วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าไทย.๙ เสน่ห์ยาแฝด หงส์ร่อนมังกรรำ

หงส์ร่อนมังกรรำ(hong-ron-mung-korn-rum)
witchcraft-spell captivate



เสน่ห์ยาแฝด..หงส์ร่อน – มังกรรำ

   
   ความเชื่อในเรื่องคุณไสยมีอยู่ในทุกชาติทุกภาษา ความเชื่อเรื่องนี้มิใช่ว่าเชื่อถือกันเฉพาะแต่ในสมัยโบราณ เพราะในสมัยนี้ก็ยังมีคนเชื่อว่าคุณไสยนี้มีจริง ดังจะเห็นได้จากข่าวที่มักมีเรื่องที่เกี่ยวข้องเล่าลือกันเรื่องคุณไสยกันอยู่เนืองๆ ซึ่งหลายๆคนเชื่อว่าจริง และมีที่เห็นว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระก็มาก

   เรื่องของคุณไสยที่เรามักเคยได้ยินได้ฟังมามักเป็นเรื่องคุณไสยที่ทำร้ายคนให้เจ็บตาย และคุณไสยที่ทำให้รักหลงจนหัวปักหัวปำ ส่วนคุณไสยในเรื่องอื่นๆมักไม่ค่อยมีการกล่าวถึงกัน คนที่ถูกคุณไสยนั้นจะเรียกกันว่า โดนของ

   คุณไสยที่เล่าขานกันในวงสนทนาบ่อยๆมักมีเรื่องคุณไสยที่ทำให้หลงรักรวมอยู่ด้วย คุณไสยแบบนี้มีอยู่มากแบบ มีตั้งแต่การเสกของให้กิน เสกหุ่นแบบฝังรูปฝังรอย เสกแบบสร้างมโนภาพ คุณไสยแบบที่ทำให้หลงรักที่มักกล่าวถึงกันบ่อยๆนั้น ก็คือคุณไสยชนิดเสน่ห์ยาแฝด

   เสน่ห์ยาแฝดเป็นคุณไสยชนิดที่คนกินเข้าไป ซึ่งทั้งหมดเป็นการถูกหลอกให้กิน เสน่ห์ยาแฝดทำนองนี้ที่คนไทยเราต้องเคยได้ยินกันมากนั้น ก็คือแบบที่เรียกว่า หงส์ร่อนมังกรรำ

ภาพจากละคร นางมาร อังไอน้ำให้เกิดหยดน้ำที่จิ๋ม

   หงส์ร่อนมังกรรำนั้นคนมักคิดว่าเป็นเสน่ห์ยาแฝดเพียงหนึ่งอย่าง แต่แท้ที่จริงแล้วแยกเป็นสองอย่างคือ หงส์ร่อนอย่างหนึ่ง และมังกรรำอีกอย่างหนึ่ง คนโบราณท่านว่า ถ้าใครโดนทั้งหงส์ร่อนและมังกรรำ คนๆนั้นนับว่าโชคร้ายซวยสุดๆ และปล่อยไว้นานเกินไปจะแก้ไขได้ยาก  เพราะทั้งหงส์ร่อนและมังกรรำนี้ เป็นคุณไสยชนิดที่กินเข้าไปอยู่ในร่างกาย ถ้าปล่อยไว้นานคุณไสยก็จะกินก็จะเข้าไปถึงกระดูก

หงส์ร่อน

   หงส์ร่อนเป็นการทำเสน่ห์ยาแฝดแบบที่เป็นเรื่องเฉพาะของผู้หญิง คือผู้หญิงเป็นฝ่ายทำคุณไสยใส่ผู้ชาย หงส์ร่อนนี้ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้ชายเป็นคนทำ

   คนโบราณท่านเล่าต่อๆกันมาว่า หงส์ร่อนเกิดจากการทำเสน่ห์ยาแฝดใส่เข้าไปในข้าว แล้วจึงนำข้าวนั้นไปหลอกให้ผู้ชายกิน เมื่อผู้ชายเผลอกินเข้าไปแล้วไม่นานก็จะเกิดความงงงวยลืมตัว จะหลงรักผู้หญิงที่ทำหงส์ร่อนใส่ เป็นการหลงรักแบบหัวปักหัวปำไม่ได้สติ ถ้ากินหงส์ร่อนติดต่อกันไปนานๆแล้ว สุดท้ายต้องเสียสติ

