วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย.๑๒ ปลัดขิก

ปลัดขิก
PA-Lud-Kik
fetish in penis image
penis fetish

Cock Magic


ปลัดขิก

   เครื่องรางของขลังที่เชื่อถือกันว่ามีอิทธิฤทธิ์ของไทยมีหลายชนิด คนไทยเราในสมัยโบราณจะเชื่อถือศรัทธากันมาก แม้ในยุคสมัยปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ก็ยังมีคนเชื่อถือเรื่องเครื่องรางของขลังกันอยู่ไม่น้อยเลย คนที่ไม่เชื่อก็อาจมองว่าเป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผล แต่หลายๆครั้งเกิดมีปรากฏการณ์เครื่องรางของขลังที่หาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน เช่นเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง แต่คนที่มีเครื่องรางของขลังกลับไม่ได้รับอันตราย หรือคนที่มีเครื่องรางของขลังทางด้านโชคลาภค้าขาย ก็มีปรากฏให้เห็นบ่อยๆว่าค้าขายได้ดีกว่าร้านอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆกัน แบบว่าร้านอาหารที่ทำอาหารอร่อยน้อยกว่าร้านอื่น แต่ดันมีคนมาอุดหนุนมากกว่าร้านที่ทำอาหารอร่อยกว่า เรื่องทำนองนี้มีให้เห็นอยู่เนืองๆ

   เครื่องรางของขลังของไทยเราที่มีมากมายนั้น ถ้าจะนับแบบเครื่องรางยอดนิยมติดอันดับท๊อปเท็นของประเทศไทย รับรองได้ว่าจะต้องมีเครื่องรางปลัดขิกรวมอยู่ด้วยเสมอ และแน่นอนว่าเครื่องรางปลัดขิกนี้จะต้องเป็นเครื่องรางยอดนิยมของไทยไปจนตลอดกาล


ภาพโดย สีหวัชร ปลัดขิกวัดหูช้าง


   เครื่องรางปลัดขิกเป็นเครื่องรางที่ทำป็นรูปอวัยวะเพศชาย ปกติจะทำด้วยไม้โดยแกะสลักเป็นรูปอวัยวะเพศชายหลายๆขนาด มีตั้งแต่ขนาดเล็กกระจิ๋วหลิวแบบหล่นแล้วหายแน่ ส่วนปลัดขิกขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาก็มีขนาดใหญ่ไล่เรียงกันไปตามลำดับตามอัธยาศัยของคนสร้าง มีกระทั่งใหญ่จนถึงกับว่าใหญ่ขนาดเสาเรือน

   ปลัดขิกเป็นเครื่องรางของไทยที่มีมานาน ทั้งยังนานจนหาต้นเค้าตำนานยืนยันชัดเจนไม่ได้ว่า ตำนานไหนที่น่าจะเป็นตัวต้นตำนานปลัดขิกแรกเริ่มของไทย เพราะกลายเป็นว่ามีตำนานปลัดขิกอยู่หลายกระแส ซึ่งมีทั้งตำนานปลัดขิกแบบไทยๆไปจนถึงตำนานที่อิงไปทางฮินดู


ภาพโดย สีหวัชร ปลัดขิกวัดหูช้าง

  ตำนานปลัดขิกที่อิงไปทางฮินดู จะกล่าวถึงการประลองฤทธิ์ระหว่างพระพรหมและพระนารายณ์ เพื่อที่จะหาว่าใครมีฤทธิ์มากกว่า แต่ขณะที่พระพรหมและพระนารายณ์กำลังแผลงฤทธิ์แข่งกันนั้น อยู่ๆก็มีศิวะลึงค์ขนาดใหญ่ยักษ์โผล่ขึ้นมาขวางพระพรหมกับพระนารายณ์ ทั้งพระพรหมและพระนารายณ์ต่างก็แปลกใจและพยายามพิสูจน์ว่า ศิวะลึงค์นี้สูงใหญ่ไปถึงไหน โดยเหาะขึ้นไปดูก็ไปไม่สุดยอดหัวศิวะลึงค์ พอเหาะลงชำแรกบาดาลก็ยังหาที่สุดโคนของศิวะลึงค์ไม่ได้ พระพรหมและพระนารายณ์จึงสรรเสริญว่าพระศิวะเป็นผู้มีฤทธิ์มากจริง

   ศิวะลึงค์ของแขกอินเดียนี้แขกเขาไม่มีทำไว้ติดตัวเป็นเครื่องราง ข้อนี้ได้เคยคุยกับแขกที่เป็นพราหมณ์จริงๆ เป็นพราหมณ์มาจากอินเดีย และทำพิธีที่วัดแขกสีลมด้วย คุยกันได้ความว่าศิวะลึงค์ของแขกเขาตั้งบูชา มีตั้งแต่ทำด้วยหิน แก้ว ดิน ข้าว พอผู้เขียนให้พราหมณ์แขกดูปลัดขิกไทย อีตาพราหมณ์ไม่ยอมรับว่าเป็นศิวะลึงค์ ผู้เขียนเลยมีความสงสัยในเรื่องปลัดขิกไทยๆว่า น่าจะไม่เกี่ยวกับตำนานศิวะลึงค์ของแขก แต่ในคาถาเสกปลัดขิกไทยก็มีกล่าวถึงคำว่าศิวะลึงค์ด้วย เช่น โอมมะศิวะลึงค์กำลังจะหึงสวาโหม ข้อนี้จึงยังสรุปให้แน่นอนได้ไม่เต็มที่

   ตำนานปลัดขิกแบบไทยๆจะอ้างอิงถึงพระปรมาจารย์ที่สร้างและเสกปลุกปลัดขิกจนมีอิทธิฤทธิ์ขั้นสุดยอด โดยมักจะกล่าวถึงสามสุดยอดพระปรมาจารย์แห่งปลัดขิกคือ หลวงปู่ขิก(ขริก) หลวงพ่ออี๋ หลวงพ่อเหลือ ซึ่งทั้งสามท่านนี้เป็นสุดยอดปรมาจารย์ไร้เทียมทานทางด้านปลัดขิกยุคเก่า ปลัดขิกที่ทั้งสามปรมาจารย์ท่านเสกไว้ต่างก็มีอภินิหารเป็นที่เลื่องลือ คนที่ทันเห็นประสบการณ์อิทธิฤทธิ์เครื่องรางปลัดขิกของสามพระปรมาจารย์นั้น คงมีแต่ที่ทันยุคของหลวงพ่ออี๋หลวงพ่อเหลือ หลวงพ่ออี๋หลวงพ่อเหลือเป็นพระอาจารย์รุ่นเก่าครั้งสงคราม เป็นยุคก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ แต่คนที่ทันยุคต่างก็อายุร่วมร้อยด้วยกันทั้งนั้น ส่วนยุคของหลวงปู่ขิกนั้นก่อนยุคหลวงพ่ออี๋หลวงพ่อเหลือ ซึ่งเก่าแก่นานเกินกว่าช่วงอายุไปแล้ว เรื่องราวของหลวงปู่ขิกจึงค่อนข้างลึกลับ 


หลวงปู่ขิก วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา

   ตำนานปลัดขิกแบบไทยๆเรานั้น เท่าที่เคยได้ยินมาจะกล่าวถึงหลวงปู่ขิกวัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา โดยกล่าวเป็นทำนองต้นตอของปลัดขิกในเมืองไทยกันเลยทีเดียว สังเกตได้ง่ายๆจากชื่อของท่านที่ชื่อว่าขิกหรือขริก ทั้งท่านยังเป็นพระปลัดอีกด้วย จึงเป็นเครื่องรางของท่านปลัดขิก


