วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กฏแห่งกรรม เรื่องที่ ๑๙ วัยรุ่น

กฏแห่งกรรม เรื่องที่ ๑๙
ของ ท.เลียงพิบูลย์
วัยรุ่น



กลางดึกของคืนวันหนึ่ง  เมื่อปี  พ.ศ. ๒๔๙๙  เป็นวันที่บุตรชายของข้าพเจ้าขออนุญาตไปในงานต้อนรับน้องใหม่ของสถานบันการศึกษาชั้นสูงแห่งหนึ่ง  คืนวันนั้นข้าพเจ้ารู้สึกกระวนกระวายใจด้วยความเป็นห่วง  เนื่องจากได้ทราบข่าวมาในตอนเย็นวันนั้นว่า   การต้อนรับน้องใหม่ของสถาบันนี้  บรรดานักศึกษารุ่นพี่ที่เป็นชาย  จะมอมกรอกสุรายาเมาพวกน้องใหม่ที่เป็นชายจนเมาหมดสติ  แล้วอุ้มไปหอพักเพื่อจัดการแก้ไขพยาบาล  เป็นวิธีการต้อนรับที่ออกจะแปลกประหลาดอยู่เท่าที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมา  และรู้สึกว่าน่าเป็นห่วงมาก  สำหรับผู้อื่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสนุกสนานขบขันครึกครื้นและเป็นของธรรมดา  แต่บังเอิญข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่ชอบการดื่มสุรายาเมา  เพราะชีวิตข้าพเจ้าเคยผ่านมารู้คุณโทษของมันดี  ฉะนั้น จึงไม่ยอมให้บุตรของข้าพเจ้าดื่มเป็นอันขาด  และถือเป็นข้อบังคับประจำบ้าน  ถ้าหากผู้ใดที่อยู่ในบ้านของข้าพเจ้าฝ่าฝืนไปดื่มสุราเมามายแล้ว  ข้าพเจ้าถือว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรง

   ตอนเย็นวันงานนั้น  ข้าพเจ้าได้เรียกบุตรชายมาพูดว่า
เธอก็รู้แล้วนะ  พ่อไม่ชอบคนกินเหล้าเมายา  ยิ่งถ้าคนนั้นเป็นลูกของพ่อ  ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย  ฉะนั้น ถ้าเธอหลีกเลี่ยงการดื่มไม่ได้ก็ไม่ควรไป  แม้ว่าเธอจะถูกมอมหรือถูกขอร้องประการใดก็ดี  เธอจะอ้างเหตุผลอย่างไร  พ่อก็ไม่ยอมยกโทษให้เป็นอันขาด  จำไว้นะ

   ข้าพเจ้าเห็นบุตรชายทำหน้าเศร้าแสดงความหนักใจ  และตอบว่า
เป็นประเพณีเขามีมานานแล้ว   ผมไม่รู้จะฝ่าฝืนอย่างไร  ครั้นผมจะหลบไม่ไป  ก็ได้นัดกับเพื่อนฝูงไว้แล้ว  ไม่อยากให้เสียคำพูดจึงจำเป็นต้องไป
ถ้าเธอจะเป็นขี้เมาในคืนนี้  ก็ไม่ต้องมาให้พ่อเห็นหน้าอีกต่อไป  จงจำไว้  เธอต้องกลับมาโดยไม่แตะต้องสุรายาเมา  คิดว่าเธอคงเข้าใจดี