ภาพจากละคร นางมาร ให้ไอน้ำกลั่นตัวจากจิ๋มหยดลงในหม้อข้าว

   การทำเสน่ห์ยาแฝดแบบหงส์ร่อนนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วคนทำต้องเป็นผู้หญิงจริงๆ เพราะลักษณะที่ทำเป็นตัวชี้ชัดว่าต้องเป็นผู้หญิงจึงจะทำได้ โดยเริ่มจากการหุงข้าวซึ่งเรื่องนี้โดยปกติเป็นเรื่องของผู้หญิงอยู่แล้ว เมื่อหุงข้าวจนสุกดีแล้ว ก็ยกหม้อข้าวลงมาวางไว้กับพื้น แล้วเปิดฝาหม้อข้าวออกมา ซึ่งแน่นอนว่าข้าวที่เพิ่งหุงสุกใหม่ๆจะต้องมีไอร้อนพุ่งขึ้นมา

   หญิงที่จะทำหงส์ร่อนจะถลกกระโปรงหรือผ้าถุง แล้วยืนคร่อมหม้อข้าวคล้ายๆกางกระโจมเหนือหม้อข้าว จากนั้นจึงจะส่ายร่อนเอววนไปมาเหนือหม้อข้าว ไอร้อนจากหม้อข้าวจะลอยขึ้นไปโดนอวัยวะเพศ เนื่องจากมีกระโปรงหรือผ้าถุงคร่อมไว้ ไอน้ำนั้นจึงถูกจำกัดให้อยู่ใต้กระโปรงหรือผ้าถุง ไอน้ำจึงรมถูกอวัยวะเพศเกิดเป็นหยดน้ำเกาะอวัยวะเพศนั้น ในระหว่างที่ส่ายร่อนเอวก็จะนึกถึงใบหน้าผู้ชายที่จะโดนเสน่ห์ยาแฝด บางตำรามีคาถาให้ท่องพร้อมกับร่อนเอวไปด้วย

   เมื่อเกิดหยดน้ำเกาะอวัยวะเพศหญิงแล้วยังไม่เพียงเท่านั้น ความร้อนจากไอน้ำที่อบอยู่ใต้ผ้าถุงย่อมทำให้เกิดเหงื่อด้วย ในที่สุดทั้งหยดน้ำจากอวัยวะเพศหญิงและเหงื่อจากช่วงล่างของร่างกายก็จะหยดลงไปในหม้อข้าว เหงื่อมหาสยิวนี้จึงผสมเข้ากับข้าวสวยได้อย่างแนบเนียน ทีนี้ความซวยก็จะเกิดกับผู้ชายที่กินข้าวหม้อนี้เข้าไป จะหลงรักหญิงเจ้าของเหงื่อมหาสยิวนี้แบบหน้ามืดตามัวไม่ได้สติ



ภาพจากละคร นางมาร


ภาพจากภาพยนตร์ คนเล่นของ


มังกรรำ

   เสน่ห์ยาแฝดแบบมังกรรำนับว่าย่ำแย่ไปกว่าหงส์ร่อนเสียอีก แต่ผู้ทราบตำนานมังกรรำแบบนี้มีน้อย มักจะเข้าใจว่าเป็นการอาบน้ำทำเสน่ห์ หรือคิดว่าเป็นยาลูกสวาทที่มีการกินเข้าไป แล้วรอถ่ายอุจจาระออกมา จากนั้นจึงเก็บลูกสวาทเอาไปทำเป็นยาเสน่ห์ วิธีนี้มีชื่อเรียกว่าทำคุณไสยลูกสวาท



   คุณไสยยาเสน่ห์แบบใช้ลูกสวาทจะคล้ายๆกับมังกรรำ แต่ผู้ที่จะทำนั้นไม่จำกัดเพศ คือคนทำเป็นได้ทั้งชายหญิง จะให้กรีดเอาเลือดที่กลางหน้าอก แล้วผสมขี้ไคลกับกระดาษสาลงยันต์ เอาทั้งหมดนี้อุดเข้าไปในลูกสวาทที่เจาะรูไว้ จากนั้นจึงกลืนลูกสวาทลงท้อง แบบนี้ในทางไสยศาสตร์เรียกว่าหุงยาเสน่ห์ด้วยไฟธาตุในตัว แล้วรอจนอุจจาระออกมา ให้เก็บเอาลูกสวาทนี้ไปป่นเป็นผงทำยาเสน่ห์ให้คนกิน ซึ่งทำคุณไสยหรือของนี้ให้กินทั้งผู้ชายผู้หญิง จากการใช้คุณไสยลูกสวาทที่ไม่จำกัดว่าเอาไปใช้กับเพศใด ดังนั้นคุณไสยลูกสวาทจึงไม่ใช่มังกรรำ แต่ก็ใกล้เคียงมาก



   เสน่ห์ยาแฝดมังกรรำนี้ต้องใช้ของสิ่งหนึ่งที่มีเฉพาะในผู้หญิงเท่านั้น นั่นก็คือเลือดประจำเดือน

