วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าฝรั่ง.1..แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

 แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (Jack the Ripper) ชื่อนี้เป็นตำนานของคดีฆาตกรรมสยองของโลกตำนานหนึ่ง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นฆาตกรที่สร้างความหวาดกลัวต่อชาวอังกฤษในสมัยร้อยกว่าปีก่อน  ทั้งยังเป็นคดีฆาตกรรมปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวของคดี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นที่กล่าวขานสืบต่อกันมาถึงขนาดมีการเขียนเป็นหนังสือหลายเล่มหลายผู้แต่ง ทั้งยังเคยสร้างเป็นภาพยนต์มาแล้วหลายครั้ง และยังเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คือใครกันแน่ แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้พยายามไขปริศนาว่า ฆาตกรต่อเนื่องผู้นี้เขาคือใคร

แจ็ค เดอะริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้ลงมือฆ่าเหยื่อรายแรกของเขาในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2431 เรื่องราวแห่งความสยองขวัญยังถูกพูดถึงอยู่เสมอ พร้อมกับปริศนาที่ว่าใคร คือ ฆาตกรตัวจริง


ปริศนาและเงื่อนงำเกี่ยวกับการฆาตกรรมของ แจ๊ค เดอะริปเปอร์ ได้รับความสนอกสนใจอย่างมาก มีการนำเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องผู้โหดเหี้ยมรายนี้มาทำเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง แถมยังมีหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องราวของเขาอีกนับร้อยเล่ม  มีผู้ไขปริศนาเรื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ในแง่มุมต่างๆมากมาย มีถึงขนาดเป็นริปเปอร์วิทยา

ตำนานอันโหดเหี้ยมสยองขวัญของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เป็นตำนานฆาตกรต่อเนื่องที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม ถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2431 บนถนน white chapel ในย่าน east end ของ มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นคดีฆาตกรรมที่ทำให้ สก๊อตแลนยาร์ด (scotland yard) ตำรวจอังกฤษถึงกับต้องปวดเศียรเวียนเกล้างุนงงที่สุด


คดีฆากรรมสยองขวัญเริ่มเกิดในแถบถนนของ white chapel ซึ่งเป็นแหล่งสถานเริงรมย์ของย่าน East end ซึ่ง เป็นย่านชุมชนแออัดของมหานครลอนดอน ถึงแม้ย่านนี้จะเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ แต่ในยามค่ำคืนของ white chapel กลับคึกคักไปด้วยบรรดาผู้คนมากมายที่ต่างก็แวะเวียนกันมาเที่ยวหาความสำราญยามราตรี

     ในบริเวณที่ห่างออกไปไม่ไกลเป็นที่พักจอดเรือสินค้า ดังนั้น white chapel จึงกลายเป็นย่านที่พวกพ่อค้าและกะลาสีเรือจะต้องมาเที่ยวดื่มเหล้าและเที่ยวผู้หญิง มีรายงานของสก๊อตแลนด์ยาดในยุคนั้นว่าย่าน white chapel มีสถานบริการทางเพศมากถึง 62 แห่ง มีผู้หญิงขายบริการทางเพศหรือโสเภณีมากถึง 1,200 คน ซึ่งนับว่าผู้หญิงขายบริการเหล่านี้ตกเป็นเป้าหมายอย่างดีของฆาตกรนิรนามอย่าง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์


เหยื่อของ Jack The Ripper
     ความสยองขัญเริ่มปรากฏ เมื่อมีโสเภณีนางหนึ่งถูกฆาตกรรมลงด้วยสภาพศพที่เต็มไปด้วยความสยดสยอง หลังจากนั้นก็เกิดการฆาตกรรมแบบต่อเนื่องของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ติดตามมาอีกหลายคดี มีผู้โชคร้ายหลายรายที่ตกเป็นเหยื่อของการฆาตกรรมที่ไร้ร่องรอยนี้ แต่ที่ยอมรับกันอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้มือของฆาตกรโหด แจ๊ค เดอะริปเปอร์ นั้นมีเพียง 5 รายเท่านั้น