   ครั้นแล้ว  บุตรชายข้าพเจ้าก็ไปงานโดยจิตใจไม่สู้จะสบายนัก

ภาพจาก thai ads
   ฉะนั้น  คืนนั้นจะพ้นเที่ยงคืนไปนานแล้วก็ดี  ข้าพเจ้าก็ยังไม่หลับ  ผุดลุกผุดนั่งลุกขึ้นมาหยิบหนังสือนั่งอ่าน  เพื่อฆ่าเวลาในการรอการกลับของลูก   แต่แล้วก็อ่านไม่รู้เรื่อง  เพราะจิตใจไม่ได้อยู่ที่หนังสือ  สายตาคอยจับที่ประตูนอกว่าเมื่อไรจะเห็นแสงไฟหน้ารถยนต์  เมื่อไรจะได้ยินเสียงเปิดประตู  ความเป็นห่วงทำให้จิตใจไม่เป็นสุข  ความเงียบในกลางดึกทำให้นึกถึงเรื่องเก่าๆ  เมื่อตัวเองยังอยู่ในวันรุ่น  นึกถึงการเริ่มดื่มครั้งแรกในชีวิต  เรื่องในอดีตช่างจำได้ติดหูติดตาหวนนึกถึง. . .

   เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑  สงบลง  โดยฝ่ายพันธมิตรเป็นผู้มีชัย  ครั้งนั้นทหารอาสาสงครามของไทยเรากลับมาจากยุโรปถึงประเทศไทยรุ่นสุดท้าย  ทางราชการและห้างร้านต่างก็ประดับธงทิว  จุดประทีปโคมไฟกันอย่างสว่างไสว  มีมหรสพสมโภชต้อนรับทหารหาญของชาติ  เวลานั้นอายุของข้าพเจ้าอยู่ในวัยที่ยังมองเห็นโลกแคบ  ข้าพเจ้ากับพวกเดินเที่ยวดูไฟประดับในสถานที่ต่างๆอย่างสวยงาม  และกำหนดว่าจะให้ถึงวังหลวงให้ค่ำพอดี 

   เมื่อได้เวลาจุดโคมไฟ  ได้พากันเดินมาเลยปากตรอกเต๊าไปหน่อย  ก็มีร้านขายสุราแขวนธงแดงเป็นเครื่องหมาย  เราก็จะแลเห็นเพื่อนร่วมเรียนหลายคนกำลังนั่งดื่มสุราในร้าน  พอเดินผ่านหน้าร้าน  เพื่อนผู้หนึ่งตาไวมองเห็นพวกเราผ่านไป  จึงวิ่งออกมาตามเข้าไปในร้าน  ข้าพเจ้าตั้งใจจะไม่ยอมเข้าไป  แต่ก็เสียอ้อนวอนเพื่อนไม่ได้  เข้าไปนั่งในร้าน  ร้านนั้นเป็นร้านจำหน่ายสุราอย่างเดียว  มีสุราชนิดต่างๆ และยาดองเหล้าใส่ในขวดโหลเรียงราย  ข้าพเจ้าเห็นเพื่อนคนหนึ่งได้สั่งให้เจ้าของร้านตักสุราใส่แก้วมาแจกเรียงตัว  รวมทั้งตัวข้าพเจ้าด้วย  ข้าพเจ้าขอตัวไม่ดื่มเพราะดื่มไม่เป็น  คนอื่นเขารับแก้วมาแล้วก็ดื่มกันอย่างสนุกสนานสรวลเสเฮฮา  มีข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ปฏิเสธ  เพื่อนฝูงหลายคนพยายามอ้อนวอนให้ข้าพเจ้าดื่ม  ข้าพเจ้าก็ยังไม่ยอมดื่ม  และพวกเพื่อนไม่ละความพยายาม  เพื่อคนหนึ่งได้ตัดพ้อต่อว่าเป็นเชิงเยอะเย้ยถากถางข้าพเจ้าว่า

   “เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย  ถ้าไม่ดื่มเหล้า  ก็ไปนุ่งผ้าซิ่นเสียดีกว่า