   มังกรรำแบบสุดย่ำแย่นั้น ผู้หญิงจะต้องรอจนมีประจำเดือนหรือเมนส์ แล้วจะลงไปแช่น้ำในอ่าง จากนั้นจะทำการถูขี้ไคลตามเนื้อตามตัว ตอนถูตัวนี่เองที่คล้ายๆกับรำ บางตำราว่าให้รำไปถูขี้ไคลไป ที่สำคัญคือจะต้องรอให้เลือดประจำเดือนหยดลงไปในน้ำด้วย เท่ากับว่าหญิงที่ทำเสน่ห์ยาแฝดจะต้องนั่งแช่ในอ่างน้ำ แล้วรอจนเลือดประจำเดือนออกมาผสมกันไปกับน้ำ ยิ่งมีเลือดประจำดือนมากก็ยิ่งได้ยาเสน่ห์มาก 
   
   เมื่อในอ่างน้ำมีทั้งขี้ไคลและประจำเดือนแล้ว ก็จะรอให้ขี้ไคลกับประจำเดือนตกตะกอน แล้วรินน้ำทิ้งเหลือเอาไว้แต่ตะกอนขี้ไคลและตะกอนของเลือดประจำเดือน เพื่อเอาไปตากแดดให้แห้ง ก็จะได้เป็นผงขี้ไคลผสมผงของเลือดประจำเดือนที่แห้งแล้ว เป็นเสน่ห์ยาแฝดแบบที่เอาไปให้ผู้ชายกิน


ถูขี้ไคลและอาจแถมประจำเดือน


   เชื่อกันว่าใครโดนทั้งหงส์ร่อนและมังกรรำ ก็จะซวยที่สุดเข้าทำนองผีซ้ำด้ามพลอยเคระห์ร้ายซ้ำซาก ถือว่าเป็นการโดนของหรือคุณไสยแบบที่สกปรกโสมมเป็นเสนียดจัญไรอย่างที่สุด จะลืมตัวไม่ได้สติ จะเพ้อหลงรักผู้หญิงที่ทำของใส่ ที่สุดแล้วก็จะเสียสติ 

   อย่างไรก็ตามโบราณท่านว่ามีผูกก็ต้องมีแก้ ของในโลกนี้ย่อมมีที่แพ้ทางกัน ท่านว่าถ้าไม่รู้วิทยาคมวิธีแก้หงส์ร่อนมังกรรำ ก็ให้แก้ด้วยการเอาน้ำท้องเรือมาให้กินและอาบ น้ำท้องเรือก็คือน้ำจากแม่น้ำลำคลองที่ซึมเข้ามาในท้องเรือ เป็นน้ำที่เราเห็นคนพายเรือเขาวิดน้ำออกจากท้องเรือนั่นเอง น้ำนี้จะซึมเข้ามาตามแนวรอยต่อไม้ที่ชันยาเรือเริ่มชำรุด น้ำท้องเรือนี้เป็นคู่ปรับกับหงส์ร่อนมังกรรำอย่างชะงัด

   ความเชื่อเรื่องคุณไสยนี้ยังคงมีอยู่เสมอ ทั้งหงส์ร่อนและมังกรรำต่างก็เป็นคุณไสยที่ชั่วร้าย แต่ที่มาที่ไปก็คงมาจากความรัก แต่เป็นความรักที่ไม่สมหวัง เลยเห็นแก่ตัวต้องใช้คุณไสยบังคับคนให้มารัก คนที่ถูกคุณไสยหรือถูกของนั้น เชื่อว่าจะมีใบหน้าที่หมองคล้ำผิดปกติ จะใจลอยพร่ำเพ้อ จะซูบผอมกินไม่ได้นอนไม่หลับ ท้ายที่สุดแล้วถ้าแก้ไม่ทันก็ถึงกับวิกลจริตเสียสติได้

   วิธีป้องกันคุณไสยอย่างง่ายๆโบราณท่านให้หาว่านหางช้างมาปลูกไว้ เชื่อกันว่าว่านหางช้างมีคุณวิเศษป้องกันคุณไสยลมเพลมพัดทั้งหลายได้ แต่ถ้าถึงขนาดแอบเอาหงส์ร่อนมังกรรำมาให้กินนั้น อย่างนี้ก็คงป้องกันได้ลำบากแล้ว


ภาพจากknowledgeintheword.org ว่านหางช้าง





ถูขี้ไคลเอามาทำเสน่ห์ซะเลย


ภาพจาก ikapook


ใครคิดนะ ให้ถูขึ้ไคลกับปล่อยประจำเดือนในถังน้ำแบบนี้


เรื่องจากความทรงจำที่เคยได้สนทนากับพระอาจารย์ต่างๆ และผู้ใหญ่รุ่นเก่าที่เคยเห็นคุณไสยเสน่ห์ยาแฝดแบบหงส์ร่อนมังกรรำ
ขอขอบคุณภาพจากแหล่งที่มาที่แจ้งไว้ในภาพ



วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เจดีย์.๓ เจดีย์ภูเขาทองวัดสระเกศ


