วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

กฏแห่งกรรม เรื่องที่ ๑๓

กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดย ท.เลียงพิบูลย์
เรื่องที่ ๑๓
ความดีที่เป็นมงคล




วันหนึ่ง  ข้าพเจ้ากำลังนั่งทำงาน  ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นเดือนเมษายน  มองดูนาฬิกาก็เห็นว่าใกล้เพลเข้าไปแล้ว  จึงอยากจะเร่งมือให้งานเสร็จเรียบร้อยก่อนเที่ยง  เวลาบ่ายจะได้มีเวลาพักผ่อน

   ทันใดนั้น  ข้าพเจ้าก็มองเห็นเพื่อนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหา  แต่งกายไม่ค่อยจะเรียบร้อยและดูยับเยิน  เหมือนว่าเกิดการต่อสู้  ล้มลุกคลุกคลานมาเช่นนั้น  แต่ใจนั้นคิดว่าคงจะไม่มีเหตุเช่นนั้นเกิดขึ้นแน่  เพราะเพื่อนผู้นี้เป็นคนรักสงบและมีนิสัยดี  ตั้งแต่คบกันมาข้าพเจ้าก็มองเห็นแต่ความสุภาพเรียบร้อย  จิตใจก็มีแต่ความเมตตากรุณา  คงจะมีอะไรสักอย่างหนึ่งจึงทำให้มีสภาพเช่นนี้  เรื่องการชกต่อยทะเลาะวิวาทรับรองได้ว่าคงไม่มีแน่  

   เมื่อข้าพเจ้าเชิญให้นั่งแล้วก็เรียกเด็กเอาน้ำอัดลมมาให้ดื่ม  แทนที่ข้าพเจ้าจะเป็นฝ่ายถาม  แกกลับถามข้าพเจ้าว่า

คุณรู้ไหมว่า  ผมทำไมมีสภาพเช่นนี้

ข้าพเจ้าบอกว่า   สงสัยเหมือนกัน  กำลังจะถามอยู่แล้ว   แต่แทนที่แกจะตอบ  แกกลับบอกว่า

ประเดี๋ยว  ขอให้ผมเข้าไปทำความสะอาดในห้องน้ำก่อน  แล้วจะเล่าให้ฟัง

ข้าพเจ้าจึงนั่งทำงานต่อไป  จนแกออกจากห้องน้ำมานั่งดื่มน้ำอัดลม  ข้าพเจ้าจึงเงยหน้าขึ้นพูดว่า

ไง  เป็นอย่างไรมาอย่างไร  ถึงมีสภาพเหมือนหนุมานคลุกฝุ่นเช่นนี้  ลองเล่าให้ฟังซิ”  

แกก็เริ่มเล่าว่า  คืออย่างนี้   ผมได้มีโอกาสพักร้อน ๒ อาทิตย์  แต่ไม่ได้ไปไหน  หมายถึงไปตากอากาศ   เมื่อตอนสายวันนี้ตั้งใจจะมาสนทนากับคุณเพราะคิดถึง  ก็ขึ้นรถประจำทางที่หน้าบ้านซึ่งเป็นต้นทาง  พอจะมีที่ว่างนั่ง  ระหว่างทางรถแวะส่งคนลงบ้าง  รับคนขึ้นบ้าง  แต่คนลงน้อยกว่าคนขึ้น  คนก็ออกจะมากขึ้นเป็นลำดับ  ไม่ช้าคนที่ขึ้นมาภายหลังไม่มีที่นั่ง

     ในจำนวนผู้โดยสารมีแม่ชีสูงอายุผู้หนึ่ง  ต้องยืนเพราะไม่มีใครจะสละที่นั่งให้  ผมก็รู้สึกสงสารและเห็นใจผู้ที่มีอายุทั้งยังเป็นผู้ทรงศีล  จึงลุกขึ้นเพื่อจะเชิญให้นั่ง  แต่พอผมลุกขึ้นไม่ทันสุดตัว  ไม่ทันเชิญให้แม่ชีนั่ง  ก็มีเถ้าแก่ผู้หนึ่งแกรีบเบียดตัวลงไปนั่งทันที  ทีนี้ผมจะทำอย่างไร  นึกว่าจะโกรธเถ้าแก่คนนั้นก็ไม่ถูก  และผมเองก็ไม่ชอบโกรธใคร  เพราะความโกรธย่อมจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามตามมาทีหลัง  เรื่องเล็กๆน้อยๆก็อาจจะเป็นเรื่องใหญ่โตได้  มาคิดดูว่ามันเป็นความผิดของผมเอง  ที่ไม่บอกเชิญให้แม่ชีทราบก่อน  แล้วจึงลุกขึ้นให้นั่งภายหลัง  ถ้าทำเช่นนี้ก็คงเรียบร้อย  ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องไปคิดอีก 

