กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดย ท.เลียงพิบูลย์
เรื่องที่ ๑๔
นอกฝัน
“ความฝัน” เป็นหัวข้อที่มีผู้ได้กล่าวถึงกันมามากแล้ว ทั้งว่าด้วยมูลเหตุและผลแห่งความฝันนั้น แต่ข้อเขียนของข้าพเจ้านี้ ไม่ได้มีความมุ่งหมายที่จะแสดงถึงมูลเหตุ และผลที่เกิดจากการฝันของข้าพเจ้า
บังเอิญมีความเกี่ยวข้องถึงความหมายตามวัตถุประสงค์ ที่จะกล่าวในหนังสือเล่มนี้ประการหนึ่ง
กับความประหลาดมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทั้งในขณะฝัน และขณะที่ตื่นอยู่ของข้าพเจ้าอีกประการหนึ่ง เป็นที่น่าพิศวงอย่างยิ่ง
สมควรแก่การนำมาเล่าสู่ท่านที่เคารพรักทั้งหลาย..
เมื่อข้าพเจ้ายังเด็กอยู่ในวัยรุ่น บ้านข้าพเจ้าอยู่ทางอำเภอบ้านทวาย (เดี๋ยวนี้เป็นอำเภอยานนาวา) ในหมู่บ้านทวายนั้น ชาวบ้านส่วนมากเป็นชาวทวาย และพูดภาษาทวายซึ่งฟังคล้ายพม่า หมู่บ้านทวายดังกล่าว ในสมัยนั้นจะมีชาวไทยปะปนอยู่บ้างก็เป็นส่วนน้อย มีวัดอยู่ในพุทธศาสนาวัดหนึ่ง เจ้าวัดเป็นชาวทวาย ผู้คนเคารพนับถือท่านมากทั้งชาวไทย ชาวจีน
ชาวพม่า
และผู้ซึ่งนับถือศาสนาทั่วไป
ชาวบ้านมักจะเรียกท่านว่า “ท่านใหญ่” ท่านมีรูปร่างที่สูงสง่า
มีหูยาว อารมณ์ดีเยือกเย็น เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา และเป็นภิกษุที่ถือวินัยเคร่ง มีอิริยาบถสำรวม นอกจากนั้นยังเชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐาน เป็นที่เคารพนับถือกันทั่วไป
บรรดาชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธาท่าน เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วย แม้มีอาการหนักถึงขนาดหมอไม่รับ ก็มักไปหาให้ท่านช่วยเหลือ
ท่านจะเข้าสมาธิดูทางกระแสจิตให้ในตอนกลางคืน พอตอนเช้า
เมื่อเจ้าของไข้ไปหา
ท่านจะแจ้งให้ทราบถึงวิธีการรักษา
หรือบอกอาการของโรคให้ทราบ
และแนะนำให้ไปหาหมอที่มีรูปร่างลักษณะดังที่ท่านบอก หรือไม่ก็บอกทิศทางที่จะไปตามหมอที่จะมารักษา เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ส่วนมากผู้ที่ได้รับการรักษาตามคำของท่าน มักหายเป็นปกติ ท่านไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทนจากผู้ใด และช่วยเหลือทุกคนที่ไปหาท่านเหมือนกันหมด
เมื่อเด็ก ๆ ข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นลูกศิษย์ของท่านใหญ่ เมื่อคราวโรงเรียนหยุดข้าพเจ้าเคยเข้าไปคลุกคลีอยู่ในวัดเสมอ
มีบางครั้งที่พระบางองค์เกิดอาพาธไปบิณฑบาตไม่ได้ ข้าพเจ้าก็รับอาสาไปรับบาตรตามชาวบ้านแทน
(ในสมัยนั้น ศิษย์วัดไปรับบาตรแทนพระที่อาพาธได้)
การทำบุญรู้สึกว่ามีชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธามาก ตามบ้านเรือนของชาวบ้าน ทั้งชาวไทยและชาวทวาย จะสร้างม้าไว้หน้าบ้านทุกบ้าน
สำหรับตั้งขันข้าวและถาดอาหารคาวหวาน
เพื่อรอใส่บาตรพระที่วัดนี้
พระออกบิณฑบาตเข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยตามลำดับ คือท่านใหญ่เจ้าอาวาสเป็นผู้เดินนำหน้า
และรองลงไปตามอาวุโสของพระที่มีพรรษามากน้อย ตลอดไปถึงหางแถวคือเณร รวมทั้งสิ้นประมาณ ๔๐-๕๐ องค์
พอได้เวลาย่ำรุ่งก็เดินออกจากวัดเข้าไปยังหมู่บ้าน ออกถนนใหญ่แล้วเดินย้อนกลับวัดระยะทางไม่ไกลนัก และเป็นทางเดินประจำทุกวัน พระทุกองค์ได้ข้าวเต็มบาตร ถึงกับบางครั้งต้องมีศิษย์ไปคอยนำกระบุงถ่ายในระหว่างครึ่งทาง ซึ่งนับว่าบริบูรณ์ในเรื่องอาหาร
ที่วัดนี้มีประเพณีอย่างหนึ่ง คือ ในวันขึ้น ๑๔
ค่ำ ก่อนออกพรรษาในตอนเย็นวันนั้น จะมีชาวบ้านนำขันใส่ข้าว ผลไม้อื่นๆ
ไปไว้ที่ศาลาวัดแต่ยังไม่ถวายพระ พอตกเวลา ๐๑:๐๐ น. หรือ ๐๒:๐๐ น. หลังเที่ยงคืน
ทางวัดจะจัดการหุงข้าวที่ชาวบ้านนำไปนั้นเป็นกระทะใหญ่ๆหลายกระทะ
แล้วให้เด็กศิษย์วัดและชาวบ้านที่อาสาเที่ยวตะโกนป่าวร้องชาวบ้านให้ไปปั้นข้าว ซึ่งเรียกว่า“ปั้นข้าวคาถาพัน”ที่วัด เด็กๆก็จะไปร้องบอกตามบ้านจนทั่วถึงกัน ให้รีบมาปั้นข้าวคาถาพัน ทางวัดจะจัดหากระด้งไว้พร้อมสรรพ
เมื่อชาวบ้านมาถึงพร้อมเพรียงกันแล้ว
ศิษย์วัดก็จัดการนำข้าวที่ชาวบ้านหุงเตรียมไว้ มาเทลงในกระด้ง พวกชาวบ้านก็จะลงมือปั้นข้าวขนาดเท่าฟองไข่เป็ดหรือส้มเขียวหวาน
หรืออุตริปั้นโตกว่านั้นก็สุดแล้วแต่ศรัทธา แต่บางคนก็หุงและปั้นมาจากบ้าน นำมาสมทบที่วัด เมื่อครบจำนวน ๑,๐๐๐
ก้อน ผลไม้ต่าง ๆ ดอกไม้และธูปเทียน เครื่องไทยธรรมเหล่านั้นครบสิ่งละ ๑,๐๐๐ ทุกอย่าง
พอได้อรุณแสงเงินแสงทองขึ้น “ท่านใหญ่” กับพระลูกวัดก็ลงกุฏิไปทางท้ายโบสถ์ซึ่งชักปะรำไว้ เมื่อให้ศีลเสร็จแล้ว พวกชาวบ้านก็ถวายอาหารและถวายข้าวคาถาพัน แล้วพระก็เริ่มเทศน์มหาชาติเรื่อง “เวสสันดรชาดก” รวดเดียวติดต่อกันไปตลอดทั้ง ๑๓ กัณฑ์
เริ่มตั้งแต่รุ่งเช้าวันก่อนออกพรรษาถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งพอดีเป็นวันออกพรรษาแรม ๑ ค่ำ
อาศัยเหตุดังนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามีความจำแม่นยำขึ้น เพราะก่อนออกพรรษาเป็นวันสำคัญดังกล่าว ข้าพเจ้าได้นัดกับเพื่อนๆไว้ว่า
จะชวนกันไปช่วยที่วัดทำบุญในคืนวันปั้นข้าวคาถาพัน เพื่อนจะไปปลุกข้าพเจ้าที่บ้านในคืนนั้น
ตามธรรมดา
