หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน
หลวงพ่อโตบางพลี |
วัดบางพลีใหญ่ในนี้ชาวบ้านใกล้ไกลแทบทุกคนมักจะเรียกกันว่า “วัดหลวงพ่อโต” เหตุที่เรียกกันดังนี้
ก็เพราะว่ามีพระพุทธรูปปางมารวิชัย (สะดุ้งมาร)ที่มีขนาดใหญ่โตมาก เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์
หน้าตักกว้าง ๓ ศอก ๑ คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถของวัดบางพลีใหญ่ใน ตามตำนานประวัติของหลวงพ่อโต
ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า
ประมาณกาล
๒๐๐ กว่าปีล่วงมาแล้วได้มีพระพุทธรูป ๓ องค์ ปาฏิหาริย์ลงมาจากทางเหนือ
ลอยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดมา พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์นี้เข้าใจว่าปวงชนในกรุงศรีอยุธยาคงอาราธนาท่านลงสู่แม่น้ำเพื่อหลบหนีข้าศึกด้วยในสมัยนั้นบ้านเมืองได้เกิดสภาวะสงครามขึ้นกับพม่า
พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ ได้แสดงอภินิหารลอยล่องมาตามลำแม่น้ำ
และบางครั้งก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ผุดให้ผู้คนเห็นตามลำดับ จนเป็นที่เล่าขานกันทั่ว
ถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน
จนล่วงมาถึงตำบลๆหนึ่งท่านก็ได้ผุดให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์
พวกเหล่าประชาชนในตำบลนั้นต่างก็พร้อมใจกันทำพิธีอาราธนาท่านขึ้นสู่ฝั่ง
ฝูงชนประมาณสามแสนคนช่วยกันฉุดลากชะลอองค์ท่านขึ้นมาบนฝั่ง ก็ไม่สามารถนำท่านขึ้นสู่ฝั่งได้
และท่านก็กลับจมลงหายในแม่น้ำอีก
ยังความเศร้าโศกเสียดายของประชาชนในตำบลนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาตำบลนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่า “ตำบลสามแสน”
แต่ต่อมาก็ถูกเรียกกลับกลายเป็นสามเสน “ตำบลสามเสน”
มาจนกระทั่งบัดนี้
พระพุทธรูปได้ล่องลอยทวนน้ำมาทั้ง ๓ องค์ โดยลำดับ ครั้งหนึ่งปรากฏว่าได้ล่องลอยไปจนถึงวัดฉะเชิงเทรา
แสดงอภินิหารปรากฏให้ผู้คนเห็นอีกประชาชนต่างก็ได้ช่วยกันอาราธนาและฉุดชะลอท่านขึ้นจากลำน้ำแต่ก็ไม่สำเร็จอีก
พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ ได้ลอยทวนน้ำและจมหายไป ณ ที่แห่งนั้น จึงได้ชื่อว่า
สามพระทวน แต่ต่อมาก็ได้เรียกกันเป็น สัมปทวน คือตรงบริเวณหน้าวัดสัมปทวน
อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทราในปัจจุบัน
พระพุทธรูปทั้ง
๓ องค์ ท่านล่องลอยผ่าน ณ ที่ใด ที่นั่นก็จะมีชื่อเรียกกันใหม่ทุกครั้ง ดังเช่น
ท่านได้แสดงอภินิหารล่องลอยให้ผู้คนเห็นเป็นอัศจรรย์เรื่อยมาในแม่น้ำบางปะกง
ผู้คนมากมายอีกตำบลหนึ่งพยายามที่จะอาราธนาท่านขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จอีก ณ
สถานที่นั้นจึงได้มีเรียกชื่อกันว่า “บางพระ”
ซึ่งเรียกว่า คลองบางพระในปัจจุบัน
ครั้นต่อมาภายหลังปรากฏว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่งไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่
วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม
และต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกันพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งก็ไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร
จังหวัดฉะเชิงเทรา และอีกองค์หนึ่งได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ปาฏิหาริย์ลอยวกเข้ามาในลำคลองสำโรง
ประชาชนพบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่วถึงความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหาร
พร้อมกับพากันอาราธนาท่านขึ้นที่ปากคลองสำโรงนั้น แต่ท่านก็ไม่ยอมขึ้น
ในที่นั้นได้มีผู้มีปัญญาดีคนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า
ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่านแม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งไม่สำเร็จเป็นแน่
ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน
แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยตามลำน้ำสำโรงและอธิษฐานว่า “หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใดก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ
ที่นั้นเถิด”
เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องดีกันดังนั้นแล้ว
ก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่านแล้วใช้เรือซึ่งสมัยนั้นเป็นเรือพายทั้งสิ้น ช่วยกันจ้ำพายจูงแพลอยเรื่อยมาตามลำคลอง
เรือที่ใช้ลากจูงแพมานั้นมีชื่อแปลกต่างๆ กันเช่นชื่อ ม้าน้ำ เป็ดน้ำ ตุ๊กแก
และอื่นๆ เป็นต้น และจัดให้มีการละเล่นต่างๆ มีละครเจ้ากรับรำถวายมาตลอดทาง
และยังมีการละเล่นอื่น ๆ ครึกครื้นมาตลอดทั้งลำน้ำ
ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงครามหรือวัดบางพลีใหญ่ใน แพที่ผูกชะลอองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่ง คนทั้งหลายพยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง
แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ประชาชนที่มากับเรือและชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่ด้วยความเคารพ
และเปี่ยมด้วยสักการะ จึงได้พร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้วก็
ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด”
แล้วก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากเพียงใช้คนไม่มาก
ก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย
ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่านเป็นอย่างยิ่ง
และได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในพระวิหารนั้นเรื่อยมา
การชะลอหลวงพ่อโตมาประดิษฐานที่พระวิหารนั้น เนื่องจากประตูพระวิหารมีขนาดเล็กกว่าองค์หลวงพ่อโต
และขณะนั้นยังไม่ได้สร้างหลังคา จึงต้องชะลอยกหลวงพ่อโตข้ามผนังพระวิหารไปประดิษฐาน
ซึ่งเหล่าพุทธศาสนิกชนต่างพร้อมใจกันสามัคคียกหลวงพ่อโตข้ามผนังไปประดิษฐานได้สำเร็จ
ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นอีกเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร
จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว
จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ
เพื่อเป็นพระประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน การที่ท่านได้พระนามว่า “หลวงพ่อโต” นั้นคงเป็นเพราะองค์ของท่านใหญ่โตสมกับที่ประชาชนเรียก
คือ ใหญ่โตกว่าองค์ที่ลอยน้ำมาด้วยกันอีก ๒ องค์
จึงถือเป็นนิมิตอันดีให้ประชาชนพากันถวายนามว่า “หลวงพ่อโต”
เป็นสิ่งที่เคารพสักการะของชาวบางพลี
และเป็นมิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ในมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ประชาชนนิยมเรียกท่านว่ าหลวงพ่อโตบางพลี หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน
การลำดับว่าในพระพุทธรูป ๓ องค์ที่ลอยน้ำมานั้น องค์ไหนองค์พี่ องค์กลาง
องค์น้อง เข้าใจว่าคงจะนับเอาองค์ที่อาราธนาขึ้นจากน้ำเรียงกันตามลำดับคือ
องค์ที่ขึ้นจากน้ำได้ก่อนเป็นองค์พี่ ขึ้นจากน้ำองค์ที่ ๒ เป็นองค์กลาง ขึ้นจากน้ำองค์ที่
๓ เป็นองค์น้อง ตามลำดับคือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม
อาราธนาขึ้นจากน้ำเป็นองค์ที่ ๑ หลวงพ่อโสธร วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา
อาราธนาขึ้นจากน้ำเป็นองค์ที่ ๒ และหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการ
อาราธนาขึ้นจากน้ำเป็นองค์ที่ ๓
ปาฏิหาริย์หลวงพ่อโตเนื้อนิ่ม
ประชาชนที่มากราบนมัสการหลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ในนั้นมีมากมาย
ต่างก็เชื่อว่าบุญบารมีอภินิหารของหลวงพ่อโตจะช่วยเหลือคราวเดือดร้อนได้
ในแต่ละวันจึงมีประชาชนทั่วทุกสารทิศมากราบและอธิษฐานขอพรหลวงพ่อโตกันมาก
วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน
ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ชวนให้พิศวงอัศจรรย์ใจยิ่งคือ
ในขณะที่ประชาชนหลั่งไหลกันมาปิดทองที่องค์หลวงพ่อโตนั้น
อยู่ๆองค์หลวงพ่อโตที่เป็นโลหะเนื้อสัมฤทธิ์นั้น
เกิดปาฏิหารย์กลายเป็นเนื้อนิ่มขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์ใจ
ประชาชนที่มาปิดทองต่างทดลองเอามือกดลงตรงผิวของหลวงพ่อโต ปรากฏว่าจากเนื้อโลหะแข็งกลับกลายเป็นเนื้อนิ่ม
ข่าวหลวงพ่อโตเนื้อนิ่มกลายเป็นข่าวมงคลที่สาธุชนต้องการพิสูจน์ และนมัสการหลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน
แล้วต่างก็ต้องพบว่าหลวงพ่อโตเนื้อนิ่มจริงๆ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๒๒ เกิดปรากฏการณ์หลวงพ่อโตเนื้อนิ่มเหมือนเช่นเคย อัศจรรย์จริงๆ
ประเพณีรับบัวหลวงพ่อโตบางพลี
ที่วัดหลวงพ่อโตบางพลีหรือวัดบางพลีใหญ่ใน
มีประเพณีรับบัวซึ่งเป็นเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ประเพณีนี้มีประวัติความเป็นมาจากความรักใคร่กลมเกลียวกันระหว่างชาวไทยและชาวมอญ
มีประวัติความเป็นมาดังนี้
เดิมแถบอำเภอบางพลีมีชาวไทย ชาวลาว และชาวรามัญ ตั้งถิ่นฐานอยู่ร่วมกัน
ต่อมาได้ร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นและหาทางขยายที่ทำกิน
ต่างช่วยกันถากถางที่รกร้างและดูแลคูคลอง จนทำกันขยายวงมาถึงสามแยกที่ลำคลอง ๓
สายมาบรรจบกันคือ คลองสลุด คลองชวดลากข้าว และคลองลาดกระบัง
จากนั้นจึงได้แยกกันขยับขยายไปตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้น
โดยชาวไทยอยู่ที่คลองชวดลากข้าว ชาวลาวไปอยู่คลองสลุด ชาวรามัญไปอยู่คลองลาดกระบัง
ต่อมาชาวรามัญที่คลองลาดกระบังประสบปัญหาเรื่องศัตรูพืช
จึงคิดย้ายกลับไปยังถิ่นฐานเดิมที่มีชาวรามัญอยู่ ซึ่งก็คือที่ปากลัดอำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ
กำหนดการเดินทางคือย่ำรุ่งของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑
โดยชาวรามัญเก็บดอกบัวนำไปเพื่อจะไปถวายบูชาพระคาถาพันที่จุดหมายปลายทาง
ชาวรามัญขอให้ในปีต่อๆไปขอให้ชาวไทยช่วยรวบรวมดอกบัวนำไปไว้ที่หลวงพ่อโตบางพลี
เพื่อที่ชาวรามัญจะเดินทางมารับดอกบัวนำไปบูชาพระคาถาพัน
และอัญเชิญน้ำมนต์หลวงพ่อโตไปเป็นศิริมงคลด้วย
ในปีต่อมาเมื่อถึงวันขึ้น
๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ชาวไทยที่บางพลีได้พร้อมใจกันเก็บดอกบัวมาไว้ที่วัดหลวงพ่อโตบางพลี
ตามที่ได้สัญญากันไว้กับชาวรามัญ และชาวรามัญก็ได้เดินทางมารับดอกบัวที่วัดหลวงพ่อโตบางพลี
ในระหว่างช่วงเวลา ๐๓:๐๐ – ๐๔:๐๐
นาฬิกา โดยจัดเรือลำใหญ่หลายสิบลำเป็นพาหนะ
ระหว่างการเดินทางชาวรามัญจะร้องรำทำเพลงกันเป็นที่สนุกสนาน
ชาวไทยก็จัดสำรับอาหารคาวหวานนาๆชนิดไว้เลี้ยงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีจิตอันดีงาม
เมื่อรับประทานอิ่มหนำกันดีแล้ว ก็นำดอกบัวไปไหว้หลวงพ่อโตบางพลีก่อน
เสร็จแล้วจึงอัญเชิญน้ำมนต์หลวงพ่อโตบางพลีเพื่อไปเป็นศิริมงคล
พร้อมทั้งนำดอกบัวบางส่วนกลับไปบูชาพระคาถาพันที่วัดของชาวรามัญ
ประเพณีรับบัวหลวงพ่อโตบางพลียังทำกันสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้
และมีเพียงที่เดียวในโลก
( เรียบเรียงจากประวัติวัดบางพลีใหญ่ใน, น.ส.พ.รอยธรรม)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น