   คำเยาะเย้ยนี้เอง  ทำให้ข้าพเจ้าผู้ยังเยาว์ต่อความคิด  เยาว์ต่อโลก  เยาว์ต่อสิ่งที่ผิดและถูก  ชั่วและดี  มุมานะคิดว่าตัวเรานี้ก็เป็นลูกผู้ชาย  ไฉนจะให้คนอื่นดูหมิ่นเยาะเย้ยอยู่ทำไม  ข้าพเจ้าจึงยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างฝืนใจ  เป็นการดื่มครั้งแรกในชีวิต  เพื่อนฝูงที่ร่วมโต๊ะต่างตบมือแสดงความยินดี  เขาคงดีใจที่ทำให้ข้าพเจ้าดื่มได้  ต่างก็ร้องว่า
   “ลูกผู้ชายต้องอย่างนี้ซิ

   แต่ข้าพเจ้าเวลานั้นจะร้องไห้หรือหัวเราะดี  เพราะเหล้าที่ผ่านเข้าไปในลำคอนั้น  มันเฝื่อนๆร้อนวูบร้อนในลำคอชอบกล  ไม่หอมหวานเหมือนที่คิดไว้ก่อนดื่ม  ต้องถ่มน้ำลายออกมาอย่างเสียกิริยาเพื่อให้คลายความขื่นคอ  เพื่อนๆพากันหัวเราะเมื่อเห็นข้าพเจ้ามีสีหน้าตื่นๆ  และพากันเรียกข้าพเจ้าไก่อ่อน  บางคนยื่นกับแกล้มส่งมาให้แก้เฝื่อน  ข้าพเจ้ารับมากินอย่างซังกะตาย  ประเดี๋ยวก็ร้อนวูบวาบตามหน้า  รู้สึกว่าหูร้อนและหูหนาขึ้น  ประเดี๋ยวก็ร้อนวูบวาบตามหน้า  รู้สึกว่าหูร้อนและหูหนาขึ้น  หน้าก็ชักจะตึงๆ ท้องไส้ก็ร้อนวูบๆ   บ้านช่องดูคล้ายกับว่าสั่นโคลงเคลงและเริ่มหมุน  นี่แหละคือการเริ่มต้นการดื่มของข้าพเจ้า

ภาพจาก boardpostjung

    ต่อมา  ข้าพเจ้าในความคิดของเพื่อนๆ ก็เริ่มดื่มเต็มตัวชนิดขี้เมาหัวราน้ำ  ข้าพเจ้ามาคิดว่า  ผู้ที่อยู่ในวัยรุ่นนั้นอาจจะชักนำไปในทางดี หรือทางชั่วได้ง่ายกว่าวัยอื่น  เพราะยังอ่อนต่อโลก  ยังอ่อนต่อความคิด  มักจะไม่สามารถทนการเยาะเย้ยดูหมิ่นได้ง่ายกว่าวัยอื่น มักดื้อดึงพยายามทำสิ่งที่ตนไม่เคยทำ  เพราะอยากจะเป็นคนเก่ง  เป็นลูกผู้ชาย  สมกับคำโบราณว่า
   “คบคนพาล  พาลพาไปหาผิด   คบบัณฑิต  บัณฑิตพาไปหาผล   คบคนดีมีศรีแก่ตน  คบคนชั่วอัปราชัย


   ต่อมาภายหลังเพื่อนที่เคยเยาะเย้ยข้าพเจ้าในเรื่องการดื่ม  เขามีครอบครัวและมีบุตรชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๒ ขวบ   เมื่อผู้ใหญ่เลี้ยงสุราเมรัยกัน  ก็เรียกเด็กน้อยเข้ามาจับสุรากรอกเข้าไปให้เด็กดื่ม  เมื่อเด็กร้องไห้  เมาเดินโซเซ  พวกผู้ใหญ่ก็เห็นเป็นของสนุกขบขัน  บิดาของเด็กทำท่าคล้ายจะอวดเพื่อนว่า  ลูกอั๊วนี่เป็นลูกผู้ชายตั้งแต่เล็กๆ   ข้าพเจ้าแม้จะเป็นคนขี้เมาหยำเปคนหนึ่งไปแล้วก็ตาม  ยังนึกติเตียนและเวทนาสงสารเด็ก  มิได้รู้สึกสนุกสนานไปด้วยเลย

