้อที่ดินบางส่วนจากนายโอสถ เพื่อสร้างโรงภาพยนตร์ 3 โรง โดยมีนายสงวน มัทวพันธ์ (อดีตเลขาธิการ สมาคมโรงภาพยนต์แห่งประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษา ข่าวบางกระแสก็ว่านายบัณฑูรย์สร้างโรงหนังคิงส์กับควีนส์ ส่วนแกรนด์เป็นของเพื่อน


   ศูนย์การค้าวังบูรพาจึงมีโรงภาพยนตร์ทันสมัยที่สุดโอ่อ่าที่สุดในยุคนั้นถึง 3 โรง คือโรงภาพยนตร์คิงส์ โรงภาพยนตร์แกรนด์ อยู่ด้านหน้าติดถนน และโรงภาพยนตร์ควีนส์ อยู่ด้านหลังของโรงภาพยนตร์คิงส์ โดยโรงภาพยนตร์คิงส์ฉายหนังฝรั่ง โรงภาพยนตร์แกรนด์ฉายหนังไทย โรงภาพยนตร์ควีนส์ฉายหนังแขก แต่เรื่องการฉายหนังนั้นบางทีก็มีหนังจีนมาฉายด้วย ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2497 



โรงภาพยนตร์คิงส์

โรงภาพยนตร์แกรนด์

   ภายในบริเวณนี้จะมี ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านค้า ร้านหนังสือร้านไอศกรีม ร้านไอศครีมในย่านนี้ต่อมามีเพิ่มอีกหลายร้าน ทีเด็ดของไอศครีมที่ต้องรับประทานให้ได้คือ ไอศครีมไข่แข็ง (ไม่ใช่ว่าคุณผู้ชายรับประทานแล้วไข่จะแข็งนะ) ไอศครีมไข่แข็งในสมัยนั้นเป็นไอศครีมที่มีไข่ไก่แช่เย็นจนแข็งเหมือนน้ำแข็ง แล้วผ่าไข่สี่ซีกโปะมาบนไอศครีม ส่วนไอศครีมไข่แข็งแบบที่ใช้ไข่ตีแบบที่จะทำไข่เจียว(บางเจ้าใช้ไข่แดงล้วน) แล้วตักไปราดบนไอศครีมนี้มาตอนหลัง นอกจากนี้ย่านการค้าวังบูรพายังมีร้านหนังสือที่ทันสมัยมากร้านที่สุดของยุคนั้น และทั้งหมดของย่านนี้ก็คือสถานที่เที่ยวที่ทันสมัยที่สุดของเมืองไทย

   ถัดไปทางด้านหลังของวังบูรพาจะเป็นตลาดมิ่งเมือง ซึ่งเป็นตลาดที่แปลกประหลาด เพราะไม่ได้ขายผักขายอาหาร แต่ตลาดมิ่งเมืองเป็นตลาดตัดเย็บเสื้อผ้า มีช่างตัดเสื้อรอบริการอยู่มากมาย แถบนี้มีร้านอาหารร้านกาแฟมีคิวรถ ตรงหัวมุมถนนทางเข้าเป็นร้านอาหารแบบภัตตาคารสมัยเก่า ผู้เขียนเคยไปนั่งรับประทานอาหารหลายครั้ง ใครๆมาร้านนี้จะต้องสั่งข้าวหน้าไก่ใส่ไข่ดาว ผู้เขียนลืมชื่อร้านไปแล้ว จำได้เลือนรางว่าชื่อไปในทำนองว่า ศรีฟ้า แต่ไม่แน่ใจ ร้านนี้เป็นร้านดังร้านหนึ่ง ปัจจุบันตลาดมิ่งเมืองรื้อทิ้งแล้วสร้างเป็น ดิ โอลด์ สยาม
ตลาดมิ่งเมืองช่วงรื้อทิ้ง

   และภายในบริเวณพื้นที่บล็อกนี้เองที่สุดขอบมุมติดถนนเจริญกรุง มีโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2475 ดังนั้นตลอดทั้งย่านวังบูรพาและสถานที่ใกล้เคียงกัน จึงกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองไทย พื้นที่เดินเที่ยวเล่นเมื่อรวมกันกับเฉลิมกรุงและพาหุรัดแล้ว ถึงกับต้องเดินเมื่อยกันเลยทีเดียว แต่ก็มีร้านค้าร้านกาแฟให้นั่งพักดื่มอะไรเล่นได้


โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง

    เหล่าจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋จะมาเดินโชว์หล่อโชว์สวยเต๊ะจุ๊ยกันในบริเวณย่านวังบูรพา และตลอดออกไปจนถึงด้านหลังวังบูรพา ที่ด้านหลังวังบูรพาจะมีร้านค้าร้านกาแฟที่ราคาย่อมเยากว่าฝั่งวังบูรพา จะมีหนุ่มๆมานั่งแกร่วรอกันมาก และมีเรื่องเขม่นกันบ้างเป็นธรรมดาของวัยรุ่น ย่านวังบูรพาตลอดไปจนถึงหลังวังจึงมีเรื่องวัยรุ่นตีกันบ่อย ความที่จิ๊กโก๋แถวนี้ตีกันบ่อยๆจึงเรียกกันว่า “โก๋หลังวัง”

   บ้านหลังที่สองของผู้เขียนนั้น บังเอิญอยู่ในเขตวังบูรพา โดยอยู่ในซอยแรกข้างวังบูรพากันเลยทีเดียว ประมาณว่าอยู่ด้านหลังของร้านหนังสือแพร่พิทยา พวกเพื่อนบ้านก็ขายของในย่านวังบูรพาทั้งนั้น ผู้เขียนจึงได้รู้ได้เห็นความรุ่งเรืองและร่วงโรยของย่านวังบูรพาอย่างใกล้ชิด และแน่นอนว่าได้ทันเห็น “ยุคโก๋หลังวัง”อันสุดแสนที่จะคลาสสิก ถึงแม้ผู้เขียนจะโตไม่ทันได้เป็นโก๋หลังวังก็เฉียดๆในระยะเผาขน ทุกวันนี้ยังประทับใจช่วงชีวิตยุคโก๋หลังวังเป็นอย่างยิ่ง ยุคนั้นโคตะระคลาสสิกของคลาสสิกจริงๆ