     เหยื่อฆาตกรรมที่ตำรวจและนักริปเปอร์วิทยา ยอมรับคือ

1.แมรีแอน นิโคลส์ หรือ พอลลี (Polly Nichols) เหยื่อฆาตกรรมรายแรมีวัย 43 ปี เป็นโสเภณีที่หากินอยู่ในแถบนั้น เธอถูกของมีคมเชือดลงบนลำคอ และโดนชำแหละคว้านเอาอวัยวะภายในออกมา เธอกลายเป็นศพแรกจากฝีมือการฆาตกรรมของ แจ๊ค เดอะริปเปอร์ ในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2431 สภาพศพของเธอจะเต็มไปด้วยความสยดสยอง ทั้งสร้างความสะอิดสะเอียนให้แก่ผู้พบเห็น

     ในช่วงแรกนั้น การฆาตกรรมรายนี้ยังไม่เป็นที่สนใจกันนัก เพราะเหยื่อของฆาตกรเป็นเพียงโสเภณีรายหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ค่อยได้มีการติดตามคดีให้จริงจังกันแต่อย่างไร ทั้งในพื้นที่แถบนี้ยังเป็นเหมือนกับแหล่งเสื่อมโทรมของมหานครลอนดอน คนทั้งหลายจึงยังไม่สนใจคดีนี้

 เหยื่อฆาตกรรมรายแรกของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ "แมรี่ แอนน์ นิโคลส์"
 รายละเอียดของคดี
     ตี 4 ของวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2431(ค.ศ.1888) ชายชาวอังกฤษชื่อชารล์ส ครอส (Charles Cross) กำลังเดินผ่านบริเวณคอกแพะ ขณะที่ชารล์สกำลังจะเดินเข้าบ้านนั้น ก็ได้เห็นบางสิ่งกองอยู่บนพื้นดินบริเวณหน้าบ้าน จึงได้เดินเข้าไปดูก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ และเห็นชายอีกคนกำลังเดินมาทางนี้พอดี

     ชารล์สจึงส่งเสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อที่จะขอให้มาร่วมกันช่วยผู้หญิงที่นอนอยู่ เพราะชารล์สนึกว่าผู้หญิงคนนี้คงเมาหรืออาจถูกทำร้าย ทั้งสองคนพยายามที่จะช่วยเธอแต่แล้วทั้งคู่ก็เห็นว่า ผู้หญิงคนนี้มีบาดแผลที่บริเวณลำคอที่เกือบทำให้ศีรษะขาด จึงตกใจมากและรีบไปแจ้งตำรวจ

     อีกไม่กี่นาทีต่อมา ชารล์ส พาตำรวจมายังบริเวณที่เกิดเหตุ นายตำรวจชื่อ จอห์น นีล (John Neil) ก็ได้เห็นถึงสภาพอันน่ากลัวของเธอ มีรอยเลือดไหลออกมาจากลำคอที่เกือบขาดและหู ดวงตาของเธอเบิกกว้าง มือและเท้าเริ่มเย็น จอห์น นีล จึงเรียกตำรวจและหมอกับรถพยาบาลให้มายังที่เกิดเหตุ จากนั้นจึงเดินตรวจหาหลักฐานและสอบถามตามบ้านในบริเวณใกล้เคียง เพื่อสอบถามถึงสิ่งหรือเสียงที่ผิดปกติหรือน่าสงสัย แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไร

     ต่อมา Dr.Rees Llewellyn ก็มาถึงและลงมือชันสูตร และชี้ถึงสาเหตุการตายว่าคือบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอจนทำให้เธอถึงแก่ความตาย แต่ทว่ายังมีบางส่วนต่างของร่างกายของเธอยังอุ่นอยู่ และตายไม่เกินกว่า 1 - 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา หรืออาจจะแค่ไม่กี่นาทีหลังจากที่นายชารล์สเดินมาพบเธอก็ได้ ซึ่งตรงนั้นน่าจะเป็นบริเวณที่เธอถูกฆาตกรรม เพราะมีคราบเลือดที่พื้น

     จากสภาพศพพบว่า เสื้อผ้าของเธอชุ่มไปด้วยเลือด บนลำคอมีรอยกรีดด้วยของมีคมถึง 2 ครั้งด้วยกัน ที่เยื่อบุช่องท้องได้รับบาดเจ็บ

     หลังจากนั้นจึงมีการนำศพไปยังถนน Old Montague เพื่อทำการชัณสูตรต่อให้ละเอียด จากผลการชันสูตรพบรอยถลอกบนขากรรไกรเหลืออยู่ บาดแผลที่ช่องท้องแสดงถึงรอยมีดที่ขรุขระและลึก ซึ่งคาดว่าฆาตกรจะถนัดซ้าย
 
