วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กฏแห่งกรรม เรื่องที่ ๑๘ เรื่องเวร

กฏแห่งกรรม เรื่องที่ ๑๘
ของ ท.เลียงพิบูลย์
เรื่องเวร


เมื่อก่อน พ.ศ. ๒๕๐๑  เป็นเวลาที่ชีวิตของข้าพเจ้าต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมานจิตใจอย่างแสนสาหัสทนแทบไม่ไหว  เกือบจะระเบิดออกมาเป็นความบ้า  เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้ถือความเป็นธรรม  สิ่งใดที่เห็นว่าไม่เป็นธรรม   ข้าพเจ้าไม่ยอมปฏิบัติและไม่ยอมเห็นดีด้วย  การที่ข้าพเจ้าต้องตกอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้หลงอำนาจคนหนึ่ง  ที่มีจิตใจหยาบช้าเอาแต่อารมณ์ของตนเองเป็นใหญ่  เห็นแก่ตัวโดยไม่ได้คำนึงถึงหลักธรรม  แม้ใครจะเดือดร้อนก็ช่าง  หวังแต่ให้ได้ผลประโยชน์ส่วนตัวก็แล้วกัน 

   เป็นธรรมดาอยู่เอง  เมื่อความเห็นไม่ลงรอยกันเช่นนี้  สายตาย่อมไม่กินกัน  ข้าพเจ้าก็เริ่มถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม  นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังได้รับคำพูดดูหมิ่นเสียดสีจากพวกประจบสอพลอ  ทำนองว่าขี้ข้าพลอย  ใช้คำพูดแดกดันเยาะเย้ยถากถาง  จนในบางครั้งข้าพเจ้าแทบจะกระอักออกมาเป็นโลหิต  เพราะความโกรธแค้น  

   แต่ข้าพเจ้าสามารถทนอยู่ได้ก็เพราะความซื่อสัตย์สุจริตปฏิบัติงานมาแต่เก่าก่อน  เจ้านายชั้นสูงยังมีใจเป็นธรรมอยู่บ้าง  เห็นความดีของข้าพเจ้า  จึงเป็นเหมือนเกราะแก้วคอยป้องกันภัยเหล่าอธรรมไว้ได้  โดยไม่สามารถสั่งให้ข้าพเจ้าพักงาน  เพื่อหวังตำแหน่งให้ลูกน้องผู้ใกล้ชิดประจบสอพลอได้  ฉะนั้น จึงถูกแกล้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ทนอยู่ไม่ได้  จนลาออกไปเอง 

   แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมลาออก  คิดว่าธรรมย่อมชนะอธรรม  จึงถูกแกล้งจนประสาทเกือบเสีย  หลายครั้งต้องไปนอนคิดด้วยความกลัดกลุ้มใจ  เพราะทั้งเจ็บทั้งแค้น  รู้สึกมีอาการสมองมึนชา  ประสาทหลงลืมเหมือนจะครึ่งหลับครึ่งตื่น  บางครั้งเกือบจะไม่รู้กาลเวลาว่าเช้าหรือเย็น  กลางคืนหรือกลางวัน  คล้ายกับถูกผีอำ  จิตใจไม่มีสติจะคิดอะไรได้   ครั้งรู้สึกตัวก็พยายามทำใจนิ่งสงบหยุดคิดฟุ้งซ่าน  นึกถึงแต่พระธรรม  ทำจิตใจให้เป็นอิสระ  ไม่ยอมอยู่ในอารมณ์ใดๆ  อาการร้ายเช่นนี้เป็นชั่วระยะหนึ่งไม่นานก็หายไป 

   เมื่อถูกกดขี่กลั่นแกล้งมากเข้า  เป็นเหตุให้ความแค้นถึงขีดสุด  กลายเป็นความพยาบาทเกิดขึ้นในใจ  ข้าพเจ้าหมดความอดทน  หมดความอาลัยใยดีในชีวิตอีกต่อไปแล้ว  ปรารถนาจะให้สิ้นสุดกันที  คิดว่าความชั่วช้าสามานย์เช่นนี้  อย่าให้มีชีวิตอยู่ในโลกต่อไปเลย  เราควรจะตายไปข้างหนึ่ง  แผนสังหารก็เกิดขึ้นในสมองทันที  เราจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้

   ข้าพเจ้าจึงเตรียมการไว้เรียบร้อย  และคิดว่าจะลงมือในวันสองวันนี้  อยากจะเห็นมันเจ็บปวด  อยากจะเห็นมันดิ้นตายไปต่อหน้าต่อตา  เพื่อให้สมกับความแค้น   ข้าพเจ้าก็เริ่มวางแผนการไว้อย่างแนบเนียน  ตั้งใจจะลงมือเอง  เพราะความแค้นอย่างพยาบาท  จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน 

   เมื่อกำหนดวันโดยเรียบร้อยแล้ว  ในวันนั้นรู้สึกจิตใจมันดูว้าเหว่  เหมือนตัวคนเดียวโดดเดี่ยวอยู่ในโลกกว้างใหญ่  ซึ่งมองไม่เห็นใครเป็นที่พึ่งจะระบายความแค้นให้ทราบได้  นอกจากอัดไว้ในอกของตัวเอง  ต้องซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงไว้ในใจ  ไม่ยอมให้เกิดพิรุธเป็นที่สงสัยแก่ผู้อื่น  แม้แต่ภรรยาและบุตร  เมื่อหวนมานึกถึงบุตรและภรรยาแล้วก็สะท้อนใจ  เห็นท่วงทีบริสุทธิ์ร่าเริงอย่างไม่เดียงสา  แกคงไม่ทราบว่าพ่อของแกและสามีของเธอกำลังจะเป็นฆาตกร  กำลังจะเป็นผู้ร้ายฆ่าคน  อีกสองวันถ้าหากเธอทราบว่า  ข้าพเจ้าเป็นตัวการผู้ร้ายฆ่าคน  เธอจะรู้สึกอย่างไร  คิดแล้วใจหายไม่สบายใจ  รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก   ไม่ทราบจะระบายอย่างไร จึงได้เข้าไปในห้องพระ  กราบพระพุทธรูปและอัฐิของบุพการีที่ได้ล่วงลับไปแล้ว  ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ตรงหน้า  

   คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย  แต่ไม่มีความหมายอะไรสำหรับคนมีความทุกข์  ความแค้น  และความพยาบาทอย่างข้าพเจ้า  ยิ่งนึกถึงเวลาที่จะลงมือใกล้เข้ามา  ก็ยิ่งกระสับกระส่ายกระวนกระวาย  เพราะไม่เคยมีฝีมือประหัตประหารมนุษย์  พยายามตั้งจิตให้สงบและนึกถึงคุณพระรัตนตรัย  แล้วกระบายความคับแค้นในใจให้พระ และวิญญาณบุพการีรับทราบว่า  ข้าพเจ้าได้รับความแค้นและกำลังจะล้างแค้น  ขอให้พระและวิญญาณบุพการีช่วยคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย  ข้าพเจ้าไม่เคยสร้างบาปกรรมใดๆมาแต่ก่อน  ขอให้จิตใจข้าพเจ้าเข้มแข็ง  ด้วยเจตนาอันแรงกล้าขอให้การสังหารมนุษย์ชั่วเกิดผลตามความประสงค์  แม้กระนั้นก็ยังรู้สึกว่าจิตใจยังไม่ปลอดโปร่ง  เพราะพระพุทธรูปมิได้แสดงกิริยาเห็นดีเห็นชอบ  หรือคัดค้านประการใด




   ขณะนั้น  จิตได้หวนระลึกถึงพระภิกษุรูปหนึ่ง  ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือมาก  ข้าพเจ้าคุ้นเคยกับท่านก่อนที่จะอุปสมบท  แม้ท่านจะอ่านพรรษาและอ่อนทั้งวัย  แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่ายังไม่เคยมีใครถูกชะตาเท่ากับพระภิกษุรูปนี้  และข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า  ท่านเองก็มีความกรุณารักใคร่ข้าพเจ้าไม่น้อยกว่าที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือท่าน  เห็นจะเป็นเพราะเรามีจิตใจตรงกัน  เมื่อท่านไปบวชเป็นภิกษุ  ท่านก็มุ่งปฏิบัติในทางธรรมอย่างเคร่งครัด  สมกับที่ท่านได้สละแล้วในทางโลก  ข้าพเจ้าระลึกถึงพระภิกษุรูปรูปนี้ขึ้นมาได้  ก็รู้สึกจิตใจผ่องใสขึ้นมาทันที  เห็นแสงเดือนสว่าง  ทางเข้าวัดก็ไม่สู้จะลำบากนัก  และระยะทางระหว่างบ้านกับวัด  แม้จะอยู่ห่างไกลสักหน่อยแต่การไปมาสะดวก  นึกได้เช่นนั้นข้าพเจ้าจึงได้แต่งตัวออกจากบ้านทันที 

   พอไปถึงที่วัดสำนักของพระภิกษุผู้เป็นเพื่อน  ก็รีบขึ้นไปบนกุฏิ  ทราบจากเด็กว่าท่านกำลังสวดมนต์อยู่ในห้อง  ข้าพเจ้าได้นั่งรอยู่ข้างนอกสนทนากับเด็กไปพลางๆ   เพื่อรอท่านสวดมนต์จบ  สายตาก็มองดูรอบๆบริเวณวัด  เห็นหลังคาโบสถ์เหลืองอร่ามเมื่อสีทองต้องกับแสงเดือน  มองเห็นสุสานที่ไว้ศพเป็นช่องเรียงเป็นแถว  เห็นเมรุเผาศพถาวร  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นมันเป็นสิ่งที่เตือนจิตใจ  ให้สำนึกถึงสังขารอันไม่เที่ยงแท้แน่นอน  มองดูสุสานก็นึกถึงร่างที่นอนเรียงรายอยู่ภายในอย่างเงียบสงบ  ร่างเหล่านั้นคงจะมีทั้งดีและชั่ว  บางท่านเคยสำมะเลเทเมาตามสถานที่หย่อนใจในยามราตรี  พร้อมทั้งสุรา  นารี  เต้นรำตามเสียงเพลงอย่างสนุกสนานในสถานที่มีแสงสีอันงดงาม  ไม่เคยนึกถึงความตาย  มาจบชีวิตง่ายๆก็นอนสงบรวมอยู่ในสถานที่แห่งนั้น  




   บางท่านกำลังสาว สวยสดงดงามความรู้สูง  พร้อมทั้งทรัพย์สินมหาศาล  ชื่อหอมฟุ้งไปทั่วทิศ  ใครเห็นก็ชมอยากรู้จัก  แต่ต้องมาจบชีวิตขณะกำลังสาวสวยด้วยความประมาท  ต้องมานอนสงบอยู่ท่ามกลางแสงเดือนในป่าช้า  ร่างที่เคยสวยสมงดงาม  บัดนี้เหลือแต่ร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว  บางท่านข้าพเจ้าเคยรู้จัก  ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองด้วยอำนาจวาสนา  พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติบริบูรณ์  ตึกรามบ้านช่องใหญ่โต  เครื่องบำรุงความสุขทุกอย่างที่จะหาได้ด้วยเงินตรา  แต่เมื่อมาจบชีวิตแล้ว ญาติก็นำมาฝากวัด  ส่วนทางบ้านมุ่งหวังที่จะช่วงชิงทรัพย์สินที่ผู้ตายเหลือทิ้งไว้  บางคนก็แช่งด่าผู้ตายว่าไม่ให้ความยุติธรรม  เลยนำร่างมาฝากไว้ที่วัด  มิได้กำหนดจัดการสิ่งใดลงไป  ข้าพเจ้าเคยเดินดูทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักมากมายด้วยกัน  คิดแล้วก็เศร้าใจ
                                              
   กำลังคิดเพลินอยู่  ภิกษุผู้เพื่อนก็ออกจากห้องกุฏิ  เห็นข้าพเจ้านั่งคอยอยู่ก็ทักทายปราศรัยตามสมควร  ข้าพเจ้ากราบท่าน  ท่านจัดแจงรินน้ำชาใส่ถ้วยส่งให้  แล้วท่านก็เอ่ยขึ้นว่า

