วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กฏแห่งกรรม เรื่องที่ ๑๐..ครั้งหนึ่งในชีวิต

กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว..ท.เลียงพิบูลย์
เรื่องที่๑๐
ครั้งหนึ่งในชีวิต




     ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเขียนเรื่อง ครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ อยากจะเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ข้าพเจ้าเคยได้พบชายลึกลับผู้หนึ่ง ซึ่งมีผิวกายเป็นสีนาก รูปร่างล่ำสันงดงาม นุ่งขาวห่มขาว กิริยาท่าทางสง่า น่าเลื่อมใส ข้าพเจ้าเรียกชายผู้นี้ว่าท่านลุงชายผู้นี้มีบทบาทพัวพันในชีวิตข้าพเจ้า ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรกที่เมืองลพบุรี และอีกครั้งหนึ่งที่โรงพยาบาล แต่ข้าพเจ้าหาได้ทราบนามจริงของท่านไม่ แม้กระทั่งบัดนี้

     “ท่านลุง ได้นำข้าพเจ้าไปประสบกับสิ่งที่เร้นลับและมหัศจรรย์ ทั้งๆที่ข้าพเจ้าไม่เคยยอมเชื่อสิ่งใดที่ไม่มีเหตุผล ทั้งนี้เพราะเมื่อเด็กข้าพเจ้ายึดถือคำของ ท่านใหญ่พระองค์หนึ่งซึ่งเคยสอนไว้ว่า ให้พิจารณาดูเหตุและผลก่อนที่จะเชื่อสิ่งใดลงไปแต่แล้วข้าพเจ้าก็พบกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาดจนยากที่จะตัดสินใจยอมรับว่าเป็นความจริงหรือไม่ ท่ามกลางอารยธรรมสมัยใหม่ และความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ หมดสมัยที่จะเชื่อถืออย่างงมงาย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถจะพิสูจน์ หรือคลี่คลายเรื่องวิญญาณหรือภูตผีปีศาจให้แจ่มชัดลงไปได้ ยังเป็นสิ่งลึกลับที่ไม่มีใครอธิบายได้ และคงเป็นความลึกลับต่อไป

     ครั้งนั้น ท่านลุง ได้ให้ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่า จะไม่นำสิ่งที่ได้พบเห็น เมื่อข้าพเจ้าป่วยอยู่โรงพยาบาลไปบอกเล่ากับผู้หนึ่งผู้ใด จนกว่าจะถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะมีครอบครัวทั้งในเวลานั้นอายุของข้าพเจ้าเพิ่งจะผ่านการครบบวชไม่กี่ปีสัญญานี้จึงเป็นสัญญาที่ข้าพเจ้ายังมองไม่เห็นโอกาส ที่จะเปิดเผยเล่าเรื่องลี้ลับมหัศจรรย์นี้ได้ แต่เมื่อเวลาวันเดือนค่อยๆผ่านไปเป็นปี ปีแล้วปีเล่า จนบัดนี้เวลานั้นก็ได้มาถึงแล้ว ได้เกิดมีครบตามข้อผูกพันสัญญานั้นก็หมดสิ้นไป ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ที่จะเปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองที่โรงพยาบาลให้ท่านทราบ เพื่อให้ ครั้งหนึ่งในชีวิตสมบูรณ์ยิ่งขึ้น



     ก่อนเขียนเรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ลืมที่จะจุดธูปเทียนบูชาระลึกถึง พระพุทธรูปทองคำลึกลับที่ให้ข้อเตือนใจ นึกถึงหลวงพ่อที่ให้ความคุ้มครองในการเจ็บป่วยในครั้งนั้น และอีกท่านหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าจะลืมเสียมิได้นี้คือ ท่านลุงชายประหลาดผู้ซึ่งให้ความปราณีได้กรุณาอธิบายให้ความรู้ในสิ่งต่างๆที่ได้ไปพบมา ข้าพเจ้าก้มลงกราบนิ่งกับพื้นหน้าพระ สำรวมจิตใจให้สงบอธิษฐานขออนุญาตจากท่านว่า ขอให้ท่านจงดลบันดาลให้สมองของข้าพเจ้าปลอดโปร่ง นึกถึงเรื่องครั้งหนึ่งในชีวิตได้อย่างถูกต้อง

     การเขียนครั้งนี้ขอเรียนว่า มิได้มีเจตนาจะเสียดสีสังคม หรือเพื่อนฝูงผู้หนึ่งผู้ใด หรือท่านที่เคารพนับถือเลย เขียนขึ้นตามที่ได้ประสบมา และตามความเป็นไปในอดีต หากท่านผู้ใดได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจจากการอ่านเรื่องนี้แล้ว ข้าพเจ้าจำเป็นต้องขออภัยที่มิได้มุ่งหมายจะให้เป็นเช่นนั้น เพียงแต่มุ่งจะให้เห็นถึงผลความดี และกรรมชั่ว ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมาแล้ว และการที่นำเอานามจริงของท่านที่เคารพบางคนเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย โดยมิได้ขออนุญาตจากท่านเจ้าของนามก่อน ก็ต้องขออภัยมาในที่นี้ด้วย หวังว่าเมื่อท่านได้อ่าน ครั้งหนึ่งในชีวิตแล้วท่านคงจะกรุณาให้อภัยแก่ข้าพเจ้า

     ข้าพเจ้าจะขอเริ่มเรื่องดังต่อไปนี้

     เมื่อปีมะเส็ง เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ข้าพเจ้าตั้งใจจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปภาคเหนือ โดยขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ ปากน้ำโพ และเริ่มพักแรมที่ลพบุรีเป็นแห่งแรก ต่อจากนั้นก็จะพักเป็นระยะๆ ไปจนถึงสถานีปลายทางคือเชียงใหม่ แล้วก็จะกลับกรุงเทพฯ โดยขบวนรถด่วนเชียงใหม่ กรุงเทพฯ เมื่อขึ้นไปบนรถไฟสายกรุงเทพฯ ปากน้ำโพ วันออกเดินทาง ข้าพเจ้าก็ได้พบกับคุณหนอบนรถไฟ เมื่อทักทายกันแล้วก็ได้ทราบว่าคุณหนอก็จะไปเชียงใหม่ และคงพักแรมที่ลพบุรีเช่นเดียวกัน แต่คุณหนอจะแวะลงสถานีบ้านหมี่ เพราะมีธุระที่โรงหนังในตลาด ส่วนข้าพเจ้านั้นไม่ได้ตั้งใจแต่เดิม แต่เมื่อตกลงจะร่วมเดินทางกันแล้วควรจะแวะลงเป็นเพื่อนด้วย ซึ่งทั้งไม่เสียเวลานานนัก


      เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พอรถหยุดถึงสถานีลพบุรี เราก็หยุดลงพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งหลังสถานีรถไฟ เมื่อติดต่อเช่าห้องพักกันคนละห้อง และเก็บเข้าของกระเป๋าเดินทางไว้แล้ว เราก็ออกเดินไปเที่ยวที่ตลาดแวะเยี่ยมเยียนร้านค้าที่คุ้นเคย พอสมควรเวลาเราก็สนทนากัน แล้วก็แยกกันเข้าห้องเพื่อพักผ่อนหลับนอนเอาแรง รุ่งเช้าจะได้ออกเดินทางโดยรถไฟจากลพบุรีต่อไป

