วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2566

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย.22...หมัดธนูมือ

 


หมัดธนูมือ  magic punch , hand bow fist

   เพิ่งได้ข่าวเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนชั้นประถมย้ายภพเพราะไวรัสโควิด 19 ไปอีกหนึ่งราย พอนึกถึงเพื่อนรักคนนี้ ก็ทำให้นึกไปถึงครั้งที่ยังเรียนร่วมกัน นึกถีงเพื่อนคนอื่นๆที่ร่วมรุ่นกัน แล้วข้าพเจ้าก็นึกขึ้นได้ว่า ไอ้เพื่อนคนหนึ่งมันเกเรแถมยังเรียนสุดห่วยอีกด้วย มันขอลอกการบ้านเพื่อนๆเสมอ และมันเป็นเพื่อนคนแรกในกลุ่มที่เป็นเด็กแต่เสือกไปสักยันต์ เป็นยันต์เล็กๆแบบดูไม่ออกว่าเป็นยันต์ เพราะเห็นเป็นแค่จุด 3 จุด มันบอกด้วยความภาคภูมิใจว่า มันไปสักยันต์ธนูมือ รับรองว่าต่อยใครแล้วจะต้องชัก และแล้ววันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ชกต่อยกับไอ้เพื่อนธนูมือ

  สาเหตุที่ชกกันนั้นก็ไม่มีอะไรเลย แค่ข้าพเจ้าหมั่นไส้ที่เจ้าธนูมือมาเปิดกระโปรงเพื่อนหญิงร่วมแก๊งค์ ตอนแรกยังไม่มีอะไร แค่เพื่อนหญิงร้องไห้แล้วพวกเพื่อนๆเข้ามาดูว่านี่มันเรื่องอะไร พอรู้ว่าไอ้ธนูมือมาเล่นเปิดกระโปรงนักเรียนหญิง แล้วกลุ่มเพื่อนหญิงเลยรุมด่า ไอ้ธนูมือทำซ่าจะเปิดกระโปรงเพื่อนหญิงคนอื่นๆอีก พอเพื่อนผู้ชายเข้ามาห้าม ไอ้ธนูมือก็ทำขู่ว่า.. เดี๋ยวอั๊วต่อยลื้อชักตายเลยนะเว้ย อั๊วมีธนูมือ...เออ พูดอั๊วนี่มีไอ้นี่คนเดียวในรุ่น คนอื่นๆเขาไม่พูดแบบนี้

  อยู่ๆไอ้ตี๋ธนูมือชี้ข้าพเจ้าว่า..ลื้อออกมาต่อยกับอั๊วเลย ลื้อกล้าหรือเปล่า เดี๋ยวโดนธนูมือต่อยตายชักเลย ไอ้ขี้ขลาด....อ้าว ด่าอย่างนี้ก็สวยสิ เลยขยับออกไปจะต่อยกัน

  พอจะต่อยกัน ไอ้ตี๋ธนูมือก็กำหมัดแล้วทำท่าเสกคาถาใส่หมัดอย่างจริงจัง มันเสกธนูมือไม่เสร็จสักที ข้าพเจ้าไม่คิดอะไรเดินเข้าไปต่อยไอ้ตี๋เข้าที่กรามซ้าย ไอ้ตี๋ธนูมือล้มลงไปนอนร้องไห้ ปู้โธ่ ชกไปหมัดเดียวเท่านั้น ไม่ได้ประลองหมัดประลองกำลังเลย...ผลจากที่มันร้องไห้แงๆ ครูประจำชั้นเลยเข้าใจว่าข้าพเจ้าแกล้งเพื่อน เลยลงโทษตีก้นด้วยไม่เรียว 3 ที แล้วให้ยืนกางแขนหน้าห้องด้วย ยังดีที่ไม่ได้ให้คาบไม้บรรทัด

  ต่อมาอีกสักเดือนละมั๊ง ไอ้ตี๋ธนูมือก็กลับมาซ่าใหม่ ตอนพักเที่ยงมันบอกว่า..อั๊วไปสักธนูมือเพิ่มครบสองมือแล้ว วันนี้ลื้อตายชักแน่ กล้าสู้มั๊ยล่ะ...ตอนนี้แหละที่เห็นรอยสักธนูมือของมันเพราะมันยื่นหลังมือมาให้ดู แถมอธิบายว่าเป็นธนูมือของอาจารย์ท่านใด ข้าพเจ้าเห็นเป็นจุดสีเขียวๆดำๆปนน้ำเงินๆ(ก็คือสีหมึกสักแบบที่เราเห็นๆกันนั่นเอง) เป็นจุด 3 จุด แบบเครื่องหมาย “เพราะฉะนั้น”

  ข้าพเจ้าจะรีบรับประทานข้าว พวกเพื่อนๆก็รออยู่ แล้วไอ้ตี๋ธนูมือก็เร่งให้รีบๆต่อยอยู่ได้ แถมยังบอกว่าห้ามรุม ต่อยลื้อตายชักแล้วเดี๋ยวขออั๊วกินข้าวด้วย วันนี้ไม่ได้ซื้อข้าว..(คือ มันขออาศัยรับประทานมื้อกลางวันบ่อยๆ )

  เมื่อไอ้ตี๋ธนูมือมันเร่งนัก ก็เลยหยุดแกะกล่องข้าว เดินออกไปต่อยกันที่หน้าห้อง คราวนี้ไอ้ตี๋ธนูมือยกสองหมัดขึ้นมาเสกอีก ข้าพเจ้าจะต่อยแบบเดิมก็กลัวโดนครูตีก้นอีก เลยเข้าไปดึงคอไอ้ตี๋ที่มัวแต่เสกธนูมือ ดึงคอลงมาล็อคแล้วขยี้แกว่งๆหมุนแบบที่เห็นในมวยปล้ำโทรทัศน์ แล้วจับไอ้ตี๋ล็อคคอจากด้านหลัง ท่านี้ได้ยินท่านอาจารย์เจือ จักษุรักษ์ ท่านพากย์เล่าไว้ในรายการมวยปล้ำว่า ท่าฟูลเนลสัน ไอ้ตี๋ร้องว่า...อั๊วยอมแล้วๆ..เลยเหวี่ยงไอ้ตี๋ลงพื้น คราวนี้ไอ้ตี๋ร้องโอยๆแต่ไม่ร้องไห้....แล้วข้าพเจ้ากับเพื่อนๆก็เรียกมันมาร่วมวงรับประทานข้าวเที่ยง