เมื่อข้าพเจ้ารับประทานอาหารเสร็จในตอนค่ำแล้ว มักออกเดินเล่นเป็นประจำเสมอ เริ่มเดินจากถนนสาทรฝั่งใต้ ผ่านโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ถึงโรงสีคุณชม แล้วจึงกลับบ้าน ในสมัยนั้นถนนสาทรฝั่งใต้ ริมทางมีแต่นาข้าวเป็นส่วนมาก มีบ้านเรือนราษฎรเล็กน้อยห่างๆกัน ส่วนทางฝั่งเหนือก็มีป่าต้นกระถิน ฉะนั้น หลังโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ออกไป เมื่อพ้นฤดูทำนาจึงกลายเป็นทุ่งกว้าง จะมีบ้างเล็กน้อยที่เป็นไร่ผักของชาวจีน ซึ่งเช่าที่ของชาวบ้านยกร่องปลูกผัก เมื่อถ้าเรียกว่าถนนสาทร ไม่ใคร่มีใครรู้จักแม้กระทั่งจีนลากรถ เพราะส่วนมากเรียกกันว่า “คลองเจ้าสัวยม”
ค่ำวันนั้น
ข้าพเจ้าได้ออกไปเดินเล่นตามปรกติ
แต่ใจยังมุ่งและเป็นห่วงถึงการจะไปทำบุญที่วัด และกำหนดนัดเพื่อนไว้ว่าให้ไปตามที่บ้าน จึงได้รีบกลับเข้านอนแต่หัวค่ำ
ครั้งแล้วในความรู้สึกของข้าพเจ้าก็เลื่อนลอยเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ เพราะปรากฏว่าสถานที่ที่ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ ณ
ที่ใด ตำบลใด ทั้งที่แสงเดือนในคืนขึ้น ๑๔ ค่ำ แจ่มจำรัสอยู่กลางฟ้า ข้าพเจ้าพยายามเหลียวมองสังเกตไปรอบๆบริเวณ
ก็ยังนึกไม่ออกอยู่นั่นเองว่าตนเองอยู่ที่ไหน
จะว่าเป็นทุ่งหลังโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ก็ไม่ใช่
ขณะนั้นอากาศค่อนข้างเย็น
ภูมิประเทศเบื้องหน้าเป็นทุ่งไกลสุดลูกหูลูกตา ข้าพเจ้ากำลังเดินเลาะอยู่ชายทุ่งด้านหนึ่ง
นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าหลงเข้าไปอยู่ที่ตำบลใด เป็นแต่รู้สึกตัวว่าได้หลงทางเสียแล้ว
ครั้งจะเที่ยวถามใครก็ไม่เห็นมีผู้คนเดินผ่านมาเลย จึงตัดสินใจออกเดินเลียบชายทุ่งไป
ซึ่งอีกด้านหนึ่งเป็นละเมาะไม้ไม่มีบ้านคนเช่นกัน ข้าพเจ้าเดินอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานโข กระทั่งถึงหัวโค้งที่ชายละเมาะยื่นออกมา
พอเลี้ยวหัวโค้งไปเล็กน้อย
มองไปเบื้องหน้าแลเห็นแสงไฟวอมแวมเป็นจุดข้างหน้าไกลออกไป ข้าพเจ้า
ดีใจ เพราะที่นั่นแสดงว่าต้องเป็นบ้านคน จึงรีบสาวเท่าเพื่อให้ถึงเร็วๆ
อีกครู่หนึ่งก็ใกล้เข้าไปจนได้ยินเสียงขูดมะพร้าวและตำน้ำพริก
เมื่อถึงหน้าบ้านนั้น สังเกตได้ว่าเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวในชนบท มีควายอยู่ใต้ถุนเรือน จะเป็นกี่ตัวมองไม่ค่อยถนัด หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ แผ่เงามืดครึ้มไปเกือบทั่วลานดินหน้าบ้าน บนเรือนจุดตะเกียงซึ่งไม่ค่อยสว่างนัก มีควันตลบ
ดูเหมือนจะเป็นตะเกียงลานซึ่งลานเสียใช้ไม่ได้ ตัวเรือนโล่ง ๆ
ไม่มีฝาห้องทั้งด้านหน้าและด้านข้างมองดูคล้ายศาลาวัด มีหญิงสาว ๓-๔ คน กำลังทำอาหารอยู่นอกรั้ว
ซึ่งทำด้วยไม้กระบอกผูกไว้พอเป็นเขตไม่สู้แน่นหนานัก จึงร้องถามออกไปว่า
“ขอโทษเถอะครับ ทางไปคลองเจ้าสัวยมไปทางไหน?”
เสียงผู้หญิงเหล่านั้นซุบซิบกันอยู่สักครู่
แล้วตอบลงมาว่า
“พวกฉันไม่รู้จักหรอกจ้ะนาย คลองอะไรนั่นน่ะ ฉันไม่เคยได้ยินชื่อเลย”
“นายหลงทางมาหรือ?” อีกเสียงหนึ่งร้องถามลงมา ข้าพเจ้าจึงตอบว่า
“จ้ะ
ฉันหลงทางมา อ้อ! แล้วบางรักล่ะ
ไปทางไหนจ๊ะ”
“ไม่รู้จักจ้ะ ไปทางไหน?”
“ไม่รู้จักจ๊ะ ไปทางไหน?”
ข้าพเจ้ายืนงงและอึ้งเป็นครู่ นึกแปลกใจว่า
ณ
ที่ซึ่งข้าพเจ้ายืนอยู่บัดนี้
เป็นแห่งหนตำบลใดกันแน่
ชาวบ้านที่นี่จึงไม่รู้จักบางรักและศาลาแดง ฉะนั้น
ข้าพเจ้าจึงลองถามไปอีกว่า
“ถ้างั้นรู้จักบางกอกไหม กรุงเทพฯ น่ะ
ที่นี่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือที่ไหน?”
“ไม่รู้จักจ้ะ นาย”
ข้าพเจ้าถึงกับตะลึงชั่วครู่ นี่ข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน? คนเหล่านี้เป็นใคร? อยู่ไหน? ถึงไม่รู้จักบางกอกหรือกรุงเทพฯ มันจะเป็นไปได้หรือว่า ข้าพเจ้าได้เดินทางมาจนพ้นเขตกรุงเทพฯ จนไม่มีใครรู้จัก แล้วเกิดหวาดหวั่นวิตกไปต่างๆ
เสียงหญิงสาวบนเรือนพูดปรึกษากันซุบซิบ แล้วมีเสียงร้องบอกลงมาอีกว่า
“ถ้านายหลงทางมา ค้างกับเราเสียที่นี่ก็ได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไป เราจะจัดที่พักให้ เชิญซิจ๊ะ” แล้วหญิงสาวเหล่านั้นก็หัวเราะกันคิกคัก
นิสัยของข้าพเจ้าในตอนนั้น ซึ่งอายุเพียงจะย่างวัยรุ่น เป็นคนขี้อายในเรื่องผู้หญิงอยู่มาก เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของสาวๆ
และเชื้อเชิญให้ขึ้นไปบ้านพักบนเรือนในเวลาค่ำคืนเช่นนั้น
ก็บังเกิดความกระดากอายและประหม่าจนแข้งขาสั่น แข็งใจตอบขึ้นไปว่า
“ขอบใจจ้ะ
แต่ฉันจำเป็นต้องรีบกลับบ้าน
เพราะพรุ่งนี้เช้าจะต้องไปทำบุญที่วัด
อีกประการหนึ่งผู้ปกครองทางบ้านจะเป็นห่วง”
“ค้างเสียที่นี่เถิดนาย” เสียงหญิงคนหนึ่งร้องบอกกังวานเสียงหวานและเยือกเย็น “ดึกดื่นป่านนี้อย่าเดินทางเลยจ้ะนาย มีอันตรายมาก
เราอยู่กันสี่คนพี่น้องเท่านั้น
ไม่มีคนอื่นหรอกมีแต่ผู้หญิงเท่านั้น”
ข้าพเจ้าแปลกใจอีก
ที่หญิงสาวทั้งสี่พี่น้องนี้ช่างมีชีวิตและความเป็นอยู่อย่างประหลาด ครอบครัวของหล่อนไม่มีผู้ชายอยู่ด้วยเลย จะเป็นไปได้หรือ
ที่ลำพังหญิงสาวสี่คนพี่น้องจะอาศัยอยู่ที่ปลายทุ่งกว้างอันเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้
จะหาเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงสักหลังหนึ่งก็ไม่มี หล่อนกล้าหาญชาญชัยอะไรเช่นนี้
ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังขบปัญหาอันน่าเวียนหัวอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงร้องเร่งมาอีก
“ไงล่ะจ๊ะ
เร็วๆ เข้าเถอะนาย
ขึ้นมาบนเรือนฉันก่อนไม่ต้องเกรงใจ
