วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

ปัดฝุ่นเรื่องเก่าฝรั่ง.2..แดร๊กคูล่า

แดร๊กคูล่า..Dracula


แดร๊กคูล่า
     ภาพยนตร์สยองขวัญที่เป็นตำนานนั้น ต้องนับว่าเรื่อง แดร๊กคูล่า จัดอยู่ในลำดับต้นๆด้วยเรื่องหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างหลายครั้งหลายตอน มีมาตั้งแต่ยุคภาพยนตร์ขาวดำยุคแรกๆด้วยซ้ำ ปัจจุบันภาพยนตร์ชุดแดร๊กคูล่ายุคแรกๆนับเป็นภาพยนตร์คลาสสิกของโลกนี้

     แดร๊กคูล่าถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์แบบมีภาคต่อๆมาหลายภาค นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีภาคต่อยุคแรกเลยก็ว่าได้ ทั้งยังมีการนำกลับมารีเม็คหรือสร้างใหม่นับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังมีการสร้างเป็นเกมส์คอมพิวเตอร์มาตั้งแต่มีเกมส์คอมฯยุคแรกๆ และสร้างต่อๆมามีในเครื่องเล่นเกมส์ทุกเวอร์ชั่น เกมส์แดร๊กคูล่าแบบที่ยึดโครงเรื่องดั้งเดิมนั้น ต้องเรียกว่าเล่นไปหนาวไป  ผู้เขียนเองก็เคยหนาวมาแล้ว ยิ่งเล่นเกมส์คนเดียวตอนดึกๆมีเสียวหลังวาบด้วย




     เรื่องแดร๊กคูล่าเป็นบทประพันธ์ของนักเขียนชาวไอริชชื่อ บราม สโตกเกอร์ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. ๑๘๙๗ หรือ พ.ศ. ๒๔๔๐ นับเป็นนวนิยายสยองขวัญที่มีอายุถึง ๑๑๘ ปีแล้ว

      เชื่อกันว่า บราม สโตกเกอร์(Bram Stoker) ได้อาศัยตำนานของเจ้าชายแห่งโรมาเนียในสมัยโบราณ แล้วแต่งเรื่องแดร๊กคูล่าให้โยงไปถึงเจ้าชายที่มีประวัติน่าสยองขวัญช่วงหนึ่ง ถึงขนาดว่าคนยุคนั้นเรียกเจ้าชายว่า จอมเสียบ
                                                             Bram Stoker


หนังสือDRACULA By Bram Stoker ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ.1897


                                  หนังสือ DRACULA ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในอเมริกา ค.ศ.1899

   ตามตำนานเก่าแก่ของโรมาเนียว่า ครั้งที่โรมาเนียแบ่งเป็นแคว้นทรานซิลวาเนีย กับแคว้นวาลาเคีย มีเจ้าชายองค์หนึ่ง ชื่อ "วลาดแห่งวาลาเคีย" ได้ทำการรบต่อสู้พวกเติร์กที่มาโจมตี เจ้าชายวลาดมีความกล้าหาญเป็นที่เลื่องลือ แต่ว่าสิ่งที่เลื่องลือมากกว่ากลับเป็นเรื่องที่เจ้าชายเหี้ยมโหดต่อศัตรูผู้รุกราน

   ครั้งนั้นชาวโรมาเนียเรียกเจ้าชายว่า "วลาด แดรคูล" แปลว่า "วลาด เจ้ามังกรผยองเดช" เพราะพระบิดาของเจ้าชายวลาดนั้น ได้รับการแต่งตั้งจากพระจักรพรรดิซิกิสมุนด์แห่งนูเรมเบิร์ก ให้เป็น "อัศวินมังกร" (Knight of Dragon's Order) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตกทอดถึงทายาทด้วย เมื่อเจ้าชายวลาดขึ้นครองวาลาเคีย และยังเป็นเจ้าชายนักรบผู้กล้า 

     ผู้คนจึงเรียกเขาอย่างภูมิใจว่า "วลาด แดรโค" (Vlad Draco) เพราะ "แดรโค" เป็นภาษาละตินแปลว่า "Dragon" หรือมังกรนั่นเอง ภายหลังจึงเพี้ยนเสียงเป็น "วลาด แดรคูล" (Vlad Dracul) 
 Vlad Draco
                         
