วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สุขภาพดีไม่มีขาย จึง ต้องทำเอง.9 ปวดตา

ปวดตา เพราะ จ้องนาน..ละมั๊ง
โรค Computer Vision Syndrome


ในยุคดิจิตอลนี้เรื่องของการสื่อสารสะดวกมาก เรียกได้ว่าแทบจะทุกพื้นที่เราก็สามารถที่จะสื่อสารกันได้อย่างง่ายๆ เทคโนโลยีมันก้าวไปไกลล้ำสมัยสุดๆ

   คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆนั้นต้องสร้างด้วยงบประมาณที่สูงมากๆ ที่มีประสิทธิภาพดีเลิศนั้น จะมีขนาดใหญ่ประมาณว่ารถยนต์คันหนึ่ง ยิ่งถ้าเป็นแบบทำนองซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ยุคแรกด้วยแล้ว ขนาดก็ห้องทั้งห้องหรือบ้านหลังย่อมๆกันเลยทีเดียว พอมาถึงยุคนี้คอมพิวเตอร์ดีๆมีขนาดเพียงหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น หรือแค่สมุดฉีกเล่มเล็ก


คอมพิวเตอร์เครื่องแรกชื่อ ENIAC

ระบบคอมพิวเตอร์ยุคแรก


   โทรศัพท์ในสมัยก่อนนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากเอามากๆ เพราะกว่าจะขอมีโทรศัพท์สักเครื่องต้องใช้เวลาเป็นปีๆถึงจะได้ และพกพาโทรศัพท์ไปไหนก็ไม่ได้ เพราะยังไม่มีระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ พอเริ่มมีระบบโทรศัทพ์เคลื่อนที่เข้ามาในช่วงแรกๆ เครื่องโทรศัพท์ก็ใหญ่ขนาดถังแกลลอน ต้องหิ้วกันไหล่แทบหลุด แต่พอถึงสมัยนี้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีขนาดแค่นิดเดียว เล็กขนาดใช้มือข้างเดียวถือได้สบายๆ เราเลยเรียกกันแบบไทยๆว่า โทรศัพท์มือถือ และในที่สุดเหลือแค่เรียกมือถือ ซึ่งฝรั่งเขาเรียก mobile

โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคแรกๆที่เริ่มทันสมัย

เห็นอย่างนี้ราคาเป็นแสนๆ

   ปัจจุบันนี้ใครไม่มีมือถือไม่มีคอมพิวเตอร์นี่จะกลายเป็นคนตกโลกไปเสียแล้ว ก็ขนาดเด็กเล็กๆเขายังใช้คอมพิวเตอร์กันได้ ใช้โทรศัพท์มือถือกันเป็น คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตไปโดยปริยาย

   สิ่งที่เหลือเชื่อที่ต้องเชื่อก็คือ การใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นเหมือนสิ่งเสพติด ติดกันถึงขนาดว่าพอจะใช้แล้วเกิดเน็ตล่มสัญญาณหลุด รับรองว่าต้องอารมณ์เสียกันทุกคน หลายๆท่านถึงกับออกอาการยั๊วะกันสุดๆ การใช้คอมพิวเตอร์และเล่นโทรศัพท์มือถือนั้น ก็ใช้กันแบบนานสุดๆ

   ที่ตามมากับการใช้คอมพิวเตอร์ใช้โทรศัพท์มือถือนานๆก็คือ จะเกิดอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกล้ามเนื้อตา เพราะเราต้องจ้องมองจอของคอมพิวเตอร์หรือจอโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ เราโดนทั้งแสงจากหน้าจอและระยะของสายตาที่เพ่งดูที่ระยะห่างเพียงระยะเดียวนานๆ อาการที่ตามมาอย่างชัดเจนก็คืออาการปวดตา รู้สึกว่าสายตาพร่า เมื่อยต้นคอ อาการที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์นานๆนี้มีศัพท์เรียกกันว่าเกิด “โรค Computer Vision Syndrome

   โรค Computer Vision Syndrome หรือ CVS ซีวีเอส กลายเป็นโรคยอดฮิตสามัญประจำบ้านของคนยุคดิจิตอลไปแล้ว ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหันมาเอาใจใส่กับอาการปวดตากันแล้ว



จากสำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

 นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เนื่องจากมีความทันสมัยและสะดวกรวดเร็ว แต่การใช้งานที่มากเกินความจำเป็น  อาจส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งหนึ่งในโรคที่อาจส่งกระทบต่อสุขภาพ คือ "คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม" (Computer Vision Syndrome) หรือ "โรคซีวีเอส" คนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น เกินสองถึงสามชั่วโมง มักจะมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัวร่วมด้วย อาการทางสายตาเหล่านี้เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป อาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75  ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า40 ปี อาการในบางคนอาจเป็นเล็กๆน้อยๆ ไม่บั่นทอนการทำงาน หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์สักครู่ก็หายไป บางคนอาจต้องว่างเว้นการใช้เป็นวันก็หายไป บางรายอาจต้องใช้ยาระงับอาการ

สาเหตุของโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมเกิดจาก การใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนานๆ และไม่ค่อยกระพริบตา  หากเราอ่านหนังสือหรือนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบจะลดลง ประกอบกับแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์  ทำให้ตาเมื่อยล้า  ทั้งแสงจ้าและแสงสะท้อนมายังจอภาพ อาจเกิดจากแสงสว่างไม่พอเหมาะ มีไฟส่องเข้าหน้าหรือหลังจอภาพโดยตรง หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างปะทะหน้าจอภาพโดยตรง ก่อให้เกิดแสงจ้าและแสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้ ทำให้เมื่อยล้าตาง่าย ระยะทำงานที่ห่างจากจอภาพไม่เหมาะสม   มีสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวไม่มากโดยการทำงานตามปกติไม่ก่อให้เกิดอาการ แต่ถ้ามาทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะก่ออาการเมื่อยล้าตาได้ โรคตาบางอย่างประจำตัวอยู่ เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ตลอดจนโรคทางกาย เช่น ไซนัสอักเสบ โรคหวัด ภูมิแพ้เรื้อรัง หรือ ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่อต้องปรับสายตามากเวลาใช้คอมพิวเตอร์ จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยตาได้ง่าย การทำงานจ้องจอภาพนานเกินไป ย่อมเกิดอาการทางตาได้ง่ายจากการเกร็งกล้ามเนื้อตาตลอดเวลา

ปวดตาจากดูจอคอมพิวเตอร์นานๆ

ปวดตาเพราะจ้องจอโทรศัพท์มือถือ

   สำหรับการแก้ไขกันและป้องกันคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมหรือโรคซีวีเอส คือ ฝึกกระพริบบ่อยๆ ตาขณะทำงานหน้าจอ และหากแสบตามาก อาจใช้น้ำตาเทียมช่วย ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ ควรปรับห้องและบริเวณทำงาน อย่าให้มีแสงสะท้อนจากหน้าต่าง หลอดไฟบริเวณเพดานห้อง ไม่ควรให้แสงสะท้อนเข้าตา และไม่หันจอภาพเข้าหน้าต่าง ควรใช้แผ่นกรองแสงวางหน้าจอหรือใส่แว่นกรองแสง จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม  ในระยะที่ตามองได้สบายๆ ปรับเก้าอี้นั่งให้พอเหมาะ  โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ใช้แว่นตา 2ชั้น จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตา เพื่อจะได้ตรงกับเลนส์แว่นตาส่วนที่ใช้มองใกล้   ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆต่อเนื่อง ควรปรึกษาจักษุแพทย์  ใช้แว่นตาเฉพาะดูได้ทั้งระยะอ่านหนังสือ  ระยะจอภาพ และระยะไกล เป็นกรณีพิเศษ

   หากมีสายตาผิดปกติหรือโรคตาบางอย่างอยู่ ควรแก้ไขและรักษาโรคตาที่เป็นอยู่ควบคู่ไปด้วย และหากงานในหน้าที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทุก12ชม.ควรมีการพักสายตาโดยละสายตาจากหน้าจอแล้วมองออกไปไกลๆหรือหลับตาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่

       ที่มา : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข





ต่อไปเป็นสรุปบทความดีๆจาก เกร็ดความรู้.net

สาเหตุของอาการปวดตา
อาการปวดตาในปัจจุบันส่วนใหญ่นั้นเป็นผลมาจากการจ้องจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เป็นเวลานาน รวมถึงการอยู่ภายใต้ภาวะแสงที่จ้ามากเกินไป ซึ่งเต็มไปด้วยรังสีต่างๆมากมายที่คอยทำร้ายดวงตา อีกทั้งแสงสว่างที่มากเกินไปทำให้สายตาเมื่อยล้าขึ้นได้