     คืนวันนั้น ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นคืนวันเพ็ญ เป็นวันสำคัญของศาสนาพุทธ ท้องฟ้าแจ่มใสปราศจากเมฆหมอก ดวงจันทร์ทอแสงส่องสว่างนวลเย็นตา แสงจันทร์ส่องเข้าในห้องทางหน้าต่างที่เปิดไว้รับลม ทำให้ดูนวลสว่างทั่วพื้นห้อง เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้านอนไม่หลับ ต้องลุกขึ้นมายืนพิงหน้าต่างในห้องพักโรงแรมชมจันทร์ สิ่งที่มองเห็นเบื้องหน้าคือบริเวณลพบุรียามราตรีท่ามกลางแสงจันทร์ คิดว่าคงทำให้สว่างไสวไปทั้งเมือง มองดูสบายใจยิ่งนัก จิตใจของข้าพเจ้าเวลานั้นเพลิดเพลินและเบิกบานใจเป็นที่สุด

     แสงอันนวลกระจ่างของดวงเดือน ทำให้ข้าพเจ้าสามารถมองได้ไกลออกไป เห็นโบราณสถานซึ่งปรักหักพังได้อย่างชัดเจน เห็นเอาไม้เสาจำนวนมากยันค้ำจุนส่วนบนมิให้พังลงมาก่อนจะซ่อมแซม ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะนึกวาดมโนภาพถึงเมื่อครั้งอดีตโบราณกาล จิตใจก็เลื่อนลอยเข้าไปอยู่ในยุคที่รุ่งเรืองของลพบุรี สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

     ในสมัยนั้นลพบุรีคงเป็นเมืองที่สง่างามเด่น เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวเมือง และสะดุดตาในความงามของผู้พบเห็น เพราะมีทั้งศิลปวัตถุของขอมและของไทยอีกทั้งของตะวันตก บ้านเมืองคงเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยสะอาด เพราะได้ชาวต่างประเทศมาวางผังเมือง ความเป็นอยู่ของประชาชนคงจะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เพราะมีองค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชปกครองแผ่นดิน และเป็นมิ่งขวัญของชาวเมืองลพบุรี

     ข้าพเจ้านิ่งนึกฝันไปก็ยิ่งเพลิดเพลิน จนกระทั่งเดือนเริ่มคล้อยต่ำลงทุกที ยามดึกอากาศก็ยิ่งทวีความเยือกเย็นขึ้นเป็นลำดับ ข้าพเจ้าไม่อยากจะนอนเสียดายความงามของดวงจันทร์ที่แจ่มกระจ่างราวกับกลางวัน แต่เมื่อคิดได้ว่า เราต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่จึงจำใจต้องเข้านอนและในไม่ช้าก็หลับไป

     ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าได้มายืนที่ประตูเมือง  ท่ามกลางดวงเดือนอันสุกสกาว  มองเห็นปราสาทราชวังอยู่เบื้องหน้า  งดงามภายใต้แสงจันทร์จนยากที่จะบรรยายเป็นตัวอักษรได้  ตามทางถนนเรียงรายไปด้วยพันธุ์ไม้ที่ปลูกไว้สองฟากเป็นระเบียบ  จะว่าเป็นเมืองลพบุรีก็ไม่มีเค้าว่าจะใช่เลย  เพราะสวยงามคนละแบบกับที่ข้าพเจ้าเคยนึกวาดภาพเมืองลพบุรีเอาไว้มาก 

     น่าประหลาดที่ตามถนนจะหาผู้คนหรือสัตว์ไม่ได้เลย  ทำให้จิตใจเคลิบเคลิ้มไป  มารู้สึกตัวต่อเมื่อมีมือมาจับแขน  หันไปดูก็เห็นชายผู้หนึ่งนุ่งขาวห่มขาว  ผิวเนื้อเป็นสีนาก  ไม่เหมือนสีเนื้อของคนธรรมดา  มองดูแปลกตาน่าพิศวง  ขณะที่มองดูท่านเพลิดเพลินอยู่  ข้าพเจ้าก็ได้ยินชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า

    มา  ไปกับลุงเถิดหลานชายแล้วท่านผู้นั้นก็ฉุดมือข้าพเจ้าออกเดิน  ข้าพเจ้าเดินตามท่านไปราวกับต้องมนต์สะกด  พอรู้สึกตัวจึงถามว่า ท่านลุงจะพาผมไปไหน

     ชายผู้นั้นหันมายิ้ม  ปล่อยมือข้าพเจ้าตอบว่า ลุงจะพาไปหาพระ” 
     ข้าพเจ้าเดินตามท่านไปอย่างว่าง่าย  เพราะคำว่าไปหาพระ  ข้าพเจ้าถือว่าเป็นมงคล  และนำไปสู่ทางแห่งความดี  คงจะไม่มีอันตราย  พระย่อมนำความร่มเย็นและเป็นที่พึ่งทางใจของทุกๆคนที่อยู่ในร่มเงาแห่งพุทธศาสนา  สังเกตรู้สึกว่าชายผู้นี้รูปร่างล่ำสัน  สูงใหญ่  ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์  ยังไม่แก่พอที่ข้าพเจ้าสมควรจะเรียกว่าลุงเลย แต่ท่านเองเป็นผู้นำให้ข้าพเจ้าเรียกลุง ถ้าข้าพเจ้าเรียกคงจะเรียกท่านไม่เกินกว่า  พี่  อา  หรือน้า  เป็นแน่ 

     ขณะข้าพเจ้ากำลังนึกเปรียบเทียบอายุของท่านกับข้าพเจ้าอยู่  ก็ต้องสะดุ้งเพราะท่านได้หันมาบอกว่า

อย่ามัวนึกว่าลุงไม่แก่อยู่เลย  เสียเวลา  ความจริงอายุของลุงมากมาย  นับไม่ได้ทีเดียว  รีบเดินเข้าเถิด  ประเดี๋ยวเดือนจะตก

     ข้าพเจ้ามิได้พูดอะไรอีก  นอกจากรีบเดินตามท่านไป  เบื้องหน้ามองเห็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ไกลลิบ ๆ แต่เราช่างเดินกันรวดเร็วเสียนี่กระไร  เพียงครู่เดียว  เราก็ทิ้งภูผาใหญ่นั้นไว้เบื้องหลัง  เราผ่านทั้งป่าละเมาะ ทุ่งหญ้า  และลำธาร  แสงจันทร์สว่างมองเห็นทางได้ชัดเจน  และแล้วข้าพเจ้าก็มองเห็นโบสถ์สูงใหญ่และสวยงามอยู่ตรงหน้า  ท่ามกลางแสงเดือน 

     ข้าพเจ้าเดินตามติดท่านลุงเข้าไปในโบสถ์  มองเห็นพระพุทธรูปทองคำเหลืองอร่ามทั้งองค์ยืนเป็นประธานอยู่กลางโบสถ์  พระหัตถ์เบื้องขวายื่นออกมาเบื้องหน้า  เข้าใจว่าเป็นปางห้ามญาติ  ท่านลุงผู้นั้นคลานเข้าไปตรงหน้าพระพุทธรูป  แล้วนั่งลงกราบสามครั้ง  ข้าพเจ้าก็คลานตามไปแล้วก้มลงกราบอยู่ข้าง ๆ ท่านลุง  ในโบสถ์อันกว่างใหญ่นั้นไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวได้เลย  นอกจากข้าพเจ้าและท่านลุง 

     ภายในโบสถ์สว่างไสวไปทั่วบริเวณ  แต่มองดูจนทั่วไม่เห็นมีประทีปโคมไฟอยู่เลย  พอข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมองดูพระพักตร์พระพุทธรูปองค์นั้นก็เห็นท่านกำลังยิ้ม  แล้วทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงออกมาจากโอษฐ์ของพระองค์ท่าน  เป็นเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยน  แต่ทรงไว้ซึ่งอำนาจน้ำเสียงกังวานจับใจว่า

     “อันบุคคลใดสร้างกรรมดี  ความดีนั้นจะตามสนอง  หากสร้างกรรมชั่ว  ความชั่วก็ย่อมสนองเช่นเดียวกัน” 

     พอเสียงนั้นหยุดลงก็มีเหมือนเสียงพระจำนวนมากร้องขึ้นพร้อมกันว่า ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว”  เสียงนั้นดังกังวาน

