ของท่านพระโพธิธรรม(ปรมาจารย์ตั๊กม้อ)
พระโพธิธรรม เดิมเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓ ของพระเจ้าแผ่นดิน แคว้นคันธารราษฏร์
ประเทศอินเดีย ต่อมาได้เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาพุทธที่ประเทศจีน ท่านเป็นที่รู้จักกันในชื่อภาษาจีนว่า
ตะโม โต๊ะโหมว หรือ ตั๊กม้อ นามตั๊กม้อนี้พอได้ยินแล้วคนทั้งหลายจะนึกถึงวัดเส้าหลิน
หรือ วัดเสี้ยวลิ้ม ทันที
พระโพธิธรรมหรือพระปรมาจารย์ตั๊กม้อได้ไปพำนักอยู่ที่วัดเส้าหลิน
ต่อมาท่านเห็นพระทั้งหลายมีสุขภาพไม่แข็งแรง ท่านจึงคิดท่ามวยหรือจะเรียกว่าเป็นท่ากายบริหารในทำนองโยคะ
ท่านได้สอนให้พระในวัดฝึกหัดตามท่าต่างๆเหล่านี้ เพื่อทำให้มีสุขภาพแข็งแรง
ซึ่งได้มีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เรียกกันว่ามวยเส้าหลิน และยังมีแบบที่นิยมกันมากอีกแบบก็คือ
คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ที่คนสมัยนี้เรียกกันว่า แกว่งแขนรักษาโรค นั่นเอง
วัดเส้าหลิน |
พระโพธิธรรม เดินทางจาริกจากประเทศอินเดียสู่แผ่นดินจีน
เริ่มเดินทางเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๐๖๗ นับเป็นพระสังฆปรินายกของทางจีนองค์ที่
๑ ถ้านับทางอินเดียแล้วท่านเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๒๘ พระโพธิธรรมเป็นผู้ซึ่งได้รับ
การถ่ายทอดธรรมะ ด้วยวิธีแห่งจิตสู่จิต ทั้งยังเป็นผู้ได้รับ บาตร จีวร และสังฆาฏิ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระสังฆปรินายกเป็นผู้รักษาการสืบต่อๆกันมาตามลำดับ
พระประวัติเดิมของพระโพธิธรรม เดิมเป็นราชโอรสองค์ที่
๓ ของกษัตริย์แห่งแคว้นคันธารราษฎร์
ประเทศอินเดีย ตั้งแต่ พระชนม์มายุยังเยาว์ ก็ทรงแตกฉานในคัมภีร์ของทุกศาสนา ทั้งวรรณคดีอักษรศาสตร์
และการแพทย์
เมื่อพระบิดาของท่านสิ้นพระชนม์ ท่านได้นั่งเข้าฌานสมาบัติที่เบื้องหน้าพระบรมศพนานถึง
๗ วัน หลังจากนั้น จึงได้ไปศึกษาธรรมะอยู่กับ พระปรัชญาตาระเถระซึ่งเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่
๒๗ ของอินเดีย
วันหนึ่งพระปรัชญาตาระเถระ ได้หยิบลูกแก้วชูขึ้นให้พระโพธิธรรมดูเป็นปริศนา
พระโพธิธรรมก็เกิดปัญญาเกิดความสว่างไสว ได้บรรลุธรรมในฉับพลัน เข้าใจในสภาวะธรรมทั้งหลาย
พระปรัชญาตาระเถระพิจารณาเห็นปัญญาบารมีอันสูงยิ่งของพระโพธิธรรม
จึงได้เรียกประชุมสงฆ์สาวกทั้งปวงประกาศให้พระโพธิธรรมเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๒๘
เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา และรับมอบ บาตร จีวร และสังฆาฏิ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ภาพวาดพระโพธิธรรมของญี่ปุ่น |