   หลวงพ่อไสววัดปรีดาราม จ.นครปฐม เคยเล่าให้ฟังว่า ปลัดขิกนี้มาจากพระอาจารย์รุ่นโบราณที่ชื่อพระปลัดขิก ของดีของท่านทำเป็นรูปอวัยวะเพศชาย ผู้หญิงเลยอายไม่กล้าเรียกตรงๆ เลยเรียกว่าของท่านปลัดขิก หลวงพ่อไสวยังเล่าอีกว่า ถ้าจะลองของว่าปลัดขิกนี้เราเสกได้ขลังแล้วยัง ให้เอาปลัดขิกกำไว้ในมือ แล้วเอาไปยื่นให้ผู้หญิงสาวดู ถ้าผู้หญิงหัวเราะขิกๆ แสดงว่าปลัดขิกนี้เสกใช้ได้แล้ว ถ้าผู้หญิงโกรธโดนผู้หญิงตบหน้า แสดงว่ายังไม่ขลัง ต้องกลับมาเสกปลัดขิกเพิ่ม จะสังเกตได้ว่าหลวงพ่อไสวซึ่งเป็นพระอาจารย์ทางด้านปลัดขิกขลังท่านหนึ่ง ก็กล่าวถึงพระอาจารย์ที่ชื่อพระปลัดขิก

   เรื่องของหลวงปู่ขิกนั้นบางทีก็ไปตรงกันกับหลวงพ่อเหลือหลวงพ่ออี๋ เข้าใจว่าเมื่อเล่าต่อๆกันมานานเข้า ก็ค่อยๆคลาดเคลื่อนจนกลายเป็นเรื่องเดียวกัน ประมาณว่า หลวงปู่ขิกท่านเดินธุดงค์เข้าไปในป่าลึก แล้วไปพบสระน้ำแห่งหนึ่ง เมื่อท่านมองดูในสระน้ำก็เห็นว่ามีอะไรว่ายน้ำผลุบๆโผล่ๆอยู่คล้ายๆปลา พอพิจารณาดูก็เห็นเป็นเครื่องรางรูปอวัยวะเพศชาย ซึ่งว่ายน้ำไปมาเหมือนมีชีวิต ท่านจึงช้อนขึ้นมาจากสระน้ำได้ตัวหนึ่ง บางตำนานถึงกับเล่าว่าจะหยิบเครื่องรางนี้ขึ้นมาด้วยวิธีไหนก็ไม่ได้ จนต้องไปขอให้หญิงบริสุทธิ์มาช้อนให้ แต่เรื่องนี้ออกจะชอบกลๆไปหน่อย ไม่น่าเชื่อถือนัก เพราะเวลาที่พระท่านธุดงค์นั้น จะไปหาผู้หญิงมาจากไหนกัน


ภาพหลวงปู่ขิก วัดสาวชะโงกวาดขึ้นตามคำบอกเล่า

   ตำนานเล่าว่าหลวงปู่ขิกพิจารณาที่ตัวเครื่องราง ก็เห็นมีอักขระจารอยู่ ท่านอ่านแล้วก็เข้าใจได้ว่า ของสิ่งนี้เป็นเครื่องรางชั้นยอด ตำนานไม่ได้บอกว่าท่านไปได้คาถาเสกปลุกเครื่องรางชนิดนี้จากที่ใด แต่สันนิษฐานกันว่าที่สระน้ำนั้น คงจะมีหลักฐานอะไรสักอย่างที่บอกถึงวิชาสร้างเครื่องรางนี้ บางตำนานถึงกับยืนยันเหมือนข้อสันนิษฐานนี้เลยว่า ข้างๆบ่อมีจารึกวิชาสร้างของขลังพิศดารชนิดนี้บอกไว้ ตำนานเรื่องนี้มีการเล่าไปถึงหลวงพ่อเหลือหลวงพ่ออี๋อยู่บ้างเหมือนกัน

   นอกจากนี้ยังเล่ากันว่า ต่อมาหลวงปู่ขิกได้เป็นพระปลัด จึงเรียกท่านว่าพระปลัดขิก ท่านพระปลัดขิกมีผู้นับถือมากว่าท่านมีวิทยาคมขลัง พอมีคนมาขอเครื่องรางจากท่านๆก็จะแจกเป็นพระปิดตาบ้างตะกรุดบ้าง แต่เครื่องรางของท่านพระปลัดขิกที่คนนิยมมากๆจะเป็นเครื่องรางรูปอวัยวะเพศชาย คือเป็นแบบเดียวกันกับเครื่องรางที่ท่านไปพบที่สระน้ำในป่านั่นเอง คนนิยมเครื่องรางชนิดนี้ของท่านพระปลัดขิกว่า มีอิทธิฤทธิ์ทางอยู่ยงคงกระพัน มหาอุด มหาโชค มหาลาภ เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ทั้งยังแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้พิษยาเบื่อยาสั่ง และกันภูติผีปีศาจได้อย่างชะงัด

   เนื่องจากเครื่องรางทีเด็ดของท่านพระปลัดขิกเป็นไม้แกะรูปอวัยวะเพศชาย ผู้ที่อยากได้จึงเหนียมอายที่จะเรียกชื่อเครื่องรางนี้แบบทับศัพท์กันตรงๆ ยิ่งศิษย์ที่เป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งไม่กล้าเรียก ใครจะไปกล้าพูดกับพระว่า ท่านขอรับผมขอไอ้จู๋อันหนึ่ง..ท่านเจ้าขาดิฉันขออวัยวะเพศชายอันหนึ่ง คนทั้งหลายเลยเรียกเครื่องรางของท่านพระปลัดขิกที่เป็นไม้แกะรูปอวัยวะเพศชายว่า ของท่านปลัดขิก หรือของดีของขลังของท่านปลัดขิก พอนานเข้าเครื่องรางรูปอวัยวะเพศชายนี้เลยเรียกกันว่าปลัดขิก

หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก

   จากยุคหลวงปู่ขิกก็มาถึงยุคหลวงพ่อเหลือ หลวงพ่อเหลือเป็นศิษย์ของหลวงปู่พระปลัดขิก หลวงพ่อเหลือสืบทอดวิชาการสร้างปลัดขิกมาได้ขลังจริง มีตำนานเล่าถึงปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือว่า หลวงพ่อเหลือเสกปลัดขิกจนปลัดขิกกระโดดออกจากบาตรได้ ที่เล่ากันมากก็คือมีศิษย์ผู้หญิงพายเรือมาขอของดีจากหลวงพ่อเหลือ ท่านจึงหยิบปลัดขิกห่อผ้าแล้วประสิทธิประสาทให้ เมื่อศิษย์หญิงพายเรือจะกลับบ้านก็คิดอยากรู้ว่าหลวงพ่อเหลือท่านให้อะไรมา ศิษย์หญิงผู้นี้จึงแกะห่อผ้าออกมาดู จึงพบว่าหลวงพ่อเหลือให้เครื่องรางไม้แกะรูปอวัยวะเพศชาย ศิษย์หญิงเกิดอายขึ้นมาจึงเอาปลัดขิกโยนทิ้งน้ำไป


หลวงพ่อเหลือวัดสาวชะโงก

   ในระหว่างที่ศิษย์ผู้หญิงพายเรือกลับบ้านนั้นเอง ได้สังเกตเห็นว่ามีอะไรลอยน้ำตามหลังเข้ามาใกล้ๆเรือ เมื่อมองดูก็เห็นว่าเป็นปลัดขิกตัวที่เพิ่งโยนทิ้งน้ำไป ตอนแรกก็ยังไม่ได้ฉุกใจคิด เลยเอาไม้พายเขี่ยตัวปลัดขิกให้ออกไปห่างๆเรือ จากนั้นจึงพายเรือต่อไปแต่ก็ยังเห็นปลัดขิกว่ายน้ำจ๋อมแจ๋มเข้ามาที่เรืออีก พอเอาไม้พายเขี่ยปลัดขิกหลายครั้งจึงนึกได้ว่า ปลัดขิกที่หลวงพ่อเหลือให้มานั้น ที่แท้ไม่ได้ลอยน้ำมาตามธรมชาติ แต่กลับเป็นว่าปลัดขิกว่ายน้ำแข่งกับเรือเข้ามาหาเจ้าของ(คือหลวงพ่อเหลือท่านประสิทธิประสาทปลัดขิกตัวนี้ให้แล้ว) ศิษย์หญิงผู้นี้จึงเก็บปลัดขิกที่ว่ายน้ำเอาไว้ แล้วเล่าให้คนทั้งหลายฟังถึงอภินิหารของปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ จนกระทั่งเรื่องนี้กลายเป็นตำนานมาจนถึงปัจจุบัน

