พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
Emerald Buddha
พระแก้วมรกต (พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร)
ประเทศไทยของเรามีมีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณ
ทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นความเชื่อในระดับพื้นบ้าน
กระทั่งถึงในระดับภูมิภาคประชาชาติและสากล
แรกเริ่มความเชื่อถือนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นไปในแบบการนับถือผีที่มีฤทธิ์มีศักดิ์
แล้วจึงค่อยรับเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นสรณะ
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญารู้แจ้งสว่างสงบ
แต่ความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติของชาวสุวรรณภูมิหยั่งรากฝังลึกแล้ว
ก็ค่อยๆผสมผสานเข้าไปในศาสนา ด้วยเห็นว่าผีอันมีฤทธิ์มีศักดิ์ยังมีอำนาจ ดังนั้นพระพุทธคุณพระธรรมคุณพระสังฆคุณย่อมต้องศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาแล้ว
นอกจากจะให้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศาสดา เพื่อระลึกถึงเป็นพุทธานุสติ
ชนเป็นอันมากก็นับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ เมื่อทุกข์ร้อนก็น้อมจิตระลึกถึงขอให้ช่วยให้พ้นจากทุกข์ภัยนั้นๆ
แล้วก็ปรากฏเป็นอัศจรรย์อยู่เสมอว่า ทุกข์ภัยนั้นหายมลายสิ้นไปได้
พระพุทธรูปในสยามประเทศของเรานั้น นอกจากจะเป็นพุทธานุสติแล้ว
จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชนชาวไทยสยามอย่างแรงกล้า จริงอยู่ว่าอาจบดบังแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาไปบ้าง
แต่ก็ยังเป็นเครื่องปลูกศรัทธาให้ค่อยๆเข้าสู่พระศาสนา
แล้วค่อยๆกล่อมเกลาให้เกิดปัญญาต่อไป
กรุงเทพมหานครมีพระพุทธรูปอยู่มากมาย
ที่มีชื่อเสียงว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นิยมเคารพเลื่อมใสของคนไทยก็มีมาก
มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่นิยมเคารพเลื่อมใสกันมากเหลือหลาย
แต่พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดไม่ใหญ่โต ต้องเรียกว่ามีขนาดเล็กด้วยซ้ำแต่มีชื่อเสียงมากถึงขนาดว่า
นับเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยอย่างหนึ่งได้เลย พระพุทธรูปองค์ก็คือ
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
หรือวัดพระแก้วนั่นเอง
![]() |
ภาพจาก ww.reurnthai.com |
ประวัติพระแก้วมรกต
หลักฐานตำนานเก่าแก่เรื่องพระแก้วมรกตนั้น ที่เชื่อถือกันมากเริ่มมาจากหนังสือตำนาน
“รัตนพิมพวงศ์” ตามตำนานได้กล่าวถึงพระแก้วมรกตว่า
เทวดาเป็นผู้สร้างพระแก้วมรกตนี้ถวายพระอรหันต์ชื่อว่า พระนาคเสน
อยู่ในเมืองปาฏลีบุต พระนาคเสนเป็นพระอรหันต์ที่มีอภิญญามีฤทธิ์มาก
พระนาคเสนได้อธิษฐานฤทธิ์อาราธนาพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จำนวน ๗ องค์ ให้เข้าไปประดิษฐานอยู่ภายในองค์พระแก้วมรกต โดยอยู่ที่พระโมฬี ๑
องค์ พระอุระ ๒ องค์ และในพระชานุทั้งสองข้างๆละ ๑ องค์