  ธนูมือที่เพื่อนตี๋ไปสักมานั้น เป็นสำนักดังไม่น้อยเสียด้วย ห้ามถามว่าสำนักไหน ท่านเจ้าสำนักท่านย้ายภพไปแล้ว เข้าใจว่าต่อมามีรุ่นหลังๆพยายามฟื้นตำนานขึ้นมาใหม่ จะฟื้นได้สำเร็จหรือไม่ก็ไม่ได้ตามข่าว

วิชาธนูมือ

  ธนูมือที่ไอ้ตี๋เพื่อนร่วมชั้นเรียนไปสักมาเมื่อ 50 ปีก่อนนิดๆนั้น เป็นจุด 3 จุด ต่อมาภายหลังเมื่อข้าพเจ้าเข้าวัยรุ่นแล้ว ก็เห็นยันต์ธนูมือที่สักกันที่หลังมือจริงๆอีกหลายครั้ง ทุกครั้งที่เห็นก็จะเป็นยันต์เล็กๆแบบวิชานะ หรืออักขระหัวใจไม่กี่ตัว มีคาถาที่ใช้เสกหมัดธนูมิอกำกับด้วย นับถือกันว่าธนูมือทำให้หมัดหนักรุนแรง แรงขนาดเรียกว่าเป็นหมัดสั่ง คือต่อยโป้งเดียวเหมือนสั่งให้ลงไปนอนสลบได้ ยังว่าดีไม่ดีอาจถึงตาย

  ธนูมือแบบที่เคยเห็นสักกันที่หลังหมัด ที่คุ้นตาเห็นบ่อยก็ตามแบบที่แสดงไว้ อันที่จริงก็น่าจะมีมากกว่านี้ แต่ข้าพเจ้าเห็นมาจำมาตอนนี้นึกออกแค่นี้ นอกนั้นยังนึกไม่ออกเพราะเวลาผ่านมามันนานมากแล้ว

ยันต์ธนูมือ

  หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายเคยบอกคาถาธนูไว้ให้ ท่านว่าถึงไม่ได้สักยันต์ธนูมือ ก็ภาวนาคาถาเสกหมัดได้ คาถาเสกธนูมือท่านว่า..อิ จะ ฉะ..คาถาสั้นๆแค่นี้ ไม่เหมือนคาถาธนูมือของไอ้ตี๋ธนูมือ ที่มันเสกอยู่นานจนมีเวลาให้โดนข้าพเจ้าต่อยได้ง่ายๆซะงั้น

  เท่าที่เคยกราบเรียนสอบถามเรื่องธนูมือจากหลวงปู่หลวงพ่อต่างๆ ท่านเล่าว่าเป็นการสักเอาไว้ตีรันฟันแทงกัน พวกนักมวยสักเอาไว้เพื่อให้มีหมัดหนักชกชนะ แต่วิชานี้มันร้อน สักไปแล้วชอบมีเรื่องตีกันบ่อยๆ ไปเป็นคนเกเรเกตุงกันมาก ในสมัยโบราณมีเหล่านักรบที่เป็นผู้ขมังเวทได้สักธนูมือเอาไว้ แบบนี้เล่าต่อๆกันมาว่า ต่อยกันถึงตายเลย แม้วัวควายก็ยังโดนต่อยตายได้

ยันต์ธนูมือ


  ยันต์ธนูมือแบบที่ใช้ต่อสู้กันนั้น เท่าที่เคยพบเห็นล้วนแต่เป็นยันต์สักที่กำปั้นทั้งนั้น ไม่พบว่าทำเป็นตะกรุดผ้ายันต์แต่อย่างไร ถ้ามีทำเป็นพวกผ้ายันต์อะไร ก็น่าที่จะมุ่งเน้นคุณวิเศษไปทางอำนาจตบะมากกว่า ก็ชื่อวิชาบอกอยู่แล้วว่าคือธนูมือ ย่อมต้องมุ่งถึงการใช้กำปั้นเป็นอาวุธเวทมนต์ชกต่อยตะลุมบอนอยู่แล้ว

  วิชาธนูมือนี้ หลวงปู่หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่า สักไปแล้วห้ามตีเด็กห้ามตีลูกเมียพ่อแม่

  ข้าพเจ้าเคยเห็นพวกที่สักธนูมือแล้วเขาเองรู้สึกไปว่าเกิดร้อนวิชา ตอนร้อนวิชาจะหงุดหงิดอยากมีเรื่องชกต่อย เลยต้องกลับไปหาพระอาจารย์ขอให้ท่านรดน้ำมนต์แก้ของขึ้นร้อนวิชา แต่การที่เขาหงุดหงิดอยากชกต่อยนั้น ถ้ามองในแง่วิทยาศาตร์ก็อาจจะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการที่อยากสักยันต์ธนูมือนั้น มันบอกถึงจิตใจที่โน้มไปในทางนักเลงอยากปะทะ อยากห้าว กล้าหาญ อยากต่อสู้ พอหมกมุ่นมากๆเลยรู้สึกหงุดหงิดร้อนรุ่มก็ได้ละมัง

ยันต์ธนูมือ

   พอมาถึงยุคปัจจุบันนี้ เห็นยันต์ธนูมือสมัยนี้ดูอลังการงานสร้างมากกว่าเยอะ วิจิตรพิสดาร ซึ่งข้าพเจ้าในสมัยที่เริ่มวัยทีน จนกระทั่งวัยฝ่าดงตีนยุคช่างกล ยังไม่เห็นยันต์ธนูมือที่สวยๆอลังการเท่าของสมัยนี้เลย ไม่รู้จักตำรับของท่านอาจารย์ยุคใหม่ ธนูมือสมัยนี้ยันต์สวยๆทั้งนั้น แถมชื่อเรียกธนูมือยุคนี้ยังไพเราะด้วย...อย่างไรก็ตาม วิชาธนูมือก็ยังเป็นตำนานขลังวิชายุทธของสยาม ก็ยังคงมีสืบทอดได้ต่อๆไป แต่ถ้าจะลุยกันแบบใช้ธนูมือ...ก็ขอเปลี่ยนจากหมัดธนูมือมาเป็นใช้ปืนเถื่อนสักกระบอก หรืออย่างน้อยก็ไม้หน้าสามสักท่อน มันมั่นใจกว่า


ยันต์ธนูมือ


ขอบคุณภาพคุณบัวขาว จาก เพจ  Banchamek Gym (Buakaw Banchamek, บัวขาว บัญชาเมฆ) 

ภาพยันต์เป็นของข้าพเจ้าเขียนจำลองไว้





หลวงพ่อกับของวิเศษ.2 หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย

 