   หลวงพ่อเหลือเสกปลุกปลัดขิกมีฤทธิ์ทางเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ ทั้งยังอยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาดมหาอุด แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย กันผีไล่ผีได้อย่างชะงัด


   หลวงพ่อจวน(พระครูธรรมานุวัตร)ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเหลือ และเป็นเจ้าอาวาสวัดสาวชะโงก ได้เคยเล่าให้ฟังถึงอภินิหารหลวงพ่อเหลือและปลัดขิกหลายเรื่อง บางเรื่องฟังแล้วต้องหัวเราะเพราะมันขำๆ หลวงพ่อจวนนี้เสกปลุกปลัดขิกสืบต่อวิชามาและทำได้ขลัง แต่หลวงพ่อจวนไม่แจกปลัดให้ใครง่ายๆ ท่านยังเล่าถึงวิธีเสกปลุกปลัดขิกให้ฟังอีกด้วย คาถาเสกปลัดขิกที่ท่านว่าให้ฟังนั้น ฟังแล้วเป็นต้องขำกลิ้ง ถ้าสาวๆฟังแล้วคงอายหน้าแดงกันเป็นแถบๆ
   หลวงพ่อจวนท่านเมตตามอบปลัดขิกให้มาหนึ่งตัว แล้วท่านยังบอกความลับเรื่องปลัดขิกสายหลวงพ่อเหลือมาด้วย ยังนึกถึงหลวงพ่อจวนอยู่จนถึงทุกวันนี้


ภาพsihawatchara ปลัดขิกหลวงพ่อจวนวัดสาวชะโงก

ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกหลวงพ่อจวนวัดสาวชะโงก

หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี

   หลวงพ่ออี๋เป็นตำนานพระอาจารย์ครั้งสงครามโลกและสงครามอินโดจีน ซึ่งมีการขนานนามพระอาจารย์สุดยอดขลังและดัง ซึ่งประชาชนรู้จักกันมากในครั้งนั้นว่า จาด จง คง อี๋ คือหลวงพ่อจาดวัดบางกะเบา จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อคงวัดบางกะพ้อม จ.สมุทรสงคราม หลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี

   หลวงพ่ออี๋จะเรียนวิชาเสกปลุกปลัดขิกมาจากที่ใดยังยืนยันแน่นอนไม่ได้ เพราะมีตำนานเล่ากันมาหลายเรื่อง บางเรื่องไปตรงกับเรื่องของหลวงปู่ขิก เรื่องทำนองนี้เกิดจากการบอกเล่าต่อๆกันมานาน จนหาต้นสายปลายเหตุแน่นอนได้ยากเกินไปเสียแล้ว

   บางตำนานว่าหลวงพ่ออี๋เรียนวิชาเสกปลุกปลัดขิกจากหลวงพ่อปานวัดบางเหี้ย หลวงพ่อปานนี้เป็นสุดยอดพระปรมาจารย์ไร้เทียมทานท่านหนึ่งของยุครัตนโกสินทร์ หลวงพ่อปานยังเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่ออี๋อีกด้วย เหตุนี้จึงเชื่อกันว่าหลวงพ่ออี๋น่าที่จะเรียนวิชาสร้างปลัดขิกมาจากหลวงพ่อปาน แต่ก็ยังยืนยันไม่ได้ชัดเจนนัก

หลวงพ่ออี๋

   มีตำนานหนึ่งว่าหลวงพ่ออี๋นี้ท่านจะเดินธุดงค์อยู่เนืองๆ โดยสืบทอดวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อปานที่ชอบเดินธุดงค์อยู่เป็นประจำ เล่ากันว่าวันหนึ่งหลวงพ่ออี๋เดินธุดงค์ผ่านบ่อน้ำแห่งหนึ่ง เห็นมีอะไรผลุบๆโผล่ๆอยู่ในบ่อ เมื่อมองดูจึงเป็นเป็นปลัดขิก หลวงพ่ออี๋จึงช้อนปลัดขิกขึ้นมาแต่ก็ช้อนไม่ได้ พอดีมีคนแก่เดินผ่านมาเห็นเข้า จึงกราบเรียนหลวงพ่ออี๋ว่า ต้องใช้สาวพรหมจารีมาช้อนปลัดขิกจึงจะได้ เรื่องนี้ตรงกับหลวงปู่ขิก

   เมื่อมีหญิงสาวพรหมจารีมาช้อนปลัดขิกก็ช้อนได้เพียงหนึ่งตัว หลวงพ่ออี๋จึงนำกลับไปที่วัดและหาวิธีเสกปลุกปลัดขิก โดยเริ่มจากการสร้างปลัดขิกจำนวน ๑๐๘ ตัวก่อน แล้วเสกจนกระทั่งปลัดขิกกระโดดได้ เท่านั้นยังไม่พอ หลวงพ่ออี๋ยังเสกจนปลัดขิกทั้ง ๑๐๘ ตัวบินได้ และเลือกเอาตัวที่บินเก่งบินนำหน้ามาเป็นปลัดขิกจ่าฝูง หรือเรียกกันว่าตัวครู

   เรื่องหลวงพ่ออี๋เสกปลัดขิกจนบินได้นี้ มีเรื่องเล่ากันแพร่หลายครั้งที่หลวงพ่ออี๋มาเข้าพิธีปลุกเสกใหญ่ที่วัดราชบพิธ คือที่เรียกกันว่าพิธีปลุกเสก ๑๐๘ อาจารย์นั่นเอง เล่ากันว่าพระอาจารย์ที่มาพบกันต่างก็แสดงวิชาแลกเปลี่ยนกันเป็นที่ครึกครื้น ท่านใดถนัดวิชาใดก็แสดงไปตามที่ท่านถนัด หลวงพ่ออี๋ได้เสกปลัดขิกจนปลัดขิกกระโดดได้ แล้วเพื่อนๆพระอาจารย์ขอให้เสกปลัดขิกบินให้ดู ซึ่งท่านก็ทำให้ดูจนเป็นตำนานเล่าต่อๆกันมา


ภาพโดย สีหวัชร ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ ของอดีตนายทหารเรือฐานทัพสัตหีบยุคหลวงพ่ออี๋

   ตำนานปลัดขิกหลวงพ่ออี๋มีมาตั้งแต่สมัยกรมหลวงชุมพรฯหรือเสด็จเตี่ย เล่ากันว่าเสด็จเตี่ยทรงให้ทหารเรือที่มีปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ลองความขลัง โดยให้ทหารเรือที่ใจกล้าคาดปลัดขิกแล้วโดดลงไปในทะเล โดยลงไปว่ายน้ำท่ามกลางฝูงฉลาม ปรากฏว่าฉลามไม่กล้าเข้ามาใกล้เลย

   เนื่องจากวัดหลวงพ่ออี๋อยู่ใกล้ฐานทัพเรือสัตหีบ หลวงพ่ออี๋จึงมีศิษย์เป็นทหารเรืออยู่มาก ทหารเรือไปเมาเหล้าแล้วมีเรื่องตีรันฟันแทงกันทีไร ทหารเรือศิษย์หลวงพ่ออี๋ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่ครั้งเดียว เรื่องที่เล่ากันมากก็เรื่องที่ทหารเรือว่ายน้ำเล่นในดงปลาฉลามโดยไม่เป็นอันตราย กับเรื่องที่ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋เหินฟ้า ทะยานสู่นภากาศเตือนภัยแก่นักบิน