เมื่อพระบรมสารีริกธาตุเสด็จเข้าไปประดิษฐานภายในองค์พระแล้ว
เนื้อแก้วนั้นก็ปิดสนิทดี ไม่มีรอยตำหนิใดๆให้เห็นเลย
ต่อมาพระแก้วมรกตถูกอัญเชิญไปอยู่เมืองลังกา แล้วไปอยู่เมืองกัมโพช
เมืองศรีอยุธยา(อโยธยา เชื่อว่าเป็นเมืองเก่า) แล้วไปอยู่เมืองละโว้
เมืองกำแพงเพชร ต่อมาไปอยู่เมืองเชียงราย
เมื่อพระแก้วมรกตอยู่เมืองเชียงรายนั้น ข้าศึกยกทัพมาประชิดเมือง
เจ้าเมืองเชียงรายเกรงว่าจะถูกแย่งพระแก้วมรกตไป
จึงได้เอาปูนหุ้มพระแก้วมรกตลงรักปิดทองไว้ แล้วบรรจุซ่อนไว้ในเจดีย์เมืองเชียงราย
ถึงปีพุทธศักราช ๑๙๗๗ เกิดฟ้าผ่าเจดีย์พังลงมา
จึงพบพระแก้วมรกตที่หุ้มปูนปิดทองไว้
คนทั้งหลายนึกว่าเป็นเพียงพระพุทธรูปปูนปั้นธรรมดา จึงเชิญไปไว้ในวิหารแห่งหนึ่ง ต่อมาปูนที่หุ้มได้กระเทาะออกมาตรงกับตำแหน่งที่เป็นพระนาสิก
เห็นเป็นแก้วสีเขียวดังมรกต ท่านเจ้าอาวาสจึงได้ให้ทำการกะเทาะปูนทั้งองค์
แล้วจึงพบว่าเป็นพระพุทธรูปแก้วสีเขียวทั้งองค์ ชาวเมืองทั้งหลายได้ไปกราบนมัสการพระแก้วกันมากมาย
เจ้าเมืองแจ้งเรื่องพบพระแก้วมรกตไปยังพระเจ้าสามฝั่งแกนเจ้าเมืองเชียงใหม่
พระเจ้าสามฝั่งแกนได้จัดขบวนไปรับพระแก้วมรกตแห่ขึ้นบนหลังช้าง
เมื่อช้างมาถึงทางแยกที่จะเข้าไปในเมืองเชียงใหม่
ช้างนั้นก็ตื่นวิ่งไปทางเมืองลำปาง
จนควาญช้างต้องบังคับให้ช้างสงบแล้วย้อนไปทางเมืองเชียงใหม่อีก
ถึงทางแยกเดิมช้างตื่นวิ่งกลับไปทางลำปางเหมือนเดิม
พอเปลี่ยนช้างเชือกใหม่มาบรรทุกพระแก้วมรกต
ก็เกิดเป็นเช่นเดิมช้างไม่ยอมไปทางเมืองเชียงใหม่ แต่จะหนีไปทางเมืองลำปาง
ขบวนแห่พระแก้วมรกตจึงแจ้งไปที่พระเจ้าสามฝั่งแกนถึงเหตุที่เกิดขึ้น
พระเจ้าสามฝั่งแกนจึงให้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปเมืองลำปาง ได้ประดิษฐานอยู่เมืองลำปาง
๓๒ ปี
ต่อมาพ.ศ.๒๐๑๑ พระเจ้าติโลกราชครองเมืองเชียงใหม่
พิจารณาว่าพระแก้วมรกตตั้งอยู่เมืองลำปางนั้นไม่สมควร
จึงให้อัญเชิญกลับมายังเมืองเชียงใหม่ ได้สร้างเป็นหอพระแก้วแต่ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง
จึงต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตไปไว้ในวิหาร พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่เมืองเชียงใหม่ ๘๔
ปี
พ.ศ.๒๐๙๔ ถึงยุคพระเจ้าไชยเชษฐาครองเมืองเชียงใหม่
พระเจ้าไชยเชษฐาพระองค์นี้ก็คือพระเจ้ากรุงเวียงจันทร์ในเวลาต่อมานั่นเอง
ที่ได้มาครองเมืองเชียงใหม่นั้นเพราะว่า ทางเมืองเชียงใหม่ได้มีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับทางลาว
พระบิดาของพระเจ้าไชยเชษฐาคือพระเจ้าโพธิสารเป็นกษัตริย์ล้านช้าง ส่วนพระมารดาคือพระนางยอดคำเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าเชียงใหม่
ขณะที่พระเจ้าเชียงใหม่ที่เป็นพระอัยกาของพระเจ้าไชยเชษฐาสิ้นพระชนม์
ทางเมืองเชียงใหม่ขาดผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์ จึงขอให้พระเจ้าไชยเชษฐามาครองเชียงใหม่
พระเจ้าไชยเชษฐาจึงเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ดังนี้เอง