     ข้าพเจ้าตกใจเพราะเสียงดังสะท้อนก้องกังวานกลับมาทั่วโบสถ์ดังเป็นระยะว่า  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆเป็นระลอกคลื่นและค่อยๆจางหายไป  ข้าพเจ้าตกตะลึงเพราะไม่เคยเห็นพระพุทธรูปตรัสได้  และไม่เคยได้ยินเสียงสะท้อนดังเช่นนี้มาก่อน  แม้จะเคยได้ยินมาบ้างก็ไม่สะท้อนกังวานเช่นนี้  และแล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินอีกเป็นเสียงธรรมดาเหมือนพระพุทธรูปพูดองค์เดียวว่า

     จงทิ้งความชั่ว และสร้างแต่ความดี”  ข้าพเจ้ามีความชั่ว  ความชั่วอะไรกันแน่  ข้าพเจ้ากำลังจะอ้าปากถาม  เสียงนั้นก็บอกมาอีกว่า  เอาไปคิดดู เอาไปคิดดู”  ข้าพเจ้าหันมาทางท่านลุง  เพื่อจะถามท่านว่า  ข้าพเจ้ามีอะไรที่ชั่วบ้าง  แต่ก็ยังไม่ทันจะถาม  ท่านลุงก็รีบบอกเสียก่อนว่า “เอาไปคิดดูตามที่ท่านบอก  และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พบกับท่าน

     เมื่อข้าพเจ้าลืมตาตื่นขึ้น  จวนย่ำรุ่งแล้ว  จึงรู้ว่าตัวเองยังนอนอยู่ที่โรงแรมที่พัก  แต่กระนั้นหูก็ยังได้ยินเสียงสะท้อนในโบสถ์อยู่แว่วๆ พอดีได้ยินเสียงข้างห้องดังกุกๆกักๆ ก็ทราบว่าคุณหนอได้ตื่นขึ้นก่อนแล้ว  หลังจากที่เราได้ขึ้นมาบนรถไฟเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องความฝันให้คุณหนอฟังบางตอน

     “จะไปเชื่ออะไรกับความฝัน”  คุณหนอบอก

     ข้าพเจ้านิ่งมิได้พูดอะไรอีก  แต่ในใจนั้นนึกถึงเหตุผลของความฝันครั้งนี้  เปรียบเทียบดูแล้วเห็นว่าผิดกว่าความฝันครั้งก่อนๆมาก  อยากจะพูดว่าข้าพเจ้าเคยฝันทั่วๆไปนั้น  โดยมากเป็นความฝันที่เลือนราง จับต้นชนปลายไม่ถูก  หรือไม่ได้เรื่องได้ราว  บางครั้งพอตื่นขึ้นก็ลืมเหตุการณ์ที่ฝันหมด  ความรู้สึกเหมือนว่าเวลาฝัน  เราเพียงเห็นเงาในน้ำไม่ชัดเจนแจ่มแจ้ง 

     แต่ความฝันของข้าพเจ้าที่ได้พบท่านลุงนั้นแปลกกว่าธรรมดา เหมือนมองดูเห็นภาพในกระจกเงา  แม้จะไม่เท่ากับเวลาตื่น  แต่ก็รู้สึกว่าแจ่มแจ้ง  และจำได้อย่างแม่นยำกว่าความฝันธรรมดา  อาจกล่าวได้ว่าความฝันเช่นนี้ในชีวิตของข้าพเจ้าที่ผ่านมามีเพียงไม่กี่ครั้ง  รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนช่างคิดอยู่สักหน่อย 

     เมื่อนั่งมาในรถมีเวลาว่างก็คิดถึงแต่เสียงสะท้อนที่ก้องกังวานไปทั่วโบสถ์  เมื่อตัวเราตะโกนออกไปว่า ดี  เสียงสะท้อนก็ดังกว่ามาว่า ดี”  และดังนานกว่าที่เราพูดเพียงคำเดียว  ถ้าเราตะโกนว่า ชั่วสียงนั้นก็ดังสะท้อนกลับมาว่า ชั่วเช่นเดียวกัน  เราตะโกนดัง  เสียงนั้นก็ดังกังวานมาก  เราตะโกนค่อย  เสียงนั้นก็กังวานน้อย  เพียงแต่เสียงก็ยังมีการสะท้อนเช่นนี้  ถ้าหากว่าเป็นการกระทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว  คงจะส่งผลสะท้อนดุจเดียวกัน 

     จากประสบการณ์และความนึกคิดในครั้งนั้นเอง  ข้าพเจ้าจึงได้นำมาเป็นชื่อหนังสือเล่มแรกที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งบรรดาเพื่อนฝูงและท่านที่เคารพนับถือหลายท่านได้ให้ความเห็นว่า  เป็นชื่อที่ไม่สมกับเรื่องภายในหนังสือควรเปลี่ยนชื่อเสียใหม่  เพราะทำให้ผู้ที่เห็นแต่หน้าปก อ่านชื่อเรื่องแล้วชวนไม่ให้อยากอ่าน  เพราะเข้าใจว่าเป็นการสอนให้ทำดี  เพราะคนส่วนมากไม่ชอบให้ใครสอน 


     ข้าพเจ้าเคยอธิบายเพียงย่อ ๆ แต่บัดนี้ท่านย่อมเห็นแล้วว่า  ชื่อนี้ข้าพเจ้าได้มาอย่างไร  แล้วหนังสือ  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว”  นี้ได้สร้างความพอใจและความสบายใจให้แก่ข้าพเจ้าแล้ว  การเดินทางไปภาคเหนือครั้งนั้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย  และเป็นที่พอใจทุกประการจนกระทั่งกลับกรุงเทพฯ

     เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าก็หาได้ลืมความฝันที่ลพบุรีไม่ พยายามสำรวจตัวเองว่า ข้าพเจ้ากระทำหรือกำลังจะกระทำสิ่งใดที่จะเรียกว่าความชั่ว แต่ก็นึกไม่ออก แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้ทำบุญสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ไม่เคยสร้างบาป เคยแต่ช่วยเหลือเพื่อนฝูงยามเดือดร้อนเท่าที่จะช่วยได้ ทั้งไม่เคยทำให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะข้าพเจ้า แม้เพื่อนฝูงบางคนจะทำให้ข้าพเจ้าผิดหวังก็พร้อมที่จะอภัยให้เสมอ ส่วนบาปกรรมอื่นๆ ก็ยังมองไม่เห็น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพยายามที่จะไม่ยอมให้ความชั่วร้ายใดๆ เกิดแก่จิตใจของข้าพเจ้าได้

     หลังจากกลับจากภาคเหนือได้ประมาณ ๓ เดือน คือราวเดือนสิงหาคม มีเพื่อนคนหนึ่งจะย้ายไปต่างจังหวัดโดยคำสั่งทางราชการ ก่อนจะออกเดินทางพวกเพื่อนๆ ก็ได้จัดให้มีการเลี้ยงส่งที่ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา (ซึ่งเวลานั้นยังอยู่ตรอกตั้งโต๊ะกัง ภายหลังเพลิงไหม้จึงย้าย) การเลี้ยงคืนนี้มีบรรดาเพื่อนฝูงทั้งข้าราชการ พ่อค้า และคหบดีไปร่วมด้วยหลายท่านมีการดื่มก่อนอาหาร ซึ่งก็เป็นของธรรมดา เพื่อนฝูงต่างก็รินเหล้าผสมโซดาแจกจ่ายกันตามแต่จะชอบหนาหรือบาง ส่วนผู้ที่ไม่ใช่คอสุราก็ใช้น้ำหวานหรือโซดา แทนดื่มพอเป็นเพื่อนกันไป สำหรับตัวข้าพเจ้าในเรื่องการดื่มก็ไม่ยอมน้อยหน้าใครเหมือนกัน แต่เผอิญงานเลี้ยงครั้งนี้อยู่ในระหว่างเข้าพรรษาซึ่งเป็นช่วงที่ข้าพเจ้างดดื่มเป็นเวลา ๓ เดือน ตลอดเวลาเข้าพรรษาจึงได้แต่ดื่มโซดาเปล่าๆ แทน และนั่งมองเพื่อนๆ ซึ่งดื่มกันอย่างสนุกสนาน