   ต่อมา  ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจเลิกดื่มเด็ดขาด  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓  เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น  อันเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าเลิกดื่มได้ ดังที่ข้าพเจ้าได้บันทึกไว้ในเรื่อง  ครั้งหนึ่งในชีวิต”    ภายหลังต่อมาเพื่อนผู้ถือคติว่า  เป็นลูกผู้ชายต้องดื่ม”  ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งดื่มมากขึ้นๆทุกที  จนติดเป็นสันดานไม่สามารถจะเลิกได้  แต่เป็นคนใจใหญ่ชอบเลี้ยงเพื่อนฝูง   ซึ่งต้องสิ้นเปลืองทรัพย์และเสียสุขภาพ  ต่อมาสมองก็เริ่มเสื่อมลง  ต้องเที่ยวของความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูงเพื่อยังชีพ  หลายครั้งที่แกมาหาข้าพเจ้า  เมาจนพูดอะไรแทบไม่รู้เรื่อง  พูดได้แต่เพียงว่า
   “ขอสตางค์  อั๊วจนเต็มที

   ทำให้ข้าพเจ้าสังเวชใจและสงสารอย่างที่สุด  เขาและข้าพเจ้าเป็นเพื่อนฝูงเก่าแก่กันมา  ข้าพเจ้าจึงพยายามช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้  ภายหลังก็ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง  น่าเศร้าใจที่สุดในชีวิตของเพื่อนผู้นี้  นี่ถ้ารู้จักประมาณตัวและไม่ประมาท  ชีวิตก็คงไม่อับเฉาถึงเพียงนี้  ข้าพเจ้าคิดแล้วก็เศร้าใจ 

   ความเงียบสงบของราตรีภายหลังเที่ยงคืนไปแล้ว  ทำให้ข้าพเจ้าหวนนึกถึงแต่เรื่องเก่าๆร้อยแปดในอดีตที่ชีวิตผ่านพ้นมาแล้ว  ใจหนึ่งก็คอยนึกว่าเมื่อไรลูกจะกลับมาถึงบ้านสักที  แลถ้ากลับมาแล้ว  ถ้ามีกิริยาเปลี่ยนไปในทางมึนเมา  ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร  แต่แล้วก็นึกมั่นใจว่า  ลูกข้าพเจ้าคงไม่ดื่มเหล้าในคืนนี้เป็นแน่  แม้กระนั้นจิตใจก็ยังกระวนกระวายไม่หาย  ข้าพเจ้าเพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาก็คราวนี้เองว่า  อันความรักความห่วงใยของบิดามารดาที่มีต่อบุตรนั้นสูงสุด  ยากที่จะหาความรักความห่วงใยอันใดมาเปรียบเทียบได้  เป็นความรักที่บริสุทธิ์และละเอียดอ่อน  เสมอต้นเสมอปลาย  ข้าพเจ้าก็มาได้สำนึกกับตัวเอง  ยังทำให้หวนไปคิดถึงครั้งหนึ่งในอดีต

   สมัยแผ่นดินพระมงกุฎเกล้านั้น   มีงานฤดูหนาวที่สวนจิตรลดา  เป็นงานที่หรูหราเอิกเกริกครึกครื้นที่สุดงานหนึ่งในสมัยนั้น  มีการออกร้าน  มีร้านของเจ้านายฝ่ายใน  และร้านของข้าราชการ  พ่อค้า  ส่วนรอบนอกมีร้านสำเพ็ง  ทางด้านนี้มีการพนันประเภท ๒  เช่น  น้ำเต้า  ปูปลา  จับยี่กี่ และเต๋าเขย่า ฯลฯ  ผู้คนจึงพากันมาเที่ยวมากมาย 