     ต่อมาบรรดาแพทย์ก็ไม่แน่ใจในข้อที่ว่าฆาตกรถนัดซ้าย และมีข้อสงสัยอีกว่า บาดแผลที่ทำให้เธอเสียชีวิตคือที่ลำคอของเธอ แต่ทำไมถึงไม่มีรอยเลือดอยู่บริเวณลำคอเลย แต่กลับไปมีคราบเลือดอยู่บนเสื้อผ้าเป็นจำนวนมาก

2.แอนนี แชปแมน(Annie Chapman) หรือที่เพื่อนๆเรียก Dark Annie คือเหยื่อเคราะห์ร้ายรายที่สอง ในคืนวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2431(ค.ศ.1888) ซึ่งห่างจากการฆาตกรรมรายแรกไปเพียงไม่กี่วัน มีโสเภณีถูกฆาตกรรมอีกราย ผู้พบศพของ แอนนี เป็นช่างซ่อมรถชื่อ John Davids โดยพบศพเธอตอนเวลาประมาณ 6 โมงเช้า พบศพบริเวณ 29 Hanbury Street ลักษณะการตายและวิธีฆ่าเหยื่อเป็นเหมือนกับเหยื่อรายแรกคือ ถูกฆ่าปาดคอ และโดนตัดอวัยวะบางส่วนออกไปจากร่าง

     เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาห่างกันไม่นานนี้ เริ่มเป็นที่สนใจของประชาชนและสื่อมวลชนถึงคดีฆาตกรรมปริศนารายนี้ ซึ่งตามมากับคำถามที่ว่าใครคือฆาตกร ประชาชนชาวอังกฤษเริ่มตกใจกลัวว่าอาจจะเกิดเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายต่อไป คดีฆาตกรรมนี้จึงนำเอาความหวาดกลัวมาสู่ผู้ที่ได้รับฟังเรื่องราวของฆาตกรรมปริศนา ซึ่งยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแม้แต่น้อย

    การสืบสวนคดีเต็มไปด้วยความมืดมน เพราะไม่ปรากฏหลักฐานใดๆมากพอที่จะสืบไปถึงตัวฆาตกร แต่แล้วในวันที่ 25 กันยายน ปีเดียวกันนั้น จดหมายปริศนาฉบับหนึ่งได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวเซนทรัล พร้อมทั้งกล่าวอ้างว่า เขา คือ ฆาตกรปริศนาผู้ฆ่าหญิงโสเภณี

     ที่สำคัญจดหมายฉบับลงชื่อว่า "แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์" จดหมายลึกลับฉบับดังกล่าวดูราวกับว่ากำลังท้าทาย ให้ตำรวจสก๊อตแลนยาร์ดของอังกฤษ หาตัวเขามาลงโทษให้ได้

เหยื่อรายที่ 2 แอนนี่ แชปแมน
                                                           
รายละเอียดของคดี
     จากรายงานของศัลยแพทย์ Dr.George Bagster Phillips ได้กล่าวถึงลักษณะการตายของเหยื่อว่า ผู้ตายนั้นถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมมีคราบเลือดจากการชำแหละกระจายไปตามร่างกาย และสันนิษฐานว่าบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอนั้น เป็นบาดแผลที่ทำให้เหยื่อเสียชีวิต  Dr.George คาดว่าเธอน่าจะเสียชีวิตมาประมาณ 2 ชั่วโมงแล้ว ก่อนที่นาย Davis จะมาพบศพเธอ และผู้คนย่านนั้นไม่ได้ยินเสียงร้องหรือเห็นสิ่งผิดปกติอะไร Dr.George มีความเห็นว่าบริเวณนั้นน่าจะเป็นจุดที่ฆาตกรลงมือสังหารเธอ

     นอกจากนี้ยังพบความผิดปกติอีกคือ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้เกิดขึ้นในบริเวณนั้น หรือแม้แต่ที่ตัวของ Annie ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเช่นกัน พบแต่เพียงเศษผ้ากับหวีที่เก็บเอาไว้อย่างดี และซองจดหมายที่มีตัวอักษร M กับ SP ที่เขียนด้วยลายมือและจ่าหน้าบนซองว่า London, Aug. 23, 1888.  