ต่อมาทางฝั่งลาวพระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ เกิดจลาจลแย่งชิงราชสมบัติ
คณะเสนาบดีจึงพร้อมใจกันเชิญพระเจ้าไชยเชษฐา
ให้กลับไประงับการจลาจลที่เมืองหลวงพระบาง พระเจ้าไชยเชษฐาได้อารธนาอัญเชิญพระแก้วมรกตไปยังเมืองหลวงพระบางด้วย
พระเจ้าไชยเชษฐาขึ้นครองอาณาจักรล้านช้างที่เมืองหลวงพระบาง
ทรงพระนามว่าพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช และพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง
๑๒ ปี
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่เมืองเวียงจันทร์
สาเหตุเพื่อเลี่ยงศึกพม่าในสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง
จึงอัญเชิญพระแก้วมรกตไปเมืองเวียงจันทร์ด้วย ได้ประดิษฐานนานถึง ๒๑๔ ปี
ต่อมาวันเวลาล่วงไปถึงสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ในพ.ศ.๒๓๒๑
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงโปรดฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นไปตีเมืองเวียงจันทร์
ได้เมืองเวียงจันทร์แล้วจึงอัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระบางมายังกรุงธนบุรี
พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่กรุงธนบุรี ๔ ปี
เมื่อถึงพ.ศ.๒๓๒๕ตั้งกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงของยุครัตนโกสินทร์
จึงย้ายพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง อัญเชิญ
ณ วันจันทร์ เดือน ๔ แรม ๔ ค่ำ ปีมะโรง พุทธศักราช ๒๓๒๗
ได้ประดิษฐานอยู่จนถึงทุกวันนี้
พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ต่างเคารพบูชาพระแก้วมรกตกันเป็นอันมาก
นับถือศรัทธากันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
![]() |
ภาพจาก bloggang.com วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) |
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
พระแก้วมรกต
เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทยนับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงสร้างกรุงเทพมหานครและอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อ พ.ศ. 2327 เป็นต้นมา
ขนาดพระแก้วมรกต
พระแก้วมรกตเป็นพระปางสมาธิ นั่งขัดสมาธิราบ
วางพระหัตถ์ขวาซ้อนพระหัตถ์ซ้าย
หน้าตักกว้าง 48.3
เซ็นติเมตร
สูงจากทับเกษตรถึงสุดพระเกตุมาลา 66 เซ็นติเมตร
พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต
![]() |
พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต |
พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตนั้นกระทำกัน
3 ครั้งต่อหนึ่งปี คือ
1. เครื่องทรงฤดูร้อน ทรงเปลี่ยน วันแรม 1 ค่ำ เดือน 4
2. เครื่องทรงฤดูฝน ทรงเปลี่ยน วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8
3. เครื่องทรงฤดูหนาว ทรงเปลี่ยน วันแรม 1 ค่ำ เดือน 12
![]() |
พระแก้วมรกตทรงเครื่องฤดูร้อน |
เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน(คิมหันต์)
๑.