   เล่ากันว่าศิษย์กองบินสัตหีบท่านหนึ่งกำลังฝึกบินอยู่ตามปกติ แต่วันนั้นเกิดมีอากาศผิดปกติทัศนวิสัยไม่ดีเลย เพราะมีหมอกแล้วมีเมฆฝนและในที่สุดก็มีฝนตกด้วย ในยุคนั้นเครื่องบินของประเทศไทยเรายังเป็นรุ่นเก่า ไม่มีระบบนำร่องที่ดีนัก การขับเครื่องบินในขณะที่ทัศนวิสัยไม่ดีจึงอันตรายมาก


ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ของแท้ เจ้าของรับจากมือหลวงพ่ออี๋

   ศิษย์ที่ขับเครื่องบินพยายามจะนำเครื่องกลับฐานทัพ แต่ต้องทำด้วยความยากลำบากเพราะทัศนวิสัยถึงขั้นเลวร้าย ขณะที่กำลังขับเครื่องบินวนหาทางอยู่นั้น อยู่ๆก็มีเสียงดังแก๊กๆขึ้นที่กระจกด้านหน้าของห้องนักบิน เสียงแก๊กๆนี้ดังรัวมากแบบเหมือนคนเคาะประตู 

   เมื่อนักบินเพ่งมองดูก็เห็นปลัดขิกบินแข่งกับเครื่องบิน แล้วพุ่งชนกระจกซ้ำๆให้ได้ยินเสียงอย่างมหัศจรรย์ พอมองที่กระจกตรงจุดที่ปลัดขิกเอาหัวโขกเครื่องบินอยู่นั้น ก็เห็นว่าข้างหน้าเป็นภูเขาและเครื่องบินกำลังจะชนภูเขา นักบินจึงตีวงเลี้ยวเครื่องบินได้ทันการณ์ รอดจากการขับเครื่องบินชนภูเขาได้เพราะมีปลัดขิกบินมาเตือนภัย เรื่องนี้ยังเล่าโจทย์ขานกันมาเป็นตำนานปลัดขิกไร้เทียมทานเหาะแข่งกับเครื่องบินมาช่วยเตือนภัย

   เรื่องอภินิหารปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋นั้น พ่อตาของผู้เขียนหรือแอดมินนี้เคยเล่าให้ฟัง โดยพ่อตานี้เป็นนายทหารเรือฐานทัพเรือสัตหีบ สังกัดกองบินของกองทัพเรือ พ่อตาจะเป็นผู้ขับรถไปรับหลวงพ่ออี๋มาในงานทำบุญเลี้ยงพระที่ฐานทัพเรือบ่อยๆ ต่อมาพ่อตาได้โอนย้ายไปกองทัพอากาศและเป็นครูฝึกบิน พ่อตาเล่าเรื่องอภินิหารหลวงพ่ออี๋ไว้หลายเรื่อง เล่าว่า ครั้งหนึ่งเห็นหลวงพ่ออี๋แจกปลัดขิกให้ทหารเรือ โดยหลวงพ่ออี๋หยิบออกมาจากย่าม พอพ่อตาขอปลัดขิกบ้าง หลวงพ่ออี๋ก็ยื่นย่ามให้ค้นเอาเอง ปรากฏว่าไม่มีปลัดขิกเหลือเสียแล้ว พอบอกหลวงพ่ออี๋ว่าเหลือแต่ย่ามเปล่าๆแล้ว หลวงพ่ออี๋ก็หัวเราะล้วงเข้าไปในย่ามเปล่าๆใบนั้น แล้วล้วงหยิบปลัดขิกให้ตัวหนึ่ง


ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกตัวที่หลวงพ่ออี๋หยิบจากย่ามเปล่า

   ปลัดขิกที่หลวงพ่ออี๋เสกปลุกนั้นขลังมาก มีคุณวิเศษครบเครื่องครอบจักรวาล มีฤทธิ์ทางอยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาดมหาอุด มหาโชคมหาลาภมหาเสน่ห์มหานิยมค้าขายดี ทั้งกันทั้งแก้คุณไสยคุณผีคุณคน แก้ยาเบื่อยาสั่ง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยอสรพิษ


ภาพโดยสีหวัชร..นี่แน่ะ..หัวประธานปลัดขิกหลวงพ่ออี๋

   เรื่องปลัดขิกหลวงพ่ออี๋สยบอสรพิษ ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาแล้ว ๒ ครั้ง เหตุการณ์จะเป็นแบบเดียวกันคือมีงูเข้ามาหลังบ้าน ผู้เขียนพยายามจะจับงูแล้วนึกถึงเรื่องปลัดขิกหลวงพ่ออี๋สยบงูได้ จึงได้ทดลองเอาปลัดขิกหลวงพ่ออี๋รัดหนังสติ๊กเข้ากับปลายไม้ แล้วทดลองเอาปลัดขิกจี้ไปที่ตัวงูที่กำลังชูคอเตรียมสู้ ปรากฏว่าพอแหย่ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋เข้าไปใกล้ๆตัวงูเท่านั้น งูก็คล้ายหมดแรงไปเฉยๆแน่นิ่งอยู่ พอเอาปลัดขิกหลวงพ่ออี๋จิ้มไปที่ตัวงู งูก็ง่อก่องอขิงหงายท้อง ผู้เขียนจึงจับงูใส่ถุงรอให้เทศบาลมาเก็บ เกิดเรื่องที่ลองใช้ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ ๒ ครั้ง ได้ผลแบบเดียวกัน

   เมื่อค้นข้อมูลของงูดูแล้ว ปรากฏว่าครั้งหนึ่งเป็นงูกะปะ อีกครั้งหนึ่งเป็นงูแมวเซา

   เรื่องงูเข้าบ้านนี้เกิดนับสิบๆครั้งเพราะบ้านอยู่ติดกับแปลงสวนผักเก่าซึ่งเจ้าของไม่มาดูแล จึงทั้งรกทั้งชื้นเหมาะกับเป็นรังอสรพิษมาก ผู้เขียนจึงได้มีโอกาสทดลองฤทธิ์ปลัดขิกของพระอาจารย์ต่างๆ นอกจากปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋แล้ว ปลัดขิกที่เป็นของพระอาจารย์รุ่นหลังที่ลองใช้กับงูแล้วสยบงูได้ แต่ตอนหลังเจอแต่งูเขียวหางไหม้ ซึ่งก็เป็นงูมีพิษเหมือนกัน ก็มีปลัดขิกของหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน หลวงพ่อแลวัดพระทรง หลวงปู่ปรงวัดห้วยเจริญสุข หลวงพ่อไสววัดปรีดาราม ส่วนปลัดขิกของพระอาจารย์อื่นอีกหลายรูปไม่ได้ทดลอง เพราะหยิบไม่ทัน 


ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกหลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน

ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกหลวงพ่อแลวัดพระทรง

   ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋และหลวงพ่อเหลือ จะดังมากเพราะมีประสบการณ์อัศจรรย์ในครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ และต่อมาถึงสงครามอินโดจีน ผู้ที่มีปลัดขิกของทั้งสองหลวงพ่อนี้ ต่างรอดปลอดภัยจากภัยสงคราม มีทั้งที่ถูกระเบิด ถูกยิง แต่ไม่ระคายผิวเลย หรือเป็นแคล้วคลาดจากภัยไปได้ ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋หลวงพ่อเหลือนี้ จัดเป็นเครื่องรางของขลังในฝันของนักนิยมพระเครื่องรางของขลัง ซื้อขายกันแพงมากๆ

   อภินิหารปลัดขิกที่ต้องขอบอกว่า ผู้เขียนหรือแอดมินนี้ถือว่าเป็นอภินิหารที่เป็นสุดยอดของสุดยอดไร้เทียมทานที่สุด เคยได้ยินมาจากผู้ที่ใช้ปลัดขิกของ หลวงพ่ออี๋ หลวงพ่อเหลือ หลวงปู่เมฆ หลวงพ่อไสว เป็นประสบการณ์แบบเดียวกันเลย โดยเฉพาะหลวงพ่อไสวนั้น ได้เจอเจ้าตัวผู้ที่มีประสบการณ์เรื่องนี้ถึงสองคน โดยเจอที่วัดหลวงพ่อไสว


ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกงาช้างหลวงพ่อไสว

   ที่ว่าเป็นประสบการณ์ปลัดขิกอภิมหาศักดิ์สิทธิ์ก็คือ ท่านผู้ที่ใช้ปลัดขิกของทั้งสี่หลวงพ่อนั้น ทุกคนเป็นผู้หญิงสาวที่มีผู้ชายหมายปองมาก แต่แล้ววันหนึ่งเคราะห์ร้าย โดนผู้ชายที่มาหลงรักเธอนั้นฉุดไปเพื่อข่มขืน แรงผู้หญิงสู้แรงหื่นของผู้ชายไม่ได้อยู่แล้ว จึงโดนจับกระชากเสื้อผ้าเปลื้องออกเพื่อเตรียมข่มขืน แต่แล้วมหัศจรรย์ปลัดขิกพระอาจารย์ก็สำแดงเดช ขณะที่ชายคนร้ายผู้หื่นกระหายสามารถถอดผ้าถุงหรือกางเกงในออกจนล่อนจ้อน พอจะลงมือข่มขืนก็ต้องช็อคหมดอารมณ์หื่นทันที เพราะเห็นตรงหว่างขาหรืออวัยวะเพศหญิงนั้น กลายเป็นอวัยวะเพศชายขนาดใหญ่ผงาดอยู่ จึงตกใจนึกว่าผู้หญิงนั้นเป็นกระเทย กลายเป็นว่าคนที่จะข่มขืนผู้หญิงที่มีปลัดขิกมหาวิเศษ กลับต้องรีบวิ่งหนีไปเพราะความตกใจเพราะเจอกระเทย อภินิหารขนาดนี้นับว่าเป็นที่สุดของที่สุดจริงๆ

   เครื่องรางปลัดขิกนั้นไม่ได้นิยมใช้กันเฉพาะผู้ชาย คุณผู้หญิงทั้งสาวแก่แม่หม้ายต่างก็มีใช้เป็นวัตถุมงคลไม่น้อย ถึงขนาดว่าเมื่อราวๆสามสิบปีก่อนดังที่สุดคือ ผู้ประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์เอาปลัดขิกเหน็บซ่อนไว้ที่มวยผม แล้วได้ตำแหน่งชนะเลิศในปีนั้น เรื่องนี้ฮอฮามากจนเรียกเธอว่า นางงามปลัดขิก นางงามท่านนี้ยอมรับด้วยว่าเป็นเรื่องจริง ส่วนเธอจะเป็นใครลองค้นข้อมูลดูเพราะมีเยอะ และนางงามท่านนี้ยอมเปิดเผยด้วย เธอเป็นคนดีมากคนหนึ่ง




   ที่ใช้ปลัดขิกเป็นของขลังกันมากก็คือบรรดาแม่ค้าทั้งหลายนั่นเอง โดยมากจะมีปลัดขิกใส่ไว้ในกระป๋องสตางค์ บางแม่ค้าเล่นเอาปลัดขิกตัวใหญ่ๆมาโชว์กันเลยทีเดียว นัยว่าเรียกคนเรียกลูกค้าเข้าร้านดีนัก ถ้าลูกค้าเบี้ยวเงิน ยังใช้ปลัดขิกเป็นอาวุธตีหัวกบาลได้ด้วย แม่ค้าทั้งหลายพอเปิดร้าน ก็จะต้องเอาปลัดขิกมาจิ้มๆที่ของที่จะขาย หลายๆราย(เคยเห็น)เอาปลัดขิกอันเบ้อเร่อมากำหนดจิต แล้วชี้ปลัดขิกวนๆไปเป็นเขตมนตรารอบๆร้านกันเลยทีเดียว

   อภินิหารปลัดขิกอีกเรื่องที่ต้องมีมาเป็นประจำทุกปีคือ ตอนที่ลือกันว่ามีผีแม่หม้ายออกอาละวาดจับผู้ชายไปทำผัว สิ่งทีชาวบ้านทั้งประเทศนึกออกว่าใช้ป้องกันผีแม่หม้ายนี้ได้ จะต้องนึกตรงกันหมดว่า ต้องเอาปลัดขิกมาตัวใหญ่ยักษ์วางไว้ที่หน้าประตูบ้าน เมื่อผีแม่หม้ายมาเห็นปลัดขิกก็จะเปลี่ยนใจไม่เอาชีวิตผู้ชายในบ้านนั้น

   ดังนั้นเมื่อมีข่าวผีแม่หม้ายขึ้นมาคราวใด เมื่อนั้นตามหน้าบ้านหรือทางเข้าหมู่บ้าน จะต้องมีปลัดขิกใหญ่ๆไปจนถึงใหญ่ยักษ์ ตั้งผงาดรอโชว์ผีแม่หม้ายทันที




   ผู้เขียนหรือแอดมินเคยพบประสบการณ์คุณวิเศษปลัดขิกของหลายๆพระอาจารย์ เมื่อพบว่าปลัดขิกของพระอาจารย์ท่านใดขลังจริง ก็จะคอยเช่าหาเก็บไว้มากๆ แต่ก็ถูกคนรู้จักกันมาขอปลัดขิกไปมากเหมือนกัน บางทียังมาขโมยด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้ามีของดีของขลังเก็บไว้ ก็อย่าบอกใครดีกว่า

   อภินิหารปลัดขิกทางด้านมหาเสน่ห์ก็เคยเจอหลายครั้ง หลายครั้งก็แปลกมากด้วย เช่น ครั้งหนึ่งจะไปทำงานภาคสนามแต่ขี้เกียจขับรถ จึงได้เดินทางคนเดียวโดยนั่งรถทัวร์ไปสุดเขตแดนใต้ บังเอิญที่คนนั่งข้างๆเป็นผู้หญิงสาวสวย แต่ผู้เขียนรักษาความเป็นสุภาพบุรุษพยายามนั่งไม่ให้มีการเบียดชิดกัน ด้วยความที่มีปลัดขิกติดตัวไปด้วยตัวหนึ่ง พอไม่มีอะไรทำก็เลยจับปลัดขิกที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง แล้วภาวนาคาถาปลัดขิกไปเล่นๆไม่ได้คิดอะไรเลย



ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกงาช้าง หลวงปู่ปรง

   แต่แล้วอยู่ๆสาวสวยที่นั่งข้างๆก็คล้ายๆเคลิ้ม เธอสอดแขนเข้ามาควงแขนผู้เขียนแบบตาลอยๆงงๆ แล้วก็ซบบ่าผู้เขียนไปเหมือนเป็นแฟนกัน ผู้เขียนตกใจงงไปเหมือนกัน แต่ก็ยังรักษาความเป็นสุภาพบุรุษนั่งเฉยๆให้เธอเกาะแขนซบไหล่หลับไป ขนาดถึงที่พักรับประทานอาหารกลางทาง เธอก็ยังมีแววตาลอยๆงงๆมานั่งรับประทานอาหารด้วยกันสองคน แล้วก็ขึ้นรถซบไหล่หลับต่อ 

   เรื่องนี้แปลกมาก และเธอก็มีลักษณะเป็นผู้หญิงดีมีการศึกษา ไม่ใช่คนใจง่ายแน่นอน เหตุการณก็ผ่านไปจนเช้าด้วยความปกติของสุภาพบุรุษ บังเอิญว่าเธอต้องลงกลางทางก่อนที่หมายของผู้เขียน สังเกตว่าเธอสะอื้นแล้วลงรถยืนมองมาแบบสงสัยว่าผู้เขียนนี้เป็นใคร แสดงว่าอำนาจสะกดของปลัดขิกได้ถอนออกมาแล้ว เรื่องนี้แปลกจริงๆ

ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกมหาเสน่ห์

  ยังมีเรื่องแปลกกว่านี้อีก เรื่องนี้มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เรื่องมีอยู่ว่าราวๆยี่สิบปีก่อนขณะที่อยู่ในวงสนทนากันในหมู่พวกพ้อง ในวงสนทนามีผู้หญิงอยู่หนึ่งคนนอกนั้นเป็นชาย เมื่อคุยกันไปสักพักพวกผู้ชายก็กลับมาคุยกันเรื่องปลัดขิกของพระอาจารย์ต่างๆที่ดังในยุคนั้น แถมยังเอาปลัดขิกออกมาโชว์กันต่อหน้าผู้หญิงคนดังกล่าว

   ผู้หญิงคนนี้จึงแกล้งพูดเล่นขำๆว่า "โธ่เอ๊ย..ไอ้จู๋ปลอมตัวเล็กกระจิ๋วแค่นี้มันจะมีพิษสงอะไร แน่จริงมาเอาฉันสิ เห็นฉันอย่างนี้ ฉันเอามันนะโว๊ย" พูดพร้อมทั้งหยิบปลัดขิกตัวเล็กๆขึ้นมาดูแล้วโยนลงบนโต๊ะ แล้วบ่นว่าเล่นเดรัจฉานวิชากันอยู่ได้ ทุกๆคนเห็นเหตุการณ์นี้


ปลัดขิกไม้รัก

   เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้านทางใครทางมัน สักชั่วโมงผู้หญิงก็โทรมาเล่าแบบตกอกตกใจว่า พอกลับจะถึงบ้านก็รู้สึกเจ็บเหมือนโดนจิ้มที่ใต้เอว ตอนแรกนึกว่ากางเกงเอวคับ แต่แล้วสักพักก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะอยู่ๆก็มีอะไรชอนไชเข้าไปถึงกางเกงใน และมุดๆจิ้มๆเข้าไปจะเข้าในอวัยะเพศหญิง เลยกลัวว่าเป็นพวกผึ้งจึงรีบเข้าร้านอาหารแล้วรีบเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าเจ้าสิ่งนี้ได้มุดไปจ่อที่อวัยวะเพศแล้ว สิ่งนี้ก็คือปลัดขิกตัวที่ไปท้าทายแล้วโยนลงโต๊ะนั่นเอง

    ภายหลังได้เล่าว่าตอนนั้นอยู่ๆก็เกิดอารมณ์เคลิ้มตอนที่ปลัดขิกเลื้อยจะเข้าไปในอวัยเพศ แกบอกพวกในวงสนทนาว่ารู้สึกสยิวมากเหมือนร่วมเพศ และถึงกับเหนื่อยหมดแรง แกพูดมาแล้ววงสนทนาต้องสะดุ้งโหยง เพราะแกเล่าว่า กางเกงในแฉะไปหมดเลย เรื่องนี้มีพวกในวงสนทนารับรู้กันด้วย

   เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ท่านว่ามหัศจรรย์ปลัดขิกไหมล่ะ...

  


ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกไม้เขยตาย หลวงปู่เมฆวัดลำกระดาน

  หลวงพ่อยิดวัดหนองจอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ท่านเป็นพระอาจารย์อีกรูปที่เสกปลัดขิกได้ขลัง และเสกปลัดขิกจนกระดุกกระดิกได้ เรื่องนี้ผู้เขียนเคยเห็นมาแล้วด้วยตัวเอง ครั้งที่เห็นนั้นหลวงพ่อยิดยังไม่เป็นที่รู้จัก ประมาณว่าหลัง พ.ศ.๒๕๒๕เล็กน้อยไม่เกิน พ.ศ.๒๕๓๐ เรื่องมีอยู่ว่าหลวงพ่อยิดมาร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตอนนั้นท่านบวชเป็นครั้งที่สองได้เกินสิบพรรษาแล้ว 

   เนื่องจากหลวงพ่อยิดยังไม่ดังจึงไม่ค่อยมีใครมากวนให้ท่านลงโน่นลงนี่ให้ ผู้เขียนหรือแอดมินนี้มองดูหลวงพ่อยิดแล้วก็รู้สึกว่า พระรูปนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ จึงยกมือไหว้แล้วยิ้มให้ท่าน ท่านก็ยิ้มๆแล้วขยับย่ามมาวางไว้ข้างหน้า จากนั้นท่านเสกภาวนาอะไรสักครู่ ปรากฏว่าย่ามที่ท่านวางไว้นั้นมองเห็นว่ามีอะไรขยับได้อยู่ภายในย่าม ย่ามของท่านก็ไม่ได้มีอะไรใส่ไว้มากเพราะมองเห็นว่าย่ามแฟ่บๆแบนๆ แต่มีอะไรดุกๆดิกๆทิ่มย่ามจนนูนขึ้นมา ผู้เขียนไหวตัวทันว่าเจอทีเด็ดเข้าให้แล้ว จึงชะโงกมองย่ามท่านตรงๆแล้วยกมือไหว้อีก

   ท่านหัวเราะแล้วว่าท่านไม่มีพระมาแจก มีแต่นี่ตัวเดียวติดย่ามไว้ แล้วท่านก็หยิบของสิ่งนี้ออกมา ปรากฏว่าเป็นปลัดขิกยาวสี่นิ้วฟุต ลงอักขระด้วยปากกากันน้ำ อักขระที่ลงไว้นั้นท่านลงเต็มไปหมด แล้วท่านก็ประสิทธิ์ให้

   หลังจากนั้นมาหลวงพ่อยิดก็เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีผู้เลื่อมใสท่านทั่วประเทศ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ทั้งดังและขลังระดับต้นๆของประเทศไทย


ปลัดขิกหลวงพ่อยิดตัวที่ท่านหยิบจากย่าม

ศิลปะในปลัดขิก

   ปลัดขิกเป็นเครื่องรางที่เดิมนั้นต้องเป็นของแกะสลักมาเป็นอันๆ เรียกว่าเป็นของแฮนด์เมดนั่นเอง จึงมีหลายหลากฝีมือ บางทีก็เป็นการแกะแบบบ้านๆ คือเหลาไม้มาทู่ๆก็พอ แบบนี้บางทีนึกว่าเป็นดินสอ บางทีก็บรรจงแกะสลักจนเหมือนของจริงทีเดียว บางทีก็ใส่จินตนาการให้มีลิงเกาะปลัดขิกคือแบบที่เรียกปลัดขิกลิงขี่ บางทีก็ทำเป็นเสือเกาะ จิ้งจกเกาะ ทีเด็ดที่สุดก็คือแกะเป็นรูปผู้หญิงเปลือยกายนอนหงายอ้าซ่าอยู่บนตัวปลัดขิก เรียกว่าปลัดขิกนางแอ่นหรือนางครวญ แบบนี้ต้องขอบอกว่าจินตนาการสุดอาร์ตอีโรติกชะมัด ปลัดขิกยุคหลังๆยังยิ่งไปกว่านั้น เพราะเล่นทำเป็นมีผู้หญิงแก้ผ้าหลายๆนางล้อมกอดปลัดขิก แต่ผู้เขียนเห็นว่าปลัดขิกนางครวญนี่แหละที่เป็นสุดยอดของสุดยอดศิลปะในบรรดาปลัดขิกทั้งหมด ก็ทั้งแอ่นทั้งครวญคราง สุดยอดงานศิลปะจริงๆ


ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกนางครวญหรือนางแอ่น

   ไปๆมาๆกลับมีตำนานการจำแนกฤทธิ์ปลัดขิกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ นัยว่าน่าจะเป็นเรื่องคิดกันขึ้นมาใหม่ คือให้ปลัดแบบต่างๆมีอิทธิฤทธิ์แตกต่างกันไป ประมาณว่า