     จากรายงายการชันสูตรศพของ Dr.George นั้น ได้บอกรายละเอียดเอาไว้อีกว่า ฆาตกรน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีในการลงมือฆาตกรรมเหยื่อ และน่าจะเป็นคนที่มีความรู้เรื่องกายวิภาคเป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยก็น่าจะมีความรู้ในด้านการชำแหละเนื้อด้วยความชำนาญอย่างแน่นอน โดยวิเคราะห์จากบาดแผลของอวัยวะของผู้เคราะห์ร้ายแล้วพบว่า บาดแผลมีความประณีตเกินกว่าที่คนธรรมดาจะกระทำได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการชำแหละร่างของผู้ตายได้ขนาดนี้ และมีดที่พบตกอยู่ใกล้กับเหยื่อนั้นก็ไม่ใช่มีดแบบธรรมดาทั่วไป แต่ว่ามีลักษณะคล้ายกันกับที่พวกศัลยแพทย์ใช้ หรือเป็นมีดแบบที่คนฆ่าสัตว์ใช้ และพบว่าแหวนบนมือของเธอได้หายไป

     เพื่อนของเหยื่อฆาตกรรมยืนยันว่า แหวนของเหยื่อเป็นเพียงแหวนทองเหลือง ซึ่งทางตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานว่า ฆาตกรอาจจะเข้าใจผิดว่ามันเป็นแหวนทองคำก็เป็นได้ และอาจจะเป็นแรงจูงใจให้ฆาตกรลงมือฆ่าเพื่อแย่งแหวนไป แต่ก็ติดตรงปมที่ว่า เพียงแค่แหวนวงเดียวทำไมถึงกับต้องลงมือฆ่าเหยื่ออย่างเหี้ยมโหดขนาดนี้

     จากการสืบสวนของทางตำรวจนั้นได้สันนิษฐานว่าคดีของ Polly Nichols กับ Annie Chapman นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกัน และผู้ที่ลงมือนั้นน่าจะเป็นคนคนเดียวกัน ต่อมาในภายหลังได้พยานที่น่าจะอยู่ใกล้กับตอนเกิดเหตุในคดีนี้เพิ่มขึ้นคือนาย Albert Cadosch ให้การว่า ตอนเวลาประมาณ 5.20 น. ได้ยินเสียงพูดว่า "ไม่" จากนั้นไม่กี่นาทีมีเสียงเหมือนมีของกระแทกกับรั้ว

      พยานสำคัญอีกคนหนึ่งก็คือ Mrs. Elizabeth Long  เธอให้การว่า ในวันนั้นเธอกำลังจะไปจ่ายตลาด ตอนเวลาประมาณ 5.30 น. เธอได้เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังคุยกัน ซึ่งเธอจำได้ว่าเป็น Annie แต่ฝ่ายชายเห็นเพียงด้านหลังเท่านั้น ชายคนนี้สวมหมวกสีน้ำตาล ใส่เสื้อคลุม อายุน่าจะ 40 ปีขึ้นไป รูปร่างไม่สูงนัก และน่าจะเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งจากปากคำของพยานพอที่จะสรุปได้ว่า Annie เสียชีวิตตอนเวลาประมาณ 5.30 น. ของวันเสาร์


3.อลิซาเบ็ธ สไตรค์ (Elizabeth Stride) คือเหยื่อรายที่สามของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เหยื่อถูกสังหารในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2431(ค.ศ.1888) อาชีพของเธอคือโสเภณี ได้ขึ้นทะเบียนเป็น โสเภณี หมายเลข 97

 ก่อนเกิดเหตุมีผู้พบเห็นเธอไปกับชายแปลกหน้า แต่ผู้พบเห็นไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก เพราะจากอาชีพของเธอที่เป็นธรรมดาที่มักจะหายไปกับชายแปลกเสมอๆ แต่ไม่นานกลับพบว่าอลิซาเบ็ธ สไตรค์กลายเป็นศพ มีบาดแผลที่ลำคอเป็นทางยาว สภาพศพขอเธอยังคงสมบูรณ์มากกว่าเหยื่อสองรายแรก อาจจะเป็นเพราะความเร่งรีบของฆาตกรที่ไม่มีเวลามากพอสำหรับการทำการฆาตกรรมครั้งนี้