พรุ่งนี้เช้าจึงค่อยไป
เชื่อฉันเถิด ดึกๆ
อย่างนี้เดินทางแถวนี้ไม่ดีหรอก
ค้างเสียที่นี่แหละ”
ข้าพเจ้ายิ่งกระดากมากขึ้น บ้านมีแต่ผู้หญิงเท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ชายคนเดียวจะค้างอยู่กับผู้หญิงถึงสี่คนได้อย่างไร
ยิ่งกว่านั้นยังไม่นึกเชื่อว่าจะไม่มีผู้ชายอยู่ที่บ้านนี้เลย
ความรู้สึกของข้าพเจ้าจึงมีทั้งความกลัวและความอายระคนกัน
“ขอบใจจ้ะ
แต่ไม่…ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันจะรีบไป
ลาก่อนนะจ๊ะ” แล้วข้าพเจ้าก็รีบผละออกจากที่นั่น
คงมีเสียงร้องเรียกให้กลับไปก่อน
และเสียงวิงวอนอีกหลายคำจากหญิงสาวบนเรือน
แต่ข้าพเจ้าคงรีบเดินสาวเท้าเร่งให้พ้นหน้าบ้านนั้นโดยเร็ว
ข้าพเจ้าคงเดินดุ่มมุ่งต่อไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย
และมืดมนเต็มที
อาศัยเพียงแสงเดือนที่กระจ่างส่องทาง
ให้เห็นตอไม้และหลุ่มบ่อพอเดินมุ่งต่อไปข้างหน้าได้ มีความหวังเพียงแต่ว่าคงจะได้พบบ้านคน และถามถึงหนทางกลับบ้านเท่านั้น คิดว่ามีปากอยู่กับตัวไม่ต้องกลัวหลงทาง
เมื่อเข้าไปใกล้พอเห็นได้ถนัด นึกแปลกใจอยู่บ้าง มีคนเหล่านั้นคลุมศีรษะเสียเกือบมิดหมดทุกคน เหมือนหนาวหนักหนา ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าเหลียวมองรอบ ๆ
ไม่เห็นมีวัวความผูกอยู่เลย
จึงนึกหวาดระแวงไปว่า
พวกนี้อาจเป็นโจรคอยปล้นสะดมก็ได้
แต่ขณะนั้น
ขณะที่ความคิดของข้าพเจ้ากำลังสับสนอึงอลด้วยปัญหา และความสงสัยระแวงใจต่างๆ
พร้อมกับเท้าซึ่งเดินเรื่อยใกล้หมู่คนในยามวิกาลเหล่านั้นเข้าไปอีกประมานสัก
๑๐ ก้าว
ก็ถึงข้างหลังของคนพวกนั้นคนหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็ต้องหยุดชะงักด้วยความสะดุ้งเกิดหวาดไปเอง
ก็พอดีกับร่างที่หันหลังอยู่นั้นเหลียวมามองข้าพเจ้า คุณพระช่วย!
ข้าพเจ้าแทบล้มสิ้นสติอยู่ตรงนั้น
ด้วยความตกใจสุดขีด
เพราะร่างที่หันมามองพร้อมเปิดผ้าคลุมหัวออก นั่นมันหัวกะโหลกผีชัดๆ นัยน์ตากลวงลึก ข้าพเจ้าถอยหลังกรูด
ยังเห็นปีศาจนั้นยื่นมือมีแต่กระดูกขาวโพลน กวักมือเรียกให้ข้าพเจ้าเข้าไปร่วมวงด้วย ความกลัวเข้าสิงหัวใจข้าพเจ้า อย่างไม่มีอะไรหักห้ามได้ ขนลุกซู่
เลือดในกายชาเย็น ขณะนี้
ความคิดของข้าพเจ้าทั้งหมดมีแต่ความหวาดกลัว ติดแต่จะหนี
หนี หนีไปให้พ้นโดยเร็วที่สุด ความคิดบอกกับตนเองว่า นั่นคือ
“ผี” ซึ่งจะต้องหนีไปให้เร็วที่สุดที่จะเร็วได้
แล้วข้าพเจ้าก็หันหลังออกวิ่งไปอย่างสุดฝีเท้า วิ่งไม่คิดชีวิต วิ่งไปอย่างไม่มีจุดหมาย จะไปถึงแห่งหนตำบลใดก็แล้วแต่ ข้าพเจ้าวิ่งไปเพื่อหนีให้พ้นปีศาจร้ายเท่านั้น
แต่ข้าพเจ้ายังได้ยินเสียงกังวานตามเบื้องหลัง
มีทั้งเสียงกรีดแหลมและโหยหวนมีกังวานเยือกเย็นจับใจ เคล้าระดมกับเสียงร้องเพลง มีสำเนียงต่ำๆเป็นจังหวะฟังแล้วขนหัวลุก แต่อดเหลียวไปมองไม่ได้
แล้วข้าพเจ้าก็ต้องตกใจขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
เพราะปีศาจที่เห็นอยู่เมื่อแรก ๖-๗ ตัวนั้น
บัดนี้เพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบ ๆ ตัว
และพากันกวดไล่หลังข้าพเจ้ามาในระยะกระชั้นชิด ข้าพเจ้าเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกด้วยความตกใจ แต่เมื่อเหลียวไปดู คุณพระช่วย! มันเพิ่มขึ้นอีกแล้วมีจำนวนเป็นร้อยๆฝูง เพียงแต่มันโคลงตัวซ้ายทีขวาทีเข้ากับจังหวะเพลงเสียงต่ำๆ
แต่ดูมันกระชั้นชิดเข้ามาทุกที
ทั้งที่ข้าพเจ้าได้วิ่งสุดฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต
เหลียวไปครั้งไร
เจ้าพวกผีเฝ้าทุ่งเหล่านั้นก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น จากร้อยเป็นพันแล้วก็เป็นจำนวนหมื่น ซ้ำยังกระชั้นชิดเข้ามาตลอดเวลา ข้าพเจ้ายังคงวิ่ง วิ่งต่อไปข้างหน้าด้วยความหมดหวัง หากเท้ายังทำหน้าที่ต่อไป เพราะความกลัวเท่านั้น ข้าพเจ้าคิดว่าปีศาจเหล่านี้คงเป็นปีศาจทหารโบราณ ณ
ท้องทุ่งแห่งนี้คงเคยเป็นสนามรบมาก่อน
และเกิดการรบราฆ่าฟันกันมาแล้วอย่างนองเลือด มีนักรบเสียชีวิตไปมากมาย ล้มตายลงในขณะที่ได้รับบาดเจ็บและโกรธแค้น ฉะนั้น
วิญญาณทั้งหลายจึงมีแต่ความพยาบาทและดุร้าย
ขณะนี้
ข้าเพจ้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเกือบจะก้าวขาไม่ออกอยู่แล้วมันหนักอึ้งไปหมด และนึกทอดอาลัยว่าหากหมดกำลังล้มลง ข้าพเจ้าจะหลับตานิ่งฟุบหน้าลงกับพื้นดิน
ไม่ยอมลืมตามองสารรูปอันน่าขนพองสยองเกล้าเหล่านั้นเลยเป็นอันขาด จะเป็นตายร้ายดีอย่าไรก็ปล่อยไปตามยถากรรม
ทันใดนั้นเอง
สายตาที่ทอดออกไปเบื้องหน้าก็เห็นตาลใหญ่ ๓ ต้นอยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้าเกิดกำลังใจขึ้นอีก
แม้จะเป็นความหวังที่ออกจะเลือนรางอยู่บ้าง แต่เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ ข้าพเจ้าจึงรวบรวมกำลังเป็นครั้งสุดท้าย แข็งใจตรงไปที่ต้นตาล ๓ ต้นนั้น คิดว่าพอถึงก็จะรีบปีนขึ้นไป
แต่ขณะที่ใกล้เข้าไปจะถึงนั้นเอง
จึงเห็นว่ามีม้าตัวหนึ่งยืนเล็มหญ้าอยู่ใต้ต้นตาล ผูกเครื่องอานเรียบร้อย ความคิดที่จะหนีขึ้นต้นตาลเป็นอันเลิกล้ม แต่จะใช้ม้าตัวนี้ควบต่อไป
ด้วยความกลัวพอถึงข้าพเจ้าก็เผ่นขึ้นนั่งบนหลัง เพราะปรากฏว่าม้าตัวนั้นไม่ได้ล่ามไว้ จึงกระตุกบังเหียนให้ออกวิ่ง แต่ม้าเจ้ากรรมตัวนั้นกลับผงกหน้า หันซ้ายหันขวาเหมือนมันกำลังตื่นตกใจ และไม่ยอมออกวิ่ง เมื่อข้าพเจ้าเหลียวไปดู ตายแล้ว!