พระบรมบรรพต(ภูเขาทอง)วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

The Golden Mount





ภูเขาทองวัดสระเกศ นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ภูเขาทองยิ่งเป็นสิ่งคุ้นตาของคนกรุงเทพฯมาช้านานแล้ว แต่เพราะความเร่งรีบในการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯในปัจจุบันนั้น ทำให้ไม่ค่อยได้สนใจถึงความเป็นมาของภูเขาทองกันสักเท่าไร ทั้งๆที่ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานั้น ภูเขาทองที่ตั้งอยู่ ณ วัดสระเกศนับได้ว่าเป็นศูนย์รวมของอะไรหลายๆอย่าง ที่บ่งบอกถึงวิถีแบบไทยๆในอดีตก่อนหน้านั้นขึ้นไปอีก

          แต่ก่อนนั้นใครๆก็รองานวัดสระเกศ ซ้ำยังเรียกกันด้วยซ้ำว่าไปเที่ยวงานภูเขาทอง งานภูเขาทองก็คืองานวัดที่จัดกันปีละหน เป็นวัฒนธรรมงานวัดแบบไทยแท้ๆ ยิ่งในงานภูเขาทองด้วยแล้ว ถือว่าเป็นงานวัดระดับมหึมาของเมืองกรุงกันเลยทีเดียว งานวัดที่สุดคลาสสิคที่สุดก็คืองานภูเขาทองหรืองานวัดสระเกศนี่เอง

จดีย์ภูเขาทอง(พระบรมบรรพต)วัดสระเกศ


ภาพจาก www.maneger.co.th

          วัดสระเกศเป็นวัดโบราณสมัยอยุธยา เล่ากันว่าเดิมชื่อวัดสะแก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้พระราชทานนามวัดว่าวัดสระเกศ วัดสระเกศนี้มีเกร็ดเล่าว่า ตอนสร้างกรุงเทพฯต้องการที่จะให้เหมือนพระนครศรีอยุธยามากที่สุด จึงหมายจะให้ทำคลองมหานาคแถบวัดสระเกศให้เป็นที่เล่นเพลงเรือ เพลงสักวา และจะให้มีพระมหาเจดีย์สูงใหญ่เหมือนเจดีย์ภูเขาทองที่พระนครศรีอยุธยา


ภาพจาก www.gotoknow.com เจดีย์ภูเขาทอง อยุธยา

ภาพจาก  www.wikimepia.com เจดีย์ภูเขาทอง

          พอถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างพระสุวรรณบรรพต ซึ่งแปลตรงๆว่าภูเขาทองนั่นเอง โดยโปรดให้สร้างเป็นเจดีย์แบบพระปรางค์(ยังไม่ทำเป็นเจดีย์ดังที่เห็นในปัจจุบัน) ได้มีการลงรากฐานด้วยท่อนซุงขนาดใหญ่ถมดินหิน ก่อโครงด้วยไม้ซุงขึ้นไป ทำการก่ออิฐสร้างได้สองชั้น ปรากฏว่าฐานรับน้ำหนักมากและพื้นชั้นรากฐานเป็นเลนตม อันเป็นไปตามสภาพธรรมชาติทางธรณีวิทยาของพื้นดินกรุงเทพฯ น้ำหนักของฐานที่มากจึงกดให้ดินทรุดพังลงมาทำให้ต้องหยุดการสร้างพระสุวรรณบรรพตไป


ภูเขาทองสมัยแรกสร้างเป็นทรงแบบพระปรางค์



ชั้นฐานของภูเขาทองยุคแรก

          ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้สร้างพระเจดีย์ภูเขาทองขึ้นมาให้สำเร็จ ทำเป็นบันใดสองทางสำหรับขึ้นลง การสร้างพระเจดีย์ครั้งนี้ก่อด้วยปูน สามารถทำได้สูงถึง ๑ เส้น ๑๘ วา  ๒ ศอก การสร้างในครั้งนี้ทำเป็นพระเจดีย์อยู่ด้านบนสุดเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตามประวัติการสร้างว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯพระราชทานนามใหม่เป็นพระบรมบรรพต การสร้างยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ดีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯก็สวรรคตก่อน


ภาพจาก bloggang.com

ภาพจาก pantip.com

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างต่อจนสำเร็จเมื่อ วันศุกร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู ตรงกันสุริยคติกาลคือวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๐ ทรงให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากในวังมาประดิษฐานในองค์พระเจดีย์


          ถึงพ.ศ.๒๔๔๑ มิสเตอร์ วิลเลี่ยม เครกตัน เปบเปอร์ ชาวอังกฤษ ได้ขุดพบอัฐธาตุในสถูป อยู่ในพื้นที่ใกล้ตำบลปิบราห์วะ ซึ่งก็คือเมืองกบิลพัสดุ์ มีอักษรจารึกอ่านได้ว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในส่วนที่ศากยะวงศ์(ตระกูลของพระพุทธเจ้า)ได้รับแบ่งปันมา ดังนั้นพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบครั้งนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์อย่างแน่นอน