   เหตุที่คนเรียกเจ้าชายวลาดว่าเจ้าชายจอมเสียบก็เพราะว่า เจ้าชายนิยมที่จะทรมานเชลย และจะจบลงด้วยการเอาไม้เสียบทะลุร่างของเชลยอย่างโหดเหี้ยม แล้วปักไม้โชว์ร่างไร้วิญญาณของเชลยอย่างชวนสยอง ว่ากันว่าระหว่างทรมานเชลยนั้น เจ้าชายจะทรงดื่มเหล้าเสวยพระกระยาหารพร้อมดูการทรมานไปด้วย จึงเป็นที่มาของฉายานาม "วลาด นักเสียบ" ( Vlad the Impaler )

เรื่องราวโดยละเอียดของเจ้าชายวลาด


เจ้าชายวลาดที่ 3 แห่งแคว้นวาลาเคีย (ค.ศ. 1431–1476/7) หรือที่รู้จักกันจากชื่อสกุล แดรกคิวลา พระองค์ทรงได้รับสมัญญาว่า วลาดนักเสียบ (อังกฤษ: Vlad the Impaler; โรมาเนีย: Vlad Țepeș) และทรงเป็นเจ้าครองวาลาเคีย 3 สมัย ระหว่าง ค.ศ. 1456 ถึง 1462 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่อาณาจักรออตโตมันเริ่มมีอำนาจเหนือดินแดนคาบสมุทรบอลข่าน แคว้นวาลาเคียเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างฮังการีและแคว้นโมลดาเวีย ทั้งยังอยู่ใกล้อาณาจักรออตโตมาน จึงเหมือนเป็นรัฐกันชน

   พระราชบิดาทรงพระนามว่า วลาดที่ 2 ดรากูล (Vlad II Dracul)  ทรงเป็นสมาชิกสมาคมมังกร (Order of the Dragon) ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อพิทักษ์ศาสนาคริสต์ในยุโรปตะวันออก หรือเรียกว่าเป็นอัศวินมังกร(Knight of Dragon's Order) 

   ชาวโรมาเนียให้การเคารพต่อเจ้าชายวลาดที่ 3 ในฐานะวีรบุรุษนักรบของโรมาเนีย ที่ปกป้องชาวโรมาเนียในช่วงสงครามรุกรานจากอาณาจักรออตโตมาน ภัยสงครามในครั้งนั้นทำให้ชาวโรมาเนียและบัลแกเรียจำนวนมากอพยพมาสู่แคว้นวาลาเคีย 
   จากการที่เจ้าชายวลาดทรงชอบใช้ไม้แหลมท่อนยาวเสียบร่างของศัตรูแขวนไว้ จึงทำให้ชื่อเสียงของพระองค์ในด้านความโหดเหี้ยมระบือไปทั่วยุโรป คนทั้งหลายจึงเรียกพระองค์ในภาษาโรมาเนียว่า Vlad tepes ภาษาอังกฤษว่า Vlad the Impaler(มาจากคำว่าimpalement=การเสียบ) 

เจ้าชายวลาดมีอีกพระนามหนึ่งคือ วลาดิสลาฟ ดรากูลา เป็นพระโอรสของ วลาดที่ 2 ดรากูล ซึ่งพระราชบิดานั้นได้รับตรากล้าหาญ Order of the Dragon จากพระจักรพรรดิซิกิสมุนด์
                                                                        วลาดที่ 2 พระบิดาของ วลาดนักเสียบ


 วลาด ดราคูล พระบิดาของวลาดที่ 3 เป็นผู้ครองแคว้นถูกกลุ่มการเมืองที่มีฮังการีหนุนหลังแย่งบัลลังก์ แต่ก็สามารถชิงกลับมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากจักรวรรดิออตโตมาน โดยการยอมอ่อนน้อมต่ออาณาจักรออตโตมานด้วยการส่งบรรณาการไปถวายสุลต่านของอาณาจักรออตโตมาน และส่งโอรส 2องค์คือ วลาดที่ 3 และอนุชาคือ ราดู (สมญานามราดูรูปงามหรือ Radu the Handsome , (Radu Cel Frumos) ไปเป็นองค์ประกัน