   ยุคโก๋หลังวังเป็นช่วงกลางยุคฟิฟตี้จนถึงยุคซิกตี้กลางๆค่อนไปปลายยุค ซึ่งเป็นช่วงที่สงบสุขและออกไปในทางสนุกด้วยซ้ำ เพราะพ้นยุคสงครามโลกครั้งที่สอง(พ.ศ.2482-2488)ไปหลายปีแล้ว ความสงบสุขจึงค่อยเกิดขึ้นโลกพัฒนาขึ้นมาก เทคโนโลยีเจริญขึ้นกว่าสมัยก่อนอย่างเห็นได้ชัด ความสุขความสนุกสนานจึงตามมา ในยุคโก๋หลังวังนี้เป็นช่วงที่โลกของเรามีศิลปะศิลปินเกิดขึ้นมากมาย เอลวิส เพลสลี่ ก็ดังในช่วงนี้

   ผู้เขียนจำเหตุการณ์ในยุคโก๋หลังวังได้ไม่หมด เพราะยังเป็นเด็กแต่ก็เป็นเด็กโตแล้ว บางเรื่องก็จำได้แม่น บางเรื่องก็เลือนๆไปบ้าง พอมาถึงปัจจุบัน(พ.ศ.2559)ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะลืมไปเสียหมด จึงต้องเล่าบันทึกฝากไว้ให้เป็นความทรงจำเกี่ยวกับยุคโก๋หลังวัง อย่างน้อยยังพอถือได้ว่าเป็นข้อมูลของเด็กรุ่นน้องคนโตของโก๋หลังวัง และเคยอาศัยอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นวังบูรพาภิรมย์

   ผู้เขียนจำได้ว่าย่านวังบูรพาในยุคนั้น จะมีคนมาเที่ยวมากมาย นับเป็นย่านหรูหราของกรุงเทพฯกันเลยทีเดียว ย่านวังบูรพานี้ถึงกับว่า คนไทยในสมัยนั้นต้องมาเดินที่นี่ให้ได้ ประเภทว่า “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ถ้าเทียบวังบูรพากับยุคนี้แล้ว วังบูรพาก็คือสยามพารากอนนี่เอง สำหรับผู้เขียนนั้นแค่เดินออกมาจากซอยบ้านแล้วหันมองไปทางขวา ก็เจอโรงภาพยนตร์แกรนด์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สมัยนั้นโรงหนังแกรนด์(คนชอบเรียกโรงหนัง)ดูใหญ่โตมโหฬารยิ่ง




   โรงหภาพยนตร์แกรนด์จะอยู่ริมถนนมหาไชย ด้านข้างโรงหนังจะเป็นถนนซอยภาณุรังษีที่เข้าวังบูรพา ซึ่งแถวนี้จะมีร้านขายหนังสืออยู่หลายร้าน ร้านแพร่พิทยา คลังวิทยา โอเดียนสโตร์ รวมสาส์น จะอยู่ในซอยนี้ มีภัตตาคารชื่อ สมบูรณ์ลาภ(ส.บ.ล.) ภัตตาคารนี้ได้ไปกินโต๊ะจีนกลับครอบครัวหลายครั้ง


โรงหนังแกรนด์จะดูหรูหราอลังการกว่าโรงหนังคิงส์ ตัวตึกจะดูล้ำสมัยกว่า แถมยังมีประติมากรรมรูปใบหน้าคนใหญ่ๆสองชิ้นติดไว้ที่ด้านบนของตัวตึกด้วย สมัยนั้นเด็กๆจะเรียกกันว่าหน้ายักษ์

   หน้าโรงหนังแกรนด์มีบันใดโค้งๆสูงลิ่ว ต้องเดินขึ้นบันใดไปตั้งหลายขั้น เด็กๆจะชอบวิ่งแข่งกันขึ้นบันใดเพื่อไปยืนรอหน้าร้านขายขนม ซึ่งจะขายพวกลูกอมหมากฝรั่งช็อคโกแลต ที่ฮิตมากๆจะเป็นช็อคโกแลตยี่ห้อ m&m หมากฝรั่งก็ต้อง ชิเคล็ทส์ กับ ล็อตเต้ และที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กๆก็คือ “อมยิ้ม” ที่เป็นลูกกวาดเสียบไม้ให้ถือตอนอมๆเลียๆลูกกวาดหวานๆ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายจะชอบขนมบุหรี่ตราแมว ซึ่งเป็นบุหรี่ปลอม แถวๆนี้จะมีตู้ข้าวโพดคั่วเหมือนในหนังฝรั่งยุคเก่า กลิ่นเนยที่ใช้ผสมคั่วข้าวโพดจะหอมยั่วน้ำลายมาก


   เมื่อขึ้นบันใดไปก็จะพบกับรูปตัวอย่างหนังที่เขาปิดโชว์ไว้ จะมีห้องขายตั๋วที่คนยุคนั้นดูว่าสวยงาม พอจะซื้อตั๋วหนังก็เข้าไปต่อๆคิวกัน สมัยนั้นถ้าหนังเรื่องไหนฮิตๆ ก็จะเกิดเหตุการณ์ตั๋วหมด แต่จะมีคนมาเร่ขายตั๋วตรงหน้าโรงหนัง คนขายจะบวกราคาขึ้นไปตามความฮิตของหนัง หนังที่ฮิตๆนั้นจะมีที่นั่งเสริมเป็นเก้าอี้พับด้วย

แพร่พิทยา พ.ศ.2559

คลังวิทยา พ.ศ.2559

โอเดียนสโตร์ พ.ศ.2559

รวมสาส์น พ.ศ.2559

      การดูหนังหรือดูภาพยนตร์ในยุคนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะจะต้องแต่งเนื้อแต่งตัวกันสุดฤทธิ์สุดเดช เพราะต้องไปโชว์สวยโชว์หล่อกันที่วังบูรพา ผู้เขียนเองนั้นบ้านอยู่ภายในพื้นที่วังบูรพาแท้ๆ ขนาดยังโตไม่พอที่จะเป็นโก๋หลังวัง เวลาไปดูหนังที่นี่ก็ไม่กล้าใส่กางเกงขาดกางเกงขาสั้น ต้องแต่งตัวใส่กางเกงขายาวไปเที่ยวที่วังบูรพา ไม่งั้นจะอายคนอื่นเขา