     ระยะของการดื่ม ทุกคนก็ยังรักษามารยาทตลอดจนการพูดจาก็เรียบร้อย รู้จักผู้ใหญ่และรู้จักสิ่งใดไม่ควร แต่พอดื่มเข้าไปตึงๆหน้า หูก็พลอยชักตึงไปด้วยเริ่มพูดดังกว่าเดิมการพูดมากขึ้น ความเกรงอกเกรงใจและมารยาทที่ได้รักษาไว้ในตอนแรกก็ค่อยๆ น้อยลงตามลำดับ จิตใจค่อยๆ ตกอยู่ภายใต้อำนาจของน้ำเมา ความรู้สึกผิดชอบก็ค่อยๆหมดไป ผิดจากคนเดิมเป็นคนละคน แสดงความสนุกสนานอย่างสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นสติไม่อยู่กับตัว เปรียบเสมือนคนครึ่งบ้าครึ่งดีนั่นเอง

     ข้าพเจ้าเห็นเพื่อนคนหนึ่งเดินตัวไม่ตรง ยังอุตส่าห์เที่ยวท้าชนแก้วกับคนโน้นคนนี้ให้ยุ่งไปหมด พูดจาเอะอะเสียงดัง บางครั้งอ้อแอ้เสียงลิ้นคับปาก ใครไม่ยอมชนแก้วดื่มด้วยก็เอ็ดตะโร ว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งตามปกติเวลาไม่เมาเป็นคนที่เรียบร้อยสุภาพ เป็นคนละคนกับเวลาเมา

     ข้าพเจ้าได้เห็นแล้วก็หวนกลับมาคิดถึงตัวเองก็รู้สึกเกิดความละอายใจ คิดว่าถ้าข้าพเจ้าเมาแล้วก็คงมีท่าทางไม่น้อยไปกว่าเพื่อนคนนี้ หรืออาจจะยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ข้าพเจ้ายิ่งคิดก็ยิ่งอึดอัดไม่สบายใจจึงลุกขึ้นจากโต๊ะ ตั้งใจจะหาที่สงบๆ ที่สามารถจะไประบายความอึดอัดนี้ออกเสียบ้าง แต่พอลุกขึ้นเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีเพื่อนคนหนึ่งท่าทางเมาไม่ใช่น้อย เดินตุปัดตุเป๋เข้ามาขวางทางไว้ แล้วถามว่าจะไปไหน ข้าพเจ้าบอกว่าจะไปห้องน้ำ แล้วก็จะเลี่ยงไปให้พ้น แต่เพื่อนผู้นั้นไม่ยอมพยายามชวนพูดคุยด้วยเสียงอ้อแอ้ลิ้นไก่สั้น เสียงดังบ้างค่อยบ้าง เพราะฤทธิ์สุราจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง

     เมื่อเห็นข้าพเจ้าทำท่ากระสับกระส่ายด้วยความรำคาญ พยายามเบี่ยงไปไม่ฟังแกพูด แกก็ใช้มือตะปบอกเสื้อเอาไว้ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า คำพูที่แกพูดออกมาผสมกับลมหายใจที่คละไปด้วยกลิ่นเหล้า พ่นใส่หน้าข้าพเจ้าจนหายใจแทบไม่ออก

     แกถามว่า ทำไมวันนี้ลื้อไม่กินเหล้าวะ?”

     ข้าพเจ้าตอบว่า หยุดดื่มเพราะเข้าพรรษา

     แกพูดอย่างไม่พอใจว่า ไม่ได้ ไม่ได้ หยุดทำไมกันวะ ลื้อต้องกิน อั๊วจะผสมให้ พูดแล้วก็ปล่อยมือจากอกเสื้อของข้าพเจ้า หันไปหยิบขวดเหล้าและแก้วจากโต๊ะใกล้ๆ ทำท่าจะผสม ข้าพเจ้าถือโอกาสนั้นรีบหลบมาที่เฉลียง เพื่อรับลมเย็นและระบายความอึดอัด ทั้งขอให้ได้ห่างจากกลิ่นเหล้าควันบุหรี่ และเสียงเอะอะของคนเมาสักครู่ อดคิดถึงตัวเองเวลาเมาไม่ได้ คนอื่นเขาคงรำคาญเช่นกัน

     ขณะที่กำลังมองดูยวดยานที่สัญจรไปมาอยู่เบื้องล่างก็มีมือมาโอบหลังข้าพเจ้าไว้ เมื่อหันไปดูก็เห็นเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งในจำพวกไม่ยอมเมา ปากคาบซิการ์ยืนยิ้มอยู่


     เขาสัพยอกว่า เป็นไง คืนนี้ไม่เมากับเขาหรือ

     ข้าพเจ้าจึงตอบว่า งดดื่มเวลาเข้าพรรษา

     เขาถามอีกว่า มีเหตุผลอะไร เวลาเข้าพรรษาจึงไม่ดื่ม

     ข้าพเจ้าจึงตอบว่า ก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากนัก เพียงแต่อยากจะตรวจสอบดูว่า จิตใจเรายังเข้มแข็งดีหรือว่าตกเป็นทาสน้ำเมาไปแล้ว

     “ไอ้การตกเป็นทาสน้ำเมาเป็นยังไง?” เขาถามต่อไปอีก

     “การตกเป็นทาสน้ำเมานั้น คือหยุดดื่มไม่ได้ แค่เพียงแต่เห็นขวดเหล้าก็มีความกระหาย อยากดื่มจนมือไม้สั่นรินเหล้าแทบไม่ทัน อวัยวะต่างๆ ในตัวก็เคลื่อนไหวผิดปกติไป แต่พอได้ดื่มแล้วอาการที่ผิดปกติเหล่านั้นก็หายไป ถ้าไม่ได้ดื่มก็ทุรนทุรายไม่มีความสุข นี่คืออาการของคนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจน้ำเมา เหตุผลอีกข้อหนึ่งของผมที่ไม่ดื่มเหล้าเวลาเข้าพรรษา ก็เห็นจะเป็นเหตุผลทางศาสนา ถึงแม้ว่าตามปกติเราจะไม่ใช่คนที่ดีนัก แต่เพียงเวลา ๓ เดือน ก็ขอให้มีโอกาสเป็นคนดีกับเขาบ้างโดนละเว้นความชั่ว ประพฤตศีล ๕ ข้อ คิดว่าเราถือศีล ๕ ในระยะ ๓เดือน ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากดื่มตลอดปี นอกจากนั้นเข้าพรรษาเป็นหน้าฝน เราส่วนมากก็อยู่ตามตรอกตามซอย ฝนตกถนนก็เลอะเป็นโคลนตมและลื่น (สมัยก่อนนั้น หน้าฝนตามตรอกซอยเต็มไปด้วยโคลนตม) ขนาดคนดีๆ เดินระวังๆ ก็ยังเดินลำบาก แล้วคุณลองคิดดูซิว่า คนเมาจะเดินลำบากแค่ไหน ซ้ำถ้าฝนตกเปียกดึกๆ ดื่นๆ พอดีพอร้ายเลยเป็นปอดบวม อย่างน้อยก็เป็นหวัด

     เพื่อนผู้นั้นพอได้ฟังเหตุผลของข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจแล้วพูดว่า เข้าทีดีนี่ เหตุผลของคุณข้าพเจ้าก็ยิ้ม แต่แล้วก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเขาพูดต่อไปว่า