     หลุยส์ ดีมชู้ทซ์ เป็นชาวยิวรัสเซีย เป็นพนักงานสโมสรการศึกษาวิชาชีพของกลุ่มคนนิยมชายิว ขณะที่จะนำม้าไปเก็บในคอกที่จ๊อร์จย้าร์ดนั้นม้ามีอาการขัดขืน เมื่อนาย หลุยส์ ดีมชูทซ์ มองไปที่พื้นก็ว่ามีสิ่งผิดปกติ จึงได้ใช้ด้ามแส้เขี่ยแล้วจุดไม้ขีดไฟส่องดู ก็เห็นร่างของหญิงสาวนอนอยู่

      นาย หลุยส์ ดีมชูทซ์ รีบวิ่งเข้าไปในสโมรสร เพราะกลัวว่าคนร้ายยังอยู่แถวนั้น และจากนั้นเขายัง
เห็นฆาตกรวิ่งหนีไปด้วย เมื่อนาย หลุยส์ ดีมชูทซ์กับพวกเข้าไปดูศพ ก็พบว่าเป็นผู้หญิงลักษณะเอาแขนวางพาดเหนือท้อง และที่ข้อมือชุ่มไปด้วยเลือด ที่ลำคอถูกกรีดเป็นทางยาว จึงรีบแจ้งให้ตำรวจมาดู


    แพทย์สองนายได้มาตรวจดู พบว่าสภาพศพมีรอยแผลที่คอลักษณะถูกกรีดยาว 6 นิ้ว เริ่มจากด้านซ้ายต่ำกว่าขากรรไกร 2.5 นิ้ว กรีดตัดหลอดลมขาด เป็นศพของ อลิซาเบ็ธ สไตรค์ สภาพศพเหมือนกับ แอนนี่ แช็ปแมน

เหยื่อรายที่ 3 Elizabeth Stride        
     Elizabeth Stride เป็นหญิงสาวชาวสวีเดนที่เข้ามาทำงานในประเทศอังกฤษ Elizabeth มีชื่อเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า  Long Liz  เธอเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เรืออับปาง เรือนี้มีชื่อว่า เรือ Princess Alice  แต่เธอเสียต้องลูกและสามีไปในเหตุการณ์เรืออับปางในครั้งนั้น(ภายหลังพบว่าเป็นเรื่องไม่จริงที่เธอใช้อ้างกับโบสถ์ชาวสวีเดนเพื่อขอความช่วยเหลือ) ต่อมาเธอได้อยู่กับ Michael Kidney Elizabeth  เธอทำงานเป็นช่างเย็บผ้าและพนักงานทำความสะอาด บางครั้งต้องเป็นโสเภณีบ้าง

     ก่อนที่เธอจะถูกฆาตกรรมนั้น มีคนที่เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายในตอนเย็นขณะที่เธอออกจากบ้าน พอเช้าวันรุ่งขึ้นมีคนพบศพของเธอ 

     เพื่อนของ Elizabeth เป็นนายตำรวจชื่อ William Smith ให้การว่า เวลาประมาณ 00.30 น.  ขณะที่กำลังเดินไปตาม Berner Street ได้เห็น Elizabeth กำลังคุยกับชายคนหนึ่ง จากลักษณะของชายคนนั้นน่าจะมีอายุประมาณ 30 ปี สวมเสื้อคลุมสีดำ ผมดำ ไว้หนวด และสูงประมาณ 5 ฟุต 7 นิ้ว

     นาย Israel Schwartz ได้ให้การว่า เวลาประมาณ 00.45 น. เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนคุยกันอยู่ที่ริมถนน ต่อมาชายคนนั้นพยายามจะดึงผู้หญิงเข้าไปในซอกตึกริมถนน แล้วผลักเธอล้มลงบนทางเท้า ครู่ต่อมาชายที่ผลักผู้หญิงล้มได้ตะโกนเรียกชายอีกคนที่อยู่ยังถนนฝั่งตรงข้าม  

     นาย Israel Schwartz เดินห่างออกไปจากที่นั้น แต่เห็นมีคนเดินตามมา จึงหันหลังกลับไปดูก็พบว่าเป็นชายคนที่เคยอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามนั่นเอง และกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเข้ามาโดยในมือถือท่อน้ำมาด้วย(บางสำนวนแปลว่าชายที่คาบไปป์ คือสูบยาเส้น) จึงเกิดกลัวว่าจะมีการทำร้ายร่างกาย จึงรีบวิ่งหนีไปตามทางรถไฟจนกระทั่งมองไม่เห็นชายคนนั้น ลักษณะของชายที่วิ่งตามมาดูว่ามีอายุประมาณ 35 ปี สูง 5 ฟุต 11 นิ้ว ผมออกสีน้ำตาล มีหนวดและใส่เสื้อคลุมเหมือนกับชายคนแรก