   ตอนซื้อตั๋วหนังนั้น พวกหนุ่มๆโก๋หลังวังจะคอยมองสาวๆที่มาดูหนังกันเป็นกลุ่ม ในยุคนั้นสาวไทยเขาก็มีการจับกลุ่มเที่ยวกันเองแล้ว พวกหนุ่มๆที่ใจกล้าหน้าด้านจะทำทีไปยืนซื้อขนมหรือข้าวโพดคั่วและไอศครีม แล้วมอบให้ผู้หญิงเอาดื้อๆ คู่รักหลายคู่พบรักกันที่หน้าโรงหนังแบบนี้นี่เอง

   เมื่อจะเข้าไปดูหนังจะต้องผ่านคนตรวจตั๋วที่ประตูทางเข้า ตรงแค่ประตูก็ดูอลังการแล้ว เพราะประตูจะเป็นประตูหนาๆบุนวม มีผ้าม่านเป็นกำมะหยี่สวยๆบังทางเข้าไว้ พอผ่านเข้าไปก็จะสายตาพร่าเล็กน้อยเพราะมืดตื๋อ จะเจอพนักงานเดินตั๋ว พนักงานจะมีไฟฉายส่องทางพาเราไปส่งยังที่นั่งตามหมายเลขที่เราซื้อ คนตรวจตั๋วและคนเดินตั๋วจะมีเครื่องแบบสวยๆอีกด้วย

   ก่อนที่หนังจะฉายนั้น ช่วงแรกจะต้องมีเพลงให้ฟังก่อน ถ้าเป็นเพลงร้องส่วนมากก็ไม่พ้นเอลวิส มีนักร้องคนอื่นบ้าง มีเพลงบรรเลงบ้าง เพลงบรรเลงมักเป็นของวง the ventures กับ the shadows พอหนังจบจะมีเพลงสรรเสริญพระบารมี

   ต่อมาปรากฏว่าหนังรอบปฐมทัศน์ในสมัยก่อนนั้น จะมีวงดนตรีมาเล่นก่อนหนังฉายด้วย



   โรงภาพยนตร์คิงส์นั้น จะสามารถเดินต่อจากโรงหนังแกรนด์ไปโรงหนังคิงส์ได้เลย เพราะความจริงแล้วตัวตึกอยู่ติดกัน โรงหนังคิงส์จะอยู่ตรงหัวมุมถนนมหาไชย เป็นสี่แยกรอยต่อของสุดเขตถนนเยาวราช ถนนจักรเพชรและถนนมหาไชย ถนนจักรเพชรนี้จะตรงไปทางสะพานพุทธได้ ตรงนี้จะเรียกกันว่าแยกวังบูรพา

   โรงหนังคิงส์จะตกแต่งอย่างเรียบง่ายกว่าโรงหนังแกรนด์ บรรยากาศดูมั่นคงโอ่อ่า ประมาณว่าโรงหนังคิงส์เป็นผู้ใหญ่ โรงหนังแกรนด์เป็นหนุ่ม ดังนั้นผู้ใหญ่จึงต้องหวือหวาน้อยกว่าหนุ่ม ถนนซอยพีรพงษ์ข้างโรงหนังจะมีร้านไอศครีมบูรพา  ตรงร้านไอศกรีมบูรพานี้จำบรรยากาศร้านได้เลือนรางเสียแล้ว ต่อมาภายหลังมีร้านศาลาไอศครีม และอีกหลายปีต่อมาเปลี่ยนมาเป็นศาลาโฟร์โมสต์ (ปัจจุบันเป็นร้านขายผ้าไปแล้ว)

   ซอยฝั่งโรงหนังคิงส์จะมีร้านหนังสือผดุงศึกษาบูรพากับร้านหนังสือก้าวหน้าจะอยู่ตรงซอยนี้ ร้านผดุงศึกษาดังทางจัดพิมพ์หนังสือชุดสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน ส่วนร้านก้าวหน้ามีหนังสือที่จัดพิมพ์เองชื่อ หนังสือการ์ตูนเด็กก้าวหน้า แอดมินหรือผู้เขียนชอบอ่านการ์ตูนเด็กก้าวหน้ามาก (ปัจจุบันร้านก้าวหน้าเลิกกิจการแล้ว)

ผดุงศึกษา พ.ศ.2559

   ในซอยพีรพงษ์นี้เป็นที่ตั้งของห้างเซ็นทรัลสาขาวังบูรพา ซึ่งมาเปิดกิจการในภายหลังจากสร้างศูนย์การค้าวังบูรพาเสร็จไม่นาน ของแปลกของเซ็นทรัลสาขานี้คือ เอารถเข้าไปจอดในห้างได้ด้วยการขับรถเข้าไปในลิฟท์ แล้วจึงจะเข้าที่จอดรถได้ บรรดาจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋จะต้องมาเดินเล่นหรือซื้อของกันที่ห้างเซ็นทรัล จะมีคนเดินกันมาก

   ถัดจากห้างเซ็นทรัลจะมีร้านฉายาจิตรกร เป็นร้านถ่ายรูปยอดฮิต ข้าราชการพอเลื่อนยศก็จะมาถ่ายรูปพร้อมแต่งเครื่องแบบกันเต็มยศ แม้แต่ผู้ที่เรียนจบปริญญาก็ต้องมาถ่ายรูปพร้อมชุดครุยไว้เป็นที่ระลึก