ฝูงปีศาจเหล่านั้นใกล้เข้ามาจนเกือบจะถึงตัว มองเห็นดวงหน้าของมัน
ซึ่งเป็นหัวกะโหลกนัยน์ตากลวงลึกโบ๋ได้ถนัด ซ้ำเอื้อมมือที่มีแต่กระดูกมากระชากตัวข้าพเจ้าอย่างหวุดหวิด เป็นการจวนตัวอีกครั้งหนึ่ง ได้แต่เอี้ยวตัวหลบไปหลบมา เพื่อมิให้มือของปีศาจนั้นถูกต้องตัวได้
นึกเสียใจอยู่บ้างที่ไม่ควรยึดเอาม้าตัวนี้เป็นที่พึ่งเลย ระแวงไปว่า
ฝูงผีเหล่านี้จะแกล้งเอาม้ามาล่อดักหน้าข้าพเจ้าไว้
และขณะที่ข้าพเจ้าขยับจะเผ่นลงจากหลังม้าวิ่งหนีนั่นเอง มือก็ไปถูกไม้เรียวที่เหน็บอยู่ข้างอาน แล้วสมองก็สั่งงานไปโดยไม่ต้องใช้ความคิด กระชากไม้เรียวออกมาหวดแรงๆที่ท้ายม้า มันก็เผ่นทะยานพุ่งออกไปข้างหน้าปานพายุ ซึ่งพอดีกับพวกปีศาจเหล่านั้นถลันเข้ามาถึง เป็นการพ้นไปอย่างหวุดหวิดที่สุด ข้าพเจ้าควบม้าออกไปอย่างเต็มฝีเท้า
อีกสักครู่
เมื่อเหลียวกลับไปข้างหลัง
ข้าพเจ้าตกใจแทบสิ้นแรงหล่นจากหลังม้า
เพราะเจ้าฝูงปีศาจเหล่านั้นยังคงไล่กระชั้นชิดเข้ามาเช่นเดิม ไม่ห่างจากตัวข้าพเจ้าเท่าไรนัก หนำซ้ำดูจำนวนของพวกมันจะยิ่งมากขึ้นไปอีก เห็นเต็มทุ่งไปหมด
ที่ร้ายก็คือมันออกวิ่งไล่กวดหลังมาอย่างไม่ลดละ แต่ละตนถือดุ้นฟืนเป็นอาวุธ บางตนก็ถือคบไฟมีไฟลุกโพลงอยู่
เสียงที่ไล่มานั้นดังกึกก้องและอึงอลอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งเสียงอู้มาดังเกิดพายุใหญ่ ทั้งที่ไม่มีลมพายุต้องกายข้าพเจ้าเลย
ข้าพเจ้าได้แต่ควบม้าต่อไปอย่างเต็มฝีเท้า เคราะห์ดีอย่างหนึ่ง ถึงหากจะเหนื่อยเมื่อยล้าเพียงไร แต่ข้าพเจ้าได้อาศัยนั่งบนหลังม้าพอผ่อนเอาแรงได้บ้าง และในขณะที่พุ่งสายตาไปเบื้องหน้านั่นเอง กำลังใจและขวัญของข้าพเจ้าดีขึ้นอีกเป็นกอง
เพราะถัดออกไปเบื้องหน้านั่นเอง เห็นวัด
มีโบสถ์และกำแพงแก้วล้อมรอบ
แสงเดือนสาดลงมาต้องกำแพงแก้วและผนังโบสถ์ขาวโพลนเห็นได้ถนัด ข้าพเจ้าดีใจและมีความหวัง ฉะนั้น จึงควบม้าตรงเข้าไปอย่างสุดฝีเท้า ข้างหลังยังมีฝูงปีศาจตามมาอย่างไม่ลดละ
เมื่อม้าข้าพเจ้าไปถึงข้างในโบสถ์นั้น เห็นหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ มีแสงไฟลอดมาสลัวๆ ข้าพเจ้าจึงชักม้ากระโดดข้ามกำแพงแก้วเตี้ยๆนั้นเข้าไปจนถึงหน้าต่างที่เปิดอยู่ แล้วขึ้นยืนบนหลังม้า โดยจับขอบโบสถ์โหนตัวขึ้นไป
แล้วโดดเข้าข้างในทันที
รีบปิดหน้าต่างเสียจัดแจงลงสลักกลอนไว้
พอหันกลับมาก็เห็นพระภิกษุองค์หนึ่ง
กำลังนั่งสมาธิหลับตาเข้าฌานนิ่งอยู่
เบื้องหน้ามีเทียนจุดอยู่เล่มหนึ่ง
ด้วยแสงไฟจากเทียนเล่มนี้เอง
ที่ข้าพเจ้ามองเห็นจากหน้าต่างโบสถ์เมื่อแรก
ด้วยความหวาดกลัวฝูงปีศาจ กับความดีใจที่ได้มาพบที่พึ่งเข้าโดยบังเอิญ ข้าพเจ้าไม่ทันคิดถึงสิ่งใด
ข้าพเจ้าก็กรากเข้ากอดเอวท่านไว้พยายามเอาศีรษะซุกเข้าไปในจีวรของท่าน
“หลวงพ่อช่วยผมด้วย ผีมันไล่มา
หลวงพ่อช่วยผมด้วยครับ”
รู้สึกท่านยังนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก แต่ภายนอกนั้นเสียงฝูงปีศาจร้ายยังกู่ร้อง และกรีดเสียงเยือกเย็นรายล้อมโบสถ์ไว้โดยรอบ ข้าพเจ้ายิ่งเบียดตัวเข้าชิดหลวงพ่อ
และพยายามซุกศีรษะจนซบลงบนตักท่านด้วยความกลัว แม้ว่าศีรษะจะมุดอยู่ในจีวรของท่านแล้ว
แต่ใจนึกจะมุดเข้าไปให้จีวรหลวงพ่อคลุมจนมิดตัว ปากก็พร่ำวิงวอนขอให้ท่านช่วย และบอกว่า ฝูงผีมันไล่ติดตามมาจะคร่าตัวไปให้ได้
“นิ่งๆเถอะลูก สงบสติอารมณ์เสียให้ดี หลวงพ่อรู้แล้ว” ท่านพูดเรียบๆฟังชัดเจน “เจ้าไม่ต้องกลัว หลวงพ่อจะช่วย
ออกมานั่งดีๆเถอะ”
ข้าพเจ้าค่อยใจชื้นและคลายความหวาดกลัวลงบ้าง จึงคลานมานั่งตรงหน้าท่าน แล้วข้าพเจ้าก็ต้องตะลึงงันไปชั่วครู่
เพราะพระภิกษุองค์นั้นเมื่อมองเห็นหน้าถนัดแล้ว ไม่ใช้ใคร คือ “ท่านใหญ่” นั่นเอง
ข้าพเจ้าก้มลงกราบท่านด้วยความเคารพและดีใจยิ่งนัก ที่ได้พบท่านในยามคับขันเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจก็คือ ท่านใหญ่พูดภาษาไทยได้ชัดเจน ไม่มีสำเนียงแปร่งหรือเพี้ยนเลย ซึ่งโดยปกติถ้ามีคนไทยไปหาที่กุฏิ จะต้องมีล่ามทวายแปลเป็นไทยอีกทอดหนึ่ง
เพราะท่านพูดแต่ภาษาทวายเท่านั้น
“หลวงพ่อช่วยผมด้วย ขอให้ผมค้างในโบสถ์ด้วยคน สว่างผมจึงจะกลับไป กลัวเหลือเกิน”
ท่านยิ้มๆอย่างอารมณ์เยือกเย็น “เจ้าอยู่ในโบสถ์ถึงสว่างไม่ได้หรอกลูก
เพราะเจ้าจะต้องไปถวายข้าวคาถาพันที่วัดย่ำรุ่งพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ?” ท่านนิ่งมองดูข้าพเจ้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “นี่แน่ะ! เจ้าจงจำคำหลวงพ่อไว้ให้ดีเถิด คนเราน่ะ
ต่อให้มีข้าทาสหญิงชายและพ่อแม่พี่น้อง
แม้ที่สุดจะมั่งมีมหาศาล มีมิตรสหายและบริวารแวดล้อมอยู่ก็ตาม เมื่อถึงคราวคับขันมีภัยบังเกิดขึ้น จะไม่มีใครช่วยเราได้อย่างแท้จริงหรอก นอกจากความดีและกุศลของเราที่สร้างไว้เท่านั้น ที่จะช่วยตัวเราได้อย่างเที่ยงแท้แน่นอน ฉะนั้น
จงอุตส่าห์สร้างสมแต่ความดีเอาไว้เมื่อคราวคับขัน
บารมีแห่งกุศลและคุณความดีนั้นจะช่วยตัวเราเอง”
ข้าพเจ้ากราบลงด้วยใจเคารพ “ใช่ครับหลวงพ่อ
แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครแม้แต่พ่อแม่พี่น้องสักคน ที่จะรู้เห็นและช่วยผมได้ เห็นแต่หลวงพ่อองค์เดียวเป็นที่พึ่ง ผมจะต้องไปทำบุญที่วัดตอนย่ำรุ่งให้ได้ หลวงพ่อช่วยไปส่งผมด้วย ผมกลัวผีเหลือเกิน มันยกพวกมาคอยดักอยู่ข้างนอกโบสถ์ กรุณาผมด้วยเถิดครับหลวงพ่อ”
“หลวงพ่อไปส่งเจ้าไม่ได้หรอก แต่ไม่ต้องกลัว หลวงพ่อจะให้ของไปคุ้มครองตัว” ท่านปลอบข้าพเจ้าน้ำเสียงอ่อนโยนมีเมตตาเช่นผู้ทรงศีล
ข้าพเจ้าจึงนึกดีใจเพราะเชื่อมั่นในของวิเศษและแก่กล้าด้วยอาคมขลัง ซึ่งทราบในกิตติศัพท์มานานแล้วว่า ท่านใหญ่มีของดีแต่ท่านไม่ค่อยจะให้ใครง่ายๆ
เมื่อลั่นวาจาเช่นนี้
จึงทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจดีขึ้นมากมาย
“ถ้างั้น
หลวงพ่อให้ผมเดี๋ยวนี้เถิดครับ”
“เออน่ะ!