      William Marshall อาศัยอยู่ใกล้กับ Berner Street ซึ่งเป็นจุดที่เกิดเหตุฆาตกรรม ได้ให้การว่าตอนเวลาประมาณ 00.25 - 00.45 น. เห็น Elizabeth กำลังพูดคุยอยู่กับชายวัยกลางคน ลักษณะของผู้ชายใกล้เคียงกับที่ John Smith และ Israel Schwartz ให้การไว้  William ให้การอีกว่าท่าทางและคำพูดของชายคนนั้น "ดูเหมือนเป็นคนที่มีการศึกษาดี" 

     นาย James Brown ให้การว่า ตอนที่เขาเห็น Elizabeth เป็นเวลาประมาณ 00.45 น. ในขณะที่เขากำลังเดินข้าม Berner Street  ก็ได้ยินเธอพูดว่า "วันนี้ไม่ได้ เอาไว้วันอื่นก็แล้วกัน" ลักษณะของผู้ชายที่ James Brown เห็นนั้น ใกล้เคียงกันกับคำให้การของพยานคนอื่นๆ

       Dr. Phillips แพทย์ชันสูตรในที่เกิดเหตุได้ระบุสาเหตุการตายว่า เกิดจากบาดแผลฉกรรจ์จากของมีคมที่ลำคอและน่าจะเป็นการเสียชีวิตโดยไม่ทันได้ต่อสู้อีกด้วย  Dr. Phillips มีความเห็นว่าตอนที่ฆาตกรลงมือนั้น น่าที่จะดึงผ้าพันคอของเธอไปข้างหลังแล้วใช้มีดแทงที่ลำคอ จากผลการชันสูตรสันนิษฐานว่าฆาตกรอาจจะเป็นคนที่ชำนาญการในใช้มีดได้ดี

      Dr. Phillips ระบุะเวลาที่Elizabeth เสียชีวิตเอาไว้ว่าอยู่เวลาประมาณ 00.36 ถึง 00.56 น.

4.Catherine Eddowes คือเหยื่อรายที่สี่ของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ทั้งยังเป็นการฆ่าต่อเนื่องหลังจากฆาตกรฆ่าเหยื่อรายที่สามเพียงไม่กี่นาที โดยในขณะที่ตำรวจทำการตรวจพื้น Mitre Square อย่างละเอียด ได้พบร่างของผู้หญิงนอนจมกองเลือดอย่างน่าสยดสยอง เมื่อตรวจสอบก็พบตั๋วจำนำจึงรู้ว่าเหยื่อรายนี้คือ Catherine Eddowes


เหยื่อรายที่ 4 Catherine Eddowes
รายละเอียดของคดี

   ก่อนที่ Catherine จะถูกแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ทำการฆาตกรรมนั้น Catherine กับ John Kelly ผู้เป็นสามีอาศัยอยู่ที่ Dean Street โดยอยู่มาถึง 7 ปี Catherine เกิดในปี ค.ศ.1842 เธอเป็นลูกกำพร้า เมื่อเธอมีอายุ 16 ปีก็ได้พบกับ Thomas Conway จนกระทั่งแต่งงานอยู่ด้วยกันมาถึง 20 ปี และมีลูกด้วยกัน 3 คน แต่เธอมีปัญหาเรื่องติดเหล้า มีปากเสียงกับสามีบ่อยๆจนกระทั่งต้องหย่ากันในที่สุด

     ต่อมาเธอได้พบกับ John Kelly และได้ใช้ชีวิตร่วมกัน วันที่เกิดเหตุฆาตกรรมนั้นเป็นวันที่ Catherine ออกจากบ้านไปในตอนเย็นเพื่อที่จะไปขอยืมเงินจากลูกสาวของเธอ ซึ่งเส้นทางไปบ้านของลูกสาวเธอนั้นต้องผ่านบริเวณ Whitechapel และ John ก็ได้เตือนเธอเรื่องของฆาตกรที่คนกำลังหวาดกลัวกันอยู่และบอกให้กลับบ้านมาก่อนมืด

