วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย.23

 


ควายธนู วัวธนู  khwāy thanu , ww thanu

Magic buffalo , Magic cow

Magical weapons in the shape of buffalo and cow 

หลายปีมานี้ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า มีท่านผู้รู้เผยแพร่ข้อมูลทางด้านไสยเวทกันมากจนน่าแปลกใจ บางทีน่าขำ บางทีน่าระแวง บางทีน่าชื่นชม ข้อมูลทางด้านไสยมีมากขนาดปลิวว่อนในโซเชี่ยล ท่านผู้เสพข้อมูลก็เสพๆกันไปอย่างเพลิดเพลิน

  จากข้อมูลตั้งเยอะตั้งแยะที่เผยแพร่กันมานั้น บางทีข้าพเจ้าดูแล้วก็นึกออกว่า เป็นข้อมูลในหนังสือพระเมื่อ 50ปีก่อนบ้าง 30ปีก่อนบ้าง บางข้อมูลก็มาจากรุ่นน้องโพสต์อำเล่นในโซเชี่ยลเมื่อ 20กว่าปีก่อน และโคตะระหลายๆข้อมูลดัดแปลงมาจากข้อมูลเก่ามาเป็นของผู้โพสต์ใหม่บ้าง ประมาณว่าโชว์สกิลจอมเวท ท่านผู้เสพข้อมูลก็ยังมีหน้าที่หลักคือเสพข้อมูลด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อไป โดยลืมพิจารณาข้อมูลนั้นๆ-

  ข้าพเจ้าจำได้ว่า หนังสือที่เป็นแหล่งข้อมูลเรื่องวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังที่จัดพิมพ์เป็นเล่มแรกๆนั้น ที่ทำไว้เรียบร้อยเป็นรูปเล่มมาตราฐาในยุค 50กว่าปีก่อน จะเป็นหนังสือของท่านอาจารย์ พินัย ศักดิ์เสนีย์ ซึ่งท่านเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม จำได้ลางเลือนว่า ชื่อ อ.พินัย ศักดิ์เสนีย์ นี้เป็นชื่อนามปากกา นามจริงของท่านจะเป็นอาจารย์พินิตย์ นิลวิเชียร หรือไม่เพราะจำแบบเลือนลางเต็มที

  ตอนที่ข้าพเจ้ายังเด็กยังเคยเปิดอ่านหนังสือของท่าน อ.พินัย ศักดิ์เสนีย์ เล่มที่ท่านเล่าถึงพวกเครื่องรางของขลัง จำได้ลางๆว่าชื่อ...ตำรับเครื่องรางของขลัง...เปิดอ่านที่ร้านเขษมวรรณกิจ อยู่ในเวิ้งนาครเขษมซึ่งใกล้บ้านเดิมข้าพเจ้า ได้ซื้อเก็บเอาไว้หลายครั้ง แต่โดนยืมแบบถาวรไปทั้งหมด...ข้อมูลทางของขลังที่พรีเซ้นต์กันในปัจจุบันหลายเรื่อง น่าจะมาจากหนังสือเล่มนี้ แต่ไม่มีการกล่าวถึงแหล่งข้อมูลดั้งเดิม ท่านผู้โพสต์อาจฟังเขาเล่าโดยไม่รู้ที่มาก็ได้

  ข้อมูลที่คิดมาอ่ำเล่นมั่วๆเมื่อ20กว่าปีก่อนของรุ่นน้องข้าพเจ้าตั้งหลายเรื่อง มาถึงปัจจุบันยังกลายเป็นบทบันทึกแห่งความโคตรศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่านจอมเวทในยุคนี้เอามาโชว์สกิล

  ท่านผู้เขียนเล่าเรื่องยุคเก่าท่านหนึ่ง ท่านเขียนเรื่องอ่านแล้วสนุก เขียนเล่นเรื่องอภินิหารล้ำลึกไว้หลายเรื่อง ท่านมีความรู้ทางด้านวิทยาคมเหมือนกัน จึงเล่าเรื่องแทรกอิทธิปาฏิหาริย์อ่านได้สนุก ข้าพเจ้าเรียกท่านว่า ลุง บังเอิญว่าลุงแกดันบังเอิญเป็นศิษย์นับว่าเป็นสายเดียวกันกับข้าพเจ้าได้สายหนึ่ง ข้าพเจ้ายังเคยอุดหนุนซื้อของจากท่านหลายครั้ง ลุง ประถม อาจสาคร

  เรื่องที่ลุงแกเขียนเอาไว้ ในปัจจุบันกลายเป็นตำนานพันๆปีไปได้ด้วย หลายเรื่องกลายเป็นวิทยายุทธลับของสำนักนั้นสำนักนี้ และแน่นอนว่า เรื่องที่ลุงแกเขียนไว้ ก็เป็นข้อมูลที่มีในโซเชี่ยล แต่ไม่บอกที่มาว่าเป็นข้อมูลของลุงแกเลย


ข้อมูลของลุงที่มีนำเสนอกันเยอะ และกลายเป็นข้อมูลที่ไม่บอกที่มาข้อมูลว่าเป็นของลุงนั้น ข้อมูลฮิตข้อมูลหนึ่ง ก็คือเรื่อง...วัวธนู...คุณลุงเขียนไว้ในหนังสือพระฉบับหนึ่ง นานราวๆ 30กว่าปีก่อน

  คุณลุงเล่าเรื่องวัวธนูไว้ละเอียดมาก ลุงว่าครูอาจารย์เล่าให้ฟัง เคยเห็นมาบ้าง...ซึ่งข้อมูลของคุณลุงบางส่วนก็คล้ายกับข้อมูลที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินจากผู้หลักผู้ใหญ่ยุคเก่า ขอเล่าเรื่องวัวธนูตามที่ลุงแกเขียนไว้ เอาเท่าที่จำได้ ส่วนหนังสือที่มีบทความของลุงแก โดนปลวกกินเสียหาย

ชนิดของวัวธนู...ลุง ประถม อาจสาคร...เล่าไว้ประมาณนี้ เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้นะ

  ลุงประถมเล่าเอาไว้ว่า วัวธนูมี 3 ชนิด คือ

1.วัวธนูสานจากเส้นตอกไม้ไผ่

2.วัวธนูทำจากครั่ง หรือขี้ผึ้ง

3.วัวธนูทอง ทำจากโลหะ

  วัวธนู และควายธนู จัดว่าเป็นของขลังที่มีอำนาจมีอาถรรพ์ ลุงแกเล่าไว้ในหนังสือดังนี้(จำมาได้แบบย่อๆ)

1.วัวธนูสานจากตอกไม้ไผ่....เป็นวัวธนูแบบใช้ในเวลาฉุกเฉิน ประมาณว่าทำใช้ชั่วคราวเฉพาะหน้า จะใช้เส้นตอกมาสานเป็นรูปวัวแบบคร่าวๆ เสกปลุกวัวธนูไม้ไผ่แล้วใช้เดี๋ยวนั้น มีเรื่องเล่าประกอบว่า

                              วัวธนูแบบเส้นตอกสาน ครูบาอภิวัฒน์ อินฺทวณฺโณ วัดทุ่งโป่ง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

มีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินโดดเดี่ยวอยู่ เมื่อผ่านไปทางวัดร้าง(ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิดนะ) ก็มีตาผ้าขาวเดินมาอาราธนาให้พระท่านเข้าไปอยู่ในโบสถ์ร้างนั้นก่อน เพราะกำลังจะมีอันตรายเกิดขึ้น

  เมื่อพระและตาผ้าขาวเข้าไปอยู่ในโบสถ์ร้างแล้ว ตาผ้าขาวก็เอาเส้นตอกมาสานเป็นวัวธนู เส้นตอกก็คือไม้ไผ่ที่ใช้มีดผ่าฝานออกมาเป็นเส้นๆ เรียกว่า จักตอก เอามาสานสิ่งต่างๆ เช่น พัดสาน กระบุง ตะกร้า

  สักพักก็มีเสียงดังกร๊อบแกร๊บเหมือนเสียงเดินตรงเข้ามา เสียงเดินวนรอบโบสถ์ร้าง และมีเสียงดังเหมือนว่าสิ่งนั้นจะพยายามบุกเข้ามา ตาผ้าขาวจึงบริกรรมแล้วเอาวัวธนูที่สานไว้สอดลอดช่องว่างประตูโบสถ์(หรือหน้าต่าง..จำไม่ได้)ออกไป

  จากนั้นก็มีเสียหายใจดังๆของวัวหรือควาย และมีเสียงเหมือนสัตว์ใหญ่ต่อสู้กัน ที่แท้เสียงเดินเข้ามานั้นก็คือ เสือสมิง...ทีนี้ลุงประถมแกเล่าว่า ตาผ้าขาวค่อยๆสอดเส้นตอกสานออกไปอีก (นัยว่าลุงแกหมายถึงมีเสือสมิงเกินกว่า 1 ตัว...จำไม่แม่นแล้ว)

  ในที่สุดเสียงต่อสู้ก็เงียบไป วัวธนูเส้นตอกของตาผ้าขาวปราบเสือสมิงได้อยู่หมัด

  2.วัวธนูทำจากครั่ง ขี้ผึ้ง...วัวธนูหรือควายธนูแบบนี้ จะใช้ครั่งที่จับบนต้นพุทรา ถ้าได้ครั่งที่จับกิ่งทิศตะวันออกก็ยิ่งดี ถ้าใช้ขี้ผึ้ง ก็ใช้ขี้ผึ้งอาถรรพ์ เช่นขี้ผึ้งปิดหน้าผี เอามาปั้นเป็นวัวธนูหรือควายธนู แล้วเสกปลุกให้ขึ้นให้ขลัง จัดว่าวัวชนิดนี้มีฤทธิ์เหนือชั้นกว่าวัวธนูแบบสานด้วยตอก

วัวธนูทำจากครั่ง


3.วัวทอง(วัวธนูทอง)....แบบนี้เป็นวัวที่หล่อโลหะ มีการผสมโลหะที่ถือว่ามีอาถรรพ์ผสมลงไปด้วย เช่นตะปูตอกโลง ตะปูโบสถ์ โลหะอาถรรพ์ต่างๆ รวมทั้งแผ่นยันต์ตามตำรับนั้นๆ วัวทองเป็นวัวธนูที่มีฤทธิ์สูงสุด บางตำรามีเด็กเลี้ยงวัวหล่อโลหะคู่กันมาด้วย...ลุงประถมแกเล่าประกอบเรื่องวัวทองว่า