   ใกล้ๆห้างเซ็นทรัลยังมีที่ประจำซึ่งผู้เขียนต้องไปบ่อยๆ ก็คือคลินิกของคุณหมออู๊ด ไม่สบายที่ไรก็ไปหาคุณหมออู๊ดทุกที คุณหมดอู๊ดเป็นแพทย์หญิงใจดี จำได้ว่าครั้งหนึ่งกินทุเรียนมากเกินไปจนร้อนในปวดหูมาก คุณหมออู๊ดรักษาจนหาย ท่านว่าต่อมน้ำเหลืองที่กกหูอักเสบ

   ระหว่างซอยพีรพงษ์กับซอยภาณุรังสีจะมีถนนเชื่อมต่อกันสองบล็อก ชั้นแรกเป็นที่ตั้งของโรงภาพยนตร์ควีนส์ จำได้ว่าพนักงานของที่นี่จะเป็นผู้หญิง ข้อนี้คงให้สมกับที่ชื่อโรงหนัง แต่ภายหลังก็มีผู้ชายด้วย โรงหนังควีนส์จะฉายหนังแขกมากเป็นพิเศษ สมัยนั้นหนังแขกเป็นหนังฮิตอยู่ไม่น้อย ผู้เขียนยังหาภาพโรงภาพยนตร์ควีนส์ไม่ได้

   ตรงข้ามโรงหนังควีนส์จะมีร้านขายข้าวมันไก่ข้าวเนื้ออบข้าวสตูว์ลิ้นวัวอร่อยชื่อร้านควีนส์ ถัดไปจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นชื่อร้านจีจ้งหว่อ ความจริงร้านนี้ไม่ได้ขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดเพียงอย่างเดียว แต่เขามีอาหารสารพัดตามสั่งเช่นข้าวผัดหมูแดง โกยซีหมี่ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าน้ำมันหอย อร่อยทุกอย่าง ร้านควีนส์เลิกกิจการไปแล้ว ร้านจีจ้งหว่อยังขายอยู่ แถวนี้มีร้านข้าวแกงผู้ใหญ่ลีที่ขึ้นชื่อว่าเผ็ดแต่อร่อย และในตรอกข้างโรงหนังควีนส์ยังมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวกับแกงด้วย แต่ร้านนี้ผู้เขียนจำไดัไม่ชัดเจนว่ามาในช่วงยุคโก๋หลังวังในช่วงไหน เพราะไม่ค่อยได้ไปอุดหนุนเขาเนื่องจากเก้าอี้นั่งไม่ค่อยว่าง
จี้จ้งหว่อ พ.ศ.2559
   แถวโรงหนังควีนส์มีสถานที่เที่ยวที่ผู้เขียนฉงนมากเพราะชื่อแปลกประหลาด คือ “นครถ้ำ” เลยสงสัยว่าที่นี่คืออะไร ขอให้อาเฮียจิ๊กโก๋แถวบ้านพาไปเที่ยว เฮียจิ๊กโก๋ก็ว่าเอ็งยังเที่ยวไม่ได้ หลายปีต่อมาถึงมารู้ตอนหลังว่า นครถ้ำเป็นไนท์คลับที่ผู้ใหญ่เขาเที่ยวกัน แต่ก็ไม่รู้ทำไมเด็กเริ่มวัยรุ่นถึงเที่ยวไม่ได้

   เรื่องไนท์คลับของวังบูรพานี้ ความจริงมีอยู่สองแห่ง ผู้เขียนคุ้นแต่ “นครถ้ำ” เพราะอยู่แถวโรงหนังควีนส์มองเห็นทางเข้าได้เลย ตำแหน่งที่ตั้งของนครถ้ำจะเป็นตึกด้านขวาของฝั่งโรงหนังควีน์ จะอยู่ชั้นบนสุด มีทางเข้าอยู่ด้านซอยพีรพงษ์ ทางเข้าจะเป็นช่องมีบันใด ลักษณะดูไปแล้วคล้ายถ้ำ  ไนท์คลับอีกแห่งไม่เคยได้ดู เพราะอยู่ชั้นบนสุดของโรงหนังคิงส์ชื่อ “คิงส์เฮฟเว่น” ผู้เขียนยังอายุไม่ถึงจึงเข้าไปเที่ยวไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ต้องมีใครบอกแต่เรารู้กาลเทศะเอง ผู้เขียนเห็นแต่โฆษณาของไนท์คลับ

ในอดีตนครถ้ำอยู่ชั้นบนสุด

ทางเข้านครถ้ำที่โก๋หลังวังว่าเหมือนปากถ้ำ
   ด้านหลังโรงหนังควีนส์จะมีทางออกไปตลาดมิ่งเมือง ซึ่งเป็นตลาดที่มีแต่ร้านตัดเสื้อผ้า หนุ่มสาวและข้าราชการจะมาตัดชุดกันที่นี่ ช่างที่นี่แน่ขนาดว่าวัดตัวแล้วไปดูหนังกินข้าวที่วังบูรพา เสร็จแล้วเดินกลับมารับชุดได้เลย ชุดนักเรียนของผู้เขียนก็ตัดที่นี่ โก๋และกี๋หลังวังก็ตัดชุดสวยๆกันที่นี่

   บริเวณอื่นของวังบูรพาที่ไม่ได้กล่าวถึงนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นร้านค้าและสำนักงาน ในสมัยนั้นนับว่าเป็นบริษัทห้างร้านแบบยุคใหม่ทั้งนั้น นอกจากนี้ย่านวังบูรพายังมีหาบเร่ขายของกินบริการอยู่อีกเพียบ แม่ค้าหลายเจ้าจะคุ้นเคยกับทางบ้านผู้เขียน เพราะต้องแวะขายหน้าบ้านหลังแรกของผู้เขียนที่อยู่แถวๆร้านขายแผ่นเสียงหน้าเวิ้งนาครเขษม แล้วจึงมุ่งมาที่วังบูรพาเพื่อขายของให้คนที่มาเที่ยวหรือดูหนัง