วันนี้เธอคงมีธุระสำคัญ  จึงได้มาหาอาตมาในเวลาค่ำคืนเช่นนี้

   ข้าพเจ้าอึกอักอยู่พักหนึ่ง  เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรถูก  ทั้งๆที่ท่านเคยเป็นเพื่อนรักใคร่กันมาก่อน  จิตใจข้าพเจ้าเกิดจะรวนเรเพราะเรื่องคอขาดบาดตายอย่างนี้ไม่ควรจะรบกวนผู้ทรงศีล  แต่คิดว่าไหนๆก็ตั้งใจมาแล้ว  ก็หักใจเรียนท่านไปว่า

ผมมีธุระสำคัญที่สุดในชีวิตครับ  อยากจะแจ้งให้หลวงพี่ทราบเป็นความลับ

   ท่านนิ่งฟังไม่พูดอะไร  เดินผลักบานประตูกุฏิแล้วหันมาพยักหน้ากล่าวว่า

เข้ามาพูดข้างในดีกว่า




   ข้าพเจ้าลุกขึ้นตามท่านเข้าไป  แล้วงับบานประตูไว้  ในห้องมีเพียงพระพุทธรูป  และตั้งเครื่องบูชาประดับไว้อย่างงดงาม  ข้าพเจ้ารู้สึกหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นธูปควันเทียน  และกลิ่นผ้าเหลือง  ข้าพเจ้าถือโอกาสกราบพระบูชาสามครั้ง  เมื่อกราบพระพุทธรูปแล้ว  ท่านก็ให้ข้าพเจ้าเริ่มเรื่องธุระกับท่าน  ข้าพเจ้าก็เล่าถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนสิ้นสุดทุกสิ่งทุกอย่าง  ตลอดจนได้วางแผนการที่จะล้างแค้น  เวลาที่ข้าพเจ้าเล่า  ท่านนั่งฟังด้วยความสงบและสนใจ  จนข้าพเจ้าเล่าเรื่องจบ  ท่านก็นั่งนิ่งใช้ความคิดตริตรองสักครู่หนึ่ง  ท่านจึงได้พูดขึ้นว่า

   “อาตมาเห็นใจในเรื่องของเธอมาก  สมควรแล้วที่เธอจะต้องแค้น  พูดตามจิตใจของผู้ที่อยู่ในทางโลก  อาตมาเห็นใจเธอในเรื่องนี้  ถ้าอาตมายังไม่เข้าสู่ความสงบในทางธรรม  ยังอยู่ในทางโลกเหมือนครั้งก่อน  ก็คงคิดอย่างเธอเหมือนกัน  และอาจร่วมมือกับเธอด้วย  คิดว่าคนชั่วชนิดนี้ไม่ควรจะอยู่ในสังคมใดบ้านใดเมืองใด  เพราะจะนำความเดือดร้อนมาสู่บ้านนั้นเมืองนั้น  หากผู้นั้นมีวาสนามากขึ้น  ก็จะนำความปั่นป่วนมาสู่โลกได้  คนชนิดนี้เกิดมาเพื่อทำลาย

   ข้าพเจ้าได้ยินคำพูดของท่านแล้ว  รู้สึกปีติยินดีอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด  และเพิ่มความเคารพท่านยิ่งขึ้น  ที่ท่านผู้เป็นภิกษุสงฆ์ทรงศีลยังให้ความเห็นอกเห็นใจ  ทำให้อุ่นใจที่ไม่ว้าเหว่อย่างที่คิด  แต่แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า

แต่เวลานี้อาตมาเป็นสงฆ์  มิบังควรจะออกความเห็นในสิ่งที่ผิดต่อศีลธรรม  เรื่องการฆ่าฟันกันนั่นมิใช่กิจของสงฆ์  ที่จะส่งเสริมหรือห้ามปรามในเวลานี้  สงฆ์มีหน้าที่จะชักนำไปสู่ทางดีเท่านั้น

   ท่านพูดแล้วก็หันมามองหน้าข้าพเจ้า  เหมือนจะอ่านจิตใจว่าข้าพเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่  ข้าพเจ้ากำลังปลาบปลื้มใจในคำพูดของท่าน  ข้าพเจ้าก้มลงกราบท่านน้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความดีใจ  แล้วก็พูดว่า

ขอบคุณหลวงพี่ที่ให้ความเห็นอกเห็นใจ  ผมมีความอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด  อย่างน้องก็มีหลวงพี่องค์หนึ่งที่เห็นใจ

   แต่แล้วท่านก็กล่าวเรียบๆว่า

ที่เธอจะทำการครั้งนี้  เหมือนเอาชีวิตเข้าแลกด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง  ไม่ยอมให้สิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงเจตนาของเธอได้

   ข้าพเจ้าตอบว่า  จริงครับหลวงพี่  ถ้าผมไม่ได้ล้างแค้น  จะอยู่เป็นคนต่อไปก็ไม่มีความสุขตลอดชาติ

   ท่านอมยิ้มอย่างเห็นใจ  แล้วพูดว่า

ก่อนเธอจะสร้างกรรมลงไปนั้น  อาตมาใคร่จะแนะนำในสิ่งที่ดี และเป็นมงคลกับตัวเธอสักอย่างหนึ่ง  ไม่ทราบว่าเธอจะทำตามหรือไม่  แต่ไม่เป็นที่ขัดขวางเกี่ยวข้องกับการกระทำสิ่งใดของเธอเลย

   ท่านพูดแล้วก็นิ่งฟังคำตอบของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าคิดแล้วจึงตอบท่านว่า

หลวงพี่ผู้เดียวที่ผมไว้ใจ  และเป็นผู้ที่เห็นใจผม  สิ่งใดที่หลวงพี่แนะนำไปในทางดี  ไม่ขัดต่อการกระทำของผม  ผมยินดีปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่าง

   เมื่อท่านได้ยินข้าพเจ้าพูด  ท่านก็แสดงความพอใจและเสริมว่า

อาตมาเห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน  จึงอยากจะให้สร้างความดีเสียก่อนที่จะทำอะไรลงไป  คืออยากให้เธอถือศีล ๘  อยู่ที่วัดนี้กับอาตมาสัก ๘ วัน  และอยากจะให้เริ่มต้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้  เพราะเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำแล้ว  ให้ถึงวันพระแรม ๘ ค่ำ  เป็นอันสิ้นสุดตามอาตมาร้องขอ  ต่อจากนั้นอาตมาจะไม่ร้องขออะไรอีกเลย

   เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้น  ทำให้อึกอักมิได้ตอบรับทันที  การที่ให้ข้าพเจ้าถือศีล ๘ วันนั้น  หมายความว่าข้าพเจ้าจะต้องยืดเวลาตามแผนการออกไปอีกหลายวัน  เมื่อท่านเห็นข้าพเจ้านิ่ง  ท่านก็พูดต่อไปว่า

การที่อาตมาแนะนำให้ถือศีลนั้น  ก็เพื่อเธอจะได้ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์เสียก่อน  เพื่อกุศลอันนี้จะได้ช่วยเธอได้บ้าง

   ข้าพเจ้าทบทวนดูแล้ว  คิดว่าการถือศีลเพียง ๘ วันเท่านั้น  ไม่ทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจได้  นอกจากจะประวิงเวลาให้ช้าไปเท่านั้น  การถือศีลก็เป็นความดีอย่างหนึ่งไม่เสียหายอะไร  เพื่อสนองความหวังดีและความเห็นอกเห็นใจของท่านที่มีต่อข้าพเจ้า  ก็ตกลงรับปากกับท่านว่า  จะถือศีลอยู่กับท่านให้ครบ ๘ วัน  ก่อนจะทำอะไรลงไป  ท่านแสดงความพอใจและยินดีด้วย

   รุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็ลาพักงานทันที  แล้วก็มาอยู่ที่วัดตามที่ตกลงไว้  ทำให้บุตรและภรรยาของข้าพเจ้าแปลกใจที่จู่ ๆ ก็เข้าวัดถือศีล  ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีวี่แววเลย  การมาอยู่วัดและถือศีลทำให้จิตใจปลอดโปร่งขึ้น  จิตใจสบาย  ซึ่งแรมปีที่แล้วมา  ข้าพเจ้าไม่เคยมีความสบายใจเช่นนี้มาก่อนเลย  หลวงพี่ท่านไม่เคยพูดและเอ่ยถึงสิ่งอะไรทั้งสิ้น  นอกจากพูดสอนศีลธรรมทางปฏิบัติทั่วๆไป



   ต่อจากนั้นอีก ๒ วันก็จะถึงวันพระ ๘ ค่ำ  เป็นวันหมดกำหนดที่ข้าพเจ้าตกลงไว้  วันนั้นท่านได้กล่าวขึ้นว่า

อาตมาจะเล่าเรื่องจริงให้ฟังสักเรื่อง  แม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นนานมาแล้วก็ดี  แต่เรื่องมันก็คล้ายคลึงกับเรื่องที่เธอได้ประสบมา  ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า  วัดทางชนบทวัดหนึ่ง  มีพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในทางวิปัสสนากรรมฐาน  ชื่อพระอาจารย์พรหม  มีคนเคารพนับถือมากมาย  มีลูกศิษย์ที่รักใคร่อยู่คนหนึ่งชื่อเจียม  วันหนึ่งที่วัดมีงานออกร้าน  มีเพลง  ละครรำ และลิเก ๓ วัน ๓ คืน  ซึ่งตามบ้านนอกในสมัยนั้นก็นับว่าเป็นงานสนุกสนาน  เพราะนานปีจะมีสักหน  ผู้คนชาวบ้านใกล้ไกลต่างชวนกันมาเที่ยวงานอย่างคับคั่ง 
 
   ห่างจากวัดออกไปหลายคุ้งน้ำ  มีหมู่บ้านอยู่หมู่บ้านหนึ่ง  ชาวบ้านมีอาชีพในทางทำนา  ในหมู่บ้านนี้มีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่ง ชื่อนายพุ่ม  ซึ่งพ่อแม่แม้จะทำนาก็พอมีอันจะกิจ  วันนั้นนายพุ่มอยากจะไปเที่ยวงานวัดที่อาจารย์พรหมอยู่  เพราะไม่เคยไปเลย และนายพุ่มแม้จะเป็นลูกชาวนาเกิดในละแวกบ้านก็ดี  แต่พ่อแม่ได้ส่งมาอยู่กับลุงที่บางกอกทั้งแต่เด็ก  เพิ่งจะกลับไปอยู่บ้านไม่กี่เดือน  ฉะนั้น เมื่อได้ทราบข่าวว่าที่วัดอาจารย์พรหมมีงาน  ทำให้ใจจดจ่ออยากจะไปอย่างที่สุด  ในชีวิตนายพุ่มไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย  เที่ยวชวนเพื่อนหนุ่ม ๆ ในละแวกบ้าน  ก็ไม่มีใครเขาไปเป็นเพื่อน  เพราะต่างก็ยังติดงานนวดข้าว  ขอร้องให้นายพุ่มรอไว้วันสุดท้าย  จึงจะไปเป็นเพื่อนด้วย  แต่นายพุ่มไม่ทันใจอยากจะไปแต่วันต้น 

   เมื่อไม่มีใครไปเป็นเพื่อน  ก็ถามหนทางที่จะไปให้แน่นอนเพื่อกันหลงทาง  ธรรมดาจากหมู่บ้านไปทางเรือกว่าจะถึงวัดก็หลายชั่วโมง  หากจะเดินตัดทุ่งราวสองชั่วโมงก็ถึง  ฉะนั้น  นายพุ่มจึงเลือกเอาทางบก  แม้พ่อแม่จะห้ามปราม  นายพุ่มก็ไม่ยอมฟังเสียง  เพราะตั้งใจอย่างเด็ดขาดไว้แล้ว  นายพุ่มออกเดินทางจากบ้าน  มีไม้ตะพดอันเดียวเป็นเพื่อนร่วมทาง  พวกเพื่อนและพ่อแม่คิดว่าคงไปติดลูกสาวชาวบ้านใกล้วัดแถบนั้นเป็นแน่
                                                                                                                                               