     หลังจากที่เธอดื่มเหล้าเมาก็โดนตำรวจจับขังไว้ที่ Bishopsgate Street Police Station เพื่อให้เธอสร่างเมา จนกระทั่งเวลา 00.30 น.เธอได้ร้องขอกลับบ้าน ตำรวจก็ได้ปล่อยตัวเธอไป ต่อจากนั้นเธอก็ถูกฆาตกรรมโดย แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

   Dr. Frederick Gordon Brown เดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุในเวลา 02.18 น. ได้ลงมือชันสูตรและบันทึกรายงานว่า สภาพศพของ Catherine นั้นร่างกายยังอุ่นอยู่ น่าจะเป็นการเสียชีวิตโดยไม่ทันตั้งตัว และเสียชีวิตไม่เกินครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้และไม่มีทรัพย์สินหรือเงินตกอยู่บริเวณนั้น  ขณะที่เกิดเหตุฆาตกรรมนี้เป็นเวลาที่ผู้คนใน Mitre Square ยังนอนหลับ สภาพศพโดนเชือดจากคอและบริเวณใบหน้าเป็นแผลฉกรรจ์หลายแผล โดนควักลูกตา เฉือนจมูก และโดนชำแหละบริเวณช่องท้องเป็นแผลยาวไปถึงหน้าอก ไตข้างซ้ายและมดลูกถูกตัดออกไป
          จากเหตุฆาตกรรมที่เกิดเหตุซ้อนกันนี้ ทำให้รู้ว่าฆาตกรพาเหยื่อเข้ามาในจตุรัส แล้วสังหารเธออย่างเงียบกริบ และหนีออกไปอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น

     มีการพบเศษผ้าหนังเปื้อนเลือดติดอยู่ที่ทางเข้าของตึก Whitechapel's Goulston เศษผ้าหนังชิ้นนี้เป็นเศษผ้าที่นำมาจากหญิงที่ถูกฆาตกรรมที่ Mitre Suare นั่นเอง และยังพบข้อความเขียนอยู่บนอิฐที่อยู่เหนือผ้าหนังใจความว่า "The Jewes are The men That Will not be Blamed For nothing." แปลว่า "คนยิวคือพวกที่จะไม่ได้รับการตำหนิใดๆทั้งสิ้น" ซึ่งทางตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นลายมือของคนร้าย แต่ภายหลังคิดว่าไม่ใช่
      Joseph Lawende ได้ให้การว่า หลังจากที่เขากับเพื่อนอีก 2 คน ออกมาจาก Imperial Club ตอนประมาณ 0.35 น. เห็นมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนคุยกันอยู่ที่บริเวณโบสถ์ใกล้กับMitreSquare  แต่ว่าJoseph มองไม่เห็นหน้าผู้หญิงเพราะเธอยืนหันหลังให้ แต่เขาคิดว่าเป็น Catherine โดยดูจากเสื้อโค้ทที่เธอสวม ฝ่ายชายใส่เสื้อคลุมสีดำ สวมหมวก มีหนวด รูปร่างไม่สูงนัก


5.Marry Jane Kelly แมรี่ เจน เคลลี่ คือเหยื่อรายที่ห้า ซึ่งคาดว่าน่าที่จะเป็นเหยื่อรายสุดท้ายของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เหยื่อเป็นโสเภณีที่มีอายุประมาณ 25 ปี แมรี่ เจน เคลลี่ นอนตายเป็นศพอยู่ ในห้องพักของตนเอง สภาพศพของเธอเละจนไม่มีชิ้นดี น่าสยดสยองถึงที่สุด

เหยื่อรายที่ 5 Marry Jane Kelly

รายละเอียดของคดี
     สภาพศพของเธอเป็นที่สยองขวัญมาก แม้แต่ตำรวจเห็นแล้วยังตกใจช็อคไปตามๆกัน จากการชัณสูตศพอยู่ในสภาพนอนกางขาบนเตียงนอน ต้นขาขวามีรอยเฉือนเนื้อออกไปจนเห็นกระดูก ผิวหนังโดนถลก มีมดลูกกองอยู่ที่ปลายเท้า มือข้างหนึ่งถูกจับล้วงเข้าไปในท้องที่โดนควักตับไตไส้พุงออก หัวใจถูกปลิดออกจากขั้วหายไป ลำไส้ถูกลากออกมากองไว้ ที่โต๊ะข้างเตียงมีเศษชิ้นส่วนอวัยวะ มีเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง ที่น่าตกใจอีกก็คือเคลลีกำลังตั้งครรภ์ บนผนังห้องของเธอปรากฏข้อความ “the juwes are the men that will not be blamed for nothing.” เช่นเดียวกันกับข้อความที่พบบริเวณของเหยื่อรายที่สี่