มงกุฎทองคำลงยาฝังพลอยและทับทิมมีดอกไม้ประจำทิศฝังเพชรทั้ง ๓ ชั้น ชั้นละ ๔ ดอก
รวม ๑๒ ดอก มีดอกไม้ไหวติด ๓ ชั้น
ชั้นต้น ดอกไม้ไหวฝังบุษย์น้ำทอง (บุษย์)
น้ำเพชร ๑๐ ดอก
ชั้นกลาง ดอกไม้ไหวตาไก่ฝังบุษย์น้ำเพชรดอกละ ๑
เม็ด ๑๐ ดอก
ชั้นใต้ บัวกลุ่มดอกไม้ไหวตาไก่
ฝังบุษย์น้ำเพชรดอกละ ๑ เม็ด ๗ ดอก
ยอดมงกุฎฝังเพชรทั้งเจ็ดเม็ดสี่เหลี่ยมโตเท่าบัวผ่าซีก
๑ เม็ด มีมงคลเพชรรอบ ขนาดเม็ดละเขือ ๑๖ เม็ด มีระย้าฝังเพชร ระย้าละ ๑ เม็ด ๘
ระย้า ใต้ระย้ามีปลอกทองคำฝังเพชร ๑๑ เม็ด ๑ ปลอก
๒.
พระกรรเจียกข้างขวาทองคำลงยาฝังเพชรโตประมาณกล่ำแก่(มะกล่ำช้าง) ๑ เม็ด
และฝังทับทิมขนาดใหญ่ ๑ เม็ด นอกนั้นทับทิมและพลอยขนาดกลางและเล็ก
และมีดอกไม้ไหวมงคลเพชรรอบ กลางฝังไพฑูรย์ ๑ เม็ด ๑ ดอก
พระกรรเจียกข้างซ้ายทองคำลงยาฝังเพชรโตประมาณกล่ำแก่
๑ เม็ดและฝังทับทิมขนาดใหญ่ ๑ เม็ด นอกนั้นฝังทับทิมและพลายขนาดกลางและเล็ก
และมีดอิกไม้ไหวมงคล เพชรรอบ กลางฝังไพฑูรย์ ๑ เม็ด ๑ ดอก
๓. ฉลองพระศอทับพระอังสาทองคำ
ลงยาราชาวดีประดับบุษราคัมดอกระหว่างลายก้ามปูฝังทับทิม ขนาดเม็ดบัวแก่ ๘ เม็ด
ระหว่างลายก้ามปูลายเทศฝังมรกตสี่เหลี่ยมขนากกล่ำแก่ ๘ เม็ด ใบเทศฝังมรกต ๘ เม็ด
มุกดา ๘ เม็ด มีพระนพทองคำลงยาฝังพลอยทั้ง ๒ ข้าง กนกข้างทองคำลงยา ช่องหนึ่งมี ๒
กนก ประดับเพชรขนาดกล่ำแก่ ๑ เม็ด เพชรขนาดย่อม ๑ เม็ด
นอกนั้นประดับเพชรและพลอยขนาดต่างๆรวม ๑ ช่อง
![]() |
ภาพจาก www.sookjai.com |
๔.