พระโพธิธรรมได้ออกเดินทางจากอินเดียสู่ประเทศจีนเมื่อปีพ.ศ.๑๐๖๗ ใช้เวลาเดินทางถึง
๓ ปี จึงได้มาถึงมณฑลกวางตุ้ง ในสมัยของพระเจ้าเหลียงบู้ตี้ (ประมาณ พ.ศ. ๑๐๗๐) ได้มีบันทึกไว้ว่า ขณะที่พระโพธิธรรม เดินทางมาถึงฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียง ท่านจะข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่งแต่หาเรือไม่ได้
จึงได้ถอนต้นอ้อต้นหนึ่งโยนลงไปในลำน้ำ แล้วกระโดดลงไปยืนบนต้นหญ้าเล็กๆนั้นลอยข้ามแม่น้ำไปได้
ต่อมาพระโพธิธรรมพร้อมด้วยลูกศิษย์นามว่า
เสินกวง ได้เดินทางไปยังภูเขา ซงซัว และพำนักอยู่ที่วัด เส้าหลิน (เซี่ยวลิ้มยี่)
ณ สถานที่แห่งนี้พระปรมาจารย์โพธิธรรมได้นั่งหันหน้าเข้าผนังถ้ำ
ปฏิบัติสมาธิเข้าฌานอยู่ถึง ๙ ปี
พระโพธิธรรมได้ถ่ายทอดธรรมะให้แก่พระเสินกวง
ด้วย จิตสู่จิต และให้พระเสินกวงสืบทอดตำแหน่ง เป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๒ จากนั้นพระโพธิธรรมเดินทางไปพำนักอยู่ ณ วัด ไซเซี่ยยี่
ซึ่งอยู่ที่เมืองอู๋มึ้ง จนกระทั้งถึงวันมรณภาพ
พระปรมาจารย์โพธิธรรมได้ดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน
ณ วัดแห่งนี้ โดยประทับนั่งอยู่ในสมาธิฌานสมาบัติ รวมมี พระชนม์มายุได้ ๑๕๐ พรรษา เล่ากันว่า
ต่อมาเหล่าลูกศิษย์ได้เปิดโลงดูพบเพียงรองเท้าหญ้าของท่านพระโพธิธรรมอยู่ในโลง
แต่ไม่พบร่างของท่านเลย ยังเล่ากันต่อไปว่า มีคนเห็นพระโพธิธรรมเดินธุดงค์
รูปตั๊กม้อเหยียบปล้องหญ้าข้ามแม่น้ำ |
ที่มาของคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น
ครั้งหนึ่งในระหว่างที่ท่านพระโพธิธรรมเทศนาและสอนการทำสมาธิ
ท่านเห็นพระหลายรูปถึงกับหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มีสาเหตุมาจากการที่มีสุขภาพอ่อนแอนั่นเอง ท่านพระโพธิธรรมเห็นว่าต้องทำให้พระเหล่านี้มีร่างกายแข็งแรงก่อน จึงจะสามารถปฏิบัติธรรมได้
พระโพธิธรรมจึงได้คิดค้นท่าบริหารร่างกาย สำหรับให้พระลูกศิษย์ฝึกออกกำลังกาย
เพื่อส่งเสริมสุขภาพร่างกาย ท่านได้คิดค้นบันทึกไว้เป็นคัมภีร์
๓ เล่มได้แก่
๑. 換筋功 คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น
๒. 洗髄功 คัมภีร์ฟอกไขกระดูก
๓. 十八羅漢禦 ฝ่ามือสิบแปดอรหันต์
คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น หรือ คัมภีร์อี้จินจง ก็คือการบริหารแกว่งแขนรักษาโรคนั่นเอง
การแกว่งแขนแบบนี้เชื่อกันว่ารักษาโรคได้บางโรค