   หนุ่มสาวที่มาเที่ยวที่วังบูรพาจะแต่งตัวกันสวยงามทันสมัยสุดๆ แฟนชั่นในยุคโก๋หลังวังนั้นจะออกไปในแนวสดใส ผู้หญิงชอบใส่เสื้อแขนกุดสีฉูดฉาด ที่ฮิตมากๆจะเป็นผ้าสีสวยๆสีจัดๆมีลายจุด กระโปรงมีทั้งบานๆและกระโปรงสั้น ผู้หญิงส่วนหนึ่งจะใส่กางเกงขาสามส่วน คือขากางเกงสั้นแค่หน้าแข้ง กางเกงจะรัดรูปโชว์ส่วนสัด แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนใส่กางเกงยีนส์ กลับเห็นว่าแรงไปหน่อย ข้อนี้แปลกดีเหมือนกัน มียุคหนึ่งฮิตกางเกงขาสั้นจุ๊ดจู๋เรียกว่า ฮ๊อตแพ้นท์ แต่ค่อนข้างไปทางปลายยุคโก๋หลังวังแล้ว

   จิ๊กกี๋หลังหวังจะแต่งหน้าจัดเขียนคิ้วทาปากกันสวยๆเห็นชัดๆ และผู้หญิงจะต้องติดขนตางอนๆกันทุกคน มีผ้าผูกคอสวยๆ ทาเล็บมือเล็บเท้าทุกคน สาวๆหลายๆคนจะมีผ้าเช็ดหน้าสวยๆที่เอามาผูกไว้ที่ข้อมือด้วย ทรงผมนั้นต้องเข้าร้านเสริมสวยดัดผมกันทีละนานๆ และนิยมใส่เน็ตติดผมกันมาก ผู้เขียนเคยรอคุณแม่ดัดผมที่วังบูรพานานมากๆกว่าจะเสร็จ จำได้แม่นว่าคุณแม่แต่งตัวทันสมัยในยุคนั้นกับเขาด้วย คนสมัยนั้นมีครอบครัวกันเร็ว คุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนแต่งงานกันตั้งแต่วัยรุ่น ตอนพาผู้เขียนไปเที่ยวคนจะนึกว่าเป็นน้องกันเลยทีเดียว คุณพ่อคุณแม่จัดว่าเป็นคนรุ่นพี่โก๋หลังวังนิดหน่อย แต่รุ่นอารุ่นพี่ผู้เขียนเป็นโก๋หลังวังกันหมด ผู้เขียนจึงพลอยทันยุคโก๋หลังวังไปด้วย แถมยังเกือบได้เป็นโก๋หลังวัง


เอลวิส เพรสลีย์

   จิ๊กโก๋หลังวังนั้นจะแต่งตัวเลียนแบบเอลวิส เพรสลี่ย์ และ เจมส์ ดีน ทรงผมจะหวีเสยใส่น้ำมันแต่งผมมันแผลบ แต่จะต้องมีเส้นผมห้อยลงมาที่หน้าผากบ้างนิดหน่อย  อีกทรงที่ฮิตผู้เขียนไม่รู้จะเรียกอย่างไร คือทรงผมด้านหน้าจะยื่นออกมาแบบเป็นก้อนกันเลย ราวกับจะเอาไว้บังแสงแดด แต่ผมต้องมันเป็นเงา และลมพัดเส้นผมไม่กระเพื่อม จะแข็งเด่ท้าลมได้อย่างสบาย พอผมยุ่งๆหน่อยก็จะคว้าครีมแต่งผมแบบเป็นแท่งมาป้ายๆแล้วหวี


เจมส์ ดีน
   กางเกงที่โก๋หลังวังฮิตจะเป็นทรงแบบที่ยุคนั้นเรียกว่าทรงจิ้งเหลน คือปลายขากางเกงแคบมาก ผู้เขียนเองเคยหกล้มหัวคะมำหลายครั้งตอนใส่กางเกงทรงนี้ ตอนถอดกางเกงก็เหมือนกัน กางเกงทรงนี้ของโก๋หลังวังทั้งใส่ทั้งถอดได้ยากดีพิลึก แต่ฮิตสุดๆ

   โก๋หลังวังจะโดนข้อหาหนึ่งเป็นประจำ ข้อหานี้แปลกประหลาดชอบกลดีเหมือนกันคือ เมื่อโก๋หลังวังถึงคราวเคราะห์หามยามร้าย ก็จะต้องเจอตำรวจและสารวัตรทหารมาดักตรวจกางเกงตัวเก่ง วิธีตรวจก็แปลกประหลาดมากๆ โดยตำรวจจะเอาขวดโซดายัดเข้าไปในปลายขากางเกง ถ้ายัดไม่เข้าแล้วโก๋หลังวังคนนั้นก็ซวยทันที จะโดนข้อหาแต่งกายไม่สุภาพไม่เรียบร้อย จำได้ว่าเฮียเฮ้าโก๋หลังวังที่สนิทกับทางบ้านผู้เขียนจะโดนจับข้อหานี้บ่อย บางทีเฮียเฮ้าวิ่งหนีตำรวจทันก็จะมานั่งหัวเราะเล่าให้ฟัง วิธีตรวจทรงกางเกงแบบนี้ พอผู้เขียนเรียนอาชีวะแล้ว ก็ยังโดนอาจารย์ฝ่ายปกครองตรวจด้วยวิธีนี้เหมือนกัน

   สำหรับเสื้อของจิ๊กโก๋นั้นนิยมพับแขนเสื้อกันทั้งนั้น คอเสื้อก็ปลิ้นยกขึ้นให้ตั้งๆ ตอนที่ผู้เขียนใส่เสื้อแบบนี้จะรู้สึกรำคาญที่ปกเสื้อชอบไปโดนใบหู ต้องฝืนใส่เพราะใครๆเขาก็ใส่เสื้อแบบนี้กันทั้งนั้น สีและลวดลายของเสื้อก็เป็นปกติของผู้ชายทุกยุค คือไม่ได้เน้นหวือหวาเท่าชุดของผู้หญิง ส่วนมากจะเป็นลายสก๊อตกับผ้าสี มีอีกอย่างที่โก๋หลังวังชอบคือเสื้อแจ๊คเก็ต แต่ใส่แล้วร้อนเหงื่อไหลเยิ้ม เลยมีคนใส่เสื้อแจ็คเก็ตน้อย จะใช้วิธีเอาเสื้อแจ็คเก็ตพาดบ่าดูเท่ห์ๆ