   ครั้นนายพุ่มไปถึงในบริเวณวัดที่มีงาน  ก็เดินเที่ยวชมงานอยู่คนเดียว  ดูโน่นนิดนี่หน่อยจนมาถึงโรงละครรำ  เห็นชายกลุ่มหนึ่งกำลังเพลินอยู่  เนื่องจากละครกำลังเล่นบทตลก  จึงมีเสียงเฮฮาอย่างครื้นเครงทั่วไป  นายพุ่มจึงเร่เข้าไปดูด้วย  ขณะที่กำลังยืนดูอยู่เหลือบไปเห็นหน้าชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆกัน   นายพุ่มไม่เคยรู้จักชายคนนั้นมาก่อนเลย  แต่เห็นหน้าแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตา  ให้รู้สึกชังน้ำหน้าเหมือนกับว่าเป็นศัตรูคู่อริกันมานาน  ไม่ว่าชายผู้นั้นจะแสดงกริยาสนุกหรือร่าเริงอย่างไร  ก็รู้สึกขัดนัยน์ตาของนายพุ่มทุกๆอย่าง  ชายคนนั้นไม่รู้ตัว  คงตั้งหน้าดูละครและหัวเราะอย่างสนุกสนาน  นายพุ่มเองก็นึกแปลกใจตนเองเหมือนกันว่า  ทำไมเกลียดชายคนนั้นอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้  ทั้งที่ไม่เคยทำความเจ็บช้ำน้ำใจมาก่อนเลย

   นายพุ่มยืนดูสักครู่  รู้สึกหมั่นไส้กิริยาท่าทางของชายผู้นั้นจนทนไม่ไหว  ลืมตัวไปวูบหนึ่ง  นายพุ่มจึงใช้ไม้ตะพดที่ถือมาตีหัวชายคนนั้นเต็มแรง  ทำให้ชายคนนั้นซึ่งไม่รู้ตัว  ถลาลงไปนอนดิ้นอยู่พักหนึ่ง  คนซึ่งกำลังดูละครเรื่องสนุกๆ ก็แตกฮือกันขึ้น  ตัวละคนชะงักการเล่นกลางคัน  ส่วนนายพุ่มนั้นพอได้สติรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปแล้วก็ตกใจ  เห็นคนแตกตื่นตกตะลึงกันอยู่  จึงถือโอกาสหนีทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ชำนาญทาง  

   พวกเพื่อนๆของชายคนนั้นเมื่อหายตกตะลึง  ก็วิ่งตามหลังนายพุ่มมาทันที  นายพุ่มวิ่งไปหลบอยู่ใต้ถุนกุฏิ  พักเดียวเห็นผู้คนล้อมเข้ามารอบด้าน  ก็รู้ตัวว่าใกล้จะจนมุม  ครั้งเห็นไม้กระดานใต้ถุนกุฏิแห่งหนึ่งมีช่องโหว่  พอตัวจะรอดขึ้นไปได้  จึงใช้มือเหนี่ยวโหนตัวขึ้นไปทันที  ก่อนพวกติดตามจะแลเห็น  พอทรงตัวได้ก็แลเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งยืนดูอยู่ที่ชานหน้ากุฏิ   นายพุ่มนั้นรู้สึกตัวกลัวความผิดจนตัวสั่น  ครั้งพบพระก็ก้มลงกราบ  แล้วบอกว่า

  “ช่วยผมด้วยเถิดครับหลวงพ่อ  เขากำลังจะตามจับผม

พระภิกษุรูปนั้นชี้เข้าไปในห้อง  นายพุ่มรีบวิ่งหลบเข้าไปในห้อง  พระองค์นั้นเดินตามเข้ามา และปิดประตูห้องกุฏิ  แล้วท่านจึงสั่งให้นายพุ่มนั่งลง  สงบสติอารมณ์ให้ดี  แล้วเล่าเรื่องให้ท่านฟัง  ท่านรับรองว่าเมื่อนายพุ่มอยู่กับท่านจะปลอดภัย  นายพุ่มค่อยหายกลัว  จึงนั่งลงเล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่อยู่บ้าน  และมีความรู้สึกอยากมาเที่ยวในงานเหลือเกิน  จึงพยายามมาเที่ยวจนได้  ตลอดจนได้มาพบเห็นและเกิดเรื่องต่างๆขึ้น  แล้วโหนช่องโหว่หนีขึ้นมาบนกุฏิ  เมื่อเล่าจบก็พอดีได้ยินเสียงผู้คนเดินอยู่นอกห้องขวักไขว่ และได้ยินเสียงพูดขึ้นว่า

   “หลวงพ่อคงจำวัด

   แต่อีกเสียงหนึ่งบอกว่า

   “ต้องบอกให้ท่านรู้  เพราะลูกศิษย์ของท่านถูกตีหัวเป็นการลบเหลี่ยมพวกเรา  และดูถูกหลวงพ่อด้วย  แล้วพวกเราก็มากมายยังจับมันไม่ได้  ปล่อยให้มันลอยนวลไปได้

   อีกเสียงหนึ่งกล่าวว่า

มันไวยังกะปรอท  เผลอเดี๋ยวเดียวหายตัวไปแล้ว  พวกเราก็มัวตะลึงอยู่  ไม่นึกว่าจะมีนักเลงต่างถิ่นมาเหยียบจมูก  ถ้าข้าพบจะไม่ไว้ชีวิตมันแน่

   นายพุ่มได้ยินเสียงคนพูดหลายเสียง  เต็มไปด้วยความโกรธแค้น  ก็นั่งตัวสั่นอยู่ในกุฏิ  กราบแล้วกราบอีกให้หลวงพ่อช่วย  ท่านจึงบอกให้นั่งนิ่งๆก่อน และทำใจให้ดี  ท่านจะจัดการให้เรียบร้อย  หลวงพ่อก็เปิดประตูกุฏิออกไป  พบลูกศิษย์ของท่านแสดงความโกรธแค้น  แต่ละคนถือไม้ตะพดและอาวุธอื่นๆ ท่าทางเอาเรื่อง  ถ้าพบคนต้นเหตุอย่างน้อยก็มีหวังเนื้อตัวน่วมเป็นแน่  พวกลูกศิษย์ครั้นเห็นอาจารย์พรหมออกมาจากห้อง  ต่างก็นั่งลงไหว้และรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทราบ  ท่านอาจารย์นิ่งฟังโดยสงบไม่พูดว่ากระไร  แต่หันหลังกลับไปหยิบไพลออกมา  แล้วยื่นให้ลูกศิษย์ชื่อเจียมที่ถูกตีหัวโนเท่าลูกมะกรูด  พลางบอกว่า