    ในระหว่างที่ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสยองขวัญอยู่นั้น เขายังได้ส่งจดหมายไปให้สำนักข่าวอีกด้วย โดยบอกว่าตนเองเป็นฆาตกรตัวจริง ทั้งยังท้ายทายให้ตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดที่ขึ้นชื่อเรื่องการสืบสวนมาจัดเขา นอกจากนี้ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ยังถึงกับส่งชิ้นส่วนอวัยวะไตไปให้ จอร์จ เอคิ่น ลัสก์ ประธานกรรมการป้องกันภัยของ Whitechapel ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นไตของจริง

     ยังมีคดีฆาตกรรมอีกหลายคดีที่มีขั้นตอนการฆ่าคล้ายคลึงกับคดี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์  ซึ่งช่วงระยะเวลาที่เกิดคดีนับว่าเกิดเหตุในระยะเวลาใกล้เคียงกันด้วย แต่ตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดมีความเห็นว่าไม่ใช่ฝีมือของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ดังนั้นจึงนับเอาคดีฆาตกรรมสยองขวัญที่เกิดขึ้น 5 คดีเป็นคดีของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ถึงกระนั้นก็ยังมีคนเชื่อว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาจเป็นฆาตกรในคดีอื่นด้วย

สก๊อตแลนด์ยาร์ดต้องตัดสินใจปิดคดีของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ลงใน ปีค.ศ. 1892 หรือ พ.ศ. 2435 ทั้งๆ ทียังไม่สามารถจับฆาตกรได้

คดีฆาตกรรมเหล่านี้ยังเป็นคดีปริศนามาจนบัดนี้ แต่มีผู้ต้องสงสัยว่าเป็น แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อยู่หลายรายเช่น

1.แพทย์อเมริกันชื่อ ฟรานซิส ทับเบิลตี้

2.แมรี เพียร์ซี่

3.เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต วิกเตอร์ หรือ เจ้าชายเอ็ดดี ดยุคแห่งแคลเร้นซ์

4.มอนเทกิว จอห์น  ดริตต์

5.อารอน โคสมินสกี้

    ไม่นานมานี้ Dr. Jari Louhelainen ก็ได้ลองตรวจสอบดีเอ็นเอบนผ้าคลุมไหล่ของ Catherine Eddowes ทีเป็นหนึ่งในเหยื่อของ Jack The Ripper  และพบว่าดีเอ็นเอที่ปรากฏบนผ้าคลุมไหล่ผืนนี้ของCatherine Eddowes ตรงกับดีเอ็นเอชายผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งที่ชื่อว่า Aaron Kosminski

    หลักฐานผ้าคลุมไหล่ชิ้นนี้ได้มาจาก Russell Edwards ซึ่งประมูลหลักฐานปริศนาชิ้นนี้มาเมื่อหลายปีก่อน แต่เขาเพิ่งมาตัดสินใจมอบให้กับด็อกเตอร์เพื่อทำการตรวจสอบ และนั่นทำให้ชาวโลกได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของ Jack The Ripper นั้นควรจะเป็นใครกันแน่ ซึ่ง Aaron Kosminski นี้ก็คือผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง เขาเป็นชาวยิวโปแลนด์ที่หนีจากรัสเซียมาอาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน 

     เมื่อปี 1987 Aaron Kosminski นี้ก็เคยถูกสันนิษฐานว่าเป็น แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดย Dr. Robert Anderson มีความเห็นว่าชายผู้นี้มีแนวโน้มว่าจะเป็น Jack The Ripper ตัวจริง 

จากเทคโนโลยีของยุคสมัยนี้ ทำให้การไขปริศนาคดีฆาตกรรมสยองของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ มีแนวโน้มจากหลักฐานดีเอ็นเอว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ น่าจะเป็นชาวยิวโปแลนด์ Aaron Kosminski จนกว่าจะมีหลักฐานอะไรมาหักร้างได้


**เก็บความจากหลายเว็บไซต์ทั้งไทยและต่างประเทศและจากหนังสือแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรจากนรก (ผู้แปล/แต่ง  วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น