   สไตล์การแต่งตัวของโก๋หลังวังในสมัยนั้น ทำให้มีคำฮิตคำหนึ่งซึ่งเรียกรวมไปถึงตัวจิ๊กโก๋ว่า “ออเหลน” ที่มาที่ไปของคำๆนี้ไม่ชัดเจน แต่ผู้เขียนเคยสอบถามโก๋หลังวังที่มีการศึกษาสูงสักหน่อย แกอธิบายว่า คำนี้มาจาก originalเพราะมีสไตล์เป็นของตัวเอง แต่จิ๊กโก๋วัยรุ่นพูดสั้นๆเร็วเลยเพี้ยนกลายเป็น ออเหลน


ภาพจาก truck2hand.com ตู้เพลง
   โก๋หลังวังจะจับกลุ่มนั่งกันตามร้านที่มีตู้เพลง ตอนนั้นตู้เพลงฮิตมากโก๋ที่พวกมากจะยึดตู้เพลงไว้หยอดเหรียญฟังเพลงที่ชอบ โก๋กลุ่มอื่นมาน้อยหรือมาคนเดียวก็ได้แต่นั่ง เรื่องตู้เพลงนี้เองที่เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้จิ๊กโก๋ตีกัน เพราะขัดใจที่แย่งหยอดเหรียญฟังเพลงกันอย่างหนึ่ง กับฟังเพลงจากตู้เพลงแล้วดิ้นกันในท่ากวนบาทาเป็นที่หมั่นไส้ของโก๋กลุ่มอื่น สักพักจะมีการโยนแก้วก่อกวน แล้วก็ตีกัน

   ผู้เขียนเคยวิ่งไปดูโก๋หลังวังยกพวกตีกัน สมัยนั้นเขาตีกันในย่านวังบูรพาเดี๋ยวเดียวก็สลายตัว เพราะที่วังบูรพาเป็นย่านเจริญมาก มีคนมาเที่ยวมาก จึงมีตำรวจและสารวัตรทหารผ่านมาบ่อยๆ จิ๊กโก๋ทีตีกันจึงต้องรีบตีกันเร็วๆ ตีกันพอรู้ผลแพ้ชนะก็รีบสลายตัว ถ้าตันยังไม่จบแต่ตำรวจมา ก็จะนัดตีกันในวันหลัง เพราะตอนนี้ต้องหนีตำรวจก่อน ขืนชักช้าอาจต้องเข้าไปนอนในห้องขังที่สมัยนั้นนิยมเรียกว่า “มุ้งสายบัว"

   ยุคโก๋หลังวังนี้เองที่มีจิ๊กโก๋ชื่อดังจนเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์ดังเรื่อง “2499อันธพาลครองเมือง” ซึ่งเอาเรื่องของ “แดง ไบเล่ย์” มาต่อเติมให้หวือหวาออกไปมาก เท่าที่ผู้เขียนจำได้นั้น คนรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า แดง ไบเล่ย์ เป็นคนใจถึงแบบวัยรุ่นใจถึง ไม่ใช่แบบที่เรียกว่าอันธพาล พวกอันธพาลนี้จะเป็นคนรุ่นใหญ่กว่าโหดกว่าขึ้นไปอีก บ้านของแดง ไบเล่ย์ อยู่ห่างจากวังบูรพาไปแค่อีกช่วงหนึ่งบล็อกตึกของถนนถัดไปเท่านั้น แถวบ้านผู้เขียนรู้จักแดง ไบเล่ย์ เพราะอยู่ไม่ไกล กลุ่มเพื่อนอาผู้เขียนยังนับว่าเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกับ แดง ไบเล่ย์ พอสมควรเลย จำได้ว่าตอนไปเที่ยวงานวัดสุทัศนฯ พวกเพื่อนอายังบอกว่าเดี๋ยวแวะไปคุยกับพวก แดง ไบเล่ย์ สักหน่อย

   แดง ไบเล่ย์ ตายเพราะรถคว่ำ ไม่ได้ถูกยิงตายแบบในภาพยนตร์ อัฐิเก็บไว้ที่วัดสระเกศฯบริเวณเชิงทางขึ้นภูเขาทอง แต่ผู้เขียนไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน เคยแต่ได้ยินคนเก่าๆเล่าให้ฟัง




   รอบๆวังบูรพานั้นก็เป็นย่านที่เจริญมากในยุคนั้น ฝั่งตรงข้ามกับโรงหนังแกรนด์จะเป็นตึกแถวที่เป็นแหล่งชุมนุมของร้านแว่นตาหลายร้าน มีทั้งแว่นกันแดดและตัดแว่นสายตา ที่ดังมากก็คือร้านภิรมย์การแว่น ร้านแว่นวอชิงตัน ร้านภิรมย์เภสัช แว่นตาอันแรกของผู้เขียนก็ทำที่ร้านนี้ ที่แปลกคือตอนทำแว่นนั้นเขามีใบสั่งยาบำรุงสายตาให้ด้วย

  ฝั่งร้านแว่นนี่เองที่เป็นอีกแหล่งที่โก๋หลังวังมานั่งกัน ตรงนี้จะมีร้านขายกาแฟนมสดอยู่ติดกันสองร้าน ร้านหนึ่งเป็นบ้านเพื่อนผู้เขียนเอง ร้านกาแฟทั้งสองร้านนี้จะมีจุดเด่นคือ จะขายกาแฟนมสดมีขนมปังนึ่งร้อนๆรับประทานกับสังขยา สังขยานี้จะใส่นมสดมาด้วย เวลารับประทานจะทั้งหอมทั้งหวานพอดีๆ จะมีคนแน่นร้านตลอด ข้างๆร้านจะมีตรอกแคบๆที่ด้านในมีร้านน้ำแข็ง และมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวราดหน้าที่อร่อยมาก

   ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านนี้ผู้เขียนเห็นว่า ตั้งแต่เคยรับประทานก๋วยเตี๋ยวราดหน้ามา เจ้านี้เป็นเจ้าที่ทำอร่อยที่สุด อร่อยจนคิดถึงแล้วแทบน้ำตาร่วง เพราะเลิกกิจการไปแล้ว ร้านนี้ขนาดอยู่ในตรอกแคบๆยังขายดีสุดๆ จะมีคนยืนรอกันจนล้นจากตรอกออกมาที่ถนน คนที่รอมีทั้งเศรษฐีข้าราชการและโก๋หลังวัง คนที่ดูหนังที่โรงหนังทั้งสามโรงในวังบูรพา พอหนังเลิกก็จะแห่กันมารับประทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้ แต่ที่นั่งมีน้อยจึงต้องซื้อใส่ห่อกลับบ้าน สมัยนั้นใช้ห่อใบตองมีกระดาษรอง แล้วมัดห่อก๋วยเตี๋ยวด้วยเชือกกล้วย ยุคนั้นถุงพลาสติกยังไม่แพร่หลาย

   มีเรื่องแปลกว่าโก๋หลังวังจะไม่ตีกันที่ร้านราดหน้าร้านนี้ เล่ากันขำๆว่าจิ๊กโก๋ก็หิวเหมือนกัน เลยไม่ตีกันที่หน้าร้านนี้ เพราะเดี๋ยวจะอดรับประทานก๋วยเตี๋ยวราดหน้าอร่อยๆ (ที่จริงคนเล่าใช้คำว่า อดแดก)

   ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหน้าวังบูรพานี้ ต่อมาย้ายออกจากตรอกไปอยู่ตรงข้ามเรือนจำคลองเปรม ซึ่งอยู่ถัดจากวังบูรพาไปหน่อยเดียว จึงเรียกกันว่าราดหน้าหน้าคุก มีชื่อร้านตอนอยู่หน้าคุกว่าร้านราดหน้ายอดอร่อย แต่ลูกค้าจะเรียกกันว่า “ราดหน้านายหอย” เพราะเจ้าของร้านชื่อเถ้าแก่หอย ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว ส่วนเถ้าแก่หอยก็ไปเข้าเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว

      ก๋วยเตี๋ยวราดหน้านายหอยอร่อยขนาดว่า แค่นายหอยผัดเส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นหมี่ เพียงแค่นี้ทั้งโก๋หลังวังและลูกค้าที่นั่งรอก็อยากรับประทานแทบแย่แล้ว เพราะกลิ่นเส้นก๋วยเตี๋ยวและเส้นหมี่ จะไหม้แบบพอหอมๆยั่วน้ำลาย พอทำน้ำราดหน้าก็หอมไปอีกแบบ ร้านนายหอยจะขายทั้งราดหน้าเนื้อและหมู เป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้าแบบโบราณที่ใช้ผักคะน้าทั้งต้น จานที่ใช้ใส่จะเป็นจานเปลกระเบื้อง


พื้นที่ๆเคยเป็นโรงหนังแกรนด์

ตรงนี้เคยมีโรงหนังคิงส์

   ในยุคโก๋หลังวังยังมีร้านกาแฟดังชื่อร้านออนล็อคหยุ่น แต่ร้านนี้อยู่ถัดออกไปทางโรงหนังเฉลิมกรุง เป็นร้านขายกาแฟมีขนมปังไข่ดาว มีไส้กรอกแฮม จะมีคนแน่นทั้งวัน โก๋หลังวังจะมานั่งดื่มกาแฟกัน ของดังของร้านนี้ที่โก๋หลังวังต้องสั่งเสมอคือ ไข่ดาวแบบไข่แฝด

   รัศมีการเดินเที่ยวของโก๋หลังวังจะกินบริเวณตั้งแต่เวิ้งนาครเขษมรวมถนนเจริญกรุงแถวร้านขายแผ่นเสียง กินอาณาเขตสะพานเหล็กไปตามแนวคลองโอ่งอ่าง เข้าไปวนในย่านวังบูรพา แล้วออกไปทางหลังวังถึงตลาดมิ่งเมืองและศาลาเฉลิมกรุง พื้นที่เท่านี้ก็เดินกันเมื่อยแล้ว มีบ้างที่เดินเลยไปถึงเยาวราช แน่นอนที่สุดว่าที่ๆเดินวนเดินชมสาวๆนานที่สุดต้องเป็นย่านศูนย์การค้าวังบูรพา เสียงเพลงตามร้านกาแฟที่มีตู้เพลงจะดังไม่เคยขาด โก๋หลังวังที่มีสตางค์จะแบกวิทยุพาดบ่าเปิดเพลงดังเผื่อชาวบ้านเขาด้วย ข้อนี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งให้เขม่นกันแล้วก็ตามด้วยการตีกันตามระเบียบ

   สำหรับตรงสะพานเหล็ก(สะพานดำรงสถิต ฝั่งถ.เจริญกรุง)ตามแนวคลองโอ่งอ่างขึ้นไปทางสะพานภาณุพันธุ์(ตรงแยกวังบูรพา) ในช่วงยุคโก๋หลังวังยังมีร้านขายอาหารขายเบียร์ขายเหล้ามาเปิดติดๆกันหลายร้าน จะขายตอนเย็นไปถึงดึกๆ แถบวังบูรพาจึงมีที่กินที่เที่ยวเพิ่มขึ้นมาอีก คนที่ดูหนังเสร็จแล้วก็มักแวะมาหาอะไรรับประทานกันที่สะพานเหล็ก โดยมีโต๊ะเก้าอี้ที่ริมคลองให้นั่งรับประทานอาหารกันอย่างสบาย อาหารสามารถสั่งข้ามร้านกันได้

   ที่สะพานเหล็กนี้เองที่เป็นที่ดื่มเบียร์แรกๆแบบเบียร์แช่เย็นจนเป็นวุ้น จึงเป็นอีกที่หนึ่งที่โก๋หลังวังจะมานั่งสรวลเสเฮฮากัน บ้างก็พาแฟนมานั่งรับประทานอาหาร สมัยนั้นน้ำคลองยังไม่เน่าดำปี๋ ยังมีบรรยากาศริมคลองอยู่ อาหารดังของที่นี่คือไก่ย่าง ร้านขายไก่ย่างที่สะพานเหล็กนี้นับเป็นรุ่นแรกๆที่ใช้เครื่องทุ่นแรงช่วย คือเป็นไก่ย่างแบบมวยหมู่ จะย่างครั้งละหลายๆตัวโดยติดมอเตอร์ให้ไก่ที่ติดไว้เป็นราวหมุนรับความร้อนจากเตาแบบราง ในตัวไก่มีเครื่องเทศกระเทียมพริกไทยยัดไว้ด้วย เครื่องเทศที่ยัดไว้นี้รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆอร่อยมาก