 เจ้าชายทั้งสองคือ วลาดที่ 3 และ ราดู ได้รับการศึกษาจากราชสำนักออตโตมาน เรียนรู้ภาษาเติร์กและวัฒนธรรมของออตโตมานเป็นอย่างดี แต่การยอมรับในอาณาจักรออตโตมานนั้นต่างกันสุดขั๊ว โดยเจ้าชายราดูทรงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและอภิเษกกับหญิงมุสลิม ทั้งยังกลายเป็นพระสหายและแม่ทัพของ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 แต่เจ้าชายวลาดที่ 3 นั้นกลับทรงมีความเกลียดชังจักรวรรดิออตโตมานมาก

   
                                 ราดูผู้รูปงาม                            

    
                                        สุลต่านเมห์เหม็ดที่2

     ต่อมาใน ค.ศ. 1447 ฮังการีเห็นว่าแคว้นวาลาเคียดูเหมือนเอนเอียงไปทางจักรวรรดิออตโตมาน จึงวางแผนให้ขุนนางในสังกัดฮังการีสังหาร วลาดที่ 2 และจับ เมียร์ชา ซึ่งเป็นเชษฐาของวลาดที่ 3 ฝังทั้งเป็น แต่จักรวรรดิออตโตมานที่เห็นแคว้นวาลาเคียเป็นเหมือนประเทศราชได้เข้าแทรกแซง โดยช่วยให้เจ้าชายวลาดที่ 3 ขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นวาลาเคีย( Wallachia) ขณะนั้นเจ้าชายวลาดที่ 3 มีพระชนม์ 17 พรรษา เป็นการขึ้นครองแคว้นครั้งที่ 1 



                               
                                    จอห์น ฮันยาดิ (ภาษาอังกฤษ)
  
     กษัตริย์ฮังการีทรงเห็นว่าจักรวรรดิออตโตมานครอบงำให้แคว้นวาลาเคียเอนเอียงไปข้างออตโตมาน จึงได้ส่งกองทัพโจมตีแคว้นวาลาเคีย โดยมี จอห์น ฮันยาดิ(ฮุนยาดิ ยานอช Hunyadi Janos)เป็นผู้นำทัพ ครั้งนี้แคว้นวาลาเคียมีเจ้าผู้ครองแคว้นใหม่คือ วลาดิสลาฟที่ 2  





                                           วลาดิสลาฟที่ 2    


   เจ้าชายวลาดที่ 3 หนีไปอยู่ที่มอลดาเวีย โดยอยู่กับบ็อกดานที่ 2 ผู้เป็นลุง แต่ต่อมาที่มอลดาเวียเกิดสงครามกลางเมือง เจ้าชายบ็อกดานที่ 2 ถูกสังหาร ทำให้เจ้าชายวลาดต้องหนีไปยังฮังการี เมื่อ จอห์น ฮันยาดิ ทราบเรื่องก็สนับสนุนให้ วลาด ได้เป็นที่ปรึกษา เพราะฮันยาดิเห็นว่า วลาดมีความสามารถ และทราบเรื่องที่ความจริงแล้ว วลาด เกลียดสุลต่านเมห์เหม็ด

   ต่อมา จอห์น ฮันยาติ ถึงแก่กรรม วลาดจึงกลับไปยึดวาลาเคียคืนมาจาก วลาดิสลาฟที่ 2 ได้สำเร็จ เจ้าชายวลาดที่ 3 จึงขี้นครองแคว้นวาลาเคียอีกเป็นครั้งที่ 2

   เมื่อพระสันตะปาปาทรงเรียกร้องให้มีสงครามครูเสดเพื่อปกป้องยุโรปจากอาณาจักรออตโตมาน วลาดที่ 3 ก็หันมาร่วมมือกับกษัตริย์ฮังการี  ทางอาณาจักรออตโตมานได้ทวงถามบรรณาการจาก วลาดที่ 2 แต่วลาดปฏิเสธที่จะส่งบรรณาการทั้งเงินและทหารให้กับทางอาณาจักรออตโตมาน และกล่าวหาว่าทูตออตโตมานหลู่พระเกียรติด้วยการไม่ยอมถอดหมวกต่อหน้าพระพักตร์ ซึ่งเป็นการหาเหตุสังหารฑูตออตโตมานโดยตรง เพราะที่จริงหมวกที่ว่านั้นก็คือผ้าโพกศีรษะ  วลาดที่ 3 รับสั่งให้ประหารทูตด้วยการตอกตะปูลงบนศีรษะของทูต ทำให้สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ของอาณาจักรออตโตมานพิโรธส่งกองทัพบุกแคว้นวาลาเคีย 



