เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพนี้เขียนส่งเดชไม่ได้
เพราะเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ใกล้ตัวเรามาก ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพทั้งหลายนั้น
จึงได้พยายามเสาะหาข้อมูลจากท่านผู้รู้ หรือแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้จากหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง
เมื่ออ่านจนเข้าใจแล้วจึงค่อยนำเสนอ เพื่อทุกท่านจะได้รู้จักการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า
และอย่าลืมว่า..สุขภาพดีไม่มีขาย..จึง..ต้องทำเอง
บทความดีๆจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
อาการปวดหลังเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย
ไม่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น ในปัจจุบันพบมากขึ้นในคนวัยทำงาน
ซึ่งหากปวดมากอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
โครงสร้างของหลัง
1.กระดูกสันหลัง เป็นกระดูกแกนกลางที่สำคัญของร่างกายในการรองรับน้ำหนักตัว
กระดูกสันหลังมีลักษณะเป็นปล้องๆ ตั้งแต่คอถึงเอว โดยจะเรียกตำแหน่งตามตัวเลข
ดังนี้
.ส่วนคอ (cervical spine) ประกอบด้วยกระดูก 7 ชิ้น (เรียก C1-C7)
.ส่วนอก (thoracic spine) ประกอบด้วยกระดูก 12 ชิ้น (เรียก T1-T12)
.ส่วนเอว (lumbar spine) ประกอบด้วยกระดูก 5 ชิ้น (เรียก L1-L5) ซึ่งเป็นส่วนที่พบอาการปวดบ่อยที่สุด
เนื่องจากเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักของร่างกายส่วนบน
.ส่วนกระเบนเหน็บ (sacral spine) ประกอบด้วยกระดูก 5 ชิ้น (เรียก S1-S5) ซึ่งทั้งหมดจะรวมเป็นชิ้นเดียว เรียกว่ากระดูกก้นกบ
ตำแหน่งที่กระดูกสันหลังแต่ละชิ้นเชื่อมต่อกันเรียกว่า
ข้อต่อกระดูกสันหลัง มี 2 ข้าง คือซ้ายและขวา
ช่วยให้กระดูกสันหลังสามารถเคลื่อนไหวได้
และระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละชิ้นจะมีหมอนรองกระดูกสันหลังคั่นอยู่
ภายในหมอนรองกระดูกมีลักษณะคล้ายเจลลี ซึ่งถ้าหากหมอนรองกระดูกมีการฉีกขาด
และส่วนชั้นในเคลื่อนออกมากดทับเส้นประสาท ก็จะทำให้เกิดอาการปวดตามมาได้
2.กล้ามเนื้อหลัง ยึดติดอยู่กับกระดูกสันหลัง
โดยมีเส้นเอ็นที่ยึดกระดูกแต่ละชิ้นเข้าไว้ด้วยกัน
3.เส้นประสาทไขสันหลัง
ในช่องโพรงกระดูกสันหลังจะมีเส้นประสาทไขสันหลังจำนวน 31 คู่
ทำหน้าที่รับความรู้สึกและสั่งงานไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
ปัจจัยเสี่ยงของอาการปวดหลัง
.อายุ อาการปวดหลังเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย
ทั้งในหนุ่มสาววัยทำงาน และในผู้สูงอายุ
.การขาดการออกกำลังกาย
ในคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำจะทำให้กล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังไม่แข็งแรง
ไม่สามารถรองรับกระดูกสันหลังได้
.อ้วน
น้ำหนักตัวที่มากเกินไปส่งผลให้กระดูกสันหลังต้องรับน้ำหนักมากทำให้เกิดความเสื่อมได้มากขึ้น
นอกจากนี้ไขมันที่พอกพูนบริเวณหน้าท้องอาจทำให้สมดุลของร่างกายเสียไปและเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุได้
.โรคบางชนิด เช่น ข้ออักเสบ เนื้องอกบางชนิด
.การทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องยกของ
ใช้แรงผลักหรือดึงซึ่งทำให้กระดูกสันหลังบิด
รวมถึงผู้ที่ทำงานอยู่กับโต๊ะเป็นเวลานานโดยอิริยาบถไม่ถูกต้องก็อาจปวดหลังได้
ภาพ healthkapook.com |
สาเหตุของอาการปวดหลัง
อาการปวดหลังเกิดได้จากหลายสาเหตุ
ไม่ว่าจะเป็นท่าทางที่ไม่ถูกต้อง หรือพยาธิสภาพของกระดูกสันหลังเอง
โดยสาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจาก
.ท่าทาง อิริยาบถ การเคลื่อนไหวร่างกาย
และการใช้งานหลังที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน
เป็นสาเหตุการปวดหลังที่พบได้บ่อยในคนวัยทำงานที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์นานๆ
(โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค) หากไม่ได้ใส่ใจกับท่านั่งที่ถูกต้อง
มักจะนั่งด้วยท่าทางแบบหลังงอ ไหล่ห่อและก้มคอเข้าหาจอคอมพิวเตอร์