     “ไอ้พวกขี้เมาคืนนี้ นิวแซนซ์ฉิบหายเลย ผมรู้สึกว่าคุณเป็นคนดีหน่อยที่ไม่เมาด้วย ไม่งั้นคงได้เห็นคุณเอาขันใส่น้ำแข็ง ครอบหัวเต้นระบำเหมือนคราวก่อนอีก
     ข้าพเจ้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไม่รู้จะตอบว่ายังไง นึกละอายใจที่ยังมีผู้อุตส่าห์จำความระยำเอาไว้ คืนนี้ข้าพเจ้าต้องคิดมากกว่า ทำไมหนอเพื่อนคนนี้จึงเรียกเพื่อนๆว่า ไอ้พวกขี้เมา นิวแซนซ์ฉิบหาย มันเป็นคำที่ออกจะแรงสำหรับเพื่อนฝูงกัน ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักกันใช้คำนี้ก็คงรู้สึกชังหน้ากันมาก

     แล้วข้าพเจ้าก็นึกออกว่า ก่อนที่เขาจะออกมาคุยกับข้าพเจ้านั้น เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเมาและเที่ยวท้าชนแก้วกับเขาว่าใครจะดื่มหมดก่อนกันเพื่อนผู้นี้เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทโดยไม่ยอมเมา และไม่ขอสู้ในการดื่มเพราะมันจะเด่นในทางชั่ว คนที่ท้าชนแก้วก็ไม่พอใจยืนถือแก้วเหล้าเก้ๆกังๆ และจะเป็นด้วยเจตนาแกล้งหรือบังเอิญก็ไม่ทราบ เหล้าที่เขาถือได้หกราดกางเกงเพื่อนผู้นี้ไปแถบหนึ่ง เขาจึงหลบมาระบายอารมณ์อันขุ่นมัวข้างนอกเช่นเดียวกับข้าพเจ้า และเมื่อไม่มีใครก็ระบายออกให้ข้าพเจ้าฟัง

     อย่างไรก็ตามคำที่เขาว่าพวกขี้เมา เขาจะหมายถึงคนที่ขี้เมาที่อยู่ในกลุ่มนั้นคือเพื่อนๆ แต่ข้าพเจ้าก็อดที่จะสะเทือนใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าในเวลานี้ข้าพเจ้าจะไม่เมาและคำพูดก็มิได้หมายถึงข้าพเจ้าไปด้วย แต่ข้าพเจ้าก็เคยเป็นคนขี้เมา คนที่กำลังสนุกสนานด้วยฤทธิ์น้ำเมาคงไม่มีใครทราบว่า มีใครเขาพูดถึงตนว่าอย่างไร คนเราเวลาไม่เมาก็น่านับถือเพราะสติอยู่กับตัว รู้จักควบคุมตัว คนก็ยกย่องเรียกท่านนั่นคุณนี่ แต่พอเมาไร้สติเอะอะเอ็ดตะโร ก่อความรำคาญแก่คนอื่น เขาก็เรียกรวมเป็นพวกว่า ไอ้พวกขี้เมา ยิ่งถ้าไปทำความเดือดร้อนให้เขาไม่พอใจหน่อย ก็ไม่พ้นที่จะดูถูกว่าลับหลัง

     ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกว่าสะเทือนใจเพียงใดที่ได้ฟังคำนี้ รู้สึกว่าผู้พูดพูดออกมานั้นแสดงการหมดความเคารพนับถือและดูหมิ่นรังเกียจไปในตัวด้วย ข้าพเจ้าเองก็คงจะเคยโดนมาแล้ว ระหว่างที่เมาและก็คงไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าใครว่าเราด่าแช่งเรา เพราะไม่มีใครบอกเช่นเดียวกับเพื่อนที่เมาในเวลานี้ ข้าพเจ้าก็ไม่บอกเพราะมันจะมากเรื่อง

     เมื่อกลับมาถึงบ้านในคืนนั้น ข้าพเจ้านอนไม่หลับนึกถึงท่าทางของคนเมา และก็หวนกลับมาคิดถึงตัวเอง เวลาที่ข้าพเจ้าเมากลับมาบ้านมักจะอาเจียนออกมา ทั้งๆที่ไม่ได้ทานอาหารเข้าไปกี่มากน้อย ร้อนถึงแม่ต้องลุกขึ้นมาต้มน้ำร้อนเช็ดตัวให้ เพราะข้าพเจ้าเองนั้นลุกไม่ไหว ได้แต่นอนคายอาหารเก่า ถ้าแม่เอากระโถนมารับไม่ทันก็เลอะเทอะไปหมดทุกที ทำให้แม่ต้องลำบากอดตาหลับขับตานอน ทรมานกายเพราะความเมาของข้าพเจ้า แต่แม่ก็ไม่ว่าอะไรนอกจากเตือนว่าอย่าดื่มให้มากนัก ดื่มแต่พอสมควร ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นโทษของน้ำเมา

     ข้าพเจ้านอนกระสับกระส่ายอยู่จนดึก เสียงกังวานของพระพุทธรูปที่ลพบุรียังติดแน่นอยู่กับโสตประสาทมิรู้ลืม นึกไปนึกมาก็ยิ่งเห็นเด่นชัดขึ้นทุกที อา ! ข้าพเจ้านึกได้แล้วความชั่วที่ท่านบอกนั้นคือน้ำเมานั่นเอง ข้าพเจ้าค้นพบความชั่วในตัวข้าพเจ้าแล้ว ความชั่วที่ผิดศีลข้อ ๕ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

     เมื่อนึกถึงเช่นนั้นข้าพเจ้าตั้งใจเด็ดขาดแล้วว่าเลิกดื่มเหล้า เมื่อคิดได้เช่นนี้จิตใจก็ค่อยสบายขึ้น อุปมาเหมือนคนที่ตกอยู่ในความมืด เมื่อพบแสงสว่างก็มีแต่ความยินดีและชุ่มชื่นใจ และในไม่ช้าข้าพเจ้าก็หลับอย่างเป็นสุข

     ต่อมาในปลายเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ซึ่งเลยวันออกพรรษามาแล้ว ข้าพเจ้าได้รับบัตรเชิญในงานขึ้นบ้านใหม่ พร้อมกับทำบุญวันเกิดของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง และซ้ำยังเป็นคอเหล้าด้วย ครั้งแรกข้าพเจ้าตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะไปร่วมงานหรือไม่ เพราะได้ตั้งใจแล้วว่าจะเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด แต่ยังไม่ได้บอกเพื่อนฝูงให้รู้ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจตนเองว่าจะใจแข็งปฏิเสธคำคะยั้นคะยอของเพื่อนได้หรือไม่ ถ้าจะไปงานคราวนี้ เพราะบรรดาพวกเพื่อนๆต่างก็มั่นหมายไว้ว่า ออกพรรษาแล้วจะดื่มกับข้าพเจ้าให้เต็มที่สักที เวลาข้าพเจ้าเมาเหล้าทุกครั้งทุกคราวก็กลายเป็นคนตลกคะนองไม่ค่อยมีความละอาย ไม่เป็นตัวของตัวเองซึ่งในเวลาไม่เมาทำไม่ได้ จึงเป็นที่พอใจของเพื่อนๆขี้เมาด้วยกัน ตอนเข้าพรรษาพวกเขาก็พากันบ่นว่าขาดคนดื่ม คือข้าพเจ้าไปเสียคนหนึ่งหมดสนุกไปเป็นกอง

     เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเป็นการลำบากใจสำหรับที่จะบอกกับเขาเหล่านั้นว่า บัดนี้อั๊วเลิกดื่มอย่างเด็ดขาดแล้วเขาคงจะไม่ยอมฟังเสียงข้าพเจ้าแน่ ยิ่งเวลาเมาแล้วยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่องจะอธิบายเท่าใดก็คงไม่มีประโยชน์ ข้าพเจ้าคิดว่างานนี้จะไม่ไปเพียงแต่จะส่งของขวัญไปให้ แล้วค่อยเขียนจดหมายบอกเหตุแห่งการตัดสินใจเลิกดื่มไปให้เพื่อนทราบภายหลัง

     แต่อีกใจหนึ่งก็ค้านว่ามันจะเป็นการหักหาญจนเกินไป ถ้าอยู่ดีๆก็หายไปไม่ยอมพบหน้าเพื่อนฝูง ซึ่งเสียแรงคบกันมาเป็นปีๆ เคยร่วมทุกข์ร่วมสนุกกอดคอดื่มกันมานับครั้งไม่ถ้วน เลยคิดว่าควรจะไปดีกว่า และได้บอกกล่าวเพื่อนฝูงที่อยู่พร้อมหน้าเสียทีเดียวให้ทราบว่าข้าพเจ้าขออำลาจากสมาชิกเครื่องดองของเมาแล้วอย่างเด็ดขาด เพราะมันเป็นอบายมุขหรือทางแห่งความชั่วที่ร้ายอย่างหนึ่ง ที่ใครดื่มอ้างว่าเพื่อโน่นเพื่อนี่ ก็เป็นเพียงเข้าข้างตัวผู้ที่อยากดื่มเท่านั้น คิดดูแล้วเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ดีใจก็ดื่มเหล้าเสียใจก็ดื่มเหล้า ดื่มได้ทุกเวลาและทุกงาน นอกจากจะทำให้เสียทั้งเงินเสียเวลาและเสียเกียรติ ยังพลอยทำให้ร่างกายทรุดโทรมไปอีกด้วย ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตัดสินใจแน่นอนว่าจะไป เพื่อจะได้ประกาศความตั้งใจ และเหตุผลไปในตัวด้วย และควรจะพยายามชี้แจงโทษของน้ำเมา เพื่อให้เพื่อนๆ ทราบ

     ครั้นถึงกำหนด เมื่อไปถึงบ้านงานก็ได้พบเพื่อนผู้เป็นเจ้าภาพออกมายืนรับแขกที่หน้าประตูใหญ่ เมื่อเขาแลเห็นข้าพเจ้าและแสดงอาการดีใจ ตรงเข้ามาตบไหล่อย่างสนิทสนม หัวเราะและพูดว่า

     “วันนี้ขอให้เต็มที่หน่อยนะออกพรรษาแล้วนี่ โน่นพวกเราอยู่ทางเรือนต้นไม้แนะ วันนี้จัดไว้เป็นพิเศษ

     ข้าพเจ้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ หลุดปากออกมาว่า ไม่….. อั๊วไม่ …..” เจ้าภาพมองหน้าข้าพเจ้าอย่างสงสัย พอดีมีแขกคนอื่นเดินมา เขาจึงละความสนใจจากข้าพเจ้า หันไปต้อนรับแขกต่อไป เมื่อเข้าไปในสนามก็เห็นแขกอื่นๆ ทยอยกันเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อข้าพเจ้าตรงไปเคารพบิดาของเพื่อนพร้อมของขวัญ ท่านก็ให้ศีลให้พร แล้วข้าพเจ้าเดินออกมาไปร่วมนั่งกับแขกที่ได้รับเชิญ นึกในใจว่าเป็นการถูกต้องที่ตัดสินใจมาในงานนี้ หากว่าจะไม่ดื่มเหล้าแต่สนุกไปกับพวกเมาเหล้าก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องพลอยดื่มไปด้วยเช่นเวลาเข้าพรรษายังพลอยสนุกโดยไม่ได้ดื่ม การที่จะออกปากบอกเลิกดื่มทันทีมันก็ค่อนข้างลำบาก และพูดไม่ค่อยออกเพราะยังกระดาก แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้ตกเป็นทาสของน้ำเมาก็จริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่เคยชอบ และข้าพเจ้าก็เป็นคนขี้เกรงใจเพื่อนฝูงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

     ขณะที่กำลังเดินคิดหาวิธีอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อข้าพเจ้า เมื่อหันไปดูก็เห็นเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งรู้จักสนิทสนมกันมาก อายุแก่กว่าข้าพเจ้าและเรารู้จักรักใคร่มาแต่เด็กๆ ข้าพเจ้านับถือเสมือนพี่ชายแท้ๆ กำลังกวักมือเรียก พี่คนนี้เป็นคนดีน่านับถือมา อันคนดีนั้นแม้ว่าเราจะไม่รู้จักตัว ไม่เคยคบหาสมาคมด้วย เพียงแต่ได้ยินชื่อหรือกิตติศัพท์ความดีของเขา เราก็รู้สึกยกย่องนับถือเป็นทุนอยู่แล้ว ตรงข้ามถ้าเราทราบว่าใครเป็นคนที่มีจิตใจชั่วช้าเลวทราม ถึงเราจะไม่รู้จักเพียงแต่ได้ยินชื่อเสียงก็รู้สึกเกลียดชัง อยากจะออกห่างไม่อยากคบสมาคมเสียแล้วฉันใดก็ฉันนั้น พี่ผู้นี้เป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม ข้าพเจ้ามีความดีใจที่พบจึงตรงเข้าไปทำความเคารพ คุณพี่ก็ทักว่า

    เป็นไง หมู่นี้เมาเหมือนเดิมหรือเปล่า?”

     ข้าพเจ้าตอบอย่างอายๆ ว่า หมู่นี้ไม่เมาหรอกครับ เพราะเข้าพรรษา

     คุณพี่ยิ้มอย่างพอใจ เมื่อทราบเหตุผลของข้าพเจ้า วันนี้ก็ออกพรรษาแล้วนี่ เพื่อนฝูงมารวมกันพร้อมหน้าคงสนุกกันใหญ่ละซีนะ

     ข้าพเจ้ารีบตอบอย่างภูมิใจว่า ไม่ละครับคุณพี่ ผมตั้งใจแล้วว่าจะไม่ดื่มอีกต่อไป

     คุณพี่มองดูหน้าข้าพเจ้าอย่างประหลาดใจและไม่เชื่อหูตนเอง จึงย้อนถามข้าพเจ้าอีกว่า ไหน ! พูดว่าอย่างไรนะ พูดอีกทีซิ

     ข้าพเจ้าอดขำไม่ได้ แต่ก็พูดทวนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ยินถนัด คุณพี่ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วจึงว่า

เลิกดื่มได้ก็วิเศษน่ะซิน้องชาย ถ้าทำได้อย่างพูดก็ขอแสดงความยินดีด้วย แล้วนี่เพื่อนฝูงเขารู้หรือยัง

     ข้าพเจ้าตอบว่ายังไม่ได้บอกใคร คุณพี่บอกว่า ขอให้พี่แสดงความยินดีเป็นคนแรกนะ พี่ก็เคยเห็นมาแล้วว่า เหล้าไม่เคยให้คุณใคร มีแต่โทษเสียเงินทองเสียสุขภาพ มิหนำซ้ำใครมาเห็นเข้าเวลาเมาเขาก็หมดความนับถือเสื่อมศรัทธา เหล้าทำให้ขาดสติยั้งคิด มีแต่ความประมาทและเป็นบ่อเกิดแห่งการวิวาท การฆาตกรรม เพราะเมาไปแล้วทำได้ทุกอย่างไม่ว่าผิดหรือถูก

     ข้าพเจ้านั่งฟังอย่างสงบ และเห็นจริงด้วยทุกประการนี้ นี่ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนที่ข้าพเจ้ายังชอบดื่มอยู่ละก็ ข้าพเจ้าคงจะไม่ยอมฟัง และคงต้องเถียงว่าไม่เป็นจริงแน่ แต่บัดนี้ข้าพเจ้ากลับชอบคำพูดเช่นนี้