เอาไปทา  ประเดี๋ยวก็ยุบ”   นายเจียมลูกศิษย์คนโปรดเห็นชามใส่ไพลก็ตกใจ  เพราะเมื่อเช้าหลวงพ่อสั่งให้เขาฝนไพลไว้  เมื่อเขาถามว่าฝนไปทำไม  หลวงพ่อก็บอกว่าเอาไว้ให้ตัวเขาเอง  เจียมยังหัวเราะ นึกว่าท่านพูดตลกเล่น  เพราะไม่นึกว่าตัวเองจะเจ็บป่วยเป็นอะไร  เนื่องจากเป็นคนแข็งแรง

   บัดนี้  ท่านได้ยื่นชามไพลมาให้จึงรู้ว่าท่านพูดจริง  ไม่ได้พูดตลกเล่นขันๆตามความเข้าใจเสียแล้ว  เจียมนึกในใจว่า  หลวงพ่อนี้ทายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำ  เสียแต่ว่าท่านไม่บอกให้รู้ตัว จึงพูดอย่างน้อยใจว่า

หลวงพ่อรู้ว่าผมจะถูกตี  ทำไมไม่เตือนให้ผมรู้ตัวบ้าง  เสียแรงเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อแท้ๆ ยังปล่อยให้คนอื่นมาทำได้

   หลวงพ่อจึงปลอบนายเจียมว่า

เจียมเอ๋ย  เจ้าอย่าน้อยใจเลย  หลวงพ่อรู้ก็บอกเจ้าไม่ได้  เพราะมันเป็นการก่อเวรไม่สิ้นสุด  จึงอยากให้พ้นเวรสิ้นกรรมกันเสียที่ชาตินี้  การที่เจ้าถูกตีหัววันนี้  เป็นเวรกรรมกันมาแต่ชาติก่อน  เมื่อชาติก่อนเจ้าถูกเขาฆ่า  มาชาตินี้ถ้าหลวงพ่อบอกเจ้าว่ามีคนจะมาทำร้ายเจ้าก็จะต้องฆ่าเขาตาย   เป็นการใช้เวรกันแต่เพียงชาตินี้  เจียม  เจ้าควรหัดเป็นคนมีความอดทน  รู้จักเสียสละและการให้อภัย  เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร  แล้วเจ้าก็จะมีความสุข

   ท่านพูดจบแล้ว  นายเจียมยังไม่หายน้อยใจ  จึงกล่าวว่า

หลวงพ่อจะให้ผมเสียสละ  อดทน  แต่ผมถูกลอบตีหัวโดยไม่รู้ตัว  ผมไม่เคยทำความเจ็บใจให้มันมาก่อนเลย  แล้วหลวงพ่อจะให้ผมยอมแพ้มันง่ายๆ หลวงพ่อเห็นคนอื่นดีกว่าผมเสียแล้วหรือครับ

   เจียมพูดด้วยกิริยาเศร้าโศกเสียใจ  ท่านอาจารย์พรหมท่านประกอบด้วยความสุข  จึงปลอบศิษย์รักของท่านว่า

เจียมเอ๋ย  เท่าที่เจ้าอยู่กับหลวงพ่อมา  เคยเห็นว่าหลวงพ่อมีอคติลำเอียงต่อศิษย์คนใดบ้าง  เจ้าเคยเป็นศิษย์ที่ดี  มีความกตัญญู  เดี๋ยวนี้เจ้าหมดความนับถือไม่เชื่อฟังคำหลวงพ่อแล้วหรือ  การใดที่ทำไปนั้นก็ด้วยความหวังดีต่อเจ้า  และเพื่อให้เป็นการระงับเวรในชาตินี้และวันนี้  หลวงพ่อต้องการให้เจ้าพ้นทุกข์  หลวงพ่อเป็นสงฆ์ไม่เคยหวังร้ายต่อใคร  มีความหวังดีทั้งสิ้น

   พอท่านพูดจบ  เจียมก็รู้สึกตัวว่า  ตัวเองออกจะวู่วามและทำให้อาจารย์เสียใจ  จึงตรงเข้ากราบขอโทษ  พร้อมกับกล่าวว่า

พระคุณหลวงพ่อที่กรุณาผมมาตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่  ผมยังไม่ได้ทดแทนคุณเลย  ที่พูดไปนั้นด้วยความน้อยใจเท่านั้น  บัดนี้  ผมรู้สึกตัวแล้ว  ผมขออภัยหลวงพ่อด้วย  ผมจะเชื่อหลวงพ่อ  ผมจะอดทนที่ต้องรับความเจ็บปวด  ผมจะเสียสละและให้อภัยแก่คนที่ทำผมลับหลัง  โดยที่ผมไม่รู้จักตัว  ขอให้หลวงพ่อเมตตาผมเหมือนเดิม  ถ้าผมไม่มีหลวงพ่อคุ้มครองวันนี้  คงจะเจ็บมากกว่านี้

   พระผู้เป็นอาจารย์เห็นศิษย์เชื่อฟังก็พอใจ  พลางบอกให้ศิษย์อื่นๆรออยู่ข้างนอก  ชวนนายเจียมเข้าไปกราบพระในกุฏิ  พอนายเจียมเข้าไปท่านก็ปิดประตูลงกลอน ในห้องมืดสลัวเพราะท่านได้ปิดหน้าต่างหมดทุกด้าน  ท่านให้นายเจียมจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปและก้มกราบ ๓ ครั้ง  แล้วกล่าวต่อหน้าพระว่า

ข้าขอสัญญาว่า  วันนี้ข้าถูกทำร้ายโดยศัตรูที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย  ข้าจะขออโหสิกรรมให้ และไม่ขอจองเวรกันต่อไป ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ ขอพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  จงเป็นองค์พยานด้วย