พระครูวรเวทย์นิวิฐ
หลวงพ่อสนิท ยสินฺทโร วัดลำบัวลอย จ.นครนายก

ประสพการณ์พญาเต่าเรือน

ระลึกอดีต เรื่อง พญาเต่าเรือน ที่กลายเป็น เต่าเลือน

  เรื่องของวิทยาคมมีตำรับหนึ่งเรียกว่าพญาเต่าเรือน ตอนที่ข้าพเจ้าเห็นตำราครั้งแรกนั้นก็รู้สึกเฉยๆ แถมยังนึกขำว่า นี่คือเต่าไม่เห็นจะน่าเกรงขามเหมือนพวก หนุมาน สิงห์ เสือ ก็เลยยังไม่ค่อยสนใจ แต่ก็รู้จักวัตถุมงคลพญาเต่าเรือนมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมปลายแล้ว และมีเก็บไว้ด้วย เป็นพญาเต่าเรือนตัวเล็กๆของหลวงพ่อสนิทวัดลำบัวลอย จ.นครนายก ที่ข้าพเจ้าได้รู้จักและมีเต่าเรือนของท่านก็เพราะว่า แถวๆบ้านเขาจัดกฐิณผ้าป่าไปถวายท่านทุกปี พอทำบุญไปก็ได้รับแจกมา สมัยนั้นท่านยังไม่ดัง ก็ประมาณ 50ปีกว่าปีก่อน(นับถึง พ.ศ. 2566)

พญาเต่าเรือนหลวงพ่อสนิท ขนาดเท่าฝ่ามือ

  พอเรียนชั้นมัธยมก็เริ่มไปอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติ ได้อ่านตำรับพญาเต่าเลือน(ตอนนั้นเชื่อว่าต้องเป็นเต่าเลือน) ก็เอะใจว่าทำไมจึงมีเขียนว่าเต่าเรือนและเต่าเลือน คือมีทั้งที่ใช้ ร เรือ และ ใช้ ล ลิง ตอนนั้นคิดไปเองว่าคำว่าเต่าเรือนที่ใช้ ร เรือ นี้ต้องเขียนผิด ที่ถูกต้องเป็นเต่าเลือน ล ลิง เพราะในตำรับบอกวิธีใช้เด่นๆเป็นเรื่องการทำความให้เลือนไป คาถาเฉพาะก็มีพวก เลือน ลืมเลือน เลื่อนเปื้อน จึงคิดว่าเมื่อทำให้เลือนหาย ดังนั้นต้องชื่อพญาเต่าเลือนที่ใช้เป็น ล ลิง แน่ๆ

    ต่อมาเมื่อได้อ่านหนังสือปัญญาสชาดก ก็เจอชาดกเรื่องเต่าอยู่ 2 เรื่อง ชื่อชาดกเหมือนกันว่า สุวรรณกัจฉปชาดก โดยมีเรื่องหนึ่งที่เข้าเค้ากับพญาเต่าเรือน(ที่เขียน ร เรือ) เป็นเรื่องของพญาเต่าทองโพธิสัตว์ เต่าโพธิสัตว์นั้นมีสีทอง ตัวใหญ่ขนาดยาวประมาณยี่สิบวา กว้างก็ยี่สิบวาเท่ากัน และมีนามว่าสุวรรณกัจฉปะ รูปร่างของพญาเต่าโพธิสัตว์ก็ประมาณเรือนใหญ่ๆ ตอนนั้นเองจึงทราบว่า ที่แท้คำว่าพญาเต่าเลือนจะต้องเป็นพญาเต่าเรือน เพราะในชาดกอ่านแล้วอนุมานได้ว่าความสำคัญในเรื่องส่วนหนึ่ง อยู่ที่พญาเต่าโพธิสัตว์ตัวใหญ่เท่าเรือน จึงเรียกพญาเต่าเรือน ในสุวรรณกัจฉปชาดก จะไม่มีใจความเกี่ยวกับเรื่องลืมเลือนอะไรเลย

  ในตำรับวิทยาคมนั้นมักพบว่า มีการใช้คำที่เสียงพ้องกันมาประกอบกับคาถาที่จะใช้ บ้างก็เป็นลักษณะตามธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ เอามาประกอบเป็นตำรับวิทยาคม บ้างก็เอาเหตุการณ์ในชาดกต่างๆ เช่น คาถาตัดอาถรรพ์ตัดไม้ตัดว่านอาถรรพ์ ก็ใช้คาถาสัพพาสีฯ ที่มีเสียงว่า สับ ก็สับลงไปที่ไม้ที่คนไข้ เอาเคล็ดว่าสับฟันสิ่งร้ายให้หายไป และเรื่องพญาเต่าเรือนกลายเป็นพญาเต่าเลือนก็คงทำนองเดียวกัน เมื่อคำว่า เรือน ออกเสียงเป็น เลือน คล้ายกันที่สุด ก็เลยกำหนดเป็นอาคมทางเลือนหายจากภัย ดังเช่นที่พญาเต่าเรือนโพธิสัตว์ ท่านเห็นมนุษย์ที่เรือแตกมาติดเกาะได้รับความทุกข์อยาก ถึงกับจะฆ่ากันให้ตายเพื่อเอาเนื้อมากิน พญาเต่าเรือนสงสารอยากช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ พญาเต่าเรือนจึงขึ้นไปบนยอดเขาแล้วกลิ้งตัวตกลงมายังพื้นหลายครั้ง จนกระทั่งพญาเต่าเรือนโพธิสัตว์ถึงดับขันธ์”ป

  แล้วพญาเต่าสุวรรณกัจฉปะได้ช่วยให้ทุกข์เลือนหายไปจากเหล่ามนุษย์ที่เรือสำเภาแตกเหล่านั้นได้ คือมนุษย์ได้อาศัยเลือดเนื้อของพญาเต่าเรือนเป็นอาหาร ใช้กระดองเต่าที่มีขนาดใหญ่เหมือนเรือนหลังใหญ่ๆ ทำเป็นสำเภาแล่นกลับบ้านเมืองได้  แล้วพวกมนุษย์ที่รอดตายจากเรือสำเภาแตกไปติดเกาะ ก็ได้เล่าเรื่องถึงบุญคุณพญาเต่าเรือนโพธิสัตว์ให้ประชาชนทั้งหลายได้ฟัง

    ในเมื่อทุกข์เลือนหาย แล้วออกเสียงเลือนคล้ายกับเรือน จึงมีการจำพญาเต่าเรือนว่าเป็นพญาเต่าเลือน