ปลัดลิงขี่ ใช้ทางค้าขายดี

ปลัดจิ้งจกขี่ ใช้ทางเล่นการพนัน

ปลัดเสือขี่ ใช้ทางมหาอำนาจหนังเหนียวคงกระพัน

ปลัดนางครวญ ใช้ทางเจ้าชู้มหาเสน่ห์



   นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีปลัดขิก ๑๒ นักษัตร คือมีสัตว์ตามปีเกิดขี่ปลัดขิกกับเขาด้วย ตามตำนานใหม่ซึ่งไม่รู้มาจากไหนเขาว่า ใช้เสริมดวงตามปีเกิด เออ..แน่ะ ใช้ปลัดขิกให้เขาทำงานแบบสารพัดเลย

วัสดุที่ใช้ทำปลัดขิก

   ปลัดขิกไทยๆโดยมากใช้ไม้ และว่ามีสรรพคุณต่างๆแถมมากับชนิดของไม้ด้วย เช่น

ไม้คูณ เชื่อว่าปลัดขิกที่ทำจากไม้คูณจะมีมหาลาภค้าขายดีด้วยเคล็ดคำว่า คูณ และคงกระพัน

ไม้ทองระอา(ชองระอา) เชื่อว่าใช้แล้วรวยและกันพิษแมลงสัตว์กัดต่อย

ไม้พญาดำดง เชื่อว่ามีมหาอำนาจ

ไม้รัก เชื่อว่าดีทางมหาเสน่ห์มากเป็นพิเศษ

ไม้ขนุน เชื่อว่าดีทางร่ำรวย

ไม้ปรู เชื่อว่ากันแก้พิษกันคุณไสยดีเป็นพิเศษ

ไม้พยุง(หลวงพ่อแลวัดพระทรงเรียกไม้เจริญสุข) เชื่อว่าดีเยี่ยมทางเจริญรุ่งเรือง

ไม้ตาล เชื่อว่าดีทางหนังเหนียวคงกระพัน

ไม้เขยตาย เชื่อว่ามีมหาอำนาจ แต่ไม่ทราบว่ามาจากคติอะไร มีแต่ได้ยินเขาเล่าขานต่อๆกันมา ไม้ชนิดนี้หลวงปู่เมฆวัดลำกระดานท่านใช้มาก

กัลปังหา เชื่อว่าดีทางป้องกันภัย

งาช้าง เชื่อว่ามีมหาอำนาจกันยาเบื่อยาสั่ง

สากกะเบือแม่หม้าย สากกะเบือมักทำจากไม้ตาล แต่ถ้าเป็นไม้ตาลแปรรูปเป็นสากกะเบือ แล้วมีแม่หม้ายเอาไปใช้แล้ว จะถือว่าดีที่สุด มีเคล็ดด้วยว่าต้องเป็นแม่หม้ายลูกโทนเป็นชาย หรือแม่หม้ายที่มีลูกคนโตเป็นชายก็ได้ และต้องเป็นแม่ค้าขายกับข้าวด้วย ถ้าครบอย่างนี้คือสุดยอดสากกะเบือแม่หม้าย ให้ไปจ้องขโมยเอามาทำปลัดขิกให้ได้(ผู้เขียนเคยได้สากะเบือแม่หม้ายมาสี่อัน..ไม่ใช่ได้แม่หม้ายนะ)

   สากกะเบือแม่หม้ายที่ถูกต้องตามตำราทุกอย่างนี้หาลำบากสักหน่อย เพราะแม่หม้ายที่เป็นแม่ค้านั้น ตามสถิติแล้วจะปากจัดอันตรายมาก คนขโมยสากกระเบืออาจพลาดถูกสากกะเบือตีกบาลเอาได้ง่ายๆ นักนิยมปลัดขิกเชื่อกันว่า สุดยอดของวัสดุที่ใช้ทำปลัดขิกนี้ก็คือ สากกะเบือแม่หม้าย นี่เอง

   ปัจจุบันมักทำปลัดขิกด้วยโลหะชนิดต่างๆ เพราะสะดวกในแง่พานิช และออกแบบได้สวยงาม

คาถาเสกปลัดขิก

   อักขระคาถาที่ลงไว้บนตัวปลัดขิกมีหลายตำรา บางตำราก็ไม่ต้องลงอักขระไว้ให้เห็น สำหรับปลัดขิกแบบที่ลงอักขระที่พบเห็นได้ประจำก็คือ หัวใจคาถาบทหนึ่งที่เรียกว่าหัวใจโจร กัณหะ เนหะ และหัวใจธาตุทั้งสี่ นะมะพะทะ อักขระคาถาที่ใช้ลงไว้มีทั้งมากอลังการ์ กับที่ลงไว้น้อยหรือไม่ลงอักขระเลย แต่ปลัดขิกทุกแบบนี้ขลังชะมัด
   
   คาถาเสกปลัดขิกคนโบราณท่านนับเข้าเป็นแบบคาถาฤๅษี เพราะมีคำหยาบโลนแทรกในมนต์วิเศษเต็มไปหมด บางทีท่องคาถาไปก็อดขำไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา บางทีก็อายคนมาได้ยินข้อความในคาถา เลยต้องภาวนาคาถาเสกปลัดขิกเบาๆ แถมบางตำรับของปรมาจารย์ท่านยังให้เสกและแลบลิ้นแตะปลัดขิกเสียอีก การที่จะเขียนคาถาเสกปลัดขิกตรงๆนี้น่าที่จะผิดพระราชบัญญัติการพิมพ์ จึงขอพิมพ์คาถาบางบทให้ท่านที่ชื่นชอบปลัดขิก แต่ขอพิมพ์แบบให้ต่อเติมบางอักษรกันเอง เติมให้อ่านเป็นอวัยวะเพศชายหรือหญิง  ข้อนี้ไม่ยากรับรองว่าเห็นแล้วจะต้องนึกออกได้ทันที และจะเข้าใจได้เลยว่าทำไมถึงพิมพ์คาถาตรงๆไม่ได้ คาถาเสกปลัดขิกมาจากหลายสำนวน ได้เคยสอบทานจากหลายๆพระอาจารย์แล้วมีคล้ายๆกันทุกบท ซึ่งล้วนสืบทอดมาทางหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ หลวงพ่อเหลือ-หลวงพ่อจวนวัดสาวชะโงก หลวงพ่อพูนวัดใหม่ปิ่นเกลียว หลวงปู่ฉาบวัดคลองจัน  หลวงพ่อกวยวัดโฆษิตาราม หลวงพ่อยิดวัดหนองจอก หลวงพ่อไสววัดปรีดาราม

ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกกัลปังหา


บทที่ ๑
   โอม ศิวะลึงค์กำลังจะหึง สวาหะ

บทที่ ๒
   อมมะ ศิวะลึงค์ กำลังจะหึง สวาโหม นะกระด_ล่อ Hee ฮิฮิฮิ

บทที่ ๓
   โอมระรวย มะหาระรวย สามสิบสอง คว_ แห่ห้อมล้อม Hee ขายดิบขายดีแหก Hee กลับบ้าน

ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกดอกไม้พ่อปู่

บทที่ ๔
   อมมะ ละลวย มะหาละลวย สามสิบสอง คว_ แห่ห้อมล้อม Hee ขายดิบขายดีแหก Hee กลับบ้าน ถ้าขายหมดขายดี จะให้ เย็_ Hee อีกเจ็ดที

บทที่ ๕
   โอม ละลวยมะหาละลวย สามสิบสอง คว_ มาแห่ห้อมล้อม Hee ข้าวของขายดีแหก Hee กลับบ้าน หิตังหิตัง ปิยังมะมะมามา

บทที่ ๖
   โอม นะ กระด_ ดม Hee ฮิ ฮิ โอกขิก โอกขัก คึกๆคักๆ ผลุบๆ ผลัวะๆ

ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกหลวงพ่อเกิดวัดบางขุนไทร จ.เพชรบุรี

บทที่ ๗
   อมมะ น้ำสามจอก กูขึ้นไปกรอกบนหลังคา ถอกขาวถอกเขียว ถอกเยี่ยวรดผ้า ถอกค้าคนกิน ถอกอินทะนิน นะอุทธัง นะอัทโธ นะโมพุทธายะ ปิตตุ อุททะ