   นายเจียมกล่าวจบ  ก็ก้มลงกราบพระพุทธรูปอีกครั้งหนึ่ง  นายพุ่มซึ่งหลบอยู่ในมุมมืด  ได้ยินการสนทนาระหว่างศิษย์กับอาจารย์ทราบความตลอดมา  เมื่อศิษย์และอาจารย์เข้ามาในห้อง  นายพุ่มก็จับตาดูตลอดเวลาด้วยหัวใจที่สั่นระริก  เมื่อเจียมกล่าวคำต่อหน้าพระเสร็จแล้วก็รู้สึกเบาใจ  อาจารย์จึงพยักหน้าให้นายพุ่มออกมา  นายพุ่มก็คลานออกมาจากมุมห้อง  เจียมได้ยินเสียงก๊อกแก๊กก็เหลียวมาดู  เห็นคนคลานออกมาก็ตกตะลึง  เพราะไม่เคยนึกฝันมาก่อน  นายพุ่มเมื่อคลานออกมาตรงหน้า  นายพุ่มก็ก้มลงกราบ   พลางพูดว่า

ขอพี่จงยกโทษให้ฉันด้วย  ที่ฉันทำไปเพราะอารมณ์วูบเดียวแท้ๆ แล้วหนีมาพบท่านอาจารย์จึงรอดชีวิตมาได้  ท่านอาจารย์บอกว่าเป็นเพราะกรรมเก่าแต่ชาติก่อน  เราเคยก่อเวรจองกรรมกันมา  ท่านจึงขอให้เราอโหสิกรรมเสียในชาตินี้  ให้หมดเวรหมดกรรมกันเสียที  ขอพี่อภัยให้ด้วย

   นายพุ่มนั้นไม่ได้กล่าวแต่เพียงคำพูดอย่างเดียว  แต่สะอื้นน้ำตาไหล  เนื่องจากสำนึกในความผิดของตัว  เจียมครั้งแรกเห็นคนคลานจากที่มืดก็ตกตะลึงอยู่แล้ว  เมื่อนายพุ่มเข้ามากราบขอโทษ จึงเดาเรื่องถูกหมด  ครั้งแรกก็ยังนึกโกรธอยู่  เพราะตัวต้องเจ็บโดยไม่รู้เรื่องราว  แต่เมื่อนึกว่าตัวได้สัญญากับอาจารย์ว่าจะอโหสิกรรม และตัวเองก็ได้ประกาศต่อหน้าพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์แล้ว จิตใจก็อ่อนลง  เห็นนายพุ่มร้องไห้ก็สงสาร  จึงปลอบนายพุ่มว่า

นิ่งเสียเถิดน้องชาย  พี่ยกโทษให้หมดแล้ว  เราไม่ขอจองเวรจองกรรมกันต่อไป  เราสองคนนี้เป็นหนี้พระคุณของหลวงพ่อท่าน  ที่ท่านช่วยระงับเวร  ซึ่งเนื่องมาแต่ชาติก่อนให้สิ้นสุดกันไป

   ท่านอาจารย์เห็นทั้งสองปรองดองกันได้เรียบร้อย  ก็มีความพอใจ  ท่านจึงบอกให้ทั้งสองรับศีลห้าพร้อมกัน  เสร็จแล้วทั้งสองก็กล่าวคำอโหสิกรรมต่อหน้าพระพุทธรูปในกุฏินั้นพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง  นายพุ่มอ่อนกว่านายเจียมสองปี  จึงถือนายเจียมเป็นพี่  ต่อจากนั้นมาทั้งสองก็รักใคร่กันมากและสามารถตายแทนกันได้  จึงเป็นเรื่องที่ศัตรูกลายเป็นมิตร  เรื่องนี้ชาวบ้านแถบนั้นเล่าให้ลูกหลานฟังกันตลอดมา  และที่วัดนั้นต่อมาเมื่อจัดงาน  ทางวัดก็จะห้ามคนถือตะพดเข้าไปเที่ยวในบริเวณงานอีก  ใครจะถือติดมือไปก็ต้องไปฝากไว้ที่ประตูทางเข้าในงาน  โดยทางวัดให้มีคนคอยรับฝาก  ให้ความสะดวกโดยทำเบอร์เลขเป็นใบรับตรงกันไว้ให้  และก็เป็นตัวอย่างของงานวัดอื่นต่อมา

   เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องราวที่พระท่านเล่านั้น  ก็มาครุ่นคิดถึงเรื่องของตัวเอง  จิตใจรวนเรตัดสินใจอะไรไม่ถูก  เพราะระยะที่ได้ถือศีลนั้น  ได้เปลี่ยนจิตใจของข้าพเจ้าให้เบาบางจากความแค้นลงไปมาก  คิดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น  เมื่อข้าพเจ้าได้ล้างแค้นสมประสงค์  ข้าพเจ้าก็คงไม่มีความสุขอย่างที่หวัง  เพราะมือกฎหมายก็คงจะจัดการกับข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าอาจถูกคุมขังหรืออาจถูกประหาร  ผลที่ได้รับมามันยิ่งร้ายเสียกว่าการทรมานใจเหมือนก่อน

   รุ่งเช้า  วันสุดท้ายที่ข้าพเจ้าครบกำหนดถือศีล  วันที่ ๘ พอดี  ข้าพเจ้าไปหาพระภิกษุผู้ชี้ทางสว่างให้แก่ข้าพเจ้า  แล้วก็นั่งสนทนาอยู่ชั่วครู่  ข้าพเจ้าบอกว่านอนไม่หลับข้องใจในเรื่องต่างๆที่ได้ยินได้ฟัง  แต่รู้สึกว่าจิตใจสบายขึ้นกว่าเดิม  ท่านได้ฟังเช่นนั้นก็หัวเราะและพูดว่า

นั่นแหละจิตเราเกิดกุศลขึ้นแล้ว  การอดทน  การเสียสละ  และการให้อภัยนั้น  ถ้าใครยึดถือได้ก็ย่อมทำให้จิตใจสงบ  เกิดความสุขแก่ผู้นั้น  และถือว่าเป็นผู้ชนะจิตใจตนเองได้ขั้นหนึ่ง  อันผู้ใดก่อความชั่วไว้  กรรมย่อมจะสนองผู้นั้นไม่ช้าก็เร็ว  ฉะนั้น ที่เธอคิดจะแก้แค้นด้วยชีวิตนั้น  มันเป็นการก่อเวรขึ้น  ไม่สมควรที่เธอจะเข้าไปเกี่ยวข้อง  ให้เกิดเวรขึ้นตามสนองจองล้างกันตลอดไปไม่สิ้นสุด  อาตมาจึงอยากจะห้ามตั้งแต่ตอนแรก ที่เธอมาระบายความแค้นออกมาให้ทราบแล้ว  แต่อาตมาคิดว่าหากห้ามเวลานั้นคงไม่สำเร็จ  ถือสุภาษิตโบราณว่า  น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ  อาตมาจึงให้ความเห็นอกเห็นใจและคล้อยตามไปก่อน  ทำให้เธอคลายความตรึงเครียดลงบ้าง  เพราะอย่างน้อยก็ยังมีผู้เห็นอกเห็นใจ 