ตัวนี้ของข้าพเจ้าเอง เคยพ่นน้ำหลายครั้ง

  หลวงพ่อสนิทท่านดังเรื่องพญาเต่าเรือนมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่หลัง พ.ศ. 2500 หลวงพ่อสนิทดังทางเต่าเรือนมาก่อนใครๆ เต่าเรือนของท่านมีทั้งตัวเล็กเท่าหัวแหวน มีขนาดต่างๆไปจนถึงเท่าเต่าตัวจริง เต่าของท่านจะแกะจากหิน ในยุคสุดท้ายของท่านจึงมีเต่าแบบโลหะ นอกจากนี้ท่านยังดังเรื่องเครื่องรางจรเข้โทน

  หลวงพ่อสนิทท่านเล่าว่า พญาเต่าเรือนของท่านใช้ในทางเมตตาโชคลาภคุ้มครอง นอกจากนี้ยังมีคุณวิเศษในด้านเสี่ยงทายเตือนภัย ถ้าเป็นเต่าเรือนที่ใส่ไว้ในขวดน้ำมันหอม ให้สังเกตดูว่าถ้าน้ำมันหอมมีสีขุ่นๆเมื่อใด ให้ระมัดระวังตัว ให้มีสติพิจารณาการกระทำกิจใดๆให้ดี



ภาพจากเพจ สืบสานวัตถุมงคล หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย นครนายก

   ตำรับพญาเต่าเรือนนี้ขลังจริง ข้าพเจ้าเคยเห็นคุณวิเศษทางเลือนคดีความความจากพรรคพวก คือ มีรุ่นน้องคนหนึ่งทำการทุจริต ต่อมาบริษัทจับได้จึงเตรียมการไล่ออก ได้ทำการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายชดเชย มีหลักฐานผูกมัดชัดเจนจนดิ้นไม่หลุดแน่ๆ

  รุ่นน้องคนนี้ร้อนใจกลัวแพ้คดี จึงบูชาพญาเต่าเรือนของหลวงพ่อสนิทเอามาพกติดตัว เป็นเต่าเรือนตัวเล็กๆใส่ในขวดน้ำมันจันทร์ และมีพญาเต่าเรือนขนาดเท่าฝ่ามือตั้งบูชาไว้ที่บ้าน วิธีบูชานั้น หลวงพ่อสนิทท่านให้เอาพญาเต่าเรือนวางไว้ในถาดที่มีก้อนหินหรือก้อนอิฐวางตรงกลางถาด เอาน้ำเทลงไปให้เหมือนก้อนหินนั้นเป็นเกาะ แล้วจึงเชิญพญาเต่าเรือนวางไว้บนก้อนหินนั้น ให้บูชาด้วยผักบุ้ง ถั่วฝักยาว

  รุ่นน้องเล่าให้ฟังว่า บางวันมองเห็นว่า ตรงข้างๆถาดด้านหน้าพญาเต่าเรือน จะมีน้ำเป็นหยดใหญ่หลายหยด จนต้องเช็ดให้แห้ง แล้วก็มักจะเป็นเหมือนเดิมคือมีน้ำหยดเปียกอีก ต่อมาจึงทราบจากผู้หลักผู้ใหญ่ว่า ถ้าพญาเต่าเรือนของหลวงพ่อสนิทพ่นน้ำ ก็จะมีโชคสำเร็จกิจที่คิดไว้ รุ่นน้องจึงเกิดความมั่นใจฮึดสู้คดี โดยตัดสินใจเข้าไปคุยกับบริษัท กะว่าจะขอเจรจาเรื่องการชดใช้ค่าเสียหาย

  แล้วเกิดความแปลกประหลาด หรือเรียกอภินิหารเลือนคดีความ จากเดิมที่บริษัทเอาจริงจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ผลปรากฏว่า บริษัทเปลี่ยนใจไม่ฟ้องดำเนินคดี ไม่เรียกค่าเสียหายชดใช้ ไม่ทำหนังสือไล่ออก โดยให้ทำหนังสือลาออกไปแบบเงียบๆเท่านั้น ประมาณว่าบริษัทกลัวว่าเรื่องจะเป็นข่าวฉางโฉ่ เลยอยากทำให้เรื่องเงียบซะงั้น

ภาพจากเพจ สืบสานวัตถุมงคล หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย นครนายก



  พญาเต่าเรือนที่ข้าพเจ้าได้จากหลวงพ่อสนิทนั้น แรกๆขนาดตัวเล็กมีเยอะ แต่โดนขอไปซึ่งเสียดายถึงบัดนี้ และมีพญาเต่าเรือนตัวเท่าฝ่ามือ เคยมีปรากฏการณ์น้ำหยดทางด้านหน้าพญาเต่าเรือน สังเกตว่าช่วงไหนที่มีหยดน้ำ ช่วงนั้นมีโชคลาภ จะเป็นเรื่องเงินทอง บางทีมีคนเอาข้าวของเครื่องใช้มามอบให้ หรือมีลาภปากเช่นมีคนพาไปเลี้ยงอาหาร หรือติดต่อการงานก็สำเร็จ

  ข้าพเจ้ายังพบว่าเพื่อนหลายคนที่พกพญาเต่าเรือนหลวงพ่อสนิท สามารถเลือนความโมโหโกรธาจากเมียที่เตรียมแพ่นกบาลผัวตัวดี ที่แอบไปเที่ยวอาบอบนวด ไปอึ๊บสาว แต่พอเมียเห็นผัวกลับลืมเรื่องผัวเจ้าชู้ไปซะงั้น เรื่องนี้เองที่ตอนหลังพรรคพวกที่ไม่มีพญาเต่าเรือนหลวงพ่อสนิท มันมาขอพญาเต่าเรือนจากข้าพเจ้า จนทุกวันนี้เหลือแค่ตัวเดียว

ขอบคุณภาพจาก เพจ สืบสานวัตถุมงคล หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย นครนายก

ภาพพญาเด่าเรือน เป็นพญาเต่าเรือน ล.พ.สนิท ตัวใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือ ที่ข้าพเจ้ายังเก็บไว้ในปัจจุบัน










วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566

หลวงพ่อกับของวิเศษ.1 หลวงปู่แก้ววัดช่องลม


พระเทพสาครมุนี วัดสุทธิวาตวราราม ตำบลท่าฉลอม อำเภอเมือง จ.สมุทรสาคร


หลวงปู่แก้ว วัดช่องลม จ.สมุทรสาคร

พระเทพสาครมุนี วัดสุทธิวาตวราราม

  ระลึกอดีต...เล่าเรื่องประสบการณ์วัตถุมงคล

  สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น ก็ 50 ปีบวกเล็กน้อย ในตอนนั้นชอบเสาะหาวัตถุมงคลประเภทบู๊ๆหนังเหนียว และวัตถุมงคลทางเมตตาหานิยมมหาเสน่ห์ พอได้มาแต่ละอย่างก็อาราธนาแขวนคอแบบเดี่ยวๆไปเลย แถมยังมีเลือกใช้ตามสถานการณ์ด้วย คือ ถ้าเป็นช่วงที่ต้องเสี่ยงฝ่าดงตีนหรืออาจมีการยกพวกตีกัน ก็แขวนพระที่เชื่อว่าหนังเหนียว ถ้าจะไปจีบสาวก็เปลี่ยนเป็นวัตถุมงคลทางมหานิยมมหาเสน่ห์ เรียกได้ว่าแขวนเดี่ยวองค์เดียวจะได้รู้ชัดๆว่าวัตถุมงคลนี้ขลังจริงหรือไม่ ก็มีประสบการณ์ดีจริงบ้าง กับมีบางอาจารย์ที่ต้องเลิกพกติดตัวประมาณว่าไม่ดีจริง และยังมีบ้างที่พบว่า ที่ในหนังสือพระเขาบอกว่ายอดเยี่ยมทางนั้นทางนี้นั้น มันไม่ใช่เลย แต่ไปดีทางด้านอื่น เช่นข่าวว่าดีทางเจ้าชู้ แต่พอทดลองใช้กลับดีทางแคล้วคลาด ที่ว่าหนังเหนียว แต่โดนตีหัวแตกซะงั้นต่อมาเมื่อข้าพเจ้ามีอายุมากขึ้น ถึงค่อยเข้าใจว่าเรื่องที่เขาพรีเซ้นต์กันนั้น ที่แท้เป็นแนวทางประชาสัมพันธ์ตามสมัยนิยมนั่นเอง

  ตอนที่เรียนมัธยมต้นและข้ามไปถึงช่วงเรียนช่างกล ข้าพเจ้าพบว่าพระสมเด็จแก้วสุทธิของหลวงปู่แก้ววัดช่องลมนั้นดีทางเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์จริงๆ ดีจนต้องอาราธนาแขวนคอองค์เดียวอยู่หลายปี ต่อมาต้องถอดออกก็เพราะว่าพระเริ่มมีเนื้อกระเทาะและละลายตามขอบพระ สาเหตุเพราะไปเที่ยวสงกรานต์และแอ่วสาวเมืองเหนือในช่วงสงกรานต์ พระโดนน้ำที่เล่นสงกรานต์จนเริ่มกระเทาะ ข้าพเจ้ากลัวเนื้อพระจะเปื่อยชำรุด เลยถอดออกตั้งแต่นั้นมา และจำฝังใจว่าพระรุ่นนี้ของหลวงปู่แก้วนี้ มีเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ชั้นสุดยอดองค์หนึ่งที่เคยพบมา หลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าพบวัตถุมงคลทางเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ ที่เทียบชั้นหลวงปู่แก้วได้ไม่กี่หลวงพ่อ(จะเล่าในตอนต่อๆไป) ส่วนมากเทียบพระสมเด็จแก้วสุทธิของท่านไม่ได้เลย

  เมตตามหานิยมมหาเสน่ห์แบบของหลวงปู่แก้วนั้น จะไม่ใช่แบบเสน่ห์สะกดให้ผู้หญิงหลงยอมให้เราอึ๊บๆมีเพศสัมพันธ์ง่ายๆอะไรอย่างนั้น มหาเสน่ห์แบบของท่านออกไปในทางเป็นที่นิยมรักใคร่รับไมตรีมีไมตรีต่อกันได้ง่ายขึ้น จากนั้นเราก็ค่อยๆจีบสานความรักต่อไป หึๆๆๆ

  ประสบการณ์ทางเมตตามหานิยมในช่วงที่อาราธนาพระสมเด็จแก้วสุทธิติดตัว จะขอเล่าตามความทรงจำ เล่าบางเรื่องนะ

  ตอนเรียนมัธยมต้นตอนนั้นเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ก็อาราธนาพระสมเด็จแก้วสุทธิเลี่ยมสแตนเลสติดตัวแค่องค์เดียว และในเมื่อเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม เพื่อนๆในกลุ่มรวมทั้งข้าพเจ้าก็เริ่มริอ่านจีบหญิง จีบนักเรียนหญิงต่างห้องกันเป็นที่ครึกครื้น ข้าพเจ้าออกจะยังอายๆไม่ค่อยกล้าเท่าพวกเพื่อนๆ แต่ค่อยๆสังเกตเห็นว่า เอ..ตอนที่ไปกับเพื่อนร่วมแกงค์ไปแซวหญิงนั้น ผู้หญิงมักจะชวนข้าพเจ้าคุยก่อนอยู่เสมอ บางทีก็เหมือนบังเอิญได้กลับบ้านด้วยกันได้ไงก็ไม่รู้ คือตอนรอรถสองแถวมักจะเจอกันบ่อยๆ และเจอหญิงหลายคนสลับกันไปตามช่วงเวลา แถมตอนลงรถยังชิงตัดหน้าออกค่ารถให้ข้าพเจ้าบ่อยครั้ง ต่อมาก็นัดกันไปเที่ยว สมัยนั้นต้องไปเที่ยวราชดำริอาเขต ส่วนสยามสแควร์นั่นมาดังทีหลัง ฮิตฮอตสุดๆต้องราชดำริอาเขต 

พระสมเด็จแก้วสุทธิ องค์ประสพการณ์

ด้านหลัง

 
  ข้าพเจ้าแอบควงเพื่อนนักเรียนหญิงสลับกันไปเที่ยว แต่ความเป็นวัยรุ่นใหม่ๆและทางบ้านอบรมมาดี ก็เลยควงหญิงโดยไม่มีอะไรเลยเถิดเกินงาม แค่เดินคล้องแขนกันแค่นี้ ไอ้พวกเพื่อนๆก็อิจฉากันตัยห่ะแล้ว

  ความที่มีนักเรียนหญิงหลายคนมาชอบคุยกับข้าพเจ้าง่ายๆ มีไมตรียิ้มหวานมันแปลกจนข้าพเจ้าเอะใจ มิหนำซ้ำพวกเธอยังไม่รู้จักกันด้วย เลยไม่มีกรณีรถไฟชนกัน คำว่าพวกเธอนี้ถ้านับเฉพาะที่เคยไปเที่ยวด้วยกันบ่อยก็มีอยู่...เดี๋ยว นึกก่อน...1,2,3,4 อ้อ  5 คนที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน และอีก 2 คนอยู่โรงเรียนอื่น นี่เฉพาะตอนเรียนมัธยมต้น