บทที่ ๘
   นะเฮนะฮา ประสกที่มา สีกาที่นั่ง หัวเราะให้ดัง อุกขิกตะขัก หญิงเห็นหญิงรัก ชายเห็นชายทัก คนรักทั้งเมือง พานิชพาไปค้าขาย สามเดือนได้เลื่อนเป็นเศรษฐี อุกขิกตะขัก อุกขิกตะขัก อุกขิตตะขัก ฤฤๅ ฦฦๅ นิมามานิมามา สัมปะติจฉามิ

บทที่ ๙
   อม นะฬ่อ กระด_ Hee คว_ ลุกสามที Hee เป็นนะ อะอาอิอี ตำ Hee ฉึกๆ

บทที่ ๑๐
   อมมะลึง กำลังจะหัง สวาหะ 

ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกนางครวญไม้งิ้วดำ(เขาว่ามา)

บทที่ ๑๑
โอมมะน้ำสามจอก กูจะขึ้นไปกรอกบนหลังคา
ถอกขาวถอกเขียว ถอกเยี่ยวรดผ้า

ถอกค้าคนกิน ถอกอินทะนิน
อีจ้อยกำจัดจักกระวัตเมืองแมน

พายเรือแหก Hee ตีกรรเชียงแหกแตด
ไอ้หนามขี้แรดเกี่ยว คว_ช้าง

Hee ครอบผักกระจังมัง
Hee ชาววังทาขมิ้นเหลืองอ่อน

Hee นางมอญเหลืองอ๋อย  Hee อีเป๋อดำมืดถึด
นะอุดธัง นะอัดโธ
นะโมพุทธายะ ปิดตุอุทธะ


ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกนางแอ่น

บทที่ ๑๒
   โอม น้ำสามจอก กูจะกลอกขึ้นบนหลังคา ถอกขาวถอกเขียว
ถอกเยี่ยวรดผ้า ถอกฆ่าคนตาย ถอกขายคนกิน ถอกอินทะนิน

ถอกนอกฟ้าป่าหิมพานต์ ถอกกินบ้าน ถอกกินเมือง
โอมอีจ้อยจักกระวัต ยกกระบัตรเมืองนนท์

ขุนพลนพบุรี พายเรือแหก Hee ตีกรรเชียงถอกแตด
นอนหงายแตดแห้ง นอนตะแคงแตดชุ่ม

โอมมะรุมมะรุม พอทำเนาเอาเถิด หนามขี้แรดเกี่ยว คว_ ช้าง
คน Hee กว้างสะบัดเหนียก คน Hee เปียกสะบัดหนอก

โอมน้ำสามจอก รดหัวถอกไม่หนาว ขี้ปาวน้ำมะเหนียก ขี้เปียกน้ำมะนาว
เพี้ยง อะสังวิสุโลปุสะพุภะ แหกแยกตะลุมเปรอะ

อุตตุอัตตะ อัตตะอุตตุ สัมปิด อุดอัด พัดอุด
นะปิดลูก โมปิดดิน พุทปิดไฟ ธาปิดปากกระบอก ยะมิให้ออก

ด้วยอิกะวิติ ติวิกะอิ อะระหังเพชชะ เพชชะคงคง
พุทธังคงเนื้อ ธัมมังหนัง สังฆังคงกระดูก

ทรหด อมคง คงทั้งนั่งคงทั้งยืน คงทั้งหลับคงทั้งตื่น
คงทั้งกลางวัน คงทั้งกลางคืน โอม คงคง มะหาคงคง

คงตรีเพชชะคงคง คงกัณหะเนหะ เนหะกัณหะ
ทอระมิมิ พุทธังพระอะระหัง พันธะปิด

พุทธังพระอิติ ธัมมังพระอิติ ปิดมิด อิติเกวะพันธะยักษา
สัพพะกุมภัณทานัง ปิสาเจวะ อัพพะยายันติ

ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกนางแอ่น

บทที่ ๑๓
   อมมะศิวะลึงค์ กำลังจะหึงสวาโหม
   นะกะด_  ล่อ Hee ดอ ดา ดิ ดี ดู๋ ดี๋ ฮิ ฮิ ฮิ

บทที่ ๑๔
   โอมมะน้ำสามจอก กูจะถอกขึ้นบนหลังคา
ถอกขาวถอกเขียว ถอกเยี่ยวรดผ้า
ถอกฆ่าคนตาย ถอกขายคนกิน
ถอกอินทะนิน ถอกนอกฟ้าป่าหิมพานต์
ถอกกินบ้าน ถอกกินเมือง
โอมอีจ้อยจักกะรัต ยกกระบัตรเมืองนนท์
ขุนพลลพบุรี ถือด้ายแหก Hee 
ตีกรรเชียงถอกแตด หนามขี้แรดเกี่ยว คว_ ช้าง
คน Hee กว้างสะบัดเหนียก
คน Hee เปียกสะบัดถอก
โอมมะ น้ำสามจอก ถอกรดไม่หนาว
ขี้ปาวน้ำมะเหนียก ขี้เปียกน้ำมะนาว
แหกๆ แยกๆ สะมิด 
 อุดอัด พัดอุด อุดตุ อุดตะ
นะโมพุทธายะอุด

บทที่ ๑๕
   นะหารู นะหารู
นะหารู หะ หะ หะ
หา หา หา Hee Hee Hee
โอกขิก โอกขัก โอกทัง
ท่านปลัดจงเรียกคนให้มาคับคั่ง
ค้าขายดีดี ขิกๆ ขักๆ

Reading for foreigners
Some spells chapter of cock magic (charming, lucky, protection, Devils defense)

1. Ohm Ma, Siwa Leung, Kum Lang, Ja, Hang, Sawa Hom. (protection, Devils defense )

2.Ohm Ma, Siwa Leung, Kum Lang, Ja, Hung, Sawa Hom,
   Na, Krador, Lor, Hee, Dor, Da, Di, Dee, Do, Dee, Hi, Hi, Hi. (charming, lucky)

3.Ohm Ma, Nam Sam Jog, Ku, Khun Pai Krog, Bone Lung Kha, 
   Thog Khaw,  Thog Khieo, Thog Yiaw, Rod Pha,
   Thog Kha Khon Kin, Thog Inthanin,
   Na Oud Thang, Na Aud Tho,
   Na Mo Phut Tha Ya, Phit Tu, Oud Ta. (All available)

        All this magic is very good.




   คาถาเสกปลุกปลัดยังมีอีกมาก คาถาที่ไม่หยาบโลนก็พอมีบ้างเหมือนกัน เป็นพวกคาถาค้าขาย คาถาขอ แต่ฟังแล้วมันไม่สะใจเท่าคาถา โอมมะ น้ำสามจอก ฯ คาถานี้ฟังแล้วอีโรติกดีชะมัด

  ข้อมูลจากพระอาจารย์ต่างๆที่ได้เคยไปกราบนมัสการเช่น หลวงพ่อจวนวัดสาวชะโงก หลวงพ่อแลวัดพระทรง หลวงปู่ฉาบวัดคลองจัน หลวงพ่อไสววัดปรีดาราม หลวงปู่ปรง หลวงพ่อเกิด และท่านพ่อตาอดีตนายทหารเรือกองบินสัตหีบศิษย์หลวงพ่ออี๋,จากหนังสือเทวนิยายของท่านอาจารย์ ส.พลายน้อย 

ภาพของสีหวัชร อนุญาตให้นำไปใช้ได้ตามสะดวกครับท่าน






ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋


ภาพโดยสีหวัชร ปลัดขิกหลวงปู่เมฆ

ปลัดขิกหลวงปู่เมฆตัวจิ๋ว


ปลัดขิกนางครวญ



ปลัดขิกทองเหลืองหลวงพ่อไสววัดปรีดาราม จ.นครปฐม

ปลัดขิกจิ้งจกขี่







ปลัดขิกนางครวญ

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น