ไม่ต้องร้อนใจหรอก” ท่านรับคำยิ้ม ๆ แล้วยกมือลูบศีรษะข้าพเจ้า บอกให้ก้มหัวลงที่หน้าตักของท่าน แล้วท่านเอาด้ายมงคลสวมศีรษะ บริกรรมคาถาเป่าลงบนศีรษะอีกสามครั้ง ในฉับพลันนั้นเอง
เหมือนมีปาฏิหาริย์ดลบันดาลให้ข้าพเจ้าเกิดกำลังใจขึ้นอย่างน่าประหลาด ความหวาดกลัวต่อพวกผีปีศาจสูญหายไป ไม่มีความขลาดเหลืออยู่ในหัวใจอีกเลย เมื่อข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมองท่าน เห็นยังหลับตาบริกรรมคาถา แล้วเป่าลงตามร่างกายของข้าพเจ้า
เมื่อเสร็จแล้วจึงก้มกราบท่านและถามว่า “หลวงพ่อครับ ผมหลงทางมาจำไม่ได้เลย แล้วจะกลับบ้านได้อย่างไร”
“ไม่เป็นไรลูก หลวงพ่อจะช่วยให้เจ้ากลับจนได้” แล้วท่านใหญ่ก็ควานมือไปข้างตัวท่าน หยิบดาบส่งให้ข้าพเจ้าเล่มหนึ่ง บอกให้เอาไปป้องกันตัว ข้าพเจ้ารับดาบจากมือท่าน รู้สึกว่าเบาผิดปรกติ เมื่อพิจารณาดูจึงรู้ว่า เป็นดาบที่ทำด้วยไม้ นึกในใจว่านี่คงเป็นดาบเล่นลิเก
ท่านคงเดาใจข้าพเจ้าถูก จึงบอกว่า “นี่เป็นดาบไม้ ซึ่งได้ลงอักขระเลขยันต์ประจุอาคม ไว้ใช้ปราบปรามภูตผีปีศาจสารพัด เจ้าอย่าสงสัยเลย”
เมื่อข้าพเจ้าพิจารณาดูอีกครั้งหนึ่งโดยละเอียด ก็เห็นมีอักขระเลขยันต์ลงไว้ตลอดเล่มดาบ จึงแน่ใจว่าเป็นของดีมีอาคมขลัง และในที่สุดท่านได้แนะนำให้ใช้ดาบนั้นชี้ไปรอบๆทิศ หากเห็นแสงสว่างมาทางทิศไหน จงมุ่งไปทางนั้น จะถึงบ้านโดยปลอดภัย
“จงรีบกลับไปเสียเถอะลูก ม้าของเจ้ายังคอยอยู่ที่หน้าต่างข้างโบสถ์” ท่านกล่าวขึ้นในที่สุด
ข้าพเจ้าก้มกราบนมัสการท่าน บัดนี้
รู้สึกว่าจิตใจของข้าพเจ้าห้าวหาญ
ไม่หวาดกลัวฝูงปีศาจเหล่านั้นเลย
จึงเดินตรงไปเปิดหน้าต่างโบสถ์
แล้วเหลียวมามองท่านใหญ่
เห็นหลับตานิ่งเข้าสมาธิต่อไป
เสียงม้าร้องอย่างคึกคะนองและดีใจ
ข้าพเจ้าจึงยกดาบขึ้นประนมมือจบเหนือศีรษะ ระลึกถึงหลวงพ่อผู้มีพระคุณ
อธิษฐานขอคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองให้รอดพ้นอันตราย แล้วฟาดดาบชี้ไปโดยรอบ ทันใดนั้นทางเบื้องซ้ายมือของข้าพเจ้า ปรากฏแสงฟ้าแลบแปลบปลาบสว่าง ลั่นเปรี้ยงซ้อนๆกันแล้วครางครืนเหมือนฟ้าจะถล่ม ฝูงปีศาจเหล่านั้นล้มระเนระนาด ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว
ข้าพเจ้าจึงเตือนม้าโผนออกวิ่งไปทิศทางนั้น ซึ่งพวกผีล้มระเนระนาดอยู่
พวกมันที่ยังเหลือพากันรุมล้อมเข้ามา ข้าพเจ้าจึงฟาดดาบฟันกราดเข้าไป พร้อมกับควบม้าตะลุยไปอย่างไม่ยั้ง ปีศาจเหล่านั้นล้มกระจัดกระจายไปคนละทางสองทาง ส่งเสียงโอดครวญเหมือนแสนเจ็บปวดทรมาน
ข้าพเจ้ายังฟันดาบกระหน่ำอย่างไม่หยุดมือ เห็นพวกมันวิ่งหนีกระจัดกระจาย บางตัวที่อยู่ในระยะใกล้ชิดก็หัวขาด ล้มกลิ้งร้องโอดครวญเสียงเยือกเย็น ดิ้นทุรนทุรายอยู่ครู่หนึ่ง พอแขนขาติดกันได้อย่างเดิม ก็ลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
ข้าพเจ้าคงบุกทะลวงไปข้างหน้า
สังเกตได้ว่าพวกปีศาจเหล่านั้นมันหวาดกลัวมาก เพราะอานุภาพของดาบศักดิ์สิทธิ์มหาศาล เมื่อฟาดไปทางใด
ปีศาจที่อยู่ในรัศมีร่างกายขาดกระจุยกระจาย ที่ห่างไปหน่อยก็กระเด็นล้มลุกคลุกคลาน ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะนี้ไม่มีปีศาจกลุ่มใดกล้าเข้าขวางหน้าอีกแล้ว
ต่างพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงหายไปในท่ามกลางแสงเดือนขมุกขมัว
อีกสักครู่เดียว
ท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ก็แลโล่งปราศจากภูตผีตนใดมาสำแดงร่างให้เห็นอีก ได้ยินแต่เสียโหยไห้เยือกเย็นแว่วอยู่ไกลๆ
และค่อยห่างออกไปทุกที จนกระทั่งเงียบสูญไป ขณะนี้ทุ่งนาอันกว้างใหญ่ไพศาลก็เงียบสงัด
มีแต่เสียงฝีเท้าม้าที่ข้าพเจ้าขี่ดังระทึกไปตลอดทาง ม้าซึ่งได้มาโดยบังเอิญและค่อนข้างจะเป็นม้ารู้ พาควบตะบึงไปอีกพัดเดียว ก็ถึงต้นตาล ๓ ต้น เมื่อแรกที่ม้ายืนเล็มหญ้าอยู่ ข้าพเจ้าระลึกถึงคุณม้าที่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ได้ จึงตบแผงคอเบาๆพูดกับมันว่า เจ้ามีบุญคุณแก่เรามาก เราจะรำลึกอยู่ไม่ลืมเลย
แต่ขอให้เจ้าทำบุญและเมตตากับเราอีกครั้งเถิด ช่วยพาเราไปส่งถึงบ้านด้วย
น่าประหลาดที่ม้านั้นทำกริยาเหมือนรู้ภาษาคน ผงกหน้าผงกหลัง แล้วซอยเท้าควบลิ่วมุ่งไปยังขอบฟ้าที่มีแสงสว่างเรืองรอง
ชั่วอึดใจเดียวก็มองเห็นกองไฟ มีคนนั่งล้อมรอบอยู่ พอเข้าไปใกล้
ข้าพเจ้าเห็นถนัดและจำได้ว่า
มันคือพวกปีศาจที่ข้าพเจ้าพบครั้งแรก
และพวกมันไล่กวดจะเอาชีวิตข้าพเจ้า
ฉะนั้น จะต้องแก้มือกำราบให้มันสำนึกตัวเสียบ้าง ข้าพเจ้ากระชับดาบในมือแน่นแล้วกระตุ้นม้าโผนเข้าใส่ แต่พวกปีศาจทั้ง ๗ ตนนั้นกลับออกวิ่งหนี ข้าพเจ้าจึงกวดตามไปพอเข้าใกล้ได้ระยะช่วงดาบ คิดจะฟันให้ขาดกระจุย แต่ทันใดนั้นมันทั้ง ๗