  พอเรียนช่างกลชั้น ป.ว.ช. ที่นี้ก็จีบสาวพาณิชย์ สาวโรงเรียนสตรี สาวโรงเรียนการเรือน และที่แปลกสุดก็คือ สาวแถวบ้านที่อยากจะจีบมาตั้งนานแล้ว เห็นน้องตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนผูกคอซองประถมปลาย..โรงเรียนนาฏศิลป์.. ตอนนั้นยังเห็นน้องเป็นเด็กเป็นเล็ก ยังไม่สนใจ แต่สะดุดใจว่า..น้องสวยน่ารักมากๆ..ข้าพเจ้ามาปิ๊งตอนน้องเรียนมัธยมแล้วข้าพเจ้าเรียนช่างกล เรื่องเป็นดังนี้

  วันหนึ่งเห็นน้องเดินอยู่อีกฝั่งถนน ตอนนั้นคิดพิเรนทร์เอามือจับพระสมเด็จแก้วสุทธิขึ้นมาว่า หลวงพ่อผมอยากคุยกับน้องคนนี้จังเลย อยู่แถวบ้านแท้ๆแต่ไม่เคยคุยกัน แล้วก็ขำตัวเอง ก็มองๆน้องอยู่ในขณะนั้น..จะบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ น้องหันมาเห็นข้าพเจ้า มองสบตากันแล้วน้องก็..ยิ้ม..น้องยิ้มให้ข้าพเจ้าแน่นอน เพราะแถวนั้นมีข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ข้าพเจ้าจึงยิ้มและโบกมือทักทาย 

   สาวรุ่นน้องคนนี้สวยน่ารักมาก  เห็นกันรู้จักหน้ากันว่าเป็นคนแถวบ้าน แต่ไม่มีเหตุให้ได้รู้จักกันจริงๆจังๆ ประมาณว่าเป็นแค่คนคุ้นหน้าคนบางเดียวกันเฉยๆ แต่แล้วพอข้าพเจ้าอาราธนาพระองค์นี้ติดตัว ก็มีเหตุบังเอิญให้ได้คุยกัน..แหม มันเหมือนนิยายน้ำเน่าจริงๆ คือ

  วันหนึ่งข้าพเจ้าจะไปวิทยาลัยเร็วกว่าปกติตามที่อาจารย์สั่งธุระ ทีแรกจะขึ้นรถป้ายหน้าบ้าน แต่อยู่ๆก็นึกอยากเดินไปขึ้นรถอีกป้ายหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ใช้ป้ายนี้ ก็รีบไปที่ป้ายรถเมล์ ตอนเดินไปสักครู่ยังคิดอยู่เลยว่าเราเดินมาทำไมวะ พอรถเมล์มาจอดก็มีนักเรียนสาววิ่งมาจากด้านหลังข้าพเจ้า แล้วรีบก้าวขึ้นรถซึ่งมีคนแน่น ข้าพเจ้าเกาะราวบันใดรถเมล์แบบที่วัยรุ่นยุคนั้นชอบทำกัน พอรถเมล์ออกตัวกระชากเร็วไปหน่อย นักเรียนสาวก็ร่วงลงมาตกจากรถ ข้าพเจ้ารีบคว้าเอวมากอดช่วยไว้ได้ พอมองดูก็ร้องว่า..อ้าว น้องเอง ส่วนน้องก็มองแล้วว่า..อ้าว พี่เอง แล้วน้องก็ขอบคุณที่ช่วยไม่ให้ตกจากรถ วันนั้นเลยไปส่งน้องถึงโรงเรียนได้ไงก็ไม่รู้ หลังจากนั้นก็ได้รู้จักกันจริงๆจังเสียที ต่อมาได้ไปคุยกับน้องถึงในบ้าน มีความสัมพันธ์ที่ดีตลอดมา ข้าพเจ้ายังนึกแบบงมงายเลยว่าเหตุการณ์วันนี้เป็นการดลใจของหลวงพ่อแก้ว ให้เราเดินมาตรงนี้แน่ๆ พระของหลวงพ่อแก้วดีจริงๆ

พิมพ์เล็ก

ด้านหลัง


  ข้าพเจ้าคิดว่า เราเลือกน้องนาฏศิลป์นี้ไว้ในใจคนหนึ่ง น้องน่ารัก เป็นคนดี และอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเบี้ยวน้องไม่ได้ เพราะเดี๋ยวโดนตามถึงบ้าน แต่แล้วตอนต่างฝ่ายต่างเรียนจบ น้องไปเป็นครูต่างจังหวัด ข้าพเจ้าก็ทำงานเลิกดึกทุกวัน ติดต่อกันยาก สมัยนั้นโทรศัพท์บ้านยังมีได้ยาก จะใช้ตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญ ซึ่งก็มีน้อยเสียอีก ไปๆมาๆก็ห่างกัน

    ประสบการณ์ทางเมตตามหานิยมนั้นมาแบบรู้จักสาวๆได้ง่าย จนกระทั่งไปเที่ยวสงกรานต์เมืองเหนือ ไปแอ่วสาว 2 คน สวยทั้ง 2 คน คนเหนือจะเรียกสาวในถิ่นที่ข้าพเจ้าไปแอ่วสาวนี้ว่า...สาวเมืองยอง แม่หญิงเมืองยอง...ซึ่งสาวๆเมืองนี้โดยรวมเขาเรียก..สาวเมืองล่ะปูน

  ตอนนั้นข้าพเจ้าเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม ยังเรียนช่างกล ยังไม่รู้ธรรมเนียมทางภาคเหนือที่เรียกว่า..แอ่วสาว..