    แต่ผมลุกขึ้นแล้วจะเชิญให้แกนั่งที่หลังนั้น  เป็นความผิดของผมเองจะโทษใครไม่ได้  เพราะเถ้าแก่คนนั้นอยู่ใกล้กว่า  คงนึกว่าถึงจุดหมายปลายทางที่ผมจะลง  ฉะนั้น พอผมลุกยังไม่ทันสุดตัว  แกก็เอาก้นหย่อนไปเบียดแทนที่ผม  เพราะแกกลัวคนอื่นจะแย่งนั่งเสียก่อน  ตกลงผมก็ต้องมายืนเอามือเกาะราวแทนเถ้าแก่ผู้นั้นต่อไป  หันไปมองก็เห็นแกนั่งอย่างสบายใจอย่างไม่รู้ไม่ชี้  

     ผมไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจว่าเรามันเซ่อ  จะทำอะไรต่อไปควรจะรอบคอบและละเอียดกว่านี้  อดคิดไม่ได้ว่าคนอื่นเขาจะหันมามองเห็นผมเป็นตัวตลก  ชอบห้อยโหนมากกว่าชอบนั่ง   จึงอุตส่าห์สละที่นั่งให้เถ้าแก่ผู้ที่ยังแข็งแรงผู้นี้นั่ง  ผมนึกแล้วชักจะอายอยากจะลงจากรถเดินไปดีกว่า  แต่มาคิดดูทางมันยังอีกไกลมาก  และปลอบตัวเองว่า  เรามันคิดมากไปเอง  ไม่มีใครสนใจเรา  ถ้าจะคิดคงเป็นความเวทนามากกว่าที่จะยิ้มเยาะ  สู้ยืนบนรถประจำทางดีกว่าเดินไปตามถนน  เพราะมันถึงเร็วกว่าแน่  และไหนๆก็เสียสตางค์แล้ว  คิดได้ก็สงบ  หันไปเห็นแม่ชีแกยิ้มให้เหมือนจะเป็นความหมายของคำพูดที่ว่า  ขอบใจที่อุตส่าห์สละที่ให้ยายนั่ง  แม้ยายจะไม่ได้นั่ง  แต่ก็ขอขอบใจที่มีน้ำใจดีด้วย”   แล้วผมก็ไม่ได้คิดอะไรอีก  

     รถได้แล่นไปตามเส้นทางตลอดมา  พอมาถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง  ผมและผู้ที่ยืนเกาะราวต่างๆ เซมือหลุดจากที่เกาะ  ต่างล้มไม่เป็นท่า  เพราะรถได้ห้ามล้ออย่างกะทันหัน  เสียงยางเสียดครูดไปกับถนน  คนที่ยืนเกาะราวอยู่เพลินๆบางคนก็หงายไปข้างหลัง  บางคนก็คะมำไปข้างหน้า  แล้วแต่ผู้ยืนจะหันหน้าไปข้างไหน  ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง  โครม”  ใหญ่  รู้สึกรถสั่นสะเทือนและกำลังตะแคงจะล้มมิล้มแหล่  แต่แล้วก็กลับทรงตัวอยู่ได้  ปรากฏว่าได้ถูกรถประจำทางอีกคันหนึ่งชนเอากลางคัน  ต่างคนต่างก็เหยียบห้ามล้อไว้  

   ฉะนั้น พอหัวอีกคันหนึ่งวิ่งชนเข้ากลางคัน  รถที่ผมโดยสารมาก็หยุดพอดี  ถ้าแรงอีกหน่อยก็คงจะชนคว่ำ  คงจะบาดเจ็บสาหันไปตามๆกันแน่  พวกเราล้มครั้งที่สอง  เพราะล้มครั้งแรกยังไม่ทันลุกขึ้นตั้งตัวได้เรียบร้อย  ต่างก็กลิ้งลงไปนอนระเกะระกะซ้อนกันอยู่ในรถ  ผมเองอยู่ข้างล่างแย่สักหน่อย  กว่าผู้ล้มอยู่ข้างบนจะลุกขึ้นหมด  ผมก็ขัดยอกไปทั้งตัว  รีบลุกขึ้น  ปัดฝุ่นที่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยหายยู่ยี่บ้างพอสมควร  แล้วก็รีบลงจากรถมายืนดูอยู่ข้างถนน  และยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี  เพราะยังตื่นเต้นอยู่  แล้วก็เห็นตำรวจจราจรหลายนาย   บางนายก็คุมตัวคนขับไว้  และประชาชนเข้ามามุงดู  ต่างพูดกันเซ็งแซ่และเถียงกันว่าใครผิดใครถูก  เกือบจะเอาศัพท์อะไรไม่ได้  