วิธีแก้ปวดตา
   วิธีแก้อาการปวดตาที่ดีนั้นควรหมั่นดูแลบำรุงรักษาดวงตาให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. บริหารดวงตา
ด้วยการกรอกตาไปมา และนวดบริเวณดวงตาเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยดวงตารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

2. พักสายตา
   การพักสายตาจำเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเราใช้สายตาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ได้พักเลยนั้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดตาได้อย่างดีเลยทีเดียว ดังนั้นควรพักสายตาทุกๆ ชั่วโมง เพื่อให้ดวงตาได้มีโอกาสปรับสภาพ

3. น้ำตาเทียม
   น้ำตามเทียมช่วยให้อาการปวดตาดีขึ้นได้ เมื่อรู้สึกว่ามีอาการปวดตา สิ่งที่ต้องทำคือ หยอดน้ำตาเทียมนั่นเอง จะช่วยป้องกันไม่ให้ตาแห้ง และช่วยกำจัดสิ่งสกปรกในตาได้เป็นอย่างดี

4. รับประทานอาหารเสริมบำรุงสายตา
   โดยเฉพาะวิตามิน A และเบต้าแคโรทีน ที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น และดูแลสุขภาพดวงตาให้แข็งแรงได้
เพียงเท่านี้คุณก็ไม่ต้องทนทรมานกับอาการปวดตาอีกต่อไป แต่ถ้าลองทำตามวิธีแก้ปวดตาเหล่านี้แล้ว อาการปวดตายังไม่บรรเทาลง ควรรีบพบแพทย์ในทันที เพราะอาการปวดตาที่เกิดขึ้นอาจมีสาเหตุมาจากโรคอย่างอื่นก็เป็นได้ จะได้ทำการหาสาเหตุและรักษาได้ทันเวลา


ท่าบริหารดวงตาจาก kapook.com

1. ประคบดวงตาด้วยฝ่ามือ
           
   ท่าแรกเริ่มกันง่าย ๆ ในขณะที่คุณนั่งทำงานอยู่ แล้วรู้สึกล้าสายตาขึ้นมา ให้ถูฝ่ามือทั้งสองข้างพอให้เกิดความร้อนหน่อยๆ จากนั้นหลับตา แล้วทำมือเป็นรูปทรงคล้ายถ้วย มาประคบดวงตาทั้งสองข้างทิ้งไว้สักครู่ ให้ไออุ่นจากฝ่ามือคลายกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาที่เครียดเกร็งจากการเพ่งจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ

 
ภาพจากwww.herb-health.com

 2. กะพริบตาทุก 4 วินาที
           
          สาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเพลียสายตา และทำให้ตาแห้งแสบก็เป็นเพราะเราไม่ยอมกะพริบตานั่นเอง ยิ่งในขณะที่ใช้สมาธิทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะลืมกะพริบตาโดยไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตาแห้ง จนต้องเพ่งสายตาทำงานมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำให้คุณกะพริบตาทุก ๆ 4 วินาที 



 3. กลอกตาทุก ๆ ชั่วโมง
           
   อีกท่าบริหารสายตาง่ายๆ เพียงแค่หลับตา แล้วกลอกตาเป็นวงกลมประมาณ 1 นาทีเป็นอย่างต่ำ นอกจากจะเป็นการพักเบรกสายตาจากแสงและรังสีของคอมพิวเตอร์แล้ว ท่าบริหารท่านี้ยังเหมือนการนวดดวงตาให้คลายความเกร็งเครียดได้อีกด้วยนะ อ้อ ! แต่ถ้าอยากผ่อนคลายขึ้นอีกขั้น ลองเงยหน้าแล้วหมุนคอเป็นวงกลมด้วยก็จะรู้สึกสบายสุดๆ





 4. กวาดสายตาระยะไกล

  ในขณะที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และกำลังมีสมาธิเพ่งเนื้อหางานที่ทำอยู่ บางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้จอมากแค่ไหน ซึ่งการที่เราใช้สายตาในระยะใกล้ๆแบบนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่พาให้สายตาล้าและเพลียมาก ๆ เช่นกัน

    ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า ให้คุณช่วยบำรุงสายตาด้วยการถอยห่างออกจากจอคอมพิวเตอร์เท่าที่จะเป็นไปได้ และปรับระยะโฟกัสสายตาด้วยตัวเองบ่อย ๆ โดยวิธีก็แค่ถอยออกไปอยู่หน้าประตูห้อง หรือมุมไหนของห้องก็ได้ที่จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมของห้องกว้างที่สุด แล้วกวาดสายตามองสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในห้องเป็นแนววงกลม อาจจะไล่มองจากทีวี โซฟา โต๊ะทำงาน หน้าต่าง โมบาย หรืออื่น ๆ เป็นต้น แค่นี้ก็เหมือนได้ยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อตาได้
มองไกลหน่อย

นี่ก็มองไกลที่เดี๋ยวก็ใกล้

 5. ละสายตาไปมองอย่างอื่นทุกชั่วโมง
           
   การใช้เวลาเพ่งสายตาอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินหนึ่งชั่วโมง ก็ทำให้เกิดความเมื่อยล้าตาได้ง่าย ๆ เช่นกัน ฉะนั้นอย่างน้อยทุกๆ 1 ชั่วโมง คุณควรละสายตาจากหน้าจอไปมองอย่างอื่นบ้าง หรือลุกออกไปเดินเล่นสักพัก ถือโอกาสขยับแข้งขาไล่ความปวดเมื่อยไปด้วยซะเลย




 6. ซิทอัพดวงตา
           
   ในคราวที่รู้สึกปวดตาจนร้อนกระบอกตาผ่าว ให้คุณหลับตาลงแล้วเหลือบตาขึ้น-ลงสักพัก จากนั้นลืมตาขึ้นแล้วกวาดสายตามองผ่าน ๆ ประมาณ 1 นาที เสร็จแล้วเริ่มยกใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ให้หลับตาแล้วเหลือบตาไปด้านซ้าย-ขวา ประมาณ 1 นาที จากนั้นลืมตาขึ้น แล้วมองผ่าน ๆ อีกรอบ เว้นระยะห่างสัก 2-3 นาที แล้วเริ่มบริหารตาใหม่อีกครั้ง หรือจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
ภาพจาก mykoreabuddy.com

      ท่านที่จำเป็นต้องดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือชอบเล่นโทรศัพท์มือถือนานๆ ควรที่จะต้องเอาใจใส่ดวงตาของตนเองให้มาก แค่การบริหารดวงตาแบบง่ายๆข้างต้นนี้แล้ว ในบางกรณีอาจยังไม่พอด้วยซ้ำ อาจถึงกับต้องรีบไปพบจักษุแพทย์ ซึ่งถ้าถึงขั้นนี้แล้วก็คงหนักหนาเอาการ ดวงตาของเรามีคู่เดียวจึงต้องถนอมให้ดีที่สุด





ภาพจาก oknation.com

ภาพจาก boadpostjung.com


ภาพจาก boadpostjung.com
เกมเมอร์สาว คุณ Li Bingjie





ภาพ vcharkarn.com


1 ความคิดเห็น:

  1. ทางเลือกใหม่ที่ทุกคนใช้แล้วมีผลตอบรับดีมากๆ สุขภาพที่ดีไม่ใช่จะต้องดูแลแค่ภายนอก ต้องดูแลภายในด้วย แนะนำสมุนไพรพลูคาว 100% สกัดจากใบพลูคาวที่จะช่วยยับยั้งทำลายเชื้อไวรัส และเซ็ลล์มะเร็ง เชื้อ Hiv หูดหงอนไก่ สเก็ดเงิน ริดสีดวง เบาหวาน ไต ไทรอย ไวรัสตับอักเสบบี อัมพฤกษ์ อัมพาต หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ภูมิแพ้ โรคพุ่มพวง ไซนัส
    อยากหายจากการป่วยที่เรื้อรังไว้ใจเราครับ
    ผ่าน อย. และได้รับรางวัล ผลิตภัณฑ์ดีเด่นแห่งปี 2558 ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายของเราให้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่างๆที่จะมาทำลายสุขภาพของเรา
    สอบถามเพิ่มเติม tel. 0959279523 ID line. Aofaudio0502
    สอบถามผ่านไลน์ก่อนได้ครับ อย่ามัวแต่อายครับสอบถามมาก่อนได้

    ตอบลบ