การยกของหนักโดยใช้การก้มหลัง
น้ำหนักทั้งหมดจะผ่านไปที่กระดูกสันหลังส่วนที่กำลังโค้งมากที่สุด
.การบาดเจ็บบริเวณหลัง
จากอุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา เช่น รักบี้ ฟุตบอล
การมีการบาดเจ็บหรือมีการกระแทกอย่างต่อเนื่องส่งผลให้กระดูกสันหลังเสื่อมได้เร็วขึ้น
.ความผิดปกติของกระดูกสันหลังแต่กำเนิด เช่น
โพรงกระดูกสันหลังตีบแต่กำเนิด กระดูกสันหลังคด กระดูกสันหลังมีมากหรือน้อยผิดปกติ
.ภาวะของกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ
เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้มาก ภาวะเหล่านี้ ได้แก่
-หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
-โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ คือ
ภาวะที่มีการแคบลงของโพรงกระดูกสันหลังเนื่องมาจากการหนาตัวขึ้นของกระดูกหรือเส้นเอ็น
ทำให้เส้นประสาทที่วิ่งอยู่ในโพรงกระดูกถูกบีบรัดจากกระดูกหรือเส้นเอ็นที่มีการหนาตัวขึ้นจากการเสื่อมสภาพ
-กระดูกสันหลังเคลื่อน
เมื่อกระดูกสันหลังเสื่อมและเสียความมั่นคงแข็งแรงไป
จะทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนได้ จะทำให้เกิดอาการปวดหลังมีการขยับ และอาจมีการปวดร้าวลงขาได้เมื่อมีการกดทับเส้นประสาท
.โรคอื่นๆ
ที่ทำให้เกิดอาการปวดร้าวมาที่หลังได้ เช่น โรคไต โรคเกี่ยวกับรังไข่และมดลูก
โรคหลอดเลือดโป่งพองในช่องท้อง หรือมะเร็งที่มีการกระจายมายังกระดูกสันหลัง
อาการ
ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเฉพาะที่หลังเพียงอย่างเดียว
หรืออาจมีอาการปวดร้าวมาที่สะโพกหรือขา
อาการปวดขาจะปวดไปตามบริเวณซึ่งถูกเลี้ยงด้วยเส้นประสาทเส้นที่ถูกกดทับนั้น
ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีลักษณะความปวดแตกต่างกันไป
ผู้ป่วยบางรายอธิบายอาการปวดว่ามีลักษณะแหลมเหมือนโดนมีดแทง
บางรายรู้สึกปวดหน่วงและหนักที่ขา หรือบางรายอาจรู้สึกเพียงเหน็บชาคล้ายเวลาที่นั่งทับขานานๆ
เท่านั้น
สัญญาณเตือนที่ควรรีบพบแพทย์
ถึงแม้ว่าอาการปวดหลังอาจต้องใช้เวลากว่าอาการจะทุเลาลง
แต่บางครั้งก็อาจมีอาการที่เป็นสัญญาณเตือนว่าควรรีบพบแพทย์ทันที ได้แก่
-อาการปวดหลังที่เป็นเรื้อรังติดต่อกันนานเกินกว่า
3 เดือน , ปวดร้าวลงสะโพก
ขา จนถึงบริเวณน่องหรือเท้า , อาการปวดเฉียบพลันที่ไม่ทุเลาลงเมื่อได้พัก
หรือมีอาการปวดรุนแรงจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ , อาการปวดหลังเมื่อบาดเจ็บหรือหกล้ม
-อาการปวดร่วมกับ..ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ , ขาอ่อนแรง , ชาบริเวณขา เท้า หรือรอบทวารหนัก ,
คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ , น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทางเลือกในการรักษา
เป้าหมายของการรักษาอาการปวดหลัง คือ
เพื่อลดอาการปวด และให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติที่สุด
โดยการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดหลังและระยะเวลาที่เป็น
ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
โดยมุ่งรักษาที่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการและพยายามหาวิธีที่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดน้อยที่สุดก่อน
โดยทั่วไปการรักษาจะมีอยู่ 2 วิธีหลัก ได้แก่
การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด
.การรักษาแบบประคับประคอง ได้แก่
การรับประทานยา การทำกายภาพบำบัด และการนอนพัก
มักเป็นวิธีที่ใช้เริ่มต้นในการรักษา
ยกเว้นกรณีที่ผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าต้องได้รับการรักษาโดยวิธีอื่น
.การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงกระดูกสันหลัง
ซึ่งจะช่วยลดความปวดจากการอักเสบและช่วยในการวินิจฉัยตำแหน่งที่เป็นต้นเหตุของอาการปวดได้
การรักษาวิธีนี้ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาแบบประคับประคองแล้ว
แต่อาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดจากการที่เส้นประสาทโดนรบกวน
การรักษาโดยการผ่าตัด