                                                  วัวธนู ล.พ.พุฒ วัดกลางบางพระ ภาพจากเว็บ G-Pra


  มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้แวะพักแรมกลางทาง บังเอิญว่าที่พักใกล้กับป่าช้าเก่าของย่านนั้น เป็นย่านที่มีภูติผีปีศาจดุนัก แล้วพอกลางดึกก็เจอปีศาจร้ายจริงๆ ท่านอาจารย์จึงต้องปล่อยวัวธนูทองออกไปสู้กับผีร้าย วัวธนูเอาชนะผีร้ายไปได้หลายตัว

  ในที่สุดวัวธนูทองก็ต้องเจอกับนายป่าช้าที่มีฤทธิ์มากกว่าผีที่แล้วมา วัวธนูพลาดท่าโดนนายป่าช้าตีจนเขาของวัวธนูหักไปข้างหนึ่ง ท่านอาจารย์จึงต้องปล่อยเด็กเลี้ยงวัวออกไปสู้กับนายป่าช้า ถึงจะสู้นายป่าช้าได้

  เรื่องวัวธนูที่ลุงประถมเล่าไว้ในหนังสือ ข้าพเจ้าจำได้คร่าวๆประมาณนี้เอง ข้อมูลของลุงประถมพอถึงปัจจุบัน ก็นับว่านานราวๆจะ 50ปีแล้ว นานจนกลายป็นข้อมูลไม่รู้ที่มา หรือรู้แต่ไม่กล่าวถึงต้นทาง..ละมั๊ง

ข้อมูลวัวธนูควายธนูจากแหล่งอื่น

    เท่าที่ได้เคยสอบถามพระอาจารย์ต่างๆถึงเรื่องควายธนูวัวธนู ก็ได้รายะเอียดทำนองเดียวกับข้อมูลวัวธนูลุงประถมที่กล่าวมาข้างต้น แต่ยังมีสิ่งที่แตกต่างกันบ้างดังนี้

  เรื่องวัวธนูนี้ ข้าพเจ้าเคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่ยังเด็ก ครั้งแรกก็ 50กว่าปีก่อน แต่ได้ยินเป็นเรื่อง ควายธนู คือตอนเด็กยังไม่ได้ยินคำว่าวัวธนูเลย ข้อนี้น่าจะเป็นเพราะในแถบนั้นเขานิยมเลี้ยงควายไว้ไถนามากกว่า เมื่อทำของขลังอาถรรพ์เป็นวัวธนูควายธนู ผู้เล่นอาคมแถบนั้นจึงทำแต่ควายธนู ข้าพเจ้าในวัยเด็กได้ฟังเรื่องเล่าก็มีแต่ควายธนูทั้งนั้น และได้เห็นผลจากการที่ควายธนูผ่านมาลองของ แถบที่ว่านั้นก็คือ จ.ปราจีนบุรี ดินแดนแห่งยาสั่งนั่นเอง

  มารดาของข้าพเจ้าเป็นคน จ.ปราจีนบุรี และหมู่บ้านที่อยู่ในสมัยนั้นไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้ำประปา ต้องจุดตะเกียงต้องใช้น้ำบ่อ...ช่วงปิดเทอมใหญ่(เรียนชั้นประถม)จะเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าไปเที่ยวที่บ้านแม่หรือบ้านตา ที่หมู่บ้านนี้เองที่ได้เห็นฤๅษีเป็นครั้งแรก ชาวบ้านเรียกพ่อเฒ่าฤๅษี แต่แกไม่ได้แต่งชุดหนังเสือเหมือนในหนังไทย แกแต่งตัวธรรมดาๆคล้ายๆชุดกำนันผู้ใหญ่บ้าน และเดินเท้าเปล่า ปู่ฤๅษีเป็นผู้หนึ่งที่ทำควายธนูได้

ควายธนูแบบขี้ผึ้ง

  เย็นวันหนึ่ง ลุงบอกว่า..คืนนี้ถ้าเราไม่ง่วงก็รอดูอะไรดีๆ..ถามลุงแกว่าอะไร ลุงบอกว่า...คืนนี้เขาจะเล่นควายธนูกันสนุกๆ...ข้าพเจ้าเพิ่งได้ยินคำว่าควายธนูก็วันนั้นเอง ลุงเล่าว่าคนมีวิชาเขาจะปล่อยควายธนูมาลองกันว่าของใครดีกว่ากัน พวกลุงจะคอยเฝ้าดูในคืนนี้

  พอตอนดึกพวกลุงก่อกองไฟตั้งวงเหล้าที่หน้ายุ้งข้าว แล้วสักพักอยู่ๆก็มีเสียงดังแปลกๆเป็นระยะดังเข้ามาบ้างดังออกไปบ้าง พวกลุงก็เฮๆแบบเชียร์มวย พอสุดท้ายก็มีเสียงดังลั่นแบบเสียงไม้หัก แล้วก็เงียบไป พวกลุงก็แยกย้ายกันไปนอน ตอนนั้นจ้าพเจ้ายังไม่เข้าใจ

  วันรุ่งขึ้นตอนสายๆ ลุงแกเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนที่มีเสียงดังๆนั้น...เขาปล่อยควายธนูมาลองกัน ครั้งนี้ลองกันสนุก ควายธนูผลัดกันแพ้ชนะ มันดันกันไปดันกันมา มันขวิดกันจนต้นไผ่ริมหมู่บ้านหักเป็นกอเลย...ลุงแกว่าเดี๋ยวจะไปรื้อกอไผ่ที่หัก แบ่งกันเอาไผ่มาสานกระบุงไว้ใช้

   ตอนเที่ยงก็เห็นลุงน้าแบกไม้ไผ่ 3 – 4 ลำกลับมาที่บ้าน แกว่า...นี่ไง ควายธนูมันชนไม้ไผ่จนหัก...ข้าพเจ้าได้รู้จักควายธนูก็ครั้งนี้เอง ตอนนั้นอยากมีควายธนูบ้าง

  ควายธนูที่สู้กันครั้งนี้ จากที่ฟังพวกผู้ใหญ่เขาเล่า ก็ประมาณว่าเป็นควายธนูขี้ผึ้ง ปล่อยมาทดสอบวิชากันและกัน เขาใช้ขี้ผึ้งปิดหน้าศพผสมดินป่าช้า เอามาปั้นเป็นควายแล้วเสกเป็นควายธนู เอาไว้สู้กับภูติผัปีศาจ ทำลายคุณไสยอาถรรพ์ หรือปล่อยควายธนูไปขวิดศัตรู

  ก่อนที่ข้าพเจ้าจะกลับกรุงเทพฯ ลุงยังชี้ให้ดูคอกของควายธนู ลักษณะเป็นศาลเพียงตาแบบง่ายๆ บนพื้นศาลทำรั้วแบบเป็นคอกควายไว้ด้วย มีหญ้ากำมือหนึ่ง มีชามใส่น้ำ ควายธนูตัวนี้เป็นแบบขี้ผึ้งปั้น สีเหมือนกาแฟใส่นมข้น ลุงเล่าว่าถ้าเป็นตัวที่ใช้ครั่งมาทำ ควายธนูตัวนั้นสีจะออกดำๆกว่านี้

  ผู้ใหญ่บางท่านเล่าว่า ควายธนูแบบที่ใช้เทียนพรรษาเทียนชัยเอามาปั้นก็มีเหมือนกัน  ผู้มีวิชาควายธนูเขาจะเอาเทียนนี้มาตากแดดให้นิ่ม แล้วแผ่ออกมาให้เป็นแผ่นพอที่จะลงยันต์ได้ แล้วลงยันต์สร้างควายธนูวัวธนูตามตำรานั้น  แล้วจึงเอาแผ่นขี้ผึ้งลงยันต์ไปตากแดดให้นิ่มอีก พอนิ่มก็รีบปั้นเป็นรูปควายหรือวัวให้เสร็จในคราวเดียว เมื่อปั้นควายธนูเสร็จ ก็ให้เอาควายธนูแช่ลงในน้ำมนต์ที่ทำไว้ ชุบควายธนูขึ้นมาด้วยคาถาตามตำรา

  พระอาจารย์หลายรูปเล่าตรงกันว่า ตำราควายธนูวัวธนูที่ใช้ครั่งหรือขี้ผึ้ง มีแบบที่ลงตะกรุดโลหะหรือตะกรุดไม้ไผ่ทำเป็นแกน แล้วพอกครั่งหรือขี้ผึ้งปั้นเป็นควายธนูวัวธนู หรือทำผงตรีนิสิงเหผสมกันครั่งขี้ผึ้งปั้นขึ้นมา



  ถ้าเป็นควายธนูวัวธนูที่ใช้ครั่งเป็นวัสดุปั้น ก็จะผสมดินอาถรรพ์เข้าไปมากสักหน่อย เรื่องนี้คนที่เคยปั้นเองจริงๆถึงจะรู้ สาเหตุที่ใส่ดินมากหน่อยไม่ใช่เรื่องมวลสารเยอะแล้วจะขลังขึ้น แต่เป็นเพราะผสมดินเพื่อให้เนื้อครั่งแข็งขึ้น (บางทีก็มีปูนผสมด้วย) เพื่อปั้นเป็นควายธนูแล้วจะคงรูปเป็นควายธนูวัวธนูได้ดีกว่าใช้ครั่งล้วนๆ ส่วนดินที่ใช้ผสมก็เช่น ดินเจ็ดป่าช้า ดินจอมปลวก ดินขุยปู ดินยอดเขา ดินก้นสระ ดินก้นบ่อ ดินก้นแม่น้ำ แล้วแต่ตำรับควายธนูวัวธนูนั้นๆ

  ผงวิเศษที่ใช้ผสมปั้นควายธนูวัวธนู เท่าที่นึกออกก็จะมีผงตรีนิสิงเห ผงปฐมอักขระ ผงอักขระวิเศษ ผงวิเศษ 3 แบบนี้พบหลายตำรามากกว่าผงวิเศษแบบอื่น นอกนั้นก็เป็นผงยันต์ต่างๆ เช่น ยันต์พญาไก่เถื่อน ยันค์ธาตุทั้งสี่ ยันต์อิติปิโสแปดทิศ ยันต์ควายธนู ยันต์วัวธนู ยันต์ฆะเฏสิ และบางตำราใช้ผงว่านทางอำนาจตบะเข้ามาผสม เช่น ว่านมเหศวร ว่านแสงอาทิตย์ ว่านพระตบะ ว่านมหาเมฆ