                                   วลาดจับฑูตของจักรวรรดิออตโตมาน


   การรบในครั้งนี้นี่เองที่ วลาดที่ 3 ได้ตอบโต้จักรวรรดิออตโตมานอย่างโหดเหี้ยม คือ เอาไม้แหลมเสียบร่างของทหารออตโตมานปักไว้นับหมื่นคน ด้วยเหตุนี้เองตนทั้งหลายจึงเรียกวลาดที่ 2 ว่า The Impaler หรือ ผู้ชอบเสียบ โดยในระหว่างเอาไม้แหลมเสียบร่างศัตรูนั้น วลาดที่ 3 จะนั่งเสวยและทรงดื่มเหล้าท่ามกลางซากศพและการทรมานเชลยไปด้วย








      วลาดที่ 3 มีกำลังทหารน้อยกว่ามาก จึงใช้กลยุทธแบบกองโจรซุ่มโจมตีกองทัพออตโตมาน และอาศัยความโหดเหี้ยมในการสังหารข้าศึกเขย่าขวัญทหารออตโตมานไปด้วย  กองทัพออตโตมานกองทัพแรกที่ถูกวลาดที่ 2 ทำลายคือกองทัพทหารม้า 1,000 คน โดยถูกซุ่มโจมตีในระหว่างผ่านช่องแคบ ทหารเชลยส่วนใหญ่ถูกจับได้และถูกนำมา "เสียบร่างทั้งเป็น" คือใช้ไม้แหลมเสียบทะลุร่างกายของนักโทษทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

      นอกจากนี้ วลาดที่ 3 ยังใช้วิธีเผาทำลายเสบียงของกองทัพออตโตมาน โรยยาพิษในแม่น้ำ และสร้างทำนบกั้นเปลี่ยนทิศทางการไหลของแม่น้ำ ทั้งยังใช้สงครามเชื้อโรคโดยส่งคนที่เป็นโรคร้ายเข้าไปแพร่เชื้อในกองทัพออตโตมานอีกด้วย  


      เมื่อกองทัพออตโตมานที่อ่อนล้าเคลื่อนทัพมาถึงวาลาเคีย( Wallachia) กองทัพของวลาดที่ 3 จึงเข้าโจมตีกองทัพออตโตมานในเวลากลางคืน สร้างความเสียหายให้กับกองทัพออตโตมานอย่างหนัก  สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ตั้งพระทัยที่จะล้อมเมืองหลวงของวาลาเคีย แต่กลับพบประตูเมืองเปิดรอรับอยู่(หนังสือบางฉบับบอกว่าประตูเมืองไม่ได้ถูกเปิด แต่ที่รอบกำแพงเมืองมีร่างทหารที่ถูกเสียบเป็นปักอยู่) เมืองหลวงของวาลาเคียถูกปล่อยทิ้งร้าง ภายในเมืองมี "ป่าของคนที่ถูกเสียบทั้งเป็น" คือมีหลักที่มีร่างของทหารออตโตมานถูกเสียบทั้งเป็นปักอยู่ ราวๆ 20,000 หลัก บนหลักที่สูงที่สุดคือร่างแม่ทัพของออตโตมาน 


                                                                                       รูปการโจมตีกองทัพออตโตมาน
     
      วลาดที่ 3 อยู่กับชัยชนะได้ไม่นาน เพราะเสบียงและยุทธปัจจัยของแคว้นวาลาเคียมีน้อย ไม่เพียงพอที่จะทำสงครามยืดเยื้อ 