แต่จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ถ้ามาพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าอย่างน้อยก็เป็นการออกกำลังกายแบบหนึ่ง
เมื่อได้ทดลองทำตามคัมภีร์แล้ว เห็นแค่เพียงท่าแกว่งแขนง่ายๆ ท่านที่ทำแล้วจะเหงื่อหยดติ๋งๆกันเลยทีเดียว
ตำราแกว่งแขนหรือคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นแบบนี้
ได้มีผู้เผยแพร่ไปแล้วไม่น้อยเลย จึงได้มีตำรานี้หลายสำนวน
ซึ่งมีหลักไม่แตกต่างกัน จะต่างกันที่ถ้อยคำบ้างเล็กน้อย
ตำราแกว่งแขนรักษาโรคหรือคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นมีดังนี้
๑. ยืนตรง เท้าทั้งสองข้างแยกออกจากกัน
กะระยะให้มีระยะห่างเท่ากับช่วงไหล่
๒. มือทั้งสองข้างปล่อยลงตามธรรมชาติ
อย่าเกร็งนิ้วมือชิด หันอุ้งมือไปข้างหลัง
๓. หดท้องน้อย เอวตั้งตรง เหยียดหลัง
ผ่อนคลายกระดูกลำคอ ศีรษะ ปาก ให้เป็นธรรมชาติ
๔. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น
ออกแรงเหยียบส้นเท้ากลงพื้นให้แน่น จนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่โคนเท้าและท้องตึง
๕. สายตาทั้งสองข้าง
มองตรงไปยังจุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียว ไม่คิดฟุ้งซ่าน ให้ความสนใจอยู่ที่เท้าเท่านั้น
๖. ยกมือแกว่งแขนไปข้างหน้าเบา ๆ จะตรงกับคำว่า
“ว่างและเบา” ความสูงของแขนที่แกว่งให้อยู่ระดับที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่สูงเกินไป
ให้ทำมุมกับลำตัวประมาณ ๓๐ องศา นับครั้งที่แกว่งแขนไปด้วย เมื่อแกว่งแขนกลับให้เพิ่มแรงแกว่งกลับมีมุมประมาณ
๖๐ องศา จนรู้สึกว่าไม่สูงไปกว่านั้น เรียก "แน่นและหนัก"
การแกว่งแขนนี้แรกๆทำสัก ๒๐๐ - ๓๐๐ครั้ง ต่อไปทำให้ได้ประมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ครั้ง
ยังมีเคล็ดในการแกว่งแขนประมวลไว้อีกดังนี้
๑.ส่วนบนปล่อยให้ว่าง
คือ ศีรษะควรปล่อยให้ว่างเปล่า มีสมาธิ
๒.ส่วนล่างควรจะให้แน่น
ส่วนล่างของร่างกายใต้บั้นเอวลงไปต้องให้ลมปราณเดินได้สะดวก
๓.ศีรษะแขวนลอย
หมายถึงศีรษะต้องปล่อยสบายประหนึ่งแขวนลอยไว้ในอากาศ กล้ามเนื้อคอต้องผ่อนคลาย
ไม่เกร็งไม่โน้มไปข้างหน้าไม่หงายไปข้างหลัง หรือไม่เอียงไปข้างๆ
๔.ไม่หุบปากหรืออ้าปากไปตามจังหวะที่ออกแรงแกว่งแขน
ไม่ควรให้ปากอ้าตามใจชอบ แต่ควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อและหุบปากเพียงเล็กน้อย
๕.ทรวงอกเหมือนปุยฝ้าย
คือ ให้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนทรวงอกผ่อนคลายแบบธรรมชาติ
๖.หลัง
ควรยืนตรงให้ตระหง่าน หมายความว่าไม่แอ่นหน้า แอ่นหลัง หรือก้มตัวจนหลังโก่ง
ต้องให้แผ่นหลังยืดตรงตามธรรมชาติ