วัวธนูทอง

  ครั้งหนึ่งลุงที่ จ.ปราจีนบุรี แกมาเที่ยวกรุงเทพฯ แกเห็นวัวกระทิงทองเหลืองที่บ้านข้าพเจ้า ซึ่งร้านในเวิ้งนาครเขษมส่งมาให้ขัดแต่ง 1 เข่ง ลุงแกขอไปตัวหนึ่ง แกว่าวัวสวยดี จะเอาไปให้อาจารย์ดัดแปลงเป็นวัวทอง ซึ่งก็คือวัวธนูทองนั่นเอง

  ต่อมาภายหลังทราบว่า วัวกระทิงของเวิ้ง(ซึ่งสวยมาก) ตัวใหญ่ขนาดเกือบ 1 ฝ่ามือ ได้ถูกดัดแปลงโดยเจาะรู แล้วเอามวลสารโลหะอาถรรพ์ที่หล่อรวมกันไว้เป็นวัวตัวเล็กๆ และมีที่เป็นก้อนๆ เอามาบรรจุผสานไว้ในวัวกระทิง เสกจนขึ้นเป็นวัวธนูทอง....ข้าพเจ้าแน่ใจว่า วัวธนูในยุตต่อมาที่เริ่มทำขายตัวเล็กๆกันนั้น น่าจะมีต้นแบบมาจากวัวกระทิงของเวิ้งฯ เพราะก่อนหน้านั้นไม่เคยปรากฏรูปแบบของวัวธนูโลหะแบบที่ขายในวงการพระเครื่อง คือยังไม่มีการทำขาย ยังไม่เข้ายุคที่เครื่องรางรูปสิงสาราสัตว์ฮิตขึ้นมา วัวกระทิงของเวิ้งฯเขาทำมาเป็นของแต่งบ้าน

  วัวกระทิงของเวิ้งฯดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าเคยเก็บไว้สิบกว่าตัว พร้อมตุ๊กตาทองเหลืองแบบอื่นๆรวมได้สัก 3 ปี๊บ ภายหลังมีวัดทางฝั่งธนบุรีมาขอไปหล่อเป็นพระประธานเพื่อถวายวัดต่างๆ ในปัจจุบันวัวและตุ๊กตาต่างๆรุ่นนี้ กลายเป็นของแอนติคไปแล้ว ซื้อขายกันหลายสตางค์เหมือนกัน

  เท่าที่พระอาจารย์และผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังถึงโลหะที่ใช้หล่อวัวธนูควายธนู จะมีหลายอย่าง แต่ละตำรามีต่างกันบ้าง เช่น ใบหอก ดาบ กริช เหล็กยอดเจดีย์ เหล็กไหล(น่าจะเป็นแบบที่เรียกโคตรเหล็กไหล) เหล็กขนัน ตะปูสังฆวานร เหล็กน้ำพี้ ผาลไถ

ควายธนูเส้นตอก

  วัวธนูควายธนูแบบที่ใช้เส้นตอกสานนั้น นอกจากจะสานเป็นรูปวัวหรือควายแบบคร่าวๆแล้ว ยังมีวิธีสานเอาแค่พอมองว่าเป็นรูปหัวควายหรือหัววัว ที่ข้าพเจ้าเคยเห็นนั้น พอจะมองเห็นว่า สานเป็นรูปทำนองเงื่อนพิรอด โดยพับเส้นตอกหักไปหักมา รูปเงื่อนพิรอดก็คือหัวควายธนู แล้วพับต้นและปลายเส้นตอกให้ชี้ขึ้นเป็นเขาควาย

คล้ายๆแบบนี้

   บางตำราลักษณะการพับหรือสานเส้นตอกมีแบบที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อย จะสานเป็นหัววัวธนูแบบคล้ายรูปสามเหสี่ยม หรือคล้ายๆรูปเฉลวเพชรก็มี

  การพับเส้นตอกให้เป็นหัวควายธนูนี้ นัยว่าใช้ในตอนฉุกเฉิน เพราะขั้นตอนการทำนั้นเร็วทันใจ เท่าที่ฟังมาผู้หลักผู้ใหญ่เล่าว่า ผู้มีอาคมควายธนูจะพกท่อนไม้ไผ่ยาวสัก 1 คืบ หรือมีเส้นตอกติดย่านสัก 4-5 เส้น พอจะใช้ควายธนูวัวธนู ก็จะจักเส้นตอกออกมาสานพับเป็นหัวควาย เสกแล้วปล่อยออกไปสู้สิ่งอาถรรพ์ หรือวางไว้หน้าประตู จะเป็นควายธนูออกมาสู้ตอนมีคุณไสยหรือปีศาจจะเข้ามา

  บางท่านเล่าว่า ไม้ไผ่ที่ใช้ทำควายธนูจะใช้ไม้ไผ่ทิ่มผี คือเป็นไม้ไผ่ที่ใช้เขี่ยพลิกศพตอนเผา โดยมากใช้ไม่ไผ่ที่เขี่ยศพมาแล้วเจ็ดศพ บางท่านว่ายิ่งเขี่ยศพจิ้มศพมาแล้วเยอะๆยิ่งดี

  ไม่ไผ่อีกอย่างที่เอามาทำควายธนูก็คือ ไม้ไผ่ที่โดนควายงัดจนหัก ควายรื้อกอไผ่เหยียบกอไผ่จนหัก ก็คือตอนที่ควายบุกเข้าไปกินหน่อไผ่ ควายจะลุยกอไผ่มีงัดบ้างเหยียบบ้าง บางทีกอไผ่พังเป็นแถบก็มี เขาก็เอาไม้ไผ่ที่หักนี้มาทำควายธนู

  บางพระอาจารย์ท่านไม่ได้ใช้ไม่ไผ่ที่มีอาถรรพ์อะไร เคยกราบเรียนสอบถาม ท่านก็ว่าเวลาจวนตัวต้องใช้เส้นตอกมาสานควายธนู ก็หักเอาจากชะลอมที่ใส่ของติดตัวนั่นเอง บางทีมีหญ้าคาก็ใช้หญ้าคา ไม่ได้อาศัยอาถรรพ์อะไรเข้ามาประกอบ ใช้อาคมล้วนๆ

                                                                  เส้นตอกแบบนี้หักออกมาทำควายธนู

วัวธนูควายธนูเขาสัตว์

  เมื่อเป็นควายธนูวัวธนูที่ทำจากเขาสัตว์ ย่อมแน่นอนว่าเขาวัวเขาควายต้องมาก่อน และต้องเป็นวัวเผือกควายเผือกที่โดนฟ้าผ่าตายด้วย ถ้าได้เขาควายเผือกที่โดนฟ้าผ่าตาย ก็จะเอามาแกะเป็นรูปควายแบบง่ายๆ(แต่แหม..เคยลองแกะเองแล้วไม่ง่าย) ลงอักขระแค่ นะมะพะทะบ้าง นาสังสิโมบ้าง โคโนโคโนบ้าง คะคะคะคะบ้าง งะญะนะมะบ้าง หรือลงเป็นตัวเลขก็มี


เขาตวายเผือกฟ้าผ่า



คตวัวกระทิง

 ยังมีควายธนูที่ทำจากเขาควายอีกแบบหนึ่ง แบบนี้ข้าพเจ้านึกลำเอียงชอบมากสักหน่อย คือคล้ายๆจะแฝงเคล็ดอะไรไว้ หรือที่แท้ไม่ได้แฝงอะไรเลย เราดันคิดมากไปเอง เพราะชื่อและประโยชน์ของอุปกรณ์มันฟังดูดีมากๆ  ทำให้เราคิดไปว่าคล้ายๆแฝงเคล็ดอะไรสักอย่าง หรือที่เอามาทำควายธนูเพราะอุปกรณ์นั้นทำจากเขาควายดีๆแค่นั้น นั่นก็คือความธนูที่ทำจาก ตะบันไฟ โดยที่ตะบันไฟอันนั้นทำจากเขาควาย

  เคยคุยกับผู้เฒ่าแดนใต้ ท่านเล่าเรื่องควายธนูให้ฟัง ท่านหยิบตะบันไฟเขาควายให้ดู ท่านว่า..เอานี้หนามาทำเป็นคว้ายแหร่งเลื้อ ท่านผู้เฒ่าและชาวใต้เรียกตะบันไฟว่า ไฟตบ ทางภาคเหนือเรียก บอกไฟ เคยเจอที่ จ.ลำพูน ที่บางทีก็เรียก บอกคลั่ง มีตะบันไฟแบบที่ทำจากเขาควายเหมือนกัน

  ที่ผู้เล่นอาคมแถบปราจีนยุคเก่าชอบมาก จากคำบอกเล่าของคนเก่าและแก่มากๆ จะเป็นวัวธนูควายธนูที่ทำจากเขากระทิง เขาควายป่ามหิงสา ยิ่งเป็นคตวัวกระทิงยิ่งดี คตวัวกระทิงก็คือก้อนที่มีส่วนประกอบเหมือนกับเขาวัวกระทิง เป็นก้อนทรงรีๆผิวมันๆ อยู่ภายในส่วนที่กลวงของเขาวัวกระทิงอีกที

 ควายธนูกระดูก

  ยังมีควายธนูวัวธนูที่ใช้กระดูกมาแกะเป็นควายหรือวัว จะต้องเป็นตัวที่โดนฟ้าผ่าตายด้วย แต่ถ้าเทียบกับควายธนูที่ทำจากเขาควายเผือกฟ้าผ่า นับว่าแบบที่ทำจากเขานั้นมีศักดิ์ศรีสูงกว่าแบบกระดูก ข้อนี้ไม่ทราบที่มา ถ้าให้เดาก็น่าจะมาจากว่า ส่วนที่เป็นเขานั้นคือส่วนที่บู๊ที่สุดของวัวควาย ตอนควายหรือวัวสู้กัน ก็ใช้ส่วนที่เป็นเขาขวิดงัดกัน เขาควายเขาวัวเป็นอาวุธสำคัญสุดของวัวควาย