Mr.William Claxton Peppe

          ขณะนั้นมาเควส เคอสัน เป็นอุปราชปกครองอินเดีย มีความคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เพราะเคยอยู่ที่กรุงเทพฯมาก่อน มาเควส เคอสัน เห็นว่าพระมหากษัตริย์ที่เป็นพุทธศาสนูปถัมภกนั้น ก็มีแต่ที่ประเทศสยามเท่านั้น จึงได้ทำเรื่องกราบบังคมทูลเกล้าฯจะถวายพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบในครั้งนี้ มีเรื่องเล่าว่าเหตุที่ท่าน มาเควส เคอสัน รีบทูลเกล้าถวายนั้นเพราะเกรงว่า พระบรมสารีริกธาตุอาจถูกทำลายไป ดังที่เคยมีข่าวบาดหลวงทุบทำลายพระบรมสารีริกธาตุที่ประเทศศรีลังกา



ผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุชุดที่ขุดพบ

พระบรมสารีริกธาตุที่ภูเขาทองเป็นชุดขุดพบครั้งนี้ รูปร่างเป็นกระดูกมนุษย์


พระบรมสารีริกธาตุ พิพิธภัณฑฯกรุงนิวเดลี เหลือจากที่แบ่งถวาย ร.5


ภาพจาก mcukkradio.com พระยายมราช(ปั้น สุขุม)
          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยายมราช(ปั้น สุขุม) เมื่อครั้งยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต เป็นผู้แทนไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดียมายังประเทศสยาม คราวนั้นประเทศญี่ปุ่น ลังกา พม่า ไซบีเรีย ได้ส่งทูตมาขอรับพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุชุดที่ขุดพบที่อินเดียนี้ด้วย พระองค์ได้พระราชทานให้เพื่อพุทธศาสนิกชนในประเทศอื่นจะได้มีไว้กราบไหว้ระลึกเป็นพุทธานุสติ


ภาพจาก www.thaigramophone.com

ภาพจาก pantip ถ่ายเมื่อ พ.ศ.2433

          วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๒ ทรงโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมขุนนครราชสีมา เสด็จแทนพระองค์เนื่องจากทรงพระประชวร ให้เสด็จมาประกอบพระราชพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์บนยอดพระบรมบรรพต





          ต่อมาในพ.ศ.๒๔๙๓ ในรัชกาลปัจจุบัน ได้มีการซ่อมแซมบูรณะพระบรมบรรพตใหม่ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกมาชั่วคราว เมื่อการปฏิสังขรณ์พระบรมบรรพตเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว จึงได้จัดพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นไปประดิษฐานดังเดิม

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเป็นองค์ประธานในครั้งนี้ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๗


          พระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานบนพระบรมบรรพตนี้ มีลักษณะเป็นกระดูกมนุษย์จริงๆ มีร่องรอยของการถูกเผามาจริงๆ ทั้งยังถูกค้นพบยังพระสถูปโบราณเขตเมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองกบิลพัสดุ์นี้ก็คือเมืองของพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระพุทธองค์นั่นเอง

       



ภาพจาก www.thailovetrip.com พระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายในองค์เจดีย์

          พระบรมสารีริกธาตุบนพระบรมบรรพตหรือภูเขาทองนี้ ต้องถือว่าคือพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ที่เชื่อถือได้มากที่สุด มีหลักฐานความเป็นมาทางประวัติศาสตร์โบราณคดีชัดเจนที่สุด ชาวไทยเราสมควรต้องหาโอกาสไปกราบนมัสการให้ได้ ยิ่งคนกรุงเทพฯแล้วใกล้ๆแค่นี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว


www.hotelthailand.com

www.oknation.com

www.oknation.com


www.thailovetrip.com

www.travel.thaiza.com
www.thaihrhub.com

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆและรูปภาพจากเว็บไซด์ดังที่แจ้งไว้ในภาพ


นึกเรื่องเก่า เล่าความหลัง กินของขม ชมเด็กสาว.๑๐ จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้ม


จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้ม
Crocodile Rampage




ตำนานจระเข้อาละวาดกินคน "ไอ้บอดวัดสามปลื้ม"

ท่านที่ชอบนึกเรื่องเก่าเล่าความหลังนี้ แต่พยายามฝืนที่จะไม่กินของขม และยังไม่ชมเด็กสาว(ให้เห็น) อย่างนี้จะนับว่าเริ่มแก่แล้วหรือยัง คาดว่าท่านทั้งหลายคงจะตอบว่ายังไม่แก่อย่างแน่นอน ดังนั้นเรามานึกเรื่องเก่าเล่าความหลังกันให้พอเคลิ้มๆ..