กลับคุกเข่าลงหมอบนิ่งกับพื้นดิน
ด้วยกิริยายอมแพ้อย่างราบคาบ
นึกสงสารจึงลดดาบลง พูดกับมันว่า
“เจ้าไล่กวดทำร้ายจะเอาชีวิตข้าก่อน แต่ทีนี้เป็นคราวของเจ้าบ้างละ”
“ได้โปรดกรุณาเถิด อย่าทำร้ายข้าเลย
พวกข้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในทุ่งนี้มานานนักแล้ว”
ข้าพเจ้าแปลกใจที่ปีศาจพวกนี้พูดได้ จึงบอกกับมันว่า “แต่พวกเจ้าไม่ควรหลอกหลอน ทำร้ายแก่คนที่หลงทางมาในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ คอยให้ความช่วยเหลือยังจะเป็นกุศลแก่เจ้าบ้าง”
“ข้าขอสัญญาแก่ท่านว่า
ต่อไปนี้ถ้าผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่านมาทางนี้ พวกข้าจะไม่ทำอันตรายเลย แต่ถ้าเป็นพวกใจบาปหยาบช้าไม่มีศีลสัตย์ พวกข้าจะคอยหลอกหลอนทำร้าย” ปีศาจตนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ก็พวกเจ้าจะเว้นทำอันตรายแก่มนุษย์ทั้งหมดไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้”
“แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ที่พวกเจ้าคอยทำอันตรายมนุษย์”
พวกปีศาจเหล่านั้นคุกเข่าก้มหน้านิ่งเฉยอยู่ ข้าพเจ้าถามซ้ำไปอีกหลายคำ แต่ปีศาจทั้ง ๗ ยังคงนิ่งอิดเอื้อนไม่ยอมตอบอะไรทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจึงแกล้งตะคอก
“บอกมาซิว่า
เจ้าคอยทำอันตรายมนุษย์เพื่อประโยชน์อะไรกัน บอกมานะ
ถ้าไม่บอกข้าจะฟันเจ้าเดี๋ยวนี้”
แล้วข้าพเจ้าก็เงื้อดาบขึ้นทำท่าจะฟัน เสียงมันร้องโอยด้วยความกลัว แล้วประนมมือไหว้
“โอย
กลัวแล้ว อย่าฟันเลยจะบอกให้เดี๋ยวนี้แล้ว”
“บอกมาเร็ว” ข้าพเจ้าแกล้วขู่ “เจ้าทำร้ายเพื่ออะไร”
“กิน” เสียงปีศาจตอบอย่างไม่เต็มปาก
ข้าพเจ้าอึ้งไปทันที นึกหวาดไปถึงตัวเองเมื่อครู่ใหญ่ ถ้าหากพวกมันไล่จับข้าพเจ้าได้ทัน ป่านนี้เป็นอาหารของมันไปแล้ว แต่ถึงอย่างไร
มาได้คิดเสียอย่างหนึ่งว่า
การที่จะบังคับฝืนใจจนเกินไปคงจะไม่ได้ผล
เพียงที่พวกมันให้สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายผู้มีใจบริสุทธิ์ ก็น่าจะเป็นที่น่าพอใจแล้ว จึงบอกกับมันว่า
“เออ
ตามที่เจ้าให้สัญญา
ข้าพอใจแล้ว
แต่ต้องรักษาให้มั่นคงอย่าสับปลับ
ลุกขึ้นเถิด แล้วบอกข้าหน่อยว่าทุ่งนี้ชื่อทุ่งอะไรถึงกว้างใหญ่นัก”
“ทุ่ง. . . . . . . .”
“ทุ่ง. . . . . . . .” ข้าพเจ้าทวนคำ นึกแล้วนึกอีก
แต่ยังเลือนรางไม่รู้ว่าทุ่งนี้อยู่ที่ไหน
จึงย้อนถามไป
“ทุ่งนี้อยู่ที่ไหน เมืองอะไร
ตำบลอะไร?”
“พวกข้าไม่รู้อะไรมากกว่านี้หรอก รู้แต่ทุ่งชื่อมหา. . . . . . . .เท่านั้น
ข้าพเจ้าเห็นว่าเสียเวลาอยู่นานแล้ว และคงจะไม่ได้ประโยชน์อะไรอีกในการซักถาม จึงตัดความเสียว่า
“ข้าจะต้องลาพวกเจ้าไปก่อน
แล้วอย่าลืมคำมั่นสัญญาที่ว่าจะไม่ทำร้ายมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ก็แล้วกัน”
ปีศาจทั้ง ๗ ตนลุกขึ้นเต้นอย่างดีอกดีใจ ขณะที่ข้าพเจ้าเตือนม้าออกเดิน เสียงพวกมันตะโกนพร้อมกัน
“พวกข้าไม่ลืมสัญญา ขอท่านอย่าลืมพวกข้า พวกข้าต้องทนทุกข์ทรมานมานานแล้ว ถ้าทำบุญอะไร
ขอให้นึกถึงและแผ่ส่วนกุศลให้พวกข้าบ้าง” เสียงนั้นร้องซ้ำๆอยู่หลายครั้ง จนข้าพเจ้าควบม้ามาไกลแล้ว เหลียวไปมองยังเห็นพวกปีศาจโบกมืออยู่ แล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆห่างและเงียบหายไป
พอพ้นหมู่บ้านนี้ไปแล้ว
ม้าก็ลดฝีเท้าซึ่งทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นมาก ขณะนี้ออกมาถึงปากซอยสู่ถนนใหญ่ มีต้นไม้สองข้างถนน ข้าพเจ้าดีใจเพราะจำทางได้แล้ว เมื่อดึงบังเหียนม้าให้เลี้ยวขึ้นสะพานออกมาถนนอีกสายหนึ่ง มีคลองขนานไปกับถนน อีกครู่หนึ่งก็ถึงโบสถ์วัดแขก ใกล้ ๆ นั้นเป็นร้านซักรีดของชาวญี่ปุ่นอยู่ใต้ต้นประดู่ใหญ่
ข้าพเจ้าเคยผ่านมาเห็นชายชาวญี่ปุ่นยืนรีดผ้าตั้งสูง มีผ้าขาวขวั้นเป็นเกลียวพันรอบศีรษะไว้ จำได้แน่นอนแล้ว
ต่อไปอีกจึงมองเห็นโรงพยาบาลเป็นตึกสีขาวชั้นเดียว
ตึกหลังนี้เป็นของชาวต่างประเทศผู้ใจบุญผู้หนึ่ง เป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น
ข้าพเจ้าเลี้ยวซ้ายมือออกถนนสายใหญ่ คือถนนเจริญกรุง บรรดาร้านโรงต่างๆปิดกันหมดแล้ว นอกจากที่ตรงข้ามตลาดมีโรงยาฝิ่นเห็นยังเปิดไฟสว่างอยู่
แต่ตามท้องถนนไม่มีแสงไฟเลยเพราะเดือนหงายไฟฟ้าตามถนนปิดหมด ที่หน้าโรงยาฝิ่นมีรถลากจอดอยู่ ๕ คัน
เข้าใจว่าจีนลากรถคงเข้าไปนอนสูบฝิ่นกันหมด ถัดไปอีกหน่อยถึงร้านขายโจ๊ก ณ ที่นี้
เป็นครั้งแรกในคืนนี้ ที่ข้าพเจ้าได้แลเห็นมนุษย์จริงๆ
รับประทานบ่อยๆ กับคนไทยรูปร่างเล็กๆผอมดำ
นุ่งโสร่งสีแดงตาขาวเก่า ๆ สวมเสื้อขาวคร่ำคร่ากำลังยืนโต้เถียงกัน
“กูให้แล้ว
ไอ้ห่ะ!