ทับทรวงทองคำลงยาประดับทับทิมขนาดใหญ่และขนาดเล็ก รวม ๗๖ เม็ด
มีสังวาลทับทรวงฝังบุษยน้ำเพชร กลางฝังดอกบุษราคัมดอกละ ๑ เม็ด ๘ ดอก
๕. ตาบข้างทองคำฝังเพชรและทับทิม ๒ ตาบ
มีพระสังวาลต่อตาบฝังบุษยน้ำเพชร กลางฝังบุษราคัมดอกละ ๑ เม็ด รวม ๒ ตาบ ๑๗ ดอก
๖. ตาบหลังทองคำฝังนิล ๑๓ เม็ด ฝังไพฑูรย์ ๔
เม็ด มุกดา ๔ เม็ดทับทิม ๒๐ เม็ด มีพระสังวาลต่อตาบฝังบุษยน้ำเพชร
กลางฝังบุษราคัมดอกละ ๑ เม็ด ๘ ดอก
๗. พระสังวาลทองคำดอกฝังมุกดา ๑๔ ดอก
มีลูกคั่นฝังมุกดา ๑๓ คู่
๘. พระสังวาลทองคำดอกจิกสายคู่
มีดอกประจำยามฝังเพชรปลายรำขนาดเม็ดละเขือแก่ กลางดอกฝังทับทิม ๑ เม็ด ๑ ดอก
ฝังเพชรดอกละ ๑ เม็ด ๒ ดอก ฝังมรกต ๑ เม็ด ๑ ดอก ฝังบุษราคัมดอกละ ๑ เม็ด ๑ ดอก
ฝังไพฑูรย์ ๑ เม็ด ๑ ดอก ฝังนิลดอกละ ๑ เม็ด ๒ ดอก ฝังมุกดา ๑ เม็ด ๑ ดอก
ฝังโกเมนดอกละ ๑ เม็ด ๒ ดอก รวม ๑๒ ดอก
๙. ต้นพระกรเบื้องขวาทองคำลงยารอบฝังบุษราคัม ๖
เม็ด ฝังไพฑูรย์ ๖ เม็ด ฝังมุกดา ๖ เม็ด รวม ๑๘ เม็ด
กระจังฝังบุษยน้ำเพชรมีดอกประจำฝังเพชร ๔ ดอก
ต้นพระกรเบื้องซ้ายทองคำลงยาซีกเดียวฝังมุกดา ๔
เม็ด ฝังโกเมน ๔ เม็ด ฝังไพฑูรย์๔ เม็ด รวม ๑๒ เม็ด กระจังฝังบุษยน้ำเพชร
มีดอกประจำยามฝังเพชร ๓ ดอก
๑๐. กองเชิงครึ่งซีกทองคำลงยาฝังมุกดาข้างละ ๘
เม็ด นอกนั้นฝังโกเมน รวม ๒ข้าง
๑๑.
วัดพระองค์ด้านหน้าครึ่งซีกทองคำลงยาฝังนิลขนาดใหญ่และเล็ก รวม ๙ เม็ด
นอกนั้นฝังพลอยสีต่างๆ
๑๒. เชิงสนับเพลาข้างซ้ายและข้างขวาทองคำลงยา
ฝังโกเมนขนาดใหญ่และเล็กข้างละ ๒๑ เม็ด ลายขอบฝังบุษยน้ำเพชรรวม ๒ ข้าง
๑๓.
ปลายพระกรครึ่งซีกข้างซ้ายและข้างขวาทองคำลงยาฝังมุกดาข้างละ ๓ แก้ว
นอกนั้นฝังพลอยสีต่างๆ
๑๔. พระธำมรงค์ (ไม่มีก้าน) ทองคำฝังเพชร ๑ วง
ติดกัน ๕ ยอดมีมงคลเพชร ๓ ยอด ไม่มีมงคลเพชร ๒ ยอด ๑ วง
พระธำมรงค์ทองคำหัวมณฑป มีมงคลเพชร ๒ ชั้น
ยอดฝังเพชรมีบ่าข้างหนึ่งฝังพลอย ๑ วง
พระธำมรงค์ทองคำ กลางฝังไพฑูรย์ ๑ เม็ด
มีบ่าข้างหนึ่งฝังบุษยน้ำเพชร ๑ เม็ด ๑ วง
พระธำมรงค์ทองคำมงคลเพชร ยอดฝังเพชรโตขนาดกล่ำ
(ไม่มีก้าน) ๒ วง
![]() |
ภาพ wanjun.com ส่วนหนึ่งของเครื่องทรงฤดูร้อน ช่วงพระเกตุ |
เครื่องทรงฤดูฝน (วสันต์)
สำรับฤดูฝนเป็นการจัดสร้างตามอย่างแบบแผนโบราณ
ลักษณะของงานเป็นการดุนนูนทองคำทั้งหมด โดยประกอบด้วย
๑. พระศกทองคำประดับเพชร ขนาดเม็ดมะเขือ