เชื่อหรือไม่ว่าสมัยก่อนนั้นเมืองไทยของเรามีจระเข้มาก หมายถึงจระเข้ตามธรรมชาติ ไม่ใช่จระเข้แบบที่เขาเลี้ยงไว้ในฟาร์มจระเข้ของสมัยนี้ จระเข้เมืองไทยนั้นมีมาก แม้แต่สมัยที่ผู้เขียนหรือแอดมินนี้ยังเป็นเด็ก ก็ยังเคยเห็นจระเข้ริมแม่น้ำในต่างจังหวัด ถึงจะเห็นไม่กี่ครั้งแต่ก็ยังแสดงว่าจระเข้ตามธรรมชาติยังมีอยู่จริง

   ถ้าเป็นสมัยอยุธยาแล้ว เรื่องจระเข้เป็นเรื่องธรรมดาๆ ตามแม่น้ำลำคลองยังมีจระเข้อยู่มากมาย ถึงขนาดว่าเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศสชุดลาลูแบร์ ที่มายังสยามสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังต้องอึ้งทึ่งถึงจำนวนจระเข้ที่เห็นในสยาม ถึงกับเห็นมีจระเข้อยู่ตามแม่น้ำลำคลองของอยุธยาเมืองหลวงกันเลย


ภาพจากตำราภาพเทวรูปของกรมศิลปากร

   ตอนที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กจนถึงวัยรุ่นนั้น เวลาที่จะไปซื้อขนมของกินอร่อยๆ ก็จะต้องเดินไปซื้อขนมที่ย่านสะพานหัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเก่าของผู้เขียน ที่สะพานหันจะมีขนมขายเยอะแยะไปหมด ขนมที่ผู้เขียนจะไปซื้อโดยมากจะเป็นขนมกรวย แต่ที่สะพานหันจะมีทั้งขนมไทยจีนแขกฝรั่ง เรียกว่ามีขนมครบทุกชนิด

    ไปสะพานหันทั้งทีแล้ว เรื่องมันก็ต้องแถมด้วยการเดินดูของเล่นที่มีขายอยู่แถวๆนั้นด้วย ถ้าเวลายังเหลือยังไม่ถึงช่วงตอนเย็น บางทีก็เดินต่อไปตามตรอกสะพานหันเพื่อไปออกทางที่จะต่อไปสำเพ็ง แล้วจึงเดินไปตามถนนจักรวรรดิอีกนิดเดียว จุดหมายปลายทางก็คือจะไปดูจระเข้ที่วัดสามปลื้ม ซึ่งอยู่ในบ่อที่ทางวัดทำไว้ให้จระเข้ตัวหนึ่ง จระเข้ตัวนี้เป็นจระเข้เจ้าของตำนานจระเข้กินคนอันเลื่องชื่อว่าดุโคตรๆ ไอ้บอดวัดสามปลื้มนั่นเอง

รูปหล่อท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา สิงห์ สิงหเสนี

   จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มจะอยู่ในบ่อจระเข้ที่อยู่บริเวณก่อนถึงพระอุโบสถ อยู่บริเวณข้างศาลาที่มีรูปหล่อของท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) บ่อจระเข้จะมีรั๊วกั้นปลอดภัย สามารถไปยืนริมรั๊วมองดูจระเข้ได้อย่างสะดวก

รั๊วกั้นขอบบ่อจระเข้วัดสามปลื้ม

บ่อจระเข้วัดสามปลื้มใหญ่พอสมควร

ภาพโดยสีหวัชร บ่อจระเข้วัดสามปลื้ม เห็นใต้ถุนกุฏิเป็นถ้ำ

  ตอนที่ผู้เขียนยังเด็กนั้น พอไปดูจระเข้ที่บ่อนี้ ก็จะนึกว่าจระเข้เป็นหินแกะไว้ เพราะไม่เห็นว่าจระเข้มันจะกระดุกกระดิกอะไรเลย ตอนนั้นนึกว่าเป็นจระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มแน่นอน เพราะจระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เด็กๆจะโดนขู่ว่าห้ามเล่นน้ำในคลอง(สมัยนั้นยังพอเล่นน้ำคลองได้) ถ้าเล่นน้ำแล้วเดี๋ยวจระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มจะมากัดไล่งับก้น

   จระเข้ที่เคยเห็นตอนเด็กนั้น ไปๆมาๆก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มหรือไม่ เพราะผู้เขียนไม่ได้เป็นคนในยุคที่จระเข้ไอ้บอดกำลังอาละวาด จำได้ว่าตอนที่ทางบ้านพาไปดูบ่อจระเข้วัดสามปลื้มนั้น ระยะเวลาห่างจากครั้งจระเข้ไอ้บอดอาละวาดราวๆยี่สิบกว่าปีหน่อยๆแล้ว แต่ในบ่อยังมีจระเข้อยู่จริงๆ