   คืนนั้นข้าพเจ้าได้ขออนุญาตผู้ปกครองไปเที่ยวงานนั้นด้วย  เพื่อนคนหนึ่งนำรถมารับข้าพเจ้าไปด้วยกัน ๒ คน  เราเที่ยวกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินกับการนั่งรถกระดอนขึ้นกระดอนลง  สมัยนั้นเรียกว่ารถเหาะ  แต่ความจริงเป็นรถที่ใช้รางเหล็ก  ประกอบขึ้นเป็นโครงสูงจากพื้นดิน  แล้ววางรางจากที่สูงลงต่ำและจากที่ต่ำไปที่สูง  เหมือนลงจากภูเขาแล้วก็ขึ้นอีกลูกหนึ่ง  และการลงจากที่สูงนี่เองที่ส่งไปถึงปลายทางได้สบาย  มีผู้คนพอใจนั่งกันมาก  เพราะมันทำให้ตื่นเต้นหวาดเสียวและสนุก  พวกสาวๆร้องวี๊ดว้ายไปตามกัน  เมื่อขึ้นที่สูงแล้วก็ดิ่งลงต่ำ  ข้าพเจ้าเองกับเพื่อนๆ ก็เพลิดเพลินเป็นเวลานาน  ขึ้นแล้วขึ้นอีกจนดึก  ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว  แล้วเราก็ออกจากรถเหาะไปเดินดูร้านในสำเพ็ง 

   สำเพ็งเป็นชื่อเรียกในบริเวณรอบนอกของานในสมัยนั้น  ซึ่งมีร้านขายอาหารและการละเล่นต่างๆ และการพนัน  พากันเดินดูร้านโน้นนิดร้านนี้หน่อย  จนบางร้านในสำเพ็งจุดประทัดปิดร้านเพราะลูกค้าไม่มีเล่น  เวลาจวนสว่างแล้ว  ถามดูถึงรู้ว่าเป็นเวลา ๔ นาฬิกา  เป็นวันสุดท้ายของงาน  พวกจีนจึงจุดประทัดไหว้เจ้าแล้วก็เลิกร้าน  ข้าพเจ้ากับเพื่อนจึงรีบออกมาจากในงานขึ้นรถกลับบ้าน  เพราะรู้ว่าทางบ้านเป็นห่วง  เพราะไม่เคยเที่ยวดึกเช่นนี้มาก่อน

   ครั้นมาถึงบ้านจวนสว่าง   ได้ทราบว่าทั้งพ่อและแม่ไม่ได้หลับนอนตลอดคืน  นั่งคอยเวลากลับของข้าพเจ้าด้วยความเป็นห่วง  และได้ว่ากล่าวติเตียนที่ข้าพเจ้าเที่ยวสนุกสนานจนลืมบ้าน  ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นห่วงเพียงไร  คอยแล้วคอยอีกไม่ได้นอนตลอดคืน  ข้าพเจ้ารับผิดกับท่านที่เที่ยวเพลิน  แต่ในใจข้าพเจ้าก็อดนึกไม่ได้ว่า  คนอยู่บ้านไม่ควรจะเป็นห่วงคนไปเที่ยวสนุกสนาน  ถ้าเป็นข้าพเจ้าก็จะนอนให้สบายไม่ต้องห่วง  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา  เพียงแต่เข้าห้องล้มตัวลงนอน  หลับไปเพราะความเพลียและอดนอน