     ฝ่ายจักรวรรดิออตโตมานส่งกองทัพโจมตีแคว้นวาลาเคียอีก คราวนี้ผู้นำทัพของออตโตมานก็คือ ราดู ผู้เป็นอนุชาของ วลาดที่ 3 นั่นเอง ราดูเป็นผู้ที่ฝักใฝ่ในจักรวรนดิออตโตมานเป็นอย่างยิ่ง  ในที่สุด ราดู ก็สามารถยึดปราสาท Poenari ซึ่งเป็นที่มั่นสำคัญของ วลาดที่ 3 ได้ 

     ราดู ขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นวาลาเคีย( Wallachia) ในฐานะอาณานิคมของอาณาจักรออตโตมาน ส่วน วลาดที่ 3 หนีไปขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์ฮังการี ซึ่งเป็นบุตรของ จอห์น ฮันยาดิ แต่วลาดที่ 3 กลับถูกกษัตริย์ฮังการีซึ่งเป็นพันธมิตรจับขังไว้ในฮังการีเป็นเวลาหลายปี

      เมื่อราดูสิ้นพระชนม์ วลาดที่ 3 ได้ต่อรองกับกษัตริย์ฮังการีจนได้พ้นจากการถูกคุมขัง กลับไปยังแคว้นวาลาเคีย( Wallachia) และขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นอีกเป็นครั้งที่ 3 
     แต่ วลาดที่ 3 ครองแคว้นวาลาเคียเป็นเวลาสองเดือน แล้วสิ้นพระชนม์อย่างลึกลับ



                                                     ปราสาทบรานที่เจ้าชายวลาดเคยประทับ



                                                             
                                                                แผนที่โบราณแสดงดินแดนโรมาเนีย ซึ่งรวมถึง วาลาเคียด้วย




       เจ้าชายวลาดที่ 3 เป็นที่รู้จักทั่วทั้งยุโรปในฐานะของผู้ครองแคว้นที่โหดเหี้ยม ชอบการทรมาน ประวัติของเจ้าชายวลาดที่ 3 มีทั้งในด้านโหดเหี้ยมอำมหิตที่ชอบฆ่าเป็นศัตรูทางการเมืองและทหารฝ่ายตรงข้ามด้วยการเสียบทั้งเป็น ทั้งยังฆ่าพลเรือนออตโตมานโดยไม่เลือกว่าเป็นชายหญิงเด็กหรือคนแก่ 

     จากจดหมายของวลาดที่ 3 เองได้บอกว่า ครั้งหนึ่งได้ฆ่าจำนวนพลเรือนที่ตายมากถึงเกือบ 24,000 คนและทั้งหมดเป็นชาวนาชาวไร่ไม่ใช่ทหาร เป็นการใช้ประโยชน์จากความกลัวมาปกครอง ประเภทใครตามอยู่ ใครฝืนตาย

     ในขณะเดียวกันคนในยุโรปและชาวโรมาเนียก็มองว่า เจ้าชายวลาดที่ 3 เป็นวีรบุรุษ เจ้าชายวลาดที่ 3 เป็นผู้ต่อต้านการรุกรานของอาณาจักรออตโตมาน แต่แล้วในที่สุดเจ้าชายวลาดที่ 3 กลับถูกตอบแทนด้วยการถูกทรยศ 

        ในที่สุดตระกูล วลาด แดรโค ก็กลายไปเป็น แดรคู และในที่สุดก็เป็น แดร๊กคูล่า






 จากประวัติของเจ้าชายวลาดจอมเสียบ ต่อมากลายไปเป็นตำนานแวมไพร์หรือผีดูดเลือด ที่ชาวโรมาเนียเล่าขานสืบต่อกันมา เมื่อ บราม สโตเกอร์ เขียนเรื่องแดร๊กคูล่าขึ้นมา จึงมีการเล่าว่า เรื่องแด๊กคูล่าผีดิบดูดเลือดนี้ เป็นการเอาประวัติของเจ้าชายวลาดที่3มาดัดแปลง

     แต่จากประวัติของ บราม สโตเกอร์ ได้บอกว่า บราม สโตเกอร์เกิดฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้นจึงได้แต่งเรื่อง แดร๊กคูล่า ซึ่งต่อมามีชื่อเสียงไปทั่วโลก
     