     คุณพี่กล่าวอย่างช้าๆ ว่า

มีสมัยหนึ่งออกจะโบราณสักหน่อย ทางยุโรปเขามีการแข่งดื่มเหล้ากัน ดื่มกันเป็นแกลลอนๆ ทีเดียว ผลที่สุดก็คือคนชนะที่ ๑ ตายในเวลา ๑๘ ชั่วโมงต่อมา คนที่ชนะที่ ๒ ตายในเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อมา และคนที่ ๓-๕ ก็ตายตามเป็นลำดับ พี่เคยอ่านพบในหนังสือฝรั่ง แต่จำไม่ได้แน่นักว่าเข้าแข่งขันกันกี่คน และตายไปกี่คนเพราะมันนานมาก แต่จำได้แต่ตายเป็นลำดับ จนนายแพทย์ไม่สามารถช่วยเหลือได้ จากนั้นก็ไม่ได้ข่าวว่ามีการแข่งขันชนิดนี้ที่ไหนอีกทั้งในยุโรป และอเมริกา รัฐบาลอเมริกันก็เห็นโทษของการดื่มสุราถึงกับเคยออกกฎหมายห้ามดื่มอยู่พักหนึ่ง และถือว่าเหล้าเป็นของต้องห้ามไม่ยอมให้เข้าประเทศ ชาวอเมริกันที่เดินทางเข้ามาในเมืองไทยพากันดื่มแต่น้ำหวานและโซดา พวกนี้เขาถือกันเคร่งครัดและซื่อสัตย์ต่อรัฐบาลของเขาและตัวเอง แม้จะออกนอกประเทศแล้วก็ยังไม่ยอมดื่ม

     ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งฟังอยู่อย่างสนใจ ทันใดนั้นก็มีมือของใครคนหนึ่งมาฉุดข้าพเจ้าให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า เฮ้ย! ลื้อนั่งผิดที่เสียแล้ว ที่นั่งของลื้ออยู่ทางโน้น เจ้าภาพเขาจัดชุดไว้ให้เสร็จแล้วว่าแล้วเพื่อนคนนั้นก็หันไปขอโทษคุณพี่ในการที่เขาเข้ามาขัดจังหวะสนทนา

     ข้าพเจ้าเห็นคุณพี่ยิ้มเศร้าๆ พยักหน้าแล้วพูดว่า ไม่เป็นไร เชิญตามสบายเถิด

     สายตาของคุณพี่จ้องมายังข้าพเจ้า เต็มไปด้วยความสงสารเห็นอกเห็นใจ ที่ข้าพเจ้าซึ่งตั้งใจจะกลับตัวเป็นคนดี แต่ก็คงนึกว่าไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าจำต้องเดินตามเพื่อนมาด้วยใจคอไม่เป็นปกติ เมื่อมาถึงโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยสุรากับแกล้ม มีเพื่อนนั่งกันอยู่ประมาณสี่ห้าคน ในจำนวนนั้นมีสองสามคนที่ดื่มเข้าไปจนหน้าตึงแล้ว แต่พวกที่เหลือยังดูเฉยๆ และพูดจากันพอรู้เรื่อง คงจะเพิ่งมาถึงไม่นานนัก ข้าพเจ้าชักวิตกกลัวจะพูดกันไม่รู้เรื่อง จะกลายเป็นข้าพเจ้าเล่นตัวไม่ยอมดื่ม อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าต้องบอกให้ได้ แม้จะท้อใจอยู่บ้างที่เพื่อนๆ ซึ่งตั้งใจสนุกสนานกันเต็มที่ต้องผิดหวังแข็งใจพูดออกไปว่า

    วันนี้อั๊วต้องขอโทษที่จะไม่ดื่ม เพราะได้ตั้งใจแล้วว่าจะเลิกดื่มอย่างเด็ดขาด ขอโทษด้วยนะแล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นว่า พูดอะไรโว้ย พูดใหม่อีกทีซีวะ

      ข้าพเจ้าต้องกลืนน้ำลายแล้ว จึงพูดทวนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นว่า เฮ้ย! นี่มันจะตัดญาติขาดมิตรกันอย่างไม่ยอมดูหน้ากันเลยนี่โว้ย หรือว่าลื้อเกิดไม่ชอบหน้าใครในหมู่พวกเรา

     ข้าพเจ้าสั่นศีรษะตอบว่า เปล่าเลย เพื่อนทุกคนในที่นี้เป็นเพื่อนที่ดีของอั๊ว แต่อั๊วมาคิดได้แล้วว่าการดื่มเหล้าไม่เคยให้คุณ…..”

      ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะพูดให้จบก็มีเสียงตะโกนจากเพื่อนที่กำลังเมาว่า เฮ้ยหยุดโว้ย พอทีไอ้การดื่มเหล้าน่ะมันมีมาแต่โบราณแล้ว ทวดอั๊ว พ่ออั๊ว ท่านก็ดื่มมานานแล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลื้อลองถามเพื่อนๆ ดูทีว่า มีใครเขาอยากให้ลื้อเลิกดื่มบ้าง เอ้าพวกเราใครเห็นดีจะให้เพื่อนเราเลิกดื่มเหล้าบ้างวะ?”

     เสียงพวกที่นั่งอยู่จำนวนครึ่งตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ยอมให้เลิกโว้ย เพื่อนคนนั้นพูดต่อไปว่า เห็นไหม ไม่มีใครยอมให้ลื้อเลิก ลื้อจะทิ้งเพื่อนไปไงวะ ถ้าลื้อเลิกรัฐบาลก็ขาดภาษีรายได้ซีวะ ช่วยอุดหนุนรัฐบาลหน่อยซิโว้ย

     ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไร  มันเป็นความผิดของข้าพเจ้าเองที่มาพูดผิดเวลา  คือพูดขณะเพื่อน ๆ กำลังตกอยู่ใต้อำนาจน้ำเมา  หันไปดูเพื่อนอีกสามสี่คน  ซึ่งยังมีสติอยู่บ้างเขาก็ได้แต่แสดงความเห็นอกเห็นใจออกมาทางสายตาเท่านั้น  แต่ไม่มีประโยชน์อะไร  ในเมื่อไม่ช้าเขาก็จะเมาแล้ว  พวกแรกเมื่อกล่าวเช่นนั้นก็ช่วยกันผสมเหล้ากับโซดายื่นส่งให้ข้าพเจ้าถึงปาก  ข้าพเจ้าพยายามขอตัว  คิดว่าถ้าเผื่อไม่มีใครเห็นใจเห็นชอบกับความคิด  หรือเห็นอกเห็นใจที่จะให้ข้าพเจ้าเลิกดื่ม  ก็คิดว่าจะปลีกตัวออกไปจากโต๊ะเฉย ๆ  แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เด็ดขาดไม่ควรทำและมันออกจะรุนแรงเกินไป  จนทำให้เพื่อนๆโกรธหาว่าอวดดีก็ตาม 

     แต่เมื่อหวนคิดว่าเราเคยดื่มด้วยกันมาเป็นปีๆ  ไม่ว่าวันเสาร์หรืออาทิตย์มักจะพบพวกเราเสมอที่ซ่วนหลี  บาร์ไก่ขาว  สยามโฮเต็ล  ความสัมพันธ์ถึงขั้นนี้เป็นการลำบากที่จะยืนกรานปฏิเสธ  และทำสิ่งที่กระเทือนใจเพื่อนๆ  ควรจะหาทางออกอย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นดีกว่า  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องหาทางออกนานนัก  พอดีเพื่อนคนหนึ่งคงจะเห็นใจข้าพเจ้า  จึงพูดขึ้นอย่างเป็นกลางๆว่า