ควายธนูแบบผ้ายันต์หรือแผ่นยันต์

  แบบนี้ยังแยกเป็น 3 อย่าง คือ

1.ผ้ายันต์แผ่นยันต์ล้วนๆ  ลักษณะจะเป็นผ้ายันต์รูปควายธนูหรือวัวธนู มีทั้งที่เป็นรูปเต็มตัว และแบบที่เป็นรูปยันต์กลมหรือสี่เหลี่ยม แต่มีรูปหัวควายธนูวัวธนู หรือบางคำรัยมีขามีหางติดกับตัวยันต์ด้วย บางตำราเรียกเป็นโคศุภราชที่เน้นทางโชคลาภ ซึ่งเชื่อกันว่าจำลองจากวัวที่เป็นพาหนะของพระอิศวรที่ชื่อ โคนนทิ อีกชื่อหนึ่งคือ โคอุศุภราช

ยันต์ควายธนูของหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ

ระหว่างโคศุภราชและโคอุศุภราช อาจจะเป็นโคเทพองค์เดียวกัน ที่เรียกชื่อกร่อนคำหายไปคำหนึ่ง หรือไม่เกี่ยวกันก็ได้ตรงที่ ศุภราช = ศุภ + ราช โดยที่ ศุภะ แปลว่า ความงาม, ความดีงาม, ความเจริญ และ ราช ราชะ แปลว่า ราชา เจ้า เมื่อรวมกันก็แปลว่า เจ้าแห่งความเจริญ ดีงาม ซึ่งพ้องกับอุปเท่ห์ที่ให้ผลทางเจริญรุ่งเรือง

                                                   ยันต์ของครูบาอภิวัฒน์ วัดทุ่งโป่ง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน


                                                   ยันต์ของครูบาอภิวัฒน์ วัดทุ่งโป่ง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

2.กระดูกวัวควายห่อด้วยผ้ายันต์หรือแผ่นยันต์   แบบนี้จะลงยันต์บนผ้าหรือแผ่นตะกั่ว เท่าที่เคยเห็นจะเป็นพวกยันต์ธาตุสี่ ยันต์ฆะเฏสิ ยันต์ประจุขาด ยันต์จัตตุโร โดยเอากระดูกวัวหรือควายมาห่อด้วยผ้ายันต์แผ่นยันต์ ถ้าเป็นวัวควายเลี้ยงตัวที่มีชื่อรู้ชื่อยิ่งดี

  ควายธนูแบบนี้ข้าพเจ้าเคยดูน้าคนหนึ่งแกฝังเอาไว้ที่คอกควาย แผ่นยันต์ตะกั่วที่ห่อกระดูกควายนั้น มีการเคาะให้แผ่นตะกั่วบี้ติดกันสนิท เหมือนที่ซีลขอบถุงพลาสติก

3.ควายธนูห่อด้วยผ้ายันต์  ควายธนูแบบนี้ประกอบด้วยควายธนู 1 ตัว ผ้ายันต์ 1 ผืน ใช้ผ้ายันต์นี้ห่อควายธนูพกติดตัวติดย่ามผจญภัยไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ท่านผู้ใช้ประโยชน์จากควายธนูแบบนี้แล้วมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็คือท่านผู้สร้างควายธนูนั่นเอง หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้เรียนวิทยาคมเป็นศิษย์ เพราะต้องมีคาถาประกอบ มีสมาธิจิต ประมาณว่าต้องเป็นผู้มีอาคม เพราะสามารถสั่ง คุม และเสกควายธนูสั่งการเฉพาะกิจได้ เช่นสั่งให้ไปโน่นไปนี่ หรือเรียกง่ายๆว่า ปล่อยของ การใช้งานระดับนี้ คนธรรมดาๆทำไม่ได้แน่นอน


  ควายธนูคู่ผ้ายันต์นี้ ตัวควายธนูจะมีทั้งแบบขี้ผึ้ง ครั่ง และโลหะ ยังไม่เคยเห็นว่ามีใช้ผ้ายันต์นี้กับควายธนูวัวธนูเส้นตอก เข้าใจว่า ควายธนูที่เป็นขี้ผึ้ง ครั่ง โลหะ มีความทนทานห่อผ้าพกไปไหนต่อไหนได้ แต่ควายธนูวัวธนูแบบเส้นตอกสานนั้น ทางกายภาพไม่คงทน ขืนห่อผ้าไป ก็อาจหักชำรุดเสียของเสียเปล่า อีกอย่างหนึ่งคือ ควายธนูวัวธนูเส้นตอกนั้น มีคติส่วนหนึ่งว่าเป็นของฉุกเฉิน รีบทำเพื่อใช้ชั่วครั้งชั่วคราวแบบมีอายุการใช้งานน้อย

  ข้อที่ว่าทำไมต้องมีควายธนูวัวธนูคู่กับผ้ายันต์ เรื่องนี้มีที่มาที่ไป คือ มีคติว่าเมื่อปล่อยควายธนูวัวธนูออกไป(เหมือนปล่อยคุณไสย) บางทีควายธนูโดนตอบโต้จากผู้มีวิทยาคม หรือเจอภูติผีปีศาจที่แรงมากๆ ควายธนูจะถอยแรงลง ผ้ายันต์นั้นเอาไว้ชุบฤทธิ์ควายธนูวัวธนู เปรียบเทียบง่ายๆคือพลังงานลดลงต้องเอากลับมาชาร์ตแบตเตอรี่ใหม่ ผ้ายันต์ก็คือเครื่องชาร์ตแบต ตรงนี้อาจฟังแล้วดูตลกไปบ้าง แต่มีคตินี้อยู่

  ผู้ใช้ควายธนูระดับเป็นผู้เรียนอาคม ท่านจะเสกควายธนูวัวธนูอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยก็เดือนละครั้งในคืนเพ็ญ ถ้าทางร้ายก็เสกในคืนกาฬปักษ์(คืนเดือนดับ) คืนกาฬปักษ์มักใช้แบบธรรมดาคือคืนเดือนดับหรือแรม 15ค่ำ จะไม่ใช้ละเอียดแบบกาฬปักษ์โหร สาเหตุที่ไม่ใช้กาฬปักษ์โหรก็ขออุบไว่บ้าง เอาไว้จับโกหก

  ทีนี้พอมีคติเสกควายธนูเดือนละครั้ง(จะเสกเกินก็ตามความขยัน) แล้วถ้าลืมเสกล่ะ หรือเชื่อว่าควายธนูวัวธนูที่ปล่อยของออกไปนั้น ไปเจอคู่ต่อสู้ที่ตึงมือ พอควายธนูวัวธนูกลับมาแล้วยังไม่สามารถเสกปลุกใหม่ได้ ก็เลยต้องมีที่ชาร์ตแบตเตอรี่เป็นผ้ายันต์ยังไงล่ะ

  อีกอย่างหนึ่ง ผ้ายันต์นี้มีไว้ใช้คุมควายธนูวัวธนูไม่ให้ทำร้ายเจ้าของด้วย

ยันต์คุมควายธนูและเป็นควายธนูด้วย ตำรับ ล.พ.พรหมวัดขนอนเหนือ
 

ผ้ายันต์คุมควายธนูนี้ยังมีตำรับที่แปลกออกไปอีกด้วย คือ นอกจากจะใช้คุมควายธนูวัวธนูและชาร์ตแบตแล้ว ผ้ายันต์ยังเป็นควายธนูตัวทีเด็ดอีกด้วย เช่น ตำรับชองหลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา

วิธีเลี้ยงควายธนูวัวธนู

  ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น(ก็50ปีก่อนนู๊นแน่ะ) ไม่เคยได้ยินคำว่า บูชาควายธนูวัวธนู หรือไม่ต้องบูชาไม่ต้องเลี้ยง มีแต่รู้กันโดยทั่วไปเป็นสามัญว่า เลี้ยงควายธนูวัวธนู และเพราะว่า ต้องเลี้ยงควายธนูวัวธนู นี้เอง คนที่เห็นว่าอาจปฏิบัติได้ไม่ตลอด เขาก็เลยไม่ค่อยเสาะหาควายธนูวัวธนูเอามาติดบ้าน จะมีก็แต่คนคลั่งไคล้ไหลหลงเครื่องรางของขลังมากๆ หรือคนที่เล่นอาคม จึงจะนิยมเสาะหาควายธนูวัวธนู เอามาเลี้ยง

  เมื่อจะเลี้ยงควายธนูวัวธนู ตามตำรับเดิมจะมีทั้งแบบที่ให้ฝังควายธนูวัวธนู และแบบที่ให้ทำศาลเพียงตาทำคอกให้ควายธนูวัวธนูนั้นอยู่ ต้องให้หญ้าให้น้ำควายธนูวัวธนูทุกวันเพ็ญและวันเดือนดับ

  การเลี้ยงควายธนูวัวธนูเท่าที่เคยเห็นตำราต้นฉบับหลายๆสำนวนนั้น มักจะบอกตรงกันว่า....ถ้าจะสั่งความควายธนูวัวธนูนั้น วันที่สั่งเราใส่เสื้อผ้าชุดไหน พอจะไปถอนคำสั่งนั้น ต้องใส่เสื้อผ้าชุดเดิมด้วย ในตำราท่านว่า...มิฉะนั้น ควายธนูจะผิดกลิ่นจำเจ้าของไม่ได้ ความธนูวัวธนูจะขวิดทำร้ายเอา

  สำหรับการที่ไม่ต้องเลี้ยงควายธนูวัวธนู เพราะว่าเขาหากินเองได้ หรือเสกมาให้เป็นอัตโนมัติไร้ข้อจำกัดนั้น เพิ่งได้ยินเมื่อถึงยุคนักสร้างวัตถุมงคลเมื่อราวๆ40กว่าปีก่อน ตอนที่เข้ายุคสร้างสิงสาราสัตว์สารพัด ยังจำได้และยังเคยซื้อมาด้วยตั้งหลายตัว



การสร้างควายธนูวัวธนูในยุตใหม่ จะใช้เทคโนโลยีทันสมัย รูปแบบสวยงาม แต่จะขลังหรือไม่ขลังก็ขึ้นอยู่กับท่านผู้เสกปลุก เทคโนโลยีไม่ได้ทำให้ของเสื่อม แต่เทคโนโลยีทำให้ของสวย ข้อสำคัญต้องพบพระอาจารย์ที่ท่านเรียนตำรับควายธนูวัวธนูมาจริงๆ และเสกปลุกได้ขลังจริงเท่านั้น เรื่องควายธนูวัวธนูก็เสาะหากันเอาเองเถอะ ของดีพระอาจารย์ดี ไม่มีวันหมดไปจากเมืองไทย