   แปลกแต่จริงที่สืบไม่ได้ว่าจระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มตายเมื่อไร

ภาพโดยสีหวัชร..เรือนตู้กระจกจระเข้ไอ้บอด

   จระเข้ไอ้บอดมีชื่อโด่งดังอื้อฉาวเพราะเข้ามาอาละวาดในพระนคร ได้อาละวาดกินคนตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา เล่ากันว่าจระเข้ไอ้บอดกินคนไปแล้วหลายคน ทั้งยังอาละวาดอยู่นานเป็นปี ซึ่งตามธรรมชาติของจระเข้นั้น พอกินคนสักทีแล้วก็ไปกบดานอยู่ในที่ซ่อนเป็นเวลานาน แล้วก็ออกมาอาละวาดกันใหม่

   เหตุที่เรียกจระเข้ตัวนี้ว่าไอ้บอดเพราะตาบอดข้างหนึ่ง คนทั้งหลายจึงเรียกจระเข้กินคนตัวนี้ว่าจระเข้ไอ้บอด ข่าวจระเข้ไอ้บอดอาละวาดหนักจะอยู่ในช่วงปีพ.ศ.๒๔๘๕ แต่เรื่องราวของจระเข้ไอ้บอดนี้ไปๆมาๆก็กลับไม่ยุติว่า คุณปู่จระเข้ไอ้บอดนั้นท่านอุตสาหะว่ายน้ำมาเที่ยวจนถึงพระนคร(กรุงเทพฯ)ตั้งแต่ปีพ.ศ.ไหน เพราะมีเรื่องเล่ามาหลายกระแส แต่ที่แน่ๆคือจระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มมีตัวตนอยู่จริงๆ อาละวาดอยู่ตามริมแม่น้ำเจ้าพระยาจริงๆ กินคนไปหลายคนจริงๆ

   ตำนานคุณปู่จระเข้ไอ้บอดที่คนเชื่อและจำกันมากที่สุดนั้น จะเป็นช่วงน้ำท่วมใหญ่ในปีพ.ศ.๒๔๘๕ ระยะนั้นมีจระเข้ออกอาละวาดกินคนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จระเข้ตัวนี้เป็นจระเข้ใหญ่มีตาข้างเดียว ส่วนตาอีกข้างหนึ่งบอดไป จึงเรียกจระเข้ตัวที่อาละวาดนี้ว่าไอ้บอด ซึ่งเป็นจุดสังเกตของประชาชนว่าใช่จระเข้ตัวนี้แน่ๆ

ภาพโดยสีหวัชร..เรือนตู้กระจกเหนือบ่อจระเข้ แล้วทำความสะอาดยังไงหวา

   จระเข้ไอ้บอดอาละวาดในพระนครอย่างเหิมเกริม คนที่อยู่ตามริมแม่น้ำเจ้าพระยาจะกลัวจระเข้ไอ้บอดมาก จระเข้ไอ้บอดนี้แน่ไม่แน่ก็ขนาดว่ามาอาละวาดอยู่แถบปากคลองตลาดยันสะพานพุทธไปถึงทรงวาดกันเลย อาละวาดทั้งๆที่แถบดังกล่าวเป็นย่านที่มีคนพลุกพล่าน  ประชาชนพากันหวาดกลัวกันมาก ในที่สุดจึงต้องระดมกำลังกันไล่จับจระเข้ไอ้บอด

   การระดมกำลังจับจระเข้ไอ้บอดต้องทำหลายครั้ง จนกระทั่งจระเข้ไอ้บอดมาอาละวาดแถวๆสะพานพุทธ จึงมีการระดมกำลังช่วยกันจับจระเข้ไอ้บอด เล่ากันว่าล้อมจับจนจระเข้ไอ้บอดหนีเข้าไปทางวัดบพิตรพิมุข(วัดเชิงเลน) เกือบจับได้แต่ก็หลุดไปจนเข้าไปอยู่ภายในวัดสามปลื้ม(วัดจักรวรรดิ)ที่อยู่ถัดขึ้นไป
  
   ในที่สุดจระเข้ไอ้บอดหนีเข้าไปอยู่บริเวณใต้ถุนกุฏิพระที่วัดสามปลื้ม(วัดจักรวรรดิฯ) คนล้อมจับจระเข้ไอ้บอดซึ่งครั้งนี้ไม่พลาดแน่ จระเข้ไอ้บอดกำลังจะถูกรุมฆ่า แต่พระท่านสงสารจึงขอบิณฑบาตชีวิตไอ้บอดไว้ และขุดพื้นใต้กุฏิให้เป็นถ้ำให้จระเข้อยู่ นับแต่นั้นมาจระเข้กินคนก็กลายเป็น ไอ้บอดวัดสามปลื้มเป็นตำนานจระเข้กินคนสุดดังของสยามประเทศนับแต่นั้นมา