มึงจะมาเอาอะไรกับกูอีก
ทั้งเนื้อทั้งตัวกูมีสิบสตางค์เท่านั้น
แล้วจะเอาที่ไหนมาให้มึง”
“คนอะไรกินแล้วไม่ให้” เสียงเจ๊กอ้วนขายโจ๊กบ่นเอ็ดอึง “เดินไปเฉยๆ บอกว่า ให้แล้ว
ฉิบหาย”
ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
คงขี่ม้าผ่านไปจนถึงร้านขายน้ำชาจีนซึ่งอยู่ถัดมา เป็นร้านเปิดขายคืนยังรุ่งอีกร้านหนึ่ง ที่หน้าร้านมีรถลากจอดอยู่ ๕ คันเหมือนกัน คันริมสุดมีจีนลากรถเจ้าของขดตัวหลับอย่างสบาย โดยนั่งอยู่ที่ที่วางเท้าผู้โดยสาร เอาศีรษะพิงริมเบาะนั่ง กอดอกคู้ตัวหลับอย่างสบาย ส่วนอีก ๔ คัน
กำลังนั่งซดน้ำชาคุยกันเสียงสนั่น
จากนั้นข้าพเจ้าก็ข้ามสะพานปากถนนสาทร
พบรถขนอุจจาระเป็นรถตู้แบบใช้คนลากหลายคัน
บางคันจอดอยู่ริมถนน
คนลากยังเข้าไปเปลี่ยนถังตามบ้าน
และได้ทิ้งถังเรียงรายอยู่ข้างถนนส่งกลิ่นตลบอบอวล
ข้าพเจ้าจึงรีบขี่ม้าผ่านกลิ่นเหม็นปฏิกูลเหล่านี้ไปเสียโดยเร็ว ถัดไปถึงซอยเข้าบ้าน
และบ้านข้าพเจ้าอยู่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ไม่ไกลนัก เมื่อเข้าซอยถึงบ้าน ข้าพเจ้าลงจากหลังม้า
ที่บ้านเห็นปิดประตูนอนกันหมดแล้ว ตามธรรมดาเมื่อข้าพเจ้ากลับบ้านดึกผิดเวลา มารดาของข้าพเจ้าจะนั่งคอยเปิดประตู ไม่ยอมหลับนอน
แล้วท่านก็จะบ่นว่าที่ไปเที่ยวดึกๆ
ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยโต้เถียงเลยจนคำเดียว
และบางครั้งข้าพเจ้าหลับไปแล้วตื่นขึ้นมายังได้ยินท่านบ่นอยู่อีก แต่คืนนี้แปลกที่คุณแม่ไม่คอยเปิดประตูรับ นอนหลับกันเงียบหมดทั้งบ้าน ครั้งจะร้องเรียกก็นึกเกรงใจคนอื่นๆ
ข้าพเจ้ามองไปตรงหน้าต่างห้องนอนของข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ชั้นบนหน้าต่างเปิดอยู่ จึงปีนขึ้นไปทางหน้าต่าง ขณะที่ปีนขึ้นไปนั้นรู้สึกว่าตัวเบาปีนได้คล่องแคล่ว พอเอื้อมมือจับขอบหน้าต่างได้
ข้าพเจ้าก็โหนตัวขึ้นไปนั่งบนขอบหน้าต่างจะก้าวลงในห้อง ทันทีนั้นเอง
ศีรษะก็กระแทกเข้ากับขอบหน้าต่างบนเต็มแรง
มงคลและดาบตกลงไปข้างล่างทันที
เมื่อเหลียวมองลงไปก็เห็นม้าที่มาส่งข้าพเจ้า ร้องเสียงก้องเหมือนจะบอกลา แล้วออกวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม ข้าพเจ้าใจหายนึกเสียดายเหลือเกิน
เมื่อหันเข้ามาในห้องเห็นเตียงนอนของข้าพเจ้าเอามุ่งลงเรียบร้อยแล้ว
เสียงบิดาของข้าพเจ้าซึ่งนอนอยู่ห้องถัดไปกรนอย่างหลับสนิท ข้าพเจ้าจึงย่องไปขึ้นนอนเตียง
เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าออกไปพบกับเพื่อนทั้งสองที่ยืนคอยอยู่หน้าบ้าน
เพื่อนคนหนึ่งบอกว่านาฬิกาเพิ่งตีสองเท่านั้น ไปรับประทานโจ๊กที่ตลาดเสียก่อนก็ทันถมไป เมื่อตกลงกันแล้วเราทั้งสามก็พากันมุ่งไปที่ตลาด กระทั่งมาถึงร้านน้ำชา
ข้าพเจ้าต้องตกตะลึงเพราะทุกสิ่งทุกอย่างในภาพฝัน ได้ปรากฏเป็นภาพในสายตาของข้าพเจ้า บัดนี้
รถลาก ๕ คันยังจอดในที่ของมัน
คันริมสุดจีนลากรถขดตัวนอนอยู่ในท่าเดิม
อีก ๔ คนก็ยังนั่งคุยกันฟุ้งอยู่ที่โต๊ะ
ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากภาพฝันเลย
ข้าพเจ้าสงสัยอย่างยิ่ง
อยากจะเล่าให้เพื่อนทั้งสองฟัง
แต่เกรงจะไม่เชื่อ
จำต้องนิ่งฉงนใจอยู่คนเดียว
เมื่อเข้าไปในร้านเจ๊กอ้วนขายโจ๊กแล้ว เราตรงไปนั่งที่โต๊ะหนึ่ง ซึ่งอีกสองโต๊ะมีคนนั่งกินอยู่แล้ว เราสั่งโจ๊กใส่ไข่ ๓ ชาม ข้าพเจ้าถือโอกาสเดินเข้าไปหาเจ๊กอ้วน
ซึ่งกำลังหยิบเครื่องในใส่อวยทองเหลืองขึ้นตั้งเตาไฟ แล้วถามว่า
“นี่เฮีย!
เมื่อสักครู่มีคนไทยนุ่งโสร่งสีแดงเก่า ๆ รูปร่างผอม ๆ
ท่าทางเป็นขี้ยา
มากินโจ๊กแล้วไม่ให้สตางค์ใช่ไหม?”
เจ๊กอ้วนชะงักมือที่ต่อยไข่ทันที หันมามองข้าพเจ้าอย่างสงสัย “ทำไมลื้อรู้ล่ะ”
“ก็จริงไหมล่ะ” ข้าพเจ้าถามรวบรัด เจ๊กอ้วนรู้สึกเคืองขึ้นมาอีก กล่าวบริภาษชายผู้นั้นต่อไป
“คนระยำหมา
กินแล้วเดินออกไปเฉยๆ ทวงมัน
มันบอกว่าให้แล้ว หน้าด้านฉิบหาย สิบสตางค์ก็โกง อั๊วอยากต่อยหน้าอีจัง กลัวมันตาย
ทำอย่างนี้ไม่ดีน่า คนจีนถือ เช้าๆ กินไม่ให้สตางค์ซวยทั้งวัน” เจ๊กอ้วนยังบ่นและด่าไปอีกหลายคำ แล้วหวนถามข้าพเจ้าว่า
“ทำไมลื้อรู้ เห็นเรอะ?”
ข้าพเจ้าไม่ตอบคำถาม แต่กลับตั้งคำถามต่อไปอีก
“แล้วตอนนั้น ลื้อเห็นมีคนขี่ม้ามาทางนี้หรือเปล่า?”