ฤทธานุภาพของควายธนูวัวธนู

  อิทธิฤทธิ์ของควายธนูวัวธนูเลื่องลือมาตั้งแต่สมัยโบราณ นับถือกันว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ทางป้องกันและทำลายล้างภูติผีปีศาจขั้นสุดยอด ทั้งล้างอาถรรพ์ในทุกๆด้าน ทั้งคุ้มกันบ้านเรือน ทั้งยังอำนวยโชคอีกด้วย

  ถ้าใช้ควายธนูวัวธนูในระดับสุดยอด จะเป็นเรื่องของผู้มีอาคมกำกับสั่งควายธนู จึงจะสามารถสั่งควายธนูให้ไปทำงานตามที่สั่งได้ เรื่องนี้ในปัจจุบันเห็นจะเหลือวิสัยไป เพราะ...ทำได้ยาก

การใช้ควายธนู

  การใช้ควายธนูวัวธนูทั่วไป ก็แค่เอาไปตั้งไว้ แล้วเลี้ยงด้วยหญ้า ฟาง พืชต่างๆ น้ำ แต่การใช้ควายธนูวัวธนูในระดับผู้มีวิทยาคม จะต้องมีสมาธิจิต จะต้องเรียนตำรับควายธนูวัวธนูในส่วนที่ไม่เปิดเผย ในกรณีที่จะใช้เฉพาะกิจ จะมีคาถาเสก ปลุก ส่ง และเรียกกลับ ตลอดจนข้อห้ามบางประการตามแต่ละตำรับนั้นๆ

วัวธนู ล.พ.พุฒวัดกลางบางพระ


  การเสกและปล่อย(ปล่อยของ)ควายธนูวัวธนูที่มีบันทึกในตำราหลายๆเล่ม  จะให้เสกในคืนเดือนเพ็ญบ้าง คืนกาฬปักษ์บ้าง หรือให้เสกทั้งคืนเดือนเพ็ญและคืนกาฬปักษ์ที่เป็นคืนเดือนดับ ข้อที่ว่าเป็นคืนกาฬปักษ์ที่เป็นคืนเดือนดับ มักจะใช้เป็นกาฬปักษ์คืนเดือนดับแบบทั่วไป จำง่ายๆคือ เป็นคืนข้างแรม 15 ค่ำ ค่ำ หรือคืนข้างแรม ที่มีแค่ 14ค่ำที่เรียกเดือนขาด ส่วนคืนกาฬปักษ์แบบโหรนั้น จะมีแยกออกไปมีข้อบังคับเรื่องดวงดาวกับราศี ที่จะต้องเป็นอย่างนั้นๆ ดาวนี้อยู่ราศีนี้ ซึ่งเป็นความรู้ของทางโหร

  ยังมีคติที่ต้องปล่อยควายธนูวัวธนูแบบปล่อยของเฉพาะในคืนเดือนดับที่ตรงกับเป็นวันเดือนขาดด้วย ก็คือ วันที่ไม่มีแรม 15 ค่ำ จะมีแค่แรม 14 ค่ำ แล้ววันรุ่งขึ้นจะเป็น ขึ้น 1 ค่ำ นั่นเอง คนโบราณท่านว่าทั้งเดือนดับทั้งเดือนขาดทำทางร้ายมันแรงดี

  บางคติว่าเสกวัวธนูในทางดีให้เสกในคืนเดือนเพ็ญ เสกในทางดุร้ายให้เสกในคืนกาฬปักษ์

คอกของควายธนูวัวธนู

  ตอนที่ข้าพเจ้าเห็นควายธนูครั้งแรกนั้น เห็นคอกของควายธนู 2 คอกไม่เหมือนกัน คือ เขาทำเป็นศาลเพียงตาที่เอาปี๊บมาตอกตะปูติดไว้ ดูคล้ายๆศาลพระภูมิ หรือดูเป็นคอกที่มีหลังคา แล้วทำคอกควายธนูด้วยหญ้าคา เว้นช่องทางด้านหน้าเป็นช่องประตูคอก มีประตูคอกเป็นหญ้าคาเอาขัดไว้ที่ช่องประตู แล้ววางควายธนูไว้ในคอก มีที่ว่างในคอกเพื่อ วางหญ้าฟางและชามใส่น้ำ

  หญ้าคาที่ใช้ทำคอกนั้น บางตำราให้ถักหญ้าคา เคยเห็นคนแก่ในหมู่บ้านแกถักหญ้าคาง่ายๆแบบถักเปีย ตอนถักภาวนาคาถานวหรคุณ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ บางตำราให้ใช้หญ้าคาที่เป็นหญ้าคาใช้พรมน้ำมนต์

  ส่วนอีกคอกหนึ่งจะเป็นศาลเพียงตาที่เป็นเสาตั้งตรง เอาแผ่นไม้สี่เหลี่ยมตอกติดกับเสา แล้วทำคอกควายธนูค่อนข้างหรูสักหน่อย คือ ใช้ไม้มาทำเป็นคอก เหมือนคอกควายอย่างหรู มีประตูคอกแบบปิดเปิดได้ด้วย แต่คอกนี้ไม่ได้ทำหลังคา

   และที่เห็นอีกคอกหนึ่งก็คือ เอาคอกควายจริงๆเป็นคอกของควายธนูกันเลย คือ จะฝังควายธนูไว้ภายในคอกควาย บางทีคอกควายก็คือใต้ถุนบ้านนั่นเอง

  บางตำราให้ลงยันต์จัตตุโรไว้ที่คอกควาย

วัวธนู ล.พ.พุฒมอบให้เป็นที่ระลึก


การเลี้ยงควายธนู

  จะเลี้ยงด้วย หญ้าสด ถ้ายังไม่มีก็ใช้ฟาง นอกจากนี้ก็มี ถั่ว ลูกเดือย อ้อย หน่อไม้ และน้ำ การเอาอาหารไปวางให้ควายธนูวัวธนู โดยปกติก็แค่บอกกล่าวเป็นคำพูดว่า ให้ควายธนูวัวธนูมากินอาหารกินน้ำ นี้ หรือรู้ชื่อควายธนูก็เรียกชื่อตามนั้น

  ข้อห้ามเด็ดขาด ห้ามเลี้ยงควายธนูวัวธนูด้วยเนื้อสัตว์ ห้ามเลี้ยงด้วยเหล้า ท่านว่าควายธนูวัวธนูจะดุร้ายไม่เชื่อฟังเจ้าของ จะทำร้ายเจ้าของอาจถึงตายได้

  ข้าพเจ้าเคยสอบถามพระอาจารย์และพวกลุงๆที่แกเลี้ยงควายธนู ถามถึงการสั่งควายธนูว่าทำอย่างไร คำตอบตรงกันหมดว่า ตอนสั่งควายธนูด้วยอาคมนั้น เราใส่เสื้อผ้าชุดไหนให้จำไว้ และสั่งกำหนดไว้กี่วัน(ส่วนมากไม่เกิน 7 วัน) พอครบกำหนดต้องเอาหญ้าเอาน้ำไปให้ตวายธนู และต้องใส่เสื้อผ้าชุดเดิมที่ใส่ในวันที่สั่งควายธนู แล้วเรียกควาบธนูวัวธนูมาประจำอยู่ที่คอก พวกลุงๆแกเล่าว่า ถ้าใส่เสื้อผ้าผิดชุด จะโดนควายธนูขวิดทำร้าย บางตำราถึงกับบอกว่าจะต้องอาถรรพ์วิชากลายเป็นปอบ

  พระอาจารย์ อาจารย์ท่านที่ทำควายธนูวัวธนูมอบให้ศิษย์ที่ไม่ใช่ศิษย์เรียนวิชา ท่านจะให้ใช้ควายธนูวัวธนูในทางคุ้มครองป้องกัน เมื่อมีคุณไสยภูติผีปิศาจเข้ามา ควายธนูวัวธนูก็จะตอบสนองทำงานเอง เรื่องที่จะใช้ควายธนูวัวธนูตามสั่งนั้น ท่านไม่ให้ ก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าของควายธนูนั้น เหมือนกับมีวัตถุมงคล ไม่ใช่ใช้ของอาถรรพ์

  การใช้ควายธนูอย่างเต็มรูปแบบทางของอาถรรพ์นั้น ทางที่ดีอย่าใช้ควายธนูถึงขนาดนั้นเลย มันอันตราย ให้ใช้แบบวัตถุมงคล คุ้มครองป้องกันภัย และอำนวยโชคลาภก็พอแล้ว

ข้อมูล  บางส่วนจากบทความของคุณลุงประถม อาจสาคร(จำชื่อหนังสือไม่ได้)

            จากความทรงจำที่เคบดูตำราต้นฉบับสมุดข่อย ปั๊บสา และจากพระอาจารย์หลายรูป เช่น 

            หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ หลวงพ่อแช่มวัดดอนยายหอม หลวงพ่อจันทร์วัดทุ่งเฟื้อ 

            หลวงพ่อฉาบวัดคลองจันทน์ หลวงพ่อแลวัดพระทรง หลวงพ่อพุฒวัดกลางบางพระ

รูปภาพ  ขอบคุณภาพยันต์ของครูบาอภิวัฒน์วัดทุ่งโป่ง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

               ภาพวัวธนูจาก เว็บ G-Pra และภาพวัวธนูของข้าพเจ้า

            


วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

หลวงพ่อกับของวิเศษ 3 หลวงพ่อวัดไทรน้อย




 


หลวงพ่อวัดไทรน้อย วัดไทรน้อย หมู่ 1 ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี

  เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ก็เกือบๆจะ 50 ปีเข้าให้แล้ว(สะดุ้งเลย) เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าสอบเข้าเรียนช่างกลของรัฐได้ ซึ่งอยู่ไกลบ้านไม่น้อย ช่วงนั้นเป็นช่วงวัยรุ่นที่เข้าวัยหนุ่มแล้ว ข้าพเจ้าเรียนช่างกลอยู่ 5 ปี คือ ป.ว.ช. และต่อ ป.ว.ส. นับว่าเป็นช่วงชีวิตที่ฝ่าดงตีน และอบอวนด้วยความหวานชื่นจากสาวๆเป็นที่ยิ่ง แน่นอนว่าสาวๆส่วนมากจะเป็น สาวพาณิชย์...มีวลีฮิตในครั้งนั้นว่า...หนุ่มช่างกลคู่กันกับสาวพาณิชย์