ภาพจาก board.trekkingthai.com ท่านเจ้ามา

   อีกตำนานหนึ่งว่าพระพุฒาจารย์มา หรือท่านเจ้ามาวัดสามปลื้มเป็นผู้เลี้ยงจระเข้ไว้ตัวหนึ่ง ต่อมามีคนชอบไปแกล้งเอาไม้แหย่จระเข้เล่นจนพลาดไม้ไปแทงตาจระเข้จนตาบอดไปข้างหนึ่ง จึงกลายเป็นจระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้ม

   ปีพ.ศ.๒๔๘๕เกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯครั้งใหญ่ จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มเกิดหลุดจากบ่อออกมาอาละวาดกินคนไปหลายคน ในที่สุดก็ถูกจับไปไว้ในบ่อจระเข้ที่วัดสามปลื้มตามเดิม แต่ตำนานเรื่องนี้ผู้เขียนพิจารณาแล้ว ก็มีความเห็นส่วนตัวว่ามีน้ำหนักค่อนข้างอ่อนไป เพราะพระพุฒาจารย์มาหรือท่านเจ้ามานั้น ท่านมรณภาพในปีพ.ศ.๒๔๕๗ ห่างจากปีที่จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มอาละวาดถึง ๒๘ ปี

    คุณปู่จระเข้บอดวัดสามปลิ้มตายในปีไหนไม่ทราบแน่ชัด เรื่องนี้เหลือเชื่อสุดๆที่หาข้อมูลไม่ได้ เคยพยายามสอบถามคนแถววัดสามปลื้มและพระในวัดแล้ว ก็ตอบไม่ได้สักรายทั้งๆเวลาห่างจากช่วงที่จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มอาละวาดอยู่เจ็ดสิบกว่าปี คุณปู่จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มต้องมีชีวิตอยู่หลังจากปีพ.ศ.๒๔๘๕อีกหลายปี เพราะจระเข้เป็นสัตว์อายุยืนพอสมควร เรื่องราวจึงไม่น่าที่จะลืมเลือนสูญหายไปได้ง่ายๆขนาดนี้

   ตอนที่ผู้เขียนเห็นคุณปู่จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มครั้งแรกนั้น เป็นช่วงหลังพ.ศ.๒๕๐๐ไม่เกินสิบปี ดีไม่ดีผู้เขียนอาจทันได้เห็นคุณปู่จระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มตัวจริงก็ได้ เสียดายที่ลืมถามหลวงปู่ทองวัดสามปลื้ม รวมทั้งหลวงปู่ผ่อง หลวงปู่ผิว หลวงปู่ปรง ซึ่งท่านทั้งหมดนั้นทันยุคจระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้ม

ในบ่อปัจจุบันยังมีจระเข้

    ในปัจจุบันบ่อจระเข้บ้านของคุณปู่จระเข้บอดก็ยังมีอยู่ และยังมีจระเข้ตัวเป็นๆอยู่ด้วย เท่าที่มองเห็นมีอยู่ในบ่อใหญ่สองตัว ที่บ่อใหญ่นั้นมีตัวหนึ่งใหญ่เหมือนกัน ที่บ่อเล็กอยู่ติดๆกันก็มีจระเข้สองตัวเช่นกัน


   ตรงบ่อจระเข้บ่อใหญ่มีจระเข้สต๊าฟไว้ตัวหนึ่ง ยืนยันกันว่านี่แหละคือคุณปู่จระเข้บอดวัดสามปลื้ม โดยทำเป็นเรือนตู้กระจกยกลอยเหนือบ่อจระเข้ สามารถมองเห็นคุณปู่จระเข้บอดวัดสามปลิ้มได้ แต่กระจกออกจะมีฝุ่นจับสักหน่อย จะเช็ดทำความสะอาดก็คงยากไม่ใช่เลย เพราะเรือนตู้กระจกคุณปู่จระเข้บอดวัดสามปลื้มนี้ ดันยกลอยอยู่เหนือบ่อที่ข้างล่างยังมีจระเข้ตัวเป็นๆรออยู่ อย่างนี้คงหาคนช่วยเช็ดกระจกยากเสียแล้ว

บ่อจระเข้ เห็นถ้ำด้วย

จระเข้ในปัจจุบันตัวใหญ่พอสมควร

จระเข้บ่อเล็ก

ยื่นกล้องเข้าไปถ่ายภาพมาได้แค่นี้เอง
จระเข้ปู่บอดหรือจระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้ม


ข้อมูลจากความทรงจำในวัยเด็ก , จากผู้ใหญ่ที่เล่าให้ฟัง และจาก puntip.com
ขอขอบคุณที่มาของภาพและข้อมูล
ภาพของสีหวัชรอนุญาตให้นำไปใช้ได้