   บัดนี้   เหตุการณ์เหล่านั้นได้มาถึงตัวข้าพเจ้าแล้ว  ข้าพเจ้าจึงได้สำนึกถึงตัวเอง  ความรักและความเป็นห่วงของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นมีมากเพียงไหน  ก่อนข้าพเจ้าไม่เคยนึกไม่เคยสนใจเลย  ขณะนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว  แต่เด็กวัยรุ่นยังไม่รู้เพราะไม่สนใจ   ไม่มีทางจะรู้ได้ว่า  ความรักของพ่อแม่นั้นลึกซึ้งเพียงไร  จนกว่าจะได้ตำแหน่งเป็นพ่อแม่  เมื่อนั้นแหละจะต้องกลับมาหวนคิดถึงพ่อแม่  เมื่อนึกก็ตื้นตันใจน้ำตาจะไหลออกมาให้ได้  ความรักของพ่อแม่นั้นบริสุทธิ์สุขุมและอบอุ่น  แม้จะไม่แสดงออกมาก็ฝังไว้ในส่วนลึกของหัวใจ  แม้ลูกจะเป็นคนร้ายดีอย่างไรพ่อแม่ก็ไม่สามารถจะทอดทิ้งได้  ผิดกับความรักของหนุ่มสาว  เป็นความรักที่สดชื่นหวานฉ่ำ  รักอย่างหลงใหลใฝ่ฝันปานจะกลืน  เป็นความรักที่รุนแรง  ครั้นความรักจืดจางหมดลงก็เกิดความชังขึ้นมาแทน  แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากมอง  อยู่ใกล้ก็เหมือนอยู่ไกล  ลืมความรักที่หวานชื่น  ซึ่งเคยมีมาแต่อดีตเสียสิ้น  บางรายที่สุดก็ประหัตประหารถึงแก่ชีวิตก็มี 

   ความรักของพ่อแม่สุขุม  แม้จะมีการดุด่าเฆี่ยนตีบ้างก็เป็นความหวังดี  ไม่มีความอาฆาตมาดร้ายแค้นเคืองอยู่ในใจของพ่อแม่  แม้ลูกจะผิดก็ให้อภัย  บางครั้งเสียสละยอมพลีชีวิตเพื่อลูก  สุดที่จะหาความรักอันใดมาเสมอเหมือนได้ยากยิ่ง  ความดึกและความเงียบสงัดทำให้จิตใจหวนไปนึกถึงแต่ชีวิตเก่าๆ อันเป็นความหลังที่ได้ผ่านมาแล้ว


   ข้าพเจ้าต้องตื่นจากภวังค์  ได้ยินเสียงบุตรข้าพเจ้าเข้ามาในบ้าน  พร้อมด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม  กล่าวกับข้าพเจ้าว่า
   “พ่อยังไม่นอนหรือครับ
   “พ่อกำลังคอยเธอ
   แกพูดด้วยกิริยาร่าเริงว่า
โชคดีครับพ่อ  ปีนี้อาจารย์ห้ามไม่ให้มอมเหล้าน้องใหม่เหมือนปีที่แล้วๆมา  ผมเลยรอดตัว  ไม่ต้องคอยหลบหลีก

   ข้าพเจ้าก็พลอยโล่งใจ  เมื่อทราบว่าสถาบันแห่งนี้งดการมอมเหล้า  ไม่เหมือนอย่างปีก่อนๆ   ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าปีต่อไปงดการมอมเหล้า  ก็จะเป็นที่พอใจสำหรับผู้ปกครองที่ไม่ชอบให้บุตรหลานดื่มเหล้า เช่น ข้าพเจ้าเป็นต้น  สำหรับผู้ที่ถือคติว่าลูกผู้ชายต้องดื่มเหล้าเป็น  คงจะไม่พอใจ  เพราะจิตใจคนเราไม่เหมือนกัน  ในสิ่งเดียวกันย่อมมองกันไปคนละแง่ทั้งดีและร้าย  หากว่าสถาบันแห่งนี้จะมีประเพณีนี้ขึ้นอีก  ก็ขอให้เป็นเพียงให้พวกน้องใหม่สมัครใจเอง  ไม่ควรบังคับให้ดื่ม  เพราะบางคนไม่ต้องบังคับก็อยากอยู่แล้ว  ข้าพเจ้าคิดว่า  จะเป็นการยุติธรรมดีสำหรับผู้ที่อยากดื่มและไม่อยากดื่ม  ข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นนี้หากจะเป็นที่กระทบกระเทือนผู้ใดบ้าง  ข้าพเจ้าต้องขออภัยมา  ณ ที่นี้ด้วย


 จบเรื่องที่ ๑๙
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวีชัย เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น