๗.บั้นเอวตั้งตรงเป็นแกนเพลา หมายถึงบั้นเอวต้องอยู่ในลักษณะตรง
๘.ลำแขนควรแกว่งไกว
หมายถึงแกว่งแขนทั้งสองข้างไปมา
๙.ข้อศอกควรปล่อยให้
ลดต่ำตามธรรมชาติ หมายถึงขณะแกว่งแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้าและข้างหลังนั้น
อย่าให้แขนแข็งทื่อ ควรงอข้อศอกเล็กน้อยตามธรรมชาติ
๑๐.ข้อมือควรปล่อย
ให้หนักหน่วง หมายถึงขณะที่แกว่งแขนทั้งสองข้างนั้น
แขนทั้งสองข้างนั้นควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ข้อมือ
เมื่อไม่เกร็งแล้วจะรู้สึกมือหนัก
๑๑.สองมือควรพายไปตามจังหวะแกว่งแขน
หมายถึงขณะที่แกว่งแขนนั้น ทำท่าคล้ายพายเรือ
๑๒.ช่วงท้องควรปล่อยตามสบาย คือ
เมื่อกล้ามเนื้อท้องถูกปล่อยให้ผ่อนคลายแล้ว จะรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้น
๑๓.ช่วงขาควรผ่อนคลาย
หมายถึงขณะที่ยืนให้เท้าทั้งสองข้างแยกห่างกันนั้น ควรผ่อนกล้ามเนื้อช่วงขา
๑๔.บั้นท้ายควรให้งอนขึ้นเล็กน้อย
ระหว่างทำกายบริหารนั้นต้องหดก้น คล้ายยกสูงให้หดหายไปในลำไส้
๑๕.ส้นเท้าควรยืนถ่วงน้ำหนักเสมอก้อนหิน
หมายถึง การยืนด้วยส้นเท้าที่มั่นคง ยึดแน่นเหมือนก้อนหินไม่มีการสั่นคลอน
๑๖.ปลายนิ้วเท้าควรจิกแน่นกับพื้น
หมายถึงขณะที่ยืนนั้น ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้าง ควรจิกแน่นกับพื้นเพื่อยึดให้มั่นคง
คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อนี้ ภาษาจีนเรียก
ต๋าโม๋อี้จินจิง ท่านที่ได้เคยทำเป็นประจำต่างบอกว่าดีมาก
ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างประหลาด
เรื่องนี้จะว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลหรืออะไรก็ตาม
แต่ถ้าทำดูแล้วแรกๆบางคนถึงกับหอบแฮ่กๆเพราะรู้สึกเหนื่อย
เหงื่อหยดติ๋งๆกันเลยทีเดียว เราจึงพออนุมานได้ว่า การแกว่งแขนรักษาโรคนี้อย่างน้อยก็สามารถนับเป็นการออกกำลังกายได้แบบหนึ่ง
ไม่ต้องใช้พื้นที่มากมาย ทั้งทำได้ในทุกที่
นับได้ว่าการแกว่งแขนแบบนี้มีประโยชน์กับทุกๆคนทุกวัย สามารถทำได้ทั้งนั้น
ของอย่างนี้ต้องทำกันเอง มีเงินมากสักเท่าไรก็หาซื้อไม่ได้
การที่จะมีสุขภาพดีนั้น ในขั้นแรกเราต้องรู้จักดูแลตัวเองก่อน
การแกว่งแขนตามตำรานี้นับได้ว่าทั้งสะดวก ทั้งทำได้ในทุกสถานที่
สุขภาพดีไม่มีขายนะขอรับ เราต้องทำกันเอง
พระโพธิธรรมกับเครื่องหมายเซ็น |
จากหนังสือ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น (พิมพ์หลายครั้ง) หลายสำนวน
ภาพจาก วิกิพิเดีย
สวดยอดเลยครับๆๆๆๆ.......สาธุๆๆ.......ขอบคุณครับๆๆ....
ตอบลบดีมากๆเลยครับ สาธุๆๆ
ตอบลบ