  เพื่อนชวนไปเที่ยวสงกรานต์ภาคเหนือก็ไปกับมัน นึกว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่ พอไปเข้าจริงๆกลับไปงานทำบุญช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ จ.ลำพูน​ ที่แท้เพื่อนไปติดสาวที่นี่ มันจึงชวนเพื่อนๆขึ้นไปเที่ยวเป็นเพื่อนมันแค่นั้น

  เมื่อไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เพื่อนมันบอกนั้น เพื่อนๆอยากจะกระทืบมัน เพราะนึกว่าจะไปเที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่ แต่มันดันพามาเที่ยวงานทอดผ้าป่า แถมยังเป็นหมู่บ้านที่บ้านนอกสุดๆ ก็เลยตามเลยเพราะหลวมตัวเชื่อมันจนถ่อกันมาตั้งไกลแล้ว ในที่สุดก็ต้องไปนั่งอยู่ในงานวัด ทางวัดก็ต้อนรับ..พอตอนค่ำ ข้าพเจ้าก็ได้เจอประสบการณ์มหานิยมมหาเสน่ห์ของพระสมเด็จแก้วสุทธิ

  งานวัดตอนค่ำ มีเลี้ยงอาหารยกมาเป็นถาดที่สานด้วยหวายมีขาตั้งด้วย ถามดูถึงรู้ว่าชาวเหนือเรียกว่า "ขันโตก"

  พวกข้าพเจ้าก็รับประทานด้วยความหิว มีสาวที่เพื่อนรู้จักมานั่งคุยด้วย สาวนี้คือต้นเหตุที่เพื่อนชวนมาเที่ยวสงกรานต์นั่นเอง ขันโตกดินเนอร์ในค่ำวันนั้นค่อนข้างทุลักทุเล เพราะมีแต่ข้าวเหนียว สาวหัวเราะที่เห็นพวกข้าพเจ้ารับประทานข้าวเหนียวที่เธอเรียกว่าข้าวนึ่ง หยิบข้าวนึ่งไม่เป็น คือปั้นข้าวนึ่งไม่เป็น เธอบอกว่าเดี๋ยวรอข้าวหุงนะเจ๊า

  ทีนี้พอมีสาวๆหลายคนยกขันโตกมาใหม่ มีข้าวสวยแบบภาคกลางมาด้วย อยู่ๆข้าพเจ้าก็ถูกสาวสวยคนหนึ่ง แยกข้าพเจ้าออกจากวง เธอเชิญให้นั่งรับประทานขันโตกชุดใหม่ เธอนั่งคุยด้วย อู้คำเมืองฟังไพเราะมาก ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยิน... เสียงสาวเหนือพูดลงท้ายว่า.. เจ๊าๆ.. ทำเอาใจสั่นระทวย

  ต่อมารับประทานขันโตกเสร็จ สาวสวยก็ยกขันโตกไปเก็บ แล้วสักครู่ก็มีสาวสวยมากอีกคนยกขันโตกใส่ขนมหวานมาให้ เธอนั่งคอยดูข้าพเจ้ารับประทานพร้อมทั้งชวนคุย ก็คุยถูกคอทั้งสองสาว ข้าพเจ้าไม่ได้คิดอะไร คุยไปตามมรรยาท แล้วสาวสวยคนที่สองก็ยกขันโตกไปเก็บ ช่วงนี้คงเก็บสำรับและล้างถ้วยชาม

  ตอนนี้แหละที่ข้าพเจ้า..อึ้ง งุนงง เขิน..เพราะสาวสวยคนแรกมาบอกเป็นคำเมืองประมาณว่า ดึกแล้ว ไปพักผ่อนได้แล้วและให้ไปนอนที่บ้านเธอ ข้าพเจ้างงว่า ทำไมไม่นอนค้างที่วัดล่ะวะ ปกติไปงานบุญวัดต่างจังหวัดก็นอนวัดนี่นา แล้วเพื่อนทั้งหมดไปนอนบ้านสาวที่เป็นต้นเหตุให้มาเที่ยวที่นี่ มีข้าพเจ้าคนเดียวที่โดนแยกกลุ่ม แถมยังโดนสาว(แฟนเพื่อน)ดันหลังให้ไปกับสาวสวยคนที่หนึ่งอีกด้วย...แล้วสาวสวยก็พูดเบาๆทำนองน้อยใจว่าไม่ไปนอนที่บ้าน..สุดท้ายเลยตามเลย ข้าพเจ้าเดินไปกับเธอ

  ไปถึงบ้านก็พบว่าบ้านใหญ่ไม่น้อย พ่อแม่และน้องๆของเธอมานั่งคุยด้วย ครอบครัวเธอต้อนรับอย่างดี แถมเอาเหล้ามาต้อนรับ จำได้ว่าเรียก "เหล้าเดือน" แถมสอบถามว่าข้าพเจ้า "มีเมีย" แล้วยัง ข้าพเจ้าหัวเราะตอบว่ายังเรียนหนังสืออยู่ พ่อแกก็ชอบใจ

  หลังจากนั้นเธอแนะให้ไปอาบน้ำ พร้อมทั้งเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน แล้วพาไปยังห้องนอนที่จัดไว้ให้แล้ว เธอว่าเป็นห้องนอนของเธอเอง เธอนั่งคุยกับข้าพเจ้าในห้องนอนอยู่..นานมาก..จนคนอื่นปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เธอก็ยังนั่งอยู่กับข้าพเจ้าอีกนาน สุดท้ายข้าพเจ้าเห็นเธอตาปรือเต็มที่ จึงบอกเธอว่านอนเถอะดึกมากแล้ว เธอก็ลาไปนอนและปิดไฟให้

  ข้าพเจ้าหลับๆตื่นๆเพราะแปลกที่ และตื่นเมื่อมีเสียงเปิดประตู มองเห็นว่าเธอเข้ามาดูข้าพเจ้า ดูแล้วก็ออกไป เป็นอย่างนี้ 3-4ครั้ง ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า เธอห่วงว่าข้าพเจ้าหลับดีหรือไม่ หรือนอนไม่สบายต้องการเรียกใช้อะไรหรือไม่

  เช้าตื่นมา รับประทานอาหารแล้วเธอชวนไปเที่ยว ข้าพเจ้านึกว่าจะไปรวมตัวกับเพื่อนข้าพเจ้าและเพื่อนเธอ แต่กลายเป็นว่าเธอไปเที่ยวกับข้าพเจ้าเท่านั้น โดยให้ข้าพเจ้าขับมอเตอร์ไซด์แล้วเธอซ้อนท้าย เที่ยวแล้วเข้าบ้าน กลางคืนก็นอนบ้านเธออีก เธอนั่งคุยในห้องนอนเหมือนเดิม คืนที่สองนี้แม่เอาที่นอนมาปูให้อีกที่ ปรากฏว่า เธอนอนในห้องด้วย... ข้าพเจ้าชักฟุ้งซ่าน