  ข้าพเจ้าสนใจเสาะหาวัตถุมงคลมาก่อนยุคเรียนช่างกล อันที่จริงเริ่มซื้อพระในกาละมังมาตั้งแต่เรียนประถมปลายแล้ว พอจะเรียกว่าเล่นพระมาตั้งแต่เด็ก แต่หัดเช่าบูชาพระครั้งแรกก็โดนของเก๊ทันที เป็นการรับน้องใหม่ตามธรรมเนียมวงการคนเล่นพระ ทั้งยังโดนของเก๊ตามมาอีกหลายดอก ค่าขนมทั้งนั้น

  ตอนที่เรียนช่างกล ในยุคนั้น คนเมืองนนท์เขาแนะนำว่า พระอาจารย์สุดยอดของเมืองนนท์ต้องหลวงปู่เหรียญวัดบางระโหงกับหลวงพ่อทองสุขวัดสะพานสูง จึงแน่นอนว่าข้าพเจ้าต้องไปกราบนมัสการ หลวงปู่เหรียญหลวงพ่อทองสุขนับเป็นพระอาจารย์รุ่นอาวุโสของเมืองนนท์ ในเมืองนนท์ท่านดังมาก่อนใครๆ

   ในช่วงเรียนช่างกลชั้น ป.ว.ช. จะเป็นช่วงบู๊มากสักหน่วย เพราะเพิ่งเป็นวัยรุ่นที่เข้ารุ่นหนุ่มต้นๆ เลือดลมมันจึงเดือดง่าย ตีกันบ่อย ข้าพเจ้านั้นเข้าเรียนสัปดาห์แรกก็โดนตีเลย ครั้งแรกที่ว่านี้โดนเปิดบริสุทธิ์ที่ท้ายทอยด้วยคมสิ่ว เลือดอาบเต็มเสื้อ วันนั้นแขวนเหรียญหลวงพ่อรูปหนึ่งพร้อมตะกรุดดอกเล็ก เช่าบูชาตามที่หนังสือพระเชียร์ (ไม่ขอเอ่ยนามพระอาจารย์) หลังจากนั้นจึงไม่ได้พกติดตัว แล้วมาเจอประสบการณ์ดีๆของจริงจากตะกรุดหลวงพ่อวัดไทรน้อย

  พวกช่างกลวิทยาลัยข้าพเจ้าที่ใช้ตะกรุดหลวงพ่อวัดไทรน้อยส่วนมากจะเป็นพวกที่มีบ้านอยู่บางบัวทอง พวกอยู่ปากเกล็ดจะใช้ของขลังหลวงพ่อทองสุขวัดสะพานสูง พวกอยู่ อ.เมือง อ.บางใหญ่ บางศรีเมือง คลองอ้อม ตลาดขวัญ ไทรม้า สนามบินน้ำ จะใช้ของขลังหลวงปู่เหรียญวัดบางระโหง พวกไทรม้าส่วนหนึ่งจะใช้วัตถุมงคลหลวงปู่สายวัดบางรักใหญ่ ในพระอาจารย์ทั้งหมดนี้ หลวงพ่อวัดไทรน้อยอาวุโสน้อยกว่าท่านอื่น แต่ดังได้

  สมัยนั้นข้าพเจ้าได้ยินชื่อของหลวงพ่อวัดไทรน้อยมาก่อนแล้ว  แต่หลวงพ่อวัดไทรน้อยอ่อนอาวุโสกว่าเยอะ ประมาณว่าท่านเป็นรุ่นลูกศิษย์ ข้าพเจ้าจึงยังไม่สนใจยังไม่ได้ไปกราบหลวงพ่อวัดไทรน้อย



เมื่อเรียนช่างกลแน่นอนว่าข้าพเจ้ามีแฟนเป็นสาวพาณิชย์ เธอคนหนึ่งเป็นคนพิเศษที่สุด กว่าจะจีบได้ก็ใช้เวลาเป็นปี บางครั้งต้องฝ่าดงตีนไปรับเธอที่โรงเรียนเธออีกด้วย เธอเป็นสาวชาวสวนนนท์ขนานแท้ บ้านอยู่ในคลองค่อนข้างลึก เวลาไปส่งเธอที่บ้านต้องนับว่าทุลักทุเลยิ่ง และที่บ้านริมคลองของเธอนี่เอง ที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องรีบไปกราบหลวงพ่อวัดไทรน้อย เรื่องมีอยู่ว่า...

  พ่อของสาวพาณิชย์(อันเป็นที่รัก) ท่านเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้านติดต่อกันหลายปี ความเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นขาลุยอยู่แล้ว...ข้าพเจ้าทราบเป็นนัยๆอยู่แล้วว่า ท่านหวงลูกสาว คนย่านนั้นไม่กล้าจีบลูกสาวท่าน แต่เราไม่กลัว ก็จะจีบลูกสาวแกนี่นะ ขนาดดงตีนเรายังฝ่ามาบ่อยๆเพื่อหาสาวคนนี้ แค่ผู้ใหญ่ดุๆกำนันหวงลูกสาว เราชนะใจได้แน่

  เมื่อพ่อของเธอเมตตาเอ็นดูข้าพเจ้า ก็คุยกันได้ถูกคอ วันหนึ่งข้าพเจ้าไปค้างที่บ้านสวนของเธอที่รัก ได้ถามพ่อเธอว่า...พ่อเป็นระดับกำนันผู้ใหญ่บ้าน พ่อใช้ของขลังอะไรติดตัว...แกหัวเราะว่า มันต้องมีบ้างซิเว๊ย แล้วแกก็ถลกเสื้อให้ดูตะกรุดโทนที่เอว เป็นตะกรุดดอกใหญ่ดูหนาหนักถักเชือกสีเขียว พ่อแกว่า...นี่ๆ ตะกรุดโทนอาจารย์เมียงวัดไทรน้อย เหนียวดีชะมัด

  พ่อของสาวพาณิชย์ที่รักท่านเล่าให้ฟังว่า แกมีประสบการณ์หนังเหนียวหลายครั้ง โดนมีดบาดไม่เข้าบ้าง เผลอเหยียบมีดพร้าเหยียบตะปูไม่เข้าเนื้อ เผลอใช้มีดพร้าหวดตัดหญ้าพลาดมาโดนแข้งขาก็ไม่เข้าเนื้อ ลูกบ้านบางคนโดนแทงไม่เข้า...พ่อแกว่า...อาจารย์เมียงลงตะกรุดขลัง เราเรียนช่างกลเดี๋ยวเจอพวกโรงเรียนคู่อริดักตี ไปขอตะกรุดอาจารย์เมียงมาไว้คุ้มครองสิ...เมื่อพ่อแกบอกขนาดนี้ ก็ต้องรีบไปกราบหลวงพ่อเมียง ซึ่งก็คือหลวงพ่อประสิทธิ์ หรือที่นิยมเรียกว่า หลวงพ่อวัดไทรน้อย

 สมัยเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน ถ้าจะไปกราบหลวงพ่อวัดไทรน้อยนั้น การเดินทางยังไม่สะดวกนัก ต้องลงเรือข้ามฟากจากท่าน้ำนนท์ไปฝั่งบางศรีเมือง แล้วนั่งรถเมลเล็กที่ท่าน้ำบางศรีเมืองไป อ.บางบัวทอง แล้วต้องต่อเรือหางยาวจากบางบัวทอง ไปตามคลองพระพิมล ไปขึ้นท่าน้ำวัดไทรน้อย แล้ววัดดวงว่าหลวงพ่อจะอยู่วัดหรือไม่

  ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อวัดไทรน้อย ท่านมีอายุได้สัก 50ปีกว่านิดๆ ท่านถามว่ามาจากไหนรึไอ้หนุ่ม ก็ตอบท่านว่าเลิกเรียนเลยรีบมากราบหลวงพ่อ ท่านเห็นว่าเป็นเด็กช่างกลของจังหวัดท่านก็มีเมตตา ในวันนั้นมีคนมากราบขอตะกรุดโทนของท่านด้วย แต่ท่านตอบว่า...คราวหน้าค่อยมาเอา...ข้าพเจ้าได้ยินจึงนึกว่าเราก็คงจะอดได้ตะกรุดโทนเหมือนกัน หลวงพ่อคงจะไม่ให้เพราะเรายังวัยรุ่นเพิ่งเป็นรุ่นหนุ่มแค่นั้นเอง

  พอผู้ใหญ่ที่มาขอตะกรุดแต่หลวงพ่อว่าให้มาเอาทีหลังกลับไปแล้ว ท่านก็ถามข้าพเจ้าว่า...ไอ้หนุ่ม เอ็งจะเอาตะกรุดโทนของข้ารึ...ข้าพเจ้าก็กราบเรียนว่า..ครับ...ท่านถามว่ารู้จักข้าได้ยังไงทำไมถึงอยากได้ตะกรุด...ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนหลวงพ่อไปว่า...เห็นพ่อแฟนที่ในคลองแกโชว์ตะกรุดหลวงพ่อให้ดู ก็เลยคิดว่า ขนาดระดับกำนันผู้ใหญ่บ้านยังคาดตะกรุดหลวงพ่อ ดังนั้นหลวงพ่อต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เลยรีบมากราบขอตะกรุดสักดอกหนึ่ง ตอนนั้นในใจนึกว่าเรามาหาหลวงพ่อครั้งแรก แถมเป็นวัยรุ่น หลวงพ่อคงจะยังไม่ให้ละมัง

  แต่แล้ว...หลวงพ่อวัดไทรน้อยท่านพูดง่ายๆว่า..หนุ่มรอเดี๋ยว ข้าจะประสิทธิ์ให้...แล้วท่านก็ลุกเดินเข้าห้อง พอออกมาก็มีตะกรุดโทนดอกโตถักเชือกไนล่อนสีเขียว ท่านให้สำรวมจิตยืนมือมารองรับตะกรุด แล้วท่านก็กำตะกรุดในมือท่าน ภาวนาเสกปลุกตะกรุดสำทับลงไป สักพักท่านตัวสั่นมือที่กำตะกรุดสั่นและแกว่งซ้ายขวาเล็กน้อย แล้วก็ปล่อยตะกรุดโทนลงบนฝ่ามือของข้าพเจ้า

ตะกรุดโทนดอกโต


หลวงพ่อท่านบอกว่า ตะกรุดโทนดอกใหญ่ทำยาก ท่านลงอักขระด้วยตัวท่านเอง ในปีหนึ่งๆทำได้ไม่มาก ไม่ค่อยให้ใครง่ายๆ ท่านว่า..ข้าเห็นหนุ่มเรียนช่างกล เดี๋ยวยกพวกตีกัน เดี๋ยวปาระเบิด ข้าเลยให้ไว้คุ้มตัว...ข้าพเจ้าดีใจที่ท่านเมตตาให้ตะกรุดโทนดอกโต(เรียกกันอย่างนั้น) รีบกราบท่าน 