ประวัติ บราม สโตเกอร์....จากวิกิพีเดีย
     บราม สโตกเกอร์ Bram Stoker) มีชื่อจริงว่า อับราฮัม สโตกเกอร์ (Abraham Stoker) เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1847(พ.ศ.2390) ที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เป็นบุตรชายคนที่ 3 จากบรรดาพี่น้องทั้งหมด 7 คน บิดาของสโตกเกอร์เป็นข้าราชการ ส่วนมารดาซึ่งเป็นนักเรียกร้องสิทธิสตรีรุ่นแรก ๆ เมื่อวัยเด็กสโตกเกอร์เป็นเด็กร่างกายอ่อนแอมาก จนไม่สามารถที่จะยืนตัวตรงได้จนกระทั่งอายุ 7 ขวบ ทำให้เป็นคนช่างฝันและจินตนาการและชอบอ่านหนังสือ สโตกเกอร์ชื่นชอบในเรื่องประวัติศาสตร์ยุโรป, การเล่นแร่แปรธาตุ และที่ชอบมากที่สุดคือเรื่องเกี่ยวกับ แวมไพร์ ผีร้ายตามความเชื่อของชาวยุโรปในยุคกลาง ซึ่งได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานเขียนวรรณคดีชิ้นสำคัญต่อไป

เมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่น สโตกเกอร์กลับมีร่างกายแข็งแรงถึงขนาดเป็นนักกีฬาแชมเปี้ยนของโรงเรียนโดยเฉพาะฟุตบอล สโตกเกอร์เรียนจบจากทรินิตีคอลเลจในดับลิน (Trinity College, Dublin) จากนั้นก็เข้ารับราชการตามรอยบิดา พร้อมกับเริ่มเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ เดอะ ไอริช อีโค (The Irish Echo) และได้รู้จักกับเหล่านักเขียน นักแสดงจากลอนดอน ในที่สุดเมื่ออายุ 31 ปี เพื่อนนักแสดงละครเวทีของเช็คสเปียร์ชาวอังกฤษชื่อ เฮนรี่ ไอร์วิ่ง (Henry Irving) ช่วยให้เขาได้งานบริหารพิพิธภัณฑ์ไลเซียม เธียเตอร์ในลอนดอน (Lyceum Theatre, London) สโตเกอร์แต่งงาน มีลูกชายหนึ่งคน แต่ต่อมาก็อยู่แยกกับภรรยา แต่ก็ยังไปปรากฏตัวร่วมกันเมื่อออกงานสังคม

งานเขียนทั้งหมดของสโตกเกอร์มีทั้งหมด 32 เรื่อง ทั้งนวนิยาย, สารคดี, เรื่องสั้นและงานวิจารณ์ แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องไหนที่จะประสบความสำเร็จเท่า แดร๊กคูลาที่แต่งเมื่อในปี ค.ศ. 1897 ซึ่งกล่าวกันว่าสโตกเกอร์ได้แนวคิดเกี่ยวกับแวมไพร์นี้มาจากฝันร้ายของเขาเอง จากนั้นเขาก็ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องแวมไพร์นี้อย่างจริงจังในห้องสมุด

     สโตกเกอร์เสียชีวิตด้วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกเมื่ออายุได้ 64 ปี เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1912 ที่กรุงลอนดอน แต่ผลงานประพันธ์เรื่อง Dracula ยังคงเป็นตำนานอมตะแห่งผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ตลอดมา

 ภาพยนตร์เรื่อง แดร๊กคูล่า

ปีค.ศ.1931 ภาพยนตร์เรื่องแดร๊กคูล่าได้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมี Bela Lugosi แสดงนำเป็นท่านเคาท์แดร๊กคูล่า ภาพยนตร์เป็นหนังขาวดำ แต่ความเป็นหนังขาวดำยิ่งทำให้ดูแล้วเกิดความรู้สึกหวาดๆตามมา หลังจากนั้น Bela Lugosi ยังคงสวมบทบาทท่านเคาท์แดร๊กคูล่ามาอีกหลายเรื่อง เรียกว่าเล่นเป็นแดร๊กคูล่ามาจนแก่
     Bela Lugosi แสดงเป็นท่านเคาท์แดร๊กคูล่าได้อย่างแนบเนียบสุดยอด สายตาแสดงออกมาถึงความดุร้ายน่าสะพรึงกลัวโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดอะไรเลย 
     ต่อมา Christopher Lee เข้ามาสวมบทบาทท่านเคาท์แดร๊กคูล่า ซึ่งก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน การแสดงออกทางสายตาจะออกไปในทางกระหายเลือด