เจ๊กอ้วนบอกไม่มี เห็นแต่รถม้ามาส่งหมู แล้วยังเพียรซักถามข้าพเจ้าอีกว่า รู้เรื่องคนกินโจ๊กได้อย่างไร แต่ข้าพเจ้าไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้นหยิบสตางค์
๑๐ ยื่นส่งให้เจ๊กอ้วน
บอกว่าข้าพเจ้าใช้แทนคนขี้ยานั้นให้
จะได้ไม่ซวยตามที่เขาถือ
เจ๊กอ้วนยื่นมือรับสตางค์ใส่ลิ้นชักอย่างดีใจ หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ความจริงคงไม่ใยดีกับสตางค์ของข้าพเจ้าเพียงเท่านั้น แต่เป็นธรรมเนียมที่ถือเคล็ดลางของคนค้าขายเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเพื่อนทั้งสองจะซักถามข้าพเจ้า ถึงเรื่องที่คุยกับเจ๊กอ้วน แต่ข้าพเจ้าไม่อาจเล่าอะไรให้ฟังได้ เพราะแม้แต่ตัวเองยังงงงัน
เกือบไม่นึกเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ สมมติว่าผู้อื่นเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ก็ต้องหาว่าเป็นเรื่องตลกหรือมดเท็จอย่างร้ายกาจ
เราทั้ง ๓ คนไปถึงวัดเมื่อเวลา ๓ นาฬิกา
ผู้คนมากมายทั้งหญิงชายกำลังปั้นข้าวด้วยจิตศรัทธา ทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้มอิ่มเอิบ สำหรับข้าพเจ้าที่มาทำบุญครั้งนี้ รู้สึกว่าจิตใจเกิดศรัทธาผิดกว่าก่อนๆ
ซึ่งหวังไปในเรื่องสนุกสนานเสียมากกว่า เช่น ซื้อประทัดและดอกไม้เพลิงไปจุดเล่น แล้วก็ดูสาวๆ
แต่คืนนี้อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในความฝัน
ทำให้ข้าพเจ้ามีศรัทธาจริงจัง
ข้าพเจ้าปั้นข้าวด้วยความตั้งใจและปั้นเท่าอายุ ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้ายังไม่ครบบวช
เมื่อเสร็จแล้วก็ไปกราบพระพุทธและนำเงินไปติดเทียน นึกแผ่กุศลไปให้พวกปีศาจในทุ่ง………..อันลี้ลับนั้น
พอ ๔
นาฬิกาเศษ
ผู้ที่มาทำบุญก็ช่วยกันยกข้าวของไปที่ปะรำท้ายโบสถ์ และจัดเตรียมของไว้ถวายพระในตอนรุ่งอรุณ กระทั่งมีคนทางวัดมาบอกว่าเตรียมตัวได้ เพราะท่านใหญ่กำลังมาถึงแล้ว เมื่อผู้มาทำบุญร่วมทั้งข้าพเจ้าและเพื่อนไปถึงที่โบสถ์ ก็เห็นท่านใหญ่ถือตาลปัตรนำหน้าสงฆ์ลูกวัดองค์อื่นๆมา
ขณะท่านผ่านมา
ชายหญิงทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่นั่งลงยกมือไหว้ บ้างก็ก้มลงกราบด้วยความเคารพ
สำหรับข้าพเจ้านั้นเพียงได้เห็นโฉมหน้าท่านขณะนี้ รู้สึกปลื้มปีติและเลื่อมใสในตัวท่านยิ่งกว่าทุกครั้งทุกคราว แทบว่าจะเข้าไปกราบแทบเท้าท่าน
หากเกรงผู้อื่นจะครหาว่าประจบประแจงจนน่าเกลียด เมื่อท่านผ่านมาจึงเพียงแต่ไหว้ แล้วประนมมือก้มศีรษะเฉยอยู่
แต่ใจข้าพเจ้านั้นแน่วแน่เหมือนเข้าไปกราบท่านที่แทบเท้า แม้ว่าตัวจะไม่เคลื่อนไหวก็ดี
ทันใดนั้นก็มีสิ่งที่น่าประหลาดเกิดขึ้น กล่าวคือเมื่อท่านผ่านมาถึงข้าพเจ้า แทนที่ท่านจะผ่านเลยไปเหมือนคนอื่นๆ
ท่านใหญ่กลับหยุดยืนแล้วลูบศีรษะ
ข้าพเจ้าขนลุกซู่ทั้งตัว
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ประสบกับสายตาที่จ้องมองข้าพเจ้าด้วยความเมตตาปราณี ข้าพเจ้าอยากจะเดาว่ามันมีความหมายประหนึ่งว่า “ลูกเอ๋ย ถ้าหลวงพ่อไม่ช่วยเจ้าไว้ อาจไม่ได้มาทำบุญในเช้าวันนี้แน่” ท่านยิ้มกล่าวอะไรพึมพำเหมือนจะให้ศีลให้พรเป็นแน่ แล้วท่านก็เดินเลยไป
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทุกคนในที่นั้นต่างพากันพิศวงประหลาด แม้แต่เพื่อนของข้าพเจ้าเอง เพราะผู้คนในที่นั้นมากมายนับร้อยๆ
ท่านมาหยุดยืนตรงหน้าและลูบศีรษะข้าพเจ้าคนเดียว
เช้าวันนั้นเมื่อท่านให้ศีล ข้าพเจ้าทำจิตใจบริสุทธิ์และรับศีล ๘
ด้วยจิตศรัทธา
เมื่อถวายข้าวพระเสร็จไปแล้ว
พอถึงเวลากรวดน้ำ
ข้าพเจ้าตั้งจิตแน่วแน่
แล้วแผ่ส่วนกุศลอุทิศไปให้ฝูงปีศาจ
“ทุ่ง…………” โดยทั่วถึงกัน ทันใดนั้น
หูข้าพเจ้าก็แว่วไปเหมือนมีเสียงจำนวนหมื่นแซ่ซ้องร้องขึ้นพร้อมๆกันว่า “สาธุ” เสียงนั้นกึกก้องกัมปนาทจนข้าพเจ้าตกตะลึง
เมื่อเหลียวมองก็เห็นว่าทุกคนอยู่ในความสงบ อดรนทนไม่ได้จึงกระซิบถามเพื่อนว่า เมื่อกี้ได้ยินเสียงอะไรที่ผิดปกติบ้างหรือเปล่า
เพื่อนทั้งสองบอกว่าไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ซักไซ้ข้าพเจ้าเป็นการใหญ่ ซึ่งข้าพเจ้าต้องบ่ายเบี่ยงไปในทำนองว่า ข้าพเจ้าหูไม่ดีแว่วไปเอง
เรื่องทั้งปวงที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงที่ประสบมาเมื่อคืนวันปั้นข้าวคาถาพัน ทำให้ข้าพเจ้าฉงนสงสัยอยู่ตลอดมา พยายามขบคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
ที่สุดจึงต้องตัดสินใจที่จะนำเรื่องนี้ไปกราบเท้าถามท่านใหญ่ให้จงได้ ฉะนั้น เมื่อออกพรรษาได้ไม่กี่วัน ข้าพเจ้าทนนิ่งไม่ไหว ข้าพเจ้าจึงไปที่กุฏิท่าน บนกุฏิขณะนั้นมีหญิงชายชาวทวายอยู่หลายคน มีหญิงชราทวายผู้หนึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับมารดา และเอ็นดูข้าพเจ้าดี เมื่อข้าพเจ้าตรงเข้าไปกราบท่านแล้ว หญิงทวายซึ่งข้าพเจ้าเรียกแกว่าป้า
จึงถามความประสงค์ในการที่ข้าพเจ้ามาหาท่านใหญ่ ข้าพเจ้าได้โอกาส จึงเล่าความฝันผ่านหญิงชราผู้นั้น ให้เป็นล่ามบอกท่านใหญ่ อยากทราบว่าจะเป็นความจริงเพียงไร
ท่านใหญ่เรียกข้าพเจ้าเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ท่านยิ้มอย่างเมตตากรุณาแก่ข้าพเจ้า แล้วบอกผ่านล่ามหญิงทวายนั้นว่า
“สิ่งใดที่เราเชื่อก็เป็นความจริง ถ้าเราไม่เชื่อก็ไม่จริง และสิ่งที่เราจะเชื่อก็ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อน จึงจะควรเชื่อ”
จบเรื่องที่ ๑๔
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวีชัย เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)
ขอบคุณมากที่เผยแพร่ครับ
ตอบลบ