แพทย์จะใช้วิธีการรักษานี้เมื่อผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน เช่น
ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ขาอ่อนแรง เดินไม่ได้
หรือเมื่อทำการรักษาโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
ซึ่งวิธีการผ่าตัดมีหลายวิธีขึ้นกับภาวะของผู้ป่วยหรือข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด
(ตามตารางด้านล่าง)
ภาวะความผิดปกติของกระดูกสันหลัง
|
ทางเลือกในการรักษา
|
||
การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด
|
การผ่าตัดด้วยวิธีมาตรฐาน
|
การผ่าตัดแบบแผลเล็ก
|
|
การผ่าตัดโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบด้วยกล้องจุลทรรศน์
|
|||
การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังส่วนคอ
|
|||
กระดูกสันหลังหักจากภาวะกระดูกบาง
|
การฉีดซีเมนต์เสริมกระดูก
|
กายบริหารโยคะช่วยป้องกันหรือบรรเทาปวดหลัง
จากwww.manager.co.th
>>ถ้าอาการ “ปวดหลัง” เป็นมรสุมลูกใหญ่ในชีวิตที่ตามรุมเร้าและเฝ้าหลอกหลอน
จนส่งผลกระทบต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันแล้วล่ะก็อย่านิ่งนอนใจ
ปล่อยให้อาการปวดหลังคุกคามจนถึงขั้นรุนแรง มาหยุดอาการปวดหลังด้วย การฝึกโยคะกับ 3 ท่าเบสิกที่ทำได้ง่ายๆ ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน และหากได้ทำต่อเนื่องเป็นประจำ
รับรองว่าจะเป็นไม้เด็ดที่กำราบอาการปวดหลังได้อยู่หมัดแน่นอน
ท่าภูเขา |
ประโยชน์ของท่านี้นอกจากจะช่วยลดอาการปวดหลังแล้วยังทำให้ยืนได้ถูกหลักบนฝ่าเท้าแบนราบ รวมถึงช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา เข่า ข้อเท้าตลอดจนกล้ามเนื้อหน้าท้องและก้นแข็งแรง ฟิตแอนด์เฟิร์มสุดๆ
1. เริ่มต้นให้ยืนตรงเท้าชิด ส้นเท้าและฝ่าเท้าตรงกัน เหยียดเข่าให้ตึง
2. เกร็งกล้ามเนื้อต้นขาให้เข่ากระชับ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง
3. ยืดอก หลังเหยียดตรง คอตั้งตรง ตามองตรงไปข้างหน้า
4. รักษาสมดุลของร่างกายให้น้ำหนักผ่านเป็นแนวตรงลงมาจากศีรษะ ไหล่กึ่งกลางสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า และไปยังฝ่าเท้าทั้งสองข้าง แขนวางแนบลำตัว
5. แขนวางแนบลำตัว หรือพนมมือเหนือศีรษะ หรือพนมมือจดหน้าอกก็ได้
ท่าพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว 1 |
ท่าพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว 2 |
ท่าพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว 3 |
:: โยคะ ท่าพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
เพื่อยืดกระดูกสันหลัง ยืดกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัวและกล้ามเนื้อชายโครง
1. เริ่มจากยืนตรงพนมมือเหนือศีรษะ
2. ค่อยๆ เอียงตัวไปด้านข้างช้าๆ ค้างไว้ 3 ลมหายใจ แล้วกลับมายืนตรง
3. ทำซ้ำ โดยเอียงตัวไปด้านตรงข้าม
ท่า side strecth 1 |
ท่า side strecth 2 |
:: โยคะ ท่า Side Stretch
เพื่อให้กระดูกสันหลังมีการบิดตัว ระบบประสาทและแนวกระดูกสันหลังมีการคลายตัว ประโยชน์ของท่านี้คือช่วยลดอาการบาดเจ็บบริเวณบั้นเอว สะโพก กล้ามเนื้อ แผ่นหลัง รวมไปถึงกระตุ้นระบบการย่อย การดูดซึม การเผาผลาญอีกด้วย
1. หายใจเข้า เหยียดแขนพนมมือเหนือศรีษะ แขนทั้งสองข้างอยู่หลังใบหู
2. หายใจออก บิดตัวไปด้านซ้าย แขนทั้งสองข้างตึง สติอยู่ที่ลมหายใจเข้าลึก-ออกยาว ผ่อนคลาย ค้างอยู่ในท่า 6 ลมหายใจ
3. หายใจเข้า บิดตัวกลับมาตัวตรง มืออยู่เหนือศรีษะแขนอยู่หลังใบหู
4. หายใจออก บิดตัวไปด้านขวา แขนทั้งสองข้างตึง ค้างอยู่ในท่า 6 ลมหายใจ
5. หายใจเข้า บิดตัวกลับมาตั้งตรง มืออยู่เหนือศรีษะแขนอยู่หลังใบหู
6. หายใจออก วางมือ แล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 1-6 ครั้ง
ข้อมูลจาก: Holistic Yoga (The Place Where You Reborn)
ท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน
จากโรงพยาบาลสมิติเวช
ภาพ samitivejhospital.com |
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็บไซต์ทุกเว็บ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น