แยกวังบูรพา พ.ศ.2559

   ยุคโก๋หลังวังเท่าที่ผู้เขียนทันได้เห็นแต่โตไม่ทันเป็นโก๋หลังวังนั้น นับเป็นช่วงที่เมืองไทยเรามีความสุขสงบและมีความเจริญตามแบบสมัยใหม่ ความสะดวกในการเดินทางยังสบายๆ นึกจะไปเที่ยวก็กะเวลาเดินทางกันได้แบบไม่ต้องรีบเร่ง พี่ๆโก๋หลังวังเขาก็เที่ยวบ้างตีกันบ้าง แต่ก็ไม่เดือดร้อนคนอื่น เขาตีกันเฉพาะที่เป็นคู่กรณีกันหรือเขม่นกันเฉพาะหน้า ไม่ได้ตีกันมั่วซั่วลามไปถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้อง

   โก๋หลังวังจะเป็นจิ๊กโก๋อย่างไรก็ตาม แต่เหล่าโก๋หลังวังก็ยังเป็นจิ๊กโก๋ที่มีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมอันดีงามแบบไทยๆอยู่

   ศูนย์การค้าวังบูรพาเป็นสถานที่เที่ยวยอดฮิตต่อมาอีกหลายปี คนไทยที่เป็นหนุ่มเป็นสาวต่างก็ต้องมาเที่ยวมาดูหนังที่วังบูรพาให้ได้ พวกนักอ่านหนอนหนังสือก็จะต้องมาซื้อหนังสือกันที่นี่ จนกระทั่งมีการสร้างศูนย์การค้าแห่งใหม่ทางแถบราชประสงค์และแถบที่เรียกกันในสมัยนี้ว่าสยามแสควร์ โดยมีห้างไทยไดมารู(ไดมารู)ที่ราชประสงค์ก่อน ตามด้วยราชดำริอาเขตและศูนย์การค้าสยาม(สยามแสควร์) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหม่กว่าทันสมัยกว่าศูนย์การค้าวังบูรพา

   ขณะนั้นโก๋หลังวังยุคแรกๆต่างเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว โก๋ยุคหลัง(เช่นผู้เขียน)ก็เปลี่ยนที่ซ่าไปที่ใหม่ซึ่งหรูหราทันสมัยกว่า วังบูรพาจึงค่อยๆซบเซาลง ในที่สุดก็เป็นการปิดฉาก “ยุคโก๋หลังวัง”อันสุดแสนที่จะคลาสสิกไปในที่สุด

   ปัจจุบันถ้าอยากเห็นชาวโก๋หลังวังตัวจริง ซึ่งยังมีท่านที่ยังมีชีวิตอยู่อีกมาก ก็ไปเรียบๆเคียงได้ที่ “ดิ โอลด์ สยาม” ชั้นฟู๊ดเซ็นเตอร์ สังเกตได้ง่ายๆว่า จะมีผู้ใหญ่มาจับกลุ่มคุยกัน บางทีก็ขึ้นเวทีร้องเพลงยุคเก่าโชว์กันเล่นสนุกๆ ท่านเหล่านี้นี่แหละที่เป็นคนยุคโก๋หลังวังของจริง

   ผู้เขียนเองบางครั้งยังได้ยินได้ฟังเรื่องเก่าๆจากท่านเหล่านี้ โดยนั่งรับประทานข้าวพระรามลงสรง แล้วบังเอิญท่านโก๋และกี๋รุ่นใหญ่เขาคุยกันเรื่องความหลัง ผู้เขียนเลยพลอยสะกิดต่อมอดีตระลึกตามได้บ้าง หลายเรื่องที่เคยนึกไม่ออกก็แอบมาทวนความจำได้ที่นี่

   ถึงศูนย์การค้าวังบูรพาที่เคยรุ่งเรืองสุดยอดในอดีตจะเสื่อมความนิยมไปตามยุคสมัย ถึงโรงภาพยนตร์คิงส์ และ แกรนด์ จะรื้อไปแล้ว และ โรงภาพยนตร์ควีนส์จะเปลี่ยนสภาพไป คุณหมออู๊ดของผู้เขียนก็คงไปเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ แต่ย่านศูนย์การค้าวังบูรพาก็ยังทิ้งรอยอดีตให้เลื่องลือถึงยุคคลาสสิกชั้นยอด โดยฝากไว้ในคำที่ว่า “ยุคโก๋หลังวัง”


ขอขอบคุณภาพเก่าจากเว็บไซต์เช่น pantip , reurnthai.com
ภาพใหม่ถ่ายเองพอแก้ขัด


1 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีครับ

    ติดต่อจาก สวัสดี ออนไลน์ สำนักพิมพ์ www.saonbeta.com นะครับ เรื่องขอสัมภาษณ์ในรูปแบบคลิปวิดีโอ (โดยใช้เวลาในการสัมภาษณ์ไม่เกิน 20 นาที) เกี่ยวกับความทรงจำที่ผู้เขียนเว็บบล็อกมีต่อวังบูรพา เพื่อเผยแพร่ในช่อง youtube ของ สวัสดี ออนไลน์ สำนักพิมพ์ครับผม

    ท่านสามารถตอบรับโดยการติดต่อกลับได้ที่ 085 395 9493, 099 738 4765 หรือ michaelleahai@gmail.com ไลนฺ์ mike_h

    หรือช่วยให้หมายเลขติดต่อไว้ครับผม

    ด้วยความนับถือ
    สวัสดี ออนไลน์ สำนักพิมพ์

    ตอบลบ