เนื้อเรื่องย่อของ Dracula By Bram Stoker

   โจนาธาน ฮากเกอร์ เดินทางจากลอนดอนไปทรานซิลเวเนีย เพื่อทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับเค้าท์แดร๊กคูล่า ระหว่างเดินทางได้เห็นสิ่งผิดปกติจากผู้คนที่เห็นคนใช้ของแดร๊กคูล่าที่มารับเขา เมื่อไปถึงปราสาทแล้วโจนาธานถูกเค้าท์แดร๊กคูลากักไว้ในปราสาทพร้อมกับแวมไพร์สาว 3 นาง แล้วเค๊าท์แดร๊กคูล่าได้ออกเดินทางจากทรานซิลเวเนียไปประเทศอังกฤษโดยทางเรือ พร้อมขนโลงศพใส่ดินของบริเวณปราสาทจำนวน 50 ใบไปด้วย








ขณะเดียวกัน มีนา คู่หมั้นสาวของโจนาธานรู้สึกเป็นกังวลที่โจนาธานหายตัวไป และลูซีเพื่อนสาวของเธอที่กำลังเข้าพิธีแต่งงานกับอาเธอร์ โฮล์มวูด มีพฤติกรรมแปลก ๆ จะเหม่อลอยในเวลาที่ตื่นและเดินละเมอในเวลาที่หลับ แล้วลูซีก็มีอาการเลือดหมดตัวไป จอห์น เซวาร์ด ร้อนใจมากจึงมีจดหมายไปหา ศาสตราจารย์อับราฮัม แวน เฮลซิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคประหลาด ศาสตราจารย์ แวน เฮลซิง เดินทางมาถึงลอนดอน ก็ต้องตกใจกับอาการของลูซี และลูซีก็กลายเป็นแวมไพร์ไปในที่สุด จึงต้องทำลายเธอลงด้วยการใช้ลิ่มตอกลงไปที่หัวใจ






   ภายหลังจากที่ลูซีตายแล้ว โจนาธานหลบหนีออกมาได้จากปราสาทแดร๊กคูล่าที่โรมาเนีย และได้กลับมาหามีนาที่อังกฤษ แต่มีนาถูกแดร๊กคูล่าสะกดจิตและกัดต้นคอดูดเลือด จนกลายเป็นบริวาร ต่อมาศาสตราจารย์ แวน เฮลซิง หาวิธีช่วยด้วยการเปลี่ยนถ่ายเลือด แล้วตามล่าแดร๊กคูล่าไปจนถึงโรมาเนีย

    กว่าจะปราบท่านเคาท์แดร๊กคูล่าได้ ก็ต้องเสียเพื่อนร่วมขบวนไปด้วยอย่างน่าเศร้าใจ

    แต่...ท่านเคาท์แดร๊กคูล่าก็สามารถฟื้นขึ้นมาในหนังภาคต่อไป และยังคงฟื้นขึ้นมาทุกภาคโดยจะต้องมีคนเอาเลือดมนุษย์ไปรดลงบนเถ้าของร่างท่านเคาท์แดร๊กคูล่า แล้วท่านเคาท์แดร๊กคูล่าก็จะลุกขึ้นมาสร้างความหวาดเสียวต่อเสมอ























*ภาพและเรื่องจากวิกิพิเดียหลายตอน แปลและเรียบเรียงใหม่















1 ความคิดเห็น:

  1. เปนหนังที่ชอบดูมากตอนเดกๆจะฉายตอนกลางคืนช่อง๔หรือช่อง๑๑ในสมัยนั้น๒๕๑๔หรือกว่านั้นต่อมาช่อง๗เอามาฉายในรายการช๊อคซีนีม่าหนังคลาสิคเล่นด้วยหน้าตาท่าทางเหมือนละครบรอดเวย์แต่เปนหนังขาวดำมีส้กับแฟรงเกนสไตน์บ้างมัมมี่บ้างแต่ที่ชอบส้กับมนุษย์หมาป่าครับ๕๕๕

    ตอบลบ