หากเวลานั้น  ถ้าอาตมาห้ามปรามในขณะที่เธอกำลังโกรธแค้น  ย่อมมุมานะทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไป  เพราะคนเรามีความอวดดีประจำตัวไม่มากก็น้อย  ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ  อาตมาจึงได้ประวิงเวลาไว้  เพื่อให้เธอได้ผ่อนคลายอารมณ์แค้นลง  และให้เธอได้คิดภายหลัง  แล้วบัดนี้การที่เธอได้ตัดสินใจยอมอโหสิกรรมนั้น  อาตมามีความพอใจและตรงตามความประสงค์ของอาตมา  ปล่อยให้กรรมชั่วสนองผู้สร้างเองดีกว่า  จงคอยดูไป  อาตมาว่าไม่ช้ากรรมนั้นคงสนองแน่

   ข้าพเจ้าได้ฟังท่านให้โอวาท  จิตใจผ่องใสสดชื่นขึ้น  ข้าพเจ้ากราบท่านแล้วพูดว่า  หลวงพี่รู้เรื่องนายพุ่มละเอียดมาก  คิดว่าหลวงพี่คงเป็นศิษย์อาจารย์พรหมคนหนึ่ง

   ท่านยิ้มแล้วตอบว่า  มิได้  นายพุ่มเป็นปู่ทวดของอาตมา”  ข้าพเจ้าจึงว่า

   “กระผมรู้สึกผิดชอบแล้วครับหลวงพี่  ผมจะอดทนต่อไปและเสียสละ  จะให้อภัยแก่เขาผู้นั้น

   แล้วข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบพระพุทธรูป  ขออโหสิกรรม  ไม่จองเวรจองกรรมต่อไปตั้งแต่บัดนี้  และตั้งใจว่าหากถูกกลั่นแกล้งอย่างไรอีก  ข้าพเจ้าจะอดทน  ให้อภัย และคิดถึงทางธรรมว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน  ทุกข์นั้นถึงตัว  เมื่อคิดได้จิตใจก็สบาย  ไม่ทุกข์ทรมานเหมือนอย่างเดิม  เพียงระยะ ๘ วันที่ข้าพเจ้าได้เข้าวัด  เปลี่ยนจิตใจของข้าพเจ้าผิดกันเป็นคนละคน

   หลังจากข้าพเจ้ากลับเข้าทำงานแล้ว  ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างประหลาด  การกลั่นแกล้งทำลายจิตใจเกือบจะไม่มี  เห็นจะเป็นเพราะข้าพเจ้าอดทนให้อภัย  หน้าตาคงจะเปลี่ยนจากความเคร่งเครียดมายิ้มแย้ม  จึงทำให้ทุกอย่างเข้าสู่ระดับปกติ  ต่อจากนั้นมาไม่นานนัก  เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างนึกไม่ถึงก็เกิดขึ้น  ผู้บังคับบัญชาที่เคยกลั่นแกล้งทางจิตใจ  เกือบจะทำให้ข้าพเจ้าเป็นบ้าเป็นหลังเสียผู้เสียคนจวนจะกลายเป็นผู้ร้ายใจเหี้ยม  ก็หมดอำนาจวาสนาดับแสงลงทันที  ท่ามกลางความรุ่งเรืองซึ่งตัวเองก็ไม่เคยนึกมาก่อน  พวกประจบสอพลอก็พากันตีตนออกห่าง  ที่คอยติดหน้าตามหลังก็หายไปสิ้น 

   ข้าพเจ้าก็ได้ลืมเรื่องเก่าๆ และได้อโหสิกรรม ให้อภัยสิ้นแล้ว  เมื่อเห็นกรรมตามสนองก็อดมีใจอดนึกสงสาร  และคิดถึงคำว่า  คนสร้างกรรมชั่ว  กลับได้ดี”  บัดนี้กรรมชั่วได้ตามสนองเห็นผลทันตาแล้ว 

   จากนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าชีวิตช่างมีความหมาย  โลกเต็มไปด้วยความสดชื่นน่าพิสมัย  ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยชีวิตจิตใจ  แม้แต่ต้นไม้ดอกไม้ดอกหญ้าช่างสวยสดงดงามเหมือนจะยิ้มรับ  อันคนเรายามสุขนั้นมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างสดชื่น    เบิกบาน  อันยามทุกข์มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเหี่ยวแห้งมีแต่ตรมเศร้า  จะแก้ไขได้ก็ด้วยที่ใจของตนเอง  แต่ผู้นั้นจะต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์  มีความอดทนให้อภัยและเสียสละ  ดังตัวข้าพเจ้าได้ประสบมาเป็นตัวอย่าง  ข้าพเจ้ายังนึกถึงพระคุณของพระภิกษุผู้จูงข้าพเจ้าออกมาจากที่มืด  มาสู่แสงสว่างที่สดชื่น  ซึ่งเป็นชีวิตใหม่ที่ได้ปรับปรุงจิตใจให้สดใสบริสุทธิ์  มองดูโลกได้ทุกแง่  ข้าพเจ้าจะขอจดจำพระคุณอันนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่

หมายเหตุ   คำว่า  ข้าพเจ้า”  นั้น  เป็นผู้ได้ประสบการณ์  ซึ่งไม่ประสงค์จะออกนาม  ข้าพเจ้าผู้เขียนเป็นผู้เรียบเรียง  หากผู้ใดไม่เชื่อในกรรมดีกรรมชั่ว  ก็ขอให้คิดว่าเป็นเรื่องอ่านเล่น  เพราะเรื่องกรรมดี  กรรมชั่วนั้นเป็นเรื่องเข้าใจกันยาก  นอกจากประสบกับตัวเองเท่านั้น

จบเรื่องที่ ๑๘
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวีชัย เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น