  หลังจากวันนั้น ถ้าว่างก็เดินทางไปกราบท่าน ซึ่งต้องนั่งเรือหางยาวทุกครั้ง ความจริงถนนไป อ.ไทรน้อยก็มี แต่นานโคตรๆจึงจะมีรถโดยสารเล็กวิ่งมาสักคัน สู้เดินทางด้วยเรือหางยาวไม่ได้ เรือมีหลายเที่ยวมากกว่า

  ข้าพเจ้าเคยพาเพื่อนช่างกลไปขอตะกรุดโทนดอกโต ท่านก็มอบให้ ส่วนข้าพเจ้าคราวนี้ท่านมอบตะกรุดโทนดอกกลางให้ 1 ดอก เพราะเคยได้ดอกโตไปแล้ว ท่านว่าท่านชอบพวกช่างกลมันห้าวดี ช่างกลบ้านเราต้องไม่เสียทีคนอื่น คือท่านหมายถึงพวกข้าพเจ้าเป็นช่างกลของจังหวัด ท่านมองว่าเป็นพวกบางเดียวกันเป็นลูกหลานท่าน

  ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนช่างกลนั้น พอรับของดีจากหลวงพ่อแล้วจะถวายเงิน ท่านไม่รับ ท่านว่า เอ็งยังเรียนหนังสือ เก็บสตางค์ไว้กินขนมกินข้าวเถอะวะ เอาไว้ทำงานแล้วค่อยมาทำบุญ

  เมื่อกราบเรียนสอบถามประวัติการสร้างตะกรุดของท่าน ท่านเล่าว่าตะกรุดรุ่นแรกนั้นคือที่ท่านทำไว้ใช้เอง ตอนนั้นท่านอยู่ที่วัดสุธาโภชน์ ริมคลองลำปลาทิว เขตลาดกระบัง สาเหตุที่ท่านทำตะกรุดครั้งนั้นฟังท่านเล่าแล้วฮามาก ท่านว่าท่านกลัวผี เลยอยากหาของขลังไว้กันผีและคุ้มครองตัว เลยทดลองทำตะกรุดตามตำรา จะใช้คุ้มครองป้องกันภัยและกันผี ทำแล้วแบ่งกับพระเพื่อนคนละ 1 ดอก ตะกรุดที่ทำในครั้งแรกจะลงยันต์บนแผ่นตะกั่ว แล้วหลอมเป็นแท่ง พกตะกรุดหล่อทั้งอย่างนั้นติดตัวปรากฏว่าประสิทธิ์ดี ท่านจึงทำตะกรุดตลอดมา แต่ทำเป็นแผ่นแล้วม้วนเหมือนตะกรุดทั่วไป 

พระกันผี

  ส่วนเรื่องกันผีนั้น หลวงพ่อท่านเล่าว่า พอทำตะกรุดหล่อตันเสร็จ ก็เลิกกลัวผี มีเกร็ดเรื่องของดีกันผีของหลวงพ่อที่คนไม่ค่อยรู้ เรื่องนี้หลวงพ่อเล่าให้ขัาพเจ้าฟังเอง ของดีทางกันผีกันอาถรรพ์ที่ท่านทำไว้เฉพาะ จะเป็นพวกพระไม้แกะ เป็นพิมพ์สมเด็จ นางพญา แม่นางกวัก ท่านว่าแบบนี้กันผีกันอาถรรพ์เป็นพิเศษ ท่านยังเมตตามอบให้ภรรยาข้าพเจ้าอย่างละองค์ ที่มอบให้เพราะช่วงนั้นที่ทำงานภรรยา(ตอนนั้นยังเป็นแฟนยังไม่ได้แต่งงาน) มีปรากฏการณ์ผีชนิดของจริง ขนาดนางพยาบาลเจอพร้อมๆกัน 3-4 คน ผู้ป่วยอีกต่างหาก เรื่องมีอยู่ว่า...

  ที่โรงพยาบาลบนตึกชั้นที่แฟนข้าพเจ้าทำงานอยู่ มีคนไข้ถึงแก่กรรมบนเตียง ตอนแรกก็รู้กันเฉพาะนางพยายาบาลประจำกะนั้น พอเปลี่ยนกะรับเวรต่อ นางพยาบาลกะใหม่ไม่รู้เรื่องคนไข้ที่ถึงแก่กรรมนี้ เพราะเขาย้ายศพออกไปแล้ว

  และแล้วก็เกิดเรื่อง วันถัดไปตอนดึกหลังเที่ยงคืน นางพยาบาลเห็นคนไข้เดินมาขอยา โดยบอกว่าอยู่เตียงด้านโน้น บอกแล้วก็เดินกลับไป พอพยาบาลเดินไปที่เตียงคนไข้เตียงที่ว่า มีคนไข้นอนอยู่แต่หน้าไม่เหมือน พอถามดูคนไข้ก็บอกว่านอนอยู่เฉยๆไม่ได้เดินไปไหนเลย นางพยาบาลก็งงๆแต่ยังไม่เฉลียวใจ

  วันต่อมาหลังเที่ยงคืนเวลาเดิม คนไข้คนเดิมซึ่งก็คือผี ยังเดินมาขอยาอีก นางพยาบาลบางคนก็เจอว่าขอน้ำดื่ม พยาบาลเอาไปให้ที่เตียงก็ไม่เจอ พอเช็ครายชื่อผู้ป่วยก็พบว่า คนไข้ผู้นี้เสียชีวิตไปแล้ว เลยกลัวผีกันทั้งพยาบาลทั้งคนไข้รายอื่นๆที่อยู่ชั้นนั้นด้วย

  ผีตนนี้ยังปรากฏอีกเป็นครั้งคราวและหลายวัน บางคนเห็นตัว บางทีได้ยินเสียงรองเท้าแตะดัง ตุบ ๆ ๆ ๆ เหมือนคนเดิน แล้วเสียงเดินนี้ดังตรงไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลเสียด้วย ภรรยาข้าพเจ้าเล่าว่า เสียงเดิน ตุบ ๆ ๆ เข้ามาหยุดที่หน้าเคาน์เตอร์ทุกครั้ง ไม่มีใครกล้ามอง ผู้ป่วยคนอื่นก็กลัวเพราะรู้แล้วว่า...มีผี

  เมื่อหลวงพ่อวัดไทรน้อยเมตตามอบพระไม้แกะย้อมสีดำ 3 องค์ให้แฟนข้าพเจ้า แฟนก็พกติดตัวไปทำงาน พอเข้าเวรกะดึกก็ได้ยินเสียงเดืน ตุบ ๆ ๆ เสียงเดินเข้ามาถึงที่นางพยาบาลนั่งกลัวกัน ปรากฏว่าเสียงเดินไม่เข้ามาถึงเคาน์เตอร์ แต่เป็นเสียงหยุดชงักไป....หลังจากวันนั้นเหตุการณ์ผีไม่รู้ตัวว่าตายแล้วก็ไม่มีอีกเลย

อภินิหารตะกรุดโทนดอกโต

  วันหนึ่งข้าพเจ้าและเพื่อนอีกคนนั่งรถเมล์สาย 32 ไปเรียนที่วิทยาลัย พอผ่านสะพานพุทธฯก็มีนักเรียนอาชีวะกลุ่มหนึ่งกรูกันขึ้นมาบนรถ ตรงเข้ามารุมตีข้าพเจ้าและเพื่อน มีไม้มีมีดทั้งตีทั้งฟัน ข้าพเจ้าได้แต่ปัดป้องด้วยสมุดบ้างใช้เหล็กฟุตฟาดกลับไปบ้าง รู้สึกว่าคล้ายจะโดนคมมีดที่ท่อนแขนอยู่บ้าง ส่วนเพื่อนนั้นข้าพเจ้าเห็นชัดๆเลยว่า มันไม่สู้แล้วโดนมีดสับลงบนกระบาน พอเพื่อนโดนฟันเข้าที่หัวเท่านั้น พวกอาชีวะกลุ่มนี้ก็รีบวิ่งลงจากรถเมล์

  ข้าพเจ้ารีบเข้าไปดูเพื่อน นึกในใจว่า..ห่าเอ๊ย โดนฟันกระบานจังๆอย่างนี้มึงหัวแบะแน่ๆ ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลแล้ว

  ปรากฏว่าพอดูหัวกระบานมันแล้ว..กลายเป็นมันโดนฟันอย่างจังๆแต่ฟันไม่เข้า หัวไม่มีแผล หัวไม่แตก ทั้งเนื้อทั้งตัวมันมีตะกรุดโทนดอกโตของหลวงพ่อวัดไทรน้อยคาดเอวเพียงดอกเดียว ส่วนข้าพเจ้าก็ไม่มีรอยแผลอะไร แต่ไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าโดนฟันด้วยมีดหรือไม่ เพราะข้าพเจ้าใช้สมุดเล่มหนาปัดป้องตัว พร้อมทั้งใช้เหล็กฟุตฟาดตีกลับไปด้วย จึงไม่แน่ใจว่าที่โดนๆบ้างนั้นเป็นแค่ไม้หรือไม่ แต่เพื่อนนั้น มันโดนมีดสับกระบานเห็นจะๆต่อหน้าต่อตา เพื่อนมีตะกรุดหลวงพ่อวัดไทรน้อย ข้าพเจ้ามีลูกกลองหลวงปู่เหรียญและตะกรุดโทนดอกโต ที่หลวงพ่อวัดไทรน้อยมอบให้ครั้งที่ไปกราบท่านครั้งแรก


  อีกครั้งหนึ่งข้าพเจ้านั่งรถเมล์สาย 203 จากสนามหลวงไปเรียนที่วิทยาลัย ไปกับเพื่อนอีก 2 คน พอรถวิ่งไปถึงป้ายรถเมล์หน้าวัดปากน้ำนนท์...เจอช่างกลโรงเรียนคู่อริปิดถนน(ปิดถนนจริงๆ) แล้วกรูขึ้นรถมารุมตีพวกข้าพเจ้า พวกช่างกลโรงเรียนนี้ตีกับสถาบันข้าพเจ้าบ่อยๆ วันนั้นประมาณว่ามากันสิบกว่าคน พวกข้าพเจ้ามีแค่ 3

  เพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่งโดนฟันเข้าที่หัว เห็นชัดเจนเลยว่าโดนฟันด้วยมีดปังตอ อีกคนโดนตีหัวด้วยไม้ ส่วนข้าพเจ้าไม่โดนอะไรเลย(ได้ไง)

  เพื่อนที่โดนฟันด้วยมีดปังตอนั้น ปรากฏว่าฟันไม่เข้า เห็นเป็นรอยช้ำๆนูนๆ ส่วนคนทีโดนไม้ตีหัวนั้นมันหัวแตก ไอ้คนที่โดนมีดปังตอฟันไม่เข้ามีตะกรุดโทนหลวงพ่อวัดไทรน้อยดอกเดียว คนที่โดนตีหัวแตกไม่มีของขลังอะไรเลย ไอ้เพื่อนที่โดนมีดปังตอนั้น ผ่านไปอีกวันหัวมันโนบวมปูด เขียวช้ำ ต้องทายาอยู่หลายวัน

ตะกรุดขนาดกลาง


  ในช่วงที่เรียนช่างกลอยุ่ 5 ปี ก็แวะไปกราบหลวงพ่อวัดไทรน้อยหลายครั้ง หลวงพ่อประสิทธิ์เหรียญพระเครื่องให้หลายอย่าง เมตตามอบตะกรุดแบบอื่นๆให้ด้วย ยุคนั้นที่วัดไม่มีตู้วัตถุมงคล ใครอยากได้อะไรต้องเอ่ยปากกราบเรียนบอกท่าน ท่านจะหยิบมามอบให้ ไม่มีการตั้งราคาอะไรเลย  ถ้าอยากจะเช่าบูชาตามใจชอบ ก็ต้องรอถึงวันทำบุญงานวัดประจำปี จึงจะมีโอกาสเลือกเช่าบูชาได้ เพราะทางวัดจะเอาวัตถุมงคลออกมาให้บูชาแค่ปีละครั้งเท่านั้น

ตะกรุดไม้ไผ่ตัน


หลังจากที่ข้าพเจ้าเรียนจบทำงานแล้ว ก็ยังแวะเวียนไปกราบหลวงพ่อวัดไทรน้อย ได้กราบเรียนสอบถามถึงยันต์ในตะกรุดบ้าง เอาบุหรี่ญี่ปุ่นไปถวายบ้าง ทำบุญบ้าง

  ข้าพเจ้าสังเกตได้ว่า พอข้าพเจ้าเรียนจบและเข้าสู่วัยทำงานแล้วมีเงินเดือนแล้ว คราวนี้พอถวายเงินให้หลวงพ่อ ท่านก็รับ ถ้าคุยกับท่านเรื่องยันต์ต่างๆ ท่านก็ให้รายละเอียดมากยิ่งขึ้น มากกว่าตอนที่ข้าพเจ้ายังเรียนช่างกล

ตะกรุดหนังเสือ

  เมื่อข้าพเจ้าทำงานไปได้สัก 10 ปี วันหนึ่งลูกน้องถามว่า...มีของขลังที่ดีจริงทางคุ้มครองบ้างไหม จำเป็นต้องหามาติดตัว ข้าพเจ้าถามสาเหตุ พอลูกน้องมันบอกก็ต้องสะดุ้ง..เพราะ..พ่อของลูกน้องเป็นกำนันทางภาคใต้ โดนหุ้นส่วนหลอกไปยิงทิ้งตายคาที่...มีวี่แววว่าเรื่องจะบานปลาย ลูกน้องเลยมาขอของขลัง จึงพาไปหาหลวงพ่อวัดไทรน้อย ท่านก็มอบตะกรุดโทนดอกโตให้คุ้มครองตัว

  และแล้ว เรื่องก็บานปลายจริงๆ เจ้าลูกน้องรายงานว่า ตะกรุดหลวงพ่อวัดไทรน้อยเหนียวจริง ยังพาพวกไปกราบหลวงพ่อ ขอตะกรุดไว้คุ้มครองตัวด้วยเหมือนกัน....เรื่องจะบานปลายอย่างไร ก็บานปลายแบบในหนังไทยยุคเก่า หรือหนังจีนกำลังภายใน ลองคิดจินตนาการเอาเอง

  หลวงพ่อวัดไทรน้อยทำตะกรุดไว้หลายแบบ ที่ดังกว่าแบบใดก็คือตะกรุดโทนดอกโต จะยาว 4 นิ้วกว่าๆ เป็นตะกรุด 2 ดอกม้วนรวมกัน ลงยันต์ทั้งด้านหน้าด้านหลัง มียันต์นวหรคุณ  ยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ยันต์เพชชสี่ด้าน และนะอุด  ตะกรุดโทนดอกโตลงยันต์เยอะทำยาก หลวงพ่อจึงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมสำหรับคนที่มาขอ ตะกรุดโทนดอกโตทำจากตะกั่วจึงหนักมาก ขนาดว่าเอาตะกรุดขว้างโดนหัวแตกหรือสลบได้เลย

ตะกรุดดอกเล็กแบบทายางรัก

มีเรื่องที่หลวงพ่อท่านว่าเป็นวิบากกรรม เรื่องเกิดในบั้นปลายชีวิตท่าน ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังระดับต้นๆของเมืองไทย ในตอนที่หลวงพ่อชราภาพมากแล้ว มีกลุ่มมิจฉาชีพเข้าไปกราบท่าน ภายหลังแอบเอายานอนหลับให้ท่านฉัน แล้วจัดฉากถ่ายรูปผู้หญิงขึ้นคล่อมหลวงพ่อ ให้ดูเหมือนว่ากำลังร่วมเพศ กลุ่มนี้เอารูปภาพมาขู่รีดไถเงินจากหลวงพ่อ

  แทนที่หลวงพ่อวัดไทรน้อยจะกลัวเสียชื่อเสียงแล้วยอมจ่ายเงิน ท่านเห็นว่าท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านพร้อมจะพิสูจน์ความจริง จึงได้แจ้งความพร้อมทั้งรูปถ่าย...หลวงพ่อวัดไทรน้อยบริสุทธิ์ แต่เพราะท่านพร้อมพิสูจน์ความจริง เลยกลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แต่ผลก็คือ...

  หนังสือพิมพ์เอาเรื่องหลวงพ่อวัดไทรน้อยนอน(หมดสติ)มีผู้หญิงขึ้นคล่อม เอามาเล่นเรื่องว่า เกจิอาจารย์ใหญ่ปาราชิก เล่นข่าวอยู่หลายวัน หลวงพ่อวัดไทรน้อยเสื่อมเสียชื่อเสียงสุดๆ ศรัทธาศิษย์ตกฮวบฮาบ มีการขายทิ้งวัตถุมงคลของหลวงพ่อ เสียงก่นด่ามาก่อน โดยที่ไม่พิจารณาเลยว่า หลวงพ่อชราภาพและอาพาธ ทางวัดก็อธิบายแล้วว่าหลวงพ่อโดนวางยา แต่ข่าวมีแต่ว่าหลวงพ่อไปในทางร้าย

  ตอนข้าพเจ้ารู้ข่าวก็รีบไปเยี่ยมหลวงพ่อ ท่านถามว่าเรื่องดังอย่างนี้แล้วเอ็งยังนับถือข้าอยู่อีกรึ ข้าพเจ้ากราบเรียนว่า รู้ว่าหลวงพ่อไม่ได้ทำผิด หลวงพ่อโดนจัดฉากแบล็คเมล์ชัดๆ และข้าพเจ้ายังพูดอีกว่า ถ้าหลวงพ่ออึ๊บๆจริง ก็ยิ่งต้องรีบมากราบหลวงพ่อ เพราะขนาดอายุ 80 แล้วยังอึ๊บไหว ต้องมียาโด๊ปเจ๋งแน่ๆจะได้ขอสูตร หลวงพ่อฟังแล้วท่านหัวเราะลั่นชอบอกชอบใจ

  หลายปีต่อมา หลวงพ่อชนะคดี ยืนยันว่าหลวงพ่อวัดไทรน้อยเป็นผู้บริสุทธิ์ แกงค์มิจฉาชีพรับสารภาพสิ้นว่า ได้วางยาหลวงพ่อแล้วจัดฉากถ่ายรูปเพื่อรีดไถเงิน

  พอหลวงพ่อชนะคดี ปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ที่เคยเล่นข่าวหลวงพ่อเป็นข่าวใหญ่หลายวัน กลับลงข่าวแบบเหมือนไม่ลงข่าวหลวงพ่อวัดไทรน้อยชนะคดีเป็นผู้บริสุทธิ์ แค่ลงข่าวเป็นแบบข่าวแทรกเล็กๆแค่ไม่กี่บรรทัด บางฉบับลงข่าวแค่ไม่กี่วรรค น้อยคนที่จะได้เห็นข่าวที่แสดงความยุติธรรมให้หลวงพ่อนี้


  หลวงพ่อท่านสร้างตะกรุดไว้หลายแบบ ที่ดังสุดก็คือตะกรุดโทนดอกโต ยาว 4 นิ้วกว่าๆ ที่แจกมากที่สุดคือตะกรุดดอกเล็ก ยาวประมาณ 1นิ้วครึ่ง ที่ แจกแทนตะกรุดดอกโตก็เป็นตะกรุดขนาดกลาง ลงไว้ด้วยยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ และนะอุด บางทีหลวงพ่อเรียกนะแคล้ว วัตถุมงคลแบบอื่นก็มีเหรียญรูปท่าน รูปหล่อ พระกริ่ง พระบูชา  พระผงรูปเหมือน พระพิมพ์สมเด็จ กระดาษยันต์รูปท่าน ธงมหาราช แม่นางกวัก พระปิดตา





  หลวงพ่อวัดไทรน้อย หลวงพ่อเมียง หรือ พระครูนนทสิทธิการ (ประสิทธิ์ สิทธิกาโร) มรณภาพด้วยโรคปอดติดเชื้อ ที่ รพ.พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2556  รวมอายุ 88 ปี 65 พรรษา

เรื่องจากความทรงจำที่ได้รู้จักหลวงพ่อวัดไทรน้อย

ภาพวัตถุมงคลของข้าพเข้าเอง

ขอขอบคุณภาพหลวงพ่อวัดไทรน้อย จากอินเทอเน็ต(ไม่สามารถสืบหาต้นตอแรกเริ่ม)