พระรัศมีทองคำลงยา ต้นรัศมีฝังดอกผักตบ ๔ เม็ด ยอดฝังเพชร ๑ เม็ด
๒. ผ้าห่มดวงทองคำ
๓. สบงทองคำ
๔. ผ้าสังฆาฏิทองคำ มีดอกไม้กลางผืน
ยอดดอกไม้ประดับเพชร ๒๐ เม็ด นอกนั้นประดับพลอยต่างๆ ซ้อนทับบนผ้าห่มดวงทองคำลงยา
![]() |
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรก9 |
![]() |
ภาพจาก groupwunjua.com เครื่องทรงฤดูฝน |
เครื่องทรงฤดูหนาว (เหมันต์)
๑. พระศกทองคำประดับเพชรขนาดเม็ดมะเขือ
มีพระรัศมีทองคำลงยาต้นพระรัศมีฝังเพชร ๔ เม็ด เม็ดหนึ่งโตขนาดกล่ำแก่ อีก ๓
เม็ดโตขนาดกล่ำอ่อน ยอดฝังเพชร ๑ เม็ด
๒. ผ้าคุลมทองคำลงยา
ริมสองข้างและชายข้างประดับเพชรและพลอยสีต่างๆ กลางผืนเป็นดอกชิงดวงกลีบลงยา
กลางฝังพลอยกว้าง ๑๒.๕ นิ้ว ยาว ๔๒ นิ้ว และมีดุมทองคำประดับเพชน ๒ ดุม
มีสายสร้อยทองคำ ๔ สาย ยาวสายละ ๓ นิ้วเศษ
![]() |
ฤดูหนาว |
![]() |
ภาพจาก groupwunjun.com เครื่องทรงฤดูหนาวช่วงพระเกตุ |
ในปี พ.ศ.๒๕๓๙
ในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐
ปี มีพระราชพิธี“ กาญจนาภิเษก”รัฐบาลได้ดำเนินการจัดสร้างเครื่องทรงขององค์พระแก้วมรกตขึ้นใหม่แทนของเดิมซึ่งชำรุด
โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวไทยร่วมบริจาค
ของเดิมจะมีการลงยาระหว่างลวดลายที่ผ้าห่มทองคำ
แต่ของใหม่จะใช้โกเมนประดับลงไปแทนที่ถึง ๑,๗๓๑ เม็ด
รวมน้ำหนัก ๑,๘๙๓.๖๖ กะรัต
ทับทิมประดับเป็นลายแก้วชิงดวง จำนวน ๑,๐๓๗ เม็ด รวมน้ำหนัก ๒๒๕.๙๔ กะรัต
เพชรทุกชิ้นเปลี่ยนใหม่จากเพชรซีก เป็นแบบ April
Cut คือ เริ่มเจียระไนเดือนเมษายน มีคุณสมบัติเฉพาะคือ
ด้านหน้าไม่เรียบเหมือนเพชรทั่วไปแต่จะเป็นเหลี่ยมนูน ๔๐ เหลี่ยม ด้านล่าง ๑๗
เหลี่ยม สำหรับติดประดับทแทนพระศก
รายละเอียดพระเกศเปลวเพลิง(ฤดูหนาว)
ประดับทับทิม ไพลิน และเพชรประจำ ๔ ทิศ และเม็ดพระศก เจียแบบเพชรซีก ที่เรียกว่า
เจียเหลี่ยมแบบ April cut
ในปัจจุบันมีพุทธศาสนิกชนและชาวต่างชาติไปกราบนมัสการเยี่ยมชมพระแก้วมรกตกันมากทุกวัน นับเป็นแหล่งท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรมศิลปกรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย
![]() |
ภาพจาก www.creditonhand.com |
![]() |
ภาพจากวิกิพิเดีย |
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องตามแจ้งไว้ในภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น