     ทันใดนั้น  ผมก็ได้ยินเสียงเด็กกระเป๋าร้องบอกว่า  “ยังมีคนอยู่บนรถอีกคนหนึ่ง  ลุกไม่ได้

     เสียงครางอยู่บนรถด้วยความเจ็บปวด  ผมชะโงกไปดูบนรถเห็นคนนอนมือกุมศีรษะอยู่  ทันใดเด็กกระเป๋ากับตำรวจก็ขึ้นไป  สักครู่ก็เห็นครึ่งหามครึ่งพยุงคนป่วยลงมา  แกเดินไม่ไหว  ตำรวจกับเด็กกระเป๋าต้องใช้บ่าแบกใต้รักแร้คนละข้าง  แล้วมีผู้ชายผู้หนึ่งตรงไปยกเท้าทั้งสองข้างไม่ให้ลาก  ตำรวจอีกผู้หนึ่งเข้าช่วยพยุงคอไว้  พอผมเห็นหน้าคนป่วยก็ตกตะลึง

พอแกเล่ามาถึงตอนนี้ก็หยุด  แสดงว่าแกเกิดตื่นเต้นขึ้นมาอีกในสิ่งที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ข้าพเจ้าก็อยากรู้จึงถามว่า  เป็นญาติหรือคนรู้จักใช่ไหม”   

แกทำหน้าเศร้าแล้วบอกว่า  ไม่ใช่หรอกครับ  แกคือเถ้าแก่ที่นั่งแทนที่ผมนั่นเอง  รู้สึกว่ามีอาการสาหัสมาก  หลังตาไม่ได้สติ  เลือดออกทางศีรษะมาก  ผมเห็นตำรวจกับเด็กกระเป๋าและชายอีกผู้หนึ่งช่วยกันพยุงหาม และประคองศีรษะไว้  ขึ้นรถรับจ้างพาไปส่งโรงพยาบาลทันที  ผมเห็นแม่ชีแกเดินเข้ามาใกล้ผม  ยิ้มแล้วพูดว่า

     “คุณหมดเคราะห์หมดโศกแล้ว  เพราะความดีของคุณจึงเป็นมงคลแก่ตัวเอง

     ผมไม่รู้จะพูดอะไรเพราะยังตื่นเต้นอยู่  เพียงแต่ยกมือขึ้นไหว้รับคำ  พร้อมกับพูดเพียงว่า  ขอบคุณครับ”   แล้วผมก็รีบหลบขึ้นรถสามล้อมาหาคุณนี่แหละครับ

     ข้าพเจ้าได้ฟังแกเล่า  ข้าพเจ้าพลอยดีใจไปด้วย  ความดีของเพื่อนแท้ๆ จึงได้พ้นเคราะห์มาได้  ทำให้คนอื่นที่เห็นแก่ตัวต้องไปรับเคราะห์แทน  แต่ก็อดนึกตำหนิตัวเองไม่ได้ที่ดีใจที่เพื่อนพ้นเคราะห์  ส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน  ไม่ต้องนึกถึง  เพราะเราไม่รู้จักมาก่อน  แต่หากว่าคนเจ็บนั้นเป็นคนรู้จักหรือญาติ  จิตใจก็คงเปลี่ยนแปลงไปอีกอย่าง  คนเราส่วนมากก็เป็นเช่นนี้แทบทุกคน  แต่เพื่อนผู้นี้รู้สึกจะแปลกสักหน่อย  แกบอกว่าเห็นอกเห็นใจเถ้าแก่คนนั้นที่ต้องมารับเคราะห์แทนแก  และบอกว่าป่านนี้พ่อแม่ ลูกเมีย พี่น้องรู้เรื่อง  คงจะร้องไห้เสียใจในเคราะห์กรรมอันนี้ไปตามๆกันเป็นแน่  แกพูดแล้วก็แสดงความเศร้ากับข้าพเจ้าว่า

     “ผมคิดว่าควรไปเยี่ยมเยียนแกบ้าง  เพราะแกต้องรับเคราะห์แทนผม  เวลานี้คงนอนอยู่โรงพยาบาลกลางเป็นแน่  วันหลังผมจึงจะมารับประทานอาหารด้วย  วันนี้ขอตัว

     ว่าแล้วแกก็รีบลาไปทันที  ทำให้ข้าพเจ้าต้องงงเพราะความหุนหันของแก  เนื่องจากข้าพเจ้าตั้งใจจะเลี้ยงอาหารเที่ยงเพื่อรับขวัญ  แต่เพื่อนออกไปก่อนก็จนใจ  นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกัน

จบเรื่องที่ ๑๓
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวีชัย เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)
  



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น