  วันต่อมาตอนเย็นสาวสวยคนที่สองมาที่บ้าน มาชวนไปรับประทานอาหารที่บ้าน เธอคนที่หนึ่งไปด้วยกับข้าพเจ้า ขันโตกดินเนอร์แล้วก็ไปนั่งคุยในห้องนอน สาวสวยคนที่สองบอกว่าวันนี้นอนบ้านเธอบ้างนะ ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบได้แต่ยิ้มๆ งงๆ ในที่สุดสาวสวยคนที่หนึ่งดึงแขนข้าพเจ้าให้กลับบ้าน​ไม่ยอมให้นอนบ้านนี้

 พอกลับถึงบ้าน นอนห้องเดียวกันอีก ข้าพเจ้าเริ่มสงสัย เธอคล้ายมีใจให้ แถมไอ้พวกเพื่อนมันก็ไม่โผล่มากันเลย เหมือนทิ้งข้าพเจ้าซะงั้น 



  วันรุ่งขึ้นสาวสวยคนที่สองก็มาชวนไปเที่ยว เธอคนที่หนึ่งก็ไปด้วย ตอนค่ำก็ดึงแขนให้กลับไปที่บ้านอีก เธอบอกว่าที่บ้านไม่มีคนอยู่ ก็นอนห้องเดียวกันอีก ทั้งบ้านอยู่กันแค่สองคน ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า มหานิยมวัตถุมงคลนั่นเอง

  พอถึงวันสงกรานต์ เธอพาข้าพเจ้าไปพบเพื่อนเธอและเพื่อนๆข้าพเจ้า ไอ้พวกเพื่อนๆมันบอกว่า..โคตรอิจฉามึง...ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามันคิดอะไร เลยสั่นหน้าบอกเป็นนัยว่า.. ไม่ใช่อย่างที่พวกมันคิด.. จากนั้นทั้งกลุ่มก็ไปเที่ยวสงกรานต์ที่เชียงใหม่ด้วยรถกระบะ โดยที่สาวสวยไม่รอสาวคนที่สอง

  ถึงวันที่พวกข้าพเจ้ากลับ แต่ความจริงข้าพเจ้าจะอยู่ต่อที่เชียงใหม่ ไปเยี่ยมญาติที่ย้ายไปอยู่ที่นั่น สาวทั้งสองคนมาส่งขึ้นรถ เธอน้ำตาไหลร้องไห้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเธอทั้งสองคิดอย่างไร แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ในช่วง "หนุ่มช่างกลกับสาวพาณิชย์"ไปแล้ว ได้แต่รับน้ำใจสาวเมืองยองเท่านั้น

  ภายหลังเพื่อนแต่งงานกับสาวที่เป็นต้นเหตุให้ไปเที่ยวที่นั่น แฟนมันบอกว่า จะว่าไปแล้วข้าพเจ้าทำผิดธรรมเนียมบ้านเขา เธอบอกว่างงเหมือนกันที่อยู่ๆเพื่อนเธอสองคนที่เป็นคนเรียบร้อย กลับกล้ามาแสดงออกว่าเลือกข้าพเจ้า ให้ได้ไปแอ่วสาวถึง 2 สาว 2 บ้าน จนเกิดสิ่งที่ทางบ้านท้องถิ่นนั้นเรียกว่า...ผิดผี...ข้าพเจ้านั้น ไม่รู้อะไรเลย

  คงเพราะคุณวิเศษพระผงสมเด็จแก้วสุทธิที่แสดงผลทางมหานิยมมหาเสน่ห์ สาวสวยที่เพิ่งเจอทั้งสองคน เกิดจิตอ่อนไหวอ่อนโยนอยากรู้จักขึ้นมาง่ายๆ



  สงกรานต์ในปีนั้นข้าพเจ้าแวะบ้านญาติที่ย้ายไปอยู่เชียงใหม่แถวๆวัดพระสิงห์ อยู่ๆก็เจอเพื่อนหญิงที่เป็นเพื่อนเก่า ซึ่งยังเคยมีการสังสรรค์เพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่ทุกปี แต่ตอนหลังเธอหายไป ที่แท้เธอสอบติดที่ ม.เชียงใหม่ อยู่หอพักคนเดียว ช่วงนั้นเธอกำลังจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ แต่เจอข้าพเจ้าเสียก่อน เธอเลยอยู่พาเที่ยวเชียงใหม่อีกหลายวัน

  จะด้วยความที่มาเจอกันอีกครั้งตอนที่เริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือมหานิยมวัตถุมงคลก็แล้วแต่ ข้าพเจ้าและเธอจึงพัฒนาความรู้สึกในช่วงนี้เอง ก็อยู่กันที่หอพักนี่แหละ โลกนี้มีแต่เราสองคน หวานแว๋วสุดๆ...แล้วก็กลับกรุงเทพฯด้วยกัน

  เรื่องข้าพเจ้ากับเพื่อนสาว​ไม่มีเพื่อนในรุ่นรู้​เราปิดเป็นความลับ​ แต่ต่อมาภายหลังไม่ได้เจอกัน เพราะติดต่อสื่อสารกันไม่ได้ เนื่องจากพอเรียนจบทำงานแล้วไม่นาน อยู่ๆมีการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์และเปลี่ยนเลขที่บ้านในกรุงเทพฯ หนุ่มสาวรุ่นข้าพเจ้าจำนวนมาก ที่ขาดการติดต่อกันเพราะสาเหตุนี้  

  ครั้งที่ไปเที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่นี้เอง พระสมเด็จแก้วสุทธิเปียกน้ำจนเนื้อพระละลาย ก็เลยถอดพระเก็บไว้บนหิ้ง แล้วชีวิตช่วงต่อจากนั้น เป็นช่วงวัยฝ่าดงตีน จึงเปลี่ยนไปแขวนพระหลวงพ่อองค์อื่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องหนังเหนียวคุ้มครอง ข้าพเจ้าผ่านการตีรันฟันแทงหลายครั้ง มีทั้งเลือดหัวกระจายเพราะหนังเหนียวไม่จริง และวัตถุมงคลบางหลวงพ่อเจอคงกระพันหนังเหนียวของจริง

  พระสมเด็จแก้วสุทธิของหลวงปู่แก้ววัดช่องลม ท่าฉลอม ที่ข้าพเจ้าพบประสบการณ์สุดยอดเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ ก็คือองค์ตามรูปนี่แหละ ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกจนถึงเดี๋ยวนี้

  เล่าเรื่องอภินิหารพระสมเด็จแก้วสุทธิของหลวงปู่แก้ว แล้วทำให้หวนระลึกถึงพวกเธอสาวๆในเรื่อง ยังระลึกถึงความทรงจำดีๆในครั้งนั้น


เรื่อง จากความทรงจำ
ภาพวัตถุมงคล ของข้าพเจ้าเอง