     “นี่  ขอให้อั๊วพูดหน่อยนะ  แล้วก็ขอให้พูดจบเสียก่อนอย่าเพิ่งขัด  อั๊วจะพยายามพูดให้ยุติธรรมที่สุด ฟังนะ  ไอ้การที่เพื่อนเราจะเลิกดื่มเหล้ามันเป็นการดีอย่างหนึ่งของมัน  ถ้าเราจะขัดขวางไม่ยอมให้มันเลิก  มันก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวจนเกินไป  การดื่มเหล้ามันเป็นความชั่วจริง ๆ  เรารู้แต่เราก็ชอบ  มันอยากเป็นคนดี  เราก็ควรจะส่งเสริม  ใครอยากเลิกก็เลิกไป  ใครอยากดื่มก็ดื่มไป  แต่ว่าจู่ๆจะมาบอกเลิกกะทันหันอย่างนี้  เพื่อนฝูงก็จะเสียน้ำใจกัน  ไหนๆก็จะเลิกดื่มแล้ว ขอให้ฉลองกันเป็นครั้งสุดท้ายสักวันหนึ่ง  พวกเราเห็นเป็นอย่างไร?” แล้วเพื่อนผู้นั้นก็หันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า

     “ลื้ออย่าเพิ่งหนีเพื่อนฝูงไปเร็วนักซิ”  แล้วก็หันไปพูดกับเพื่อนๆอีกว่า ที่อั๊วพูดมานี่ใครเห็นดีด้วยบ้าง?” ทุกคนในโต๊ะเห็นพ้องต้องกันหมด  ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้จะรับหรือปฏิเสธดี  ถ้าปฏิเสธก็จะดูเป็นการเล่นตัวเกินไป  เพียงครั้งเดียวเท่านั้น  คือครั้งนี้และเป็นครั้งสุดท้าย  จึงตกลงตามใจเพื่อนฝูง  แต่ขอเปลี่ยนเป็นเบียร์แทน  เพราะคิดว่าถ้าระวังตัว  คงทำให้เมาน้อยกว่าเมาเหล้าหน่อย 

     เพื่อนคนนั้นก็เรียกคนรับใช้เขากระซิบสั่งอะไรสองสามคำ  สักครู่คนรับใช้ก็เอาเบียร์มาให้ข้าพเจ้าแก้วหนึ่ง  เพื่อนๆคะยั้นคะยอให้ดื่ม  ข้าพเจ้าจึงดื่ม  พอแก้วเบียร์จรดริมฝีปากขนลุกซู่ขึ้นทันที่  เห็นจะเป็นเพราะข้าพเจ้าทำลายความตั้งใจเดิมนั่นเอง  เบียร์แก้วนั้นรู้สึกว่าจะแรงกว่าธรรมดาจึงชักสงสัย  แต่ก็ไม่ได้ถามและตั้งใจจะดื่มเพียงแก้วเดียวเท่านั้น  แต่เพื่อนๆก็ไม่ยอมบอกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย  ต่อไปก็จะไม่ได้ร่วมวงดื่มกันอีกแล้ว  ต้องเอาให้เต็มที่หน่อย

     จากนั้นก็ช่วยกันผสมวิสกี้กับโซดามาให้  ข้าพเจ้าร้องขอเบียร์  เพื่อนจึงหัวเราะและบอกว่าแก้วแรกที่ข้าพเจ้าดื่มคือเหล้าผสมเบียร์  เพราะเขากระซิบบอกให้คนใช้เอาเหล้าเติมลงไปในเบียร์  มิน่าเล่าข้าพเจ้าจึงสงสัยตั้งแต่ต้นว่ามันผิดกว่าเบียร์ธรรมดา  และยิ่งเมามากกว่าเหล้าผสมโซดา  ข้าพเจ้าเลยตกกระไดพลอยโจน  ไหนๆ ก็เสียรู้แล้วเลยฉลองเป็นครั้งสุดท้าย  เลยดื่มกันใหญ่ 

     ในคืนนั้นข้าพเจ้าเมามากจนครองสติไม่อยู่  เพราะเมื่อออกจากบ้านงานแล้ว  พวกเพื่อนๆยังจับตัวพาตระเวนด้วยรถยนต์ไปตามบ้านเพื่อน  พอไปถึงบ้านเพื่อนคนหนึ่ง  จำได้ลางๆว่าเขาเข้าไปปลุกภรรยาให้ลุกขึ้นมาหากับแกล้ม  แล้วก็ค้นเหล้าที่เก็บไว้มาเปิดบาร์ดื่มฉลองข้าพเจ้ากันอย่างสนุกสนาน  จากนั้นก็เปะปะกลับบ้านกันทีละคนสองคน  รวมทั้งข้าพเจ้า เราตะโกนร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานในตอนดึกตามประสาคนขี้เมา  

     ขณะนั้นก็มีเสียงเคาะประตูหน้า  แม่บ้านของเพื่อนไปเปิดประตูก็พบหญิงผู้หนึ่งเข้ามาในบ้านหน้าตาตื่น  และขอร้องว่า คุณคะ  ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่เข้ามาขัดความสำราญของพวกคุณ  ขอความกรุณาเถิดค่ะ  บุตรของดิฉันแกป่วยนอนไม่ค่อยหลับ  ยิ่งได้ยินเสียงเพลงของพวกคุณ  แกยิ่งสะดุ้งผวาร้องกวนใหญ่  นี่ก็เกือบตีสามแล้ว  โปรดเห็นแก่ดิฉันเถิดค่ะ  ขอโทษด้วยนะคะ

     ภรรยาของเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน  ก็รับรองว่าจะกำชับไม่ให้ทำเสียงดังให้เด็กตกใจอีก  พร้อมทั้งกล่าวคำขอโทษที่ทำเสียงรบกวน  ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ว่ากลับบ้านเวลาใดและกลับมาได้อย่างไร  รู้แต่ว่าดื่มเข้าไปมากโดยที่อาหารเย็นไม่ได้ตกถึงท้องเลย  จะมีก็เพียงกับแกล้มเล็กน้อยเท่านั้น  ทั้งๆที่เจ้าภาพได้จัดโต๊ะจีนเลี้ยงเป็นงานใหญ่

     พอย่ำรุ่งค่อยสร่างเมา  รู้สึกเป็นไข้เมื่อยไปหมดทั้งตัว  อ่อนเพลียไม่มีแรงจนแทบกระดิกตัวไม่ไหว  ปวดเมื่อยตามตัวเป็นกำลัง  บิดาของข้าพเจ้าจึงไปตามหมอนวดที่มีชื่อเสียงมานวดให้ในเช้าวันนั้น  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้ารู้จักการนวด  เพราะตามปกติถ้ามีใครมานวดแขนขาข้าพเจ้าจะจั๊กจี้จนทนไม่ได้  แต่ขณะนี้มันเมื่อยมากจนไม่รู้สึกจั๊กจี้เลย  การนวดไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าดีขึ้น 

     หมอนวดเห็นเช่นนั้นจึงบอกว่า ถ้าลุงนวดไม่หายละก็อย่านอนใจ  รีบไปหาหมอรักษาเสียโดยเร็ว

     เมื่อได้ยินเช่นนั้น  ความอ่อนเพลียที่เป็นอยู่แล้วก็มากขึ้นอีก  กำลังก็พลอยถอยลง  คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับตลอดคืน  รุ่งเช้ามารดาข้าพเจ้าเห็นอาการทรุดลงจึงไปตามแพทย์แผนโบราณมารักษา  ผ่านมาได้สองสามวัน  แต่อาการก็ยิ่งทรุดหนักลงไปอีก  มีทั้งอาการหายใจถี่หอบ  หัวใจเต้นเร็วจนเห็นได้ชัด  ซ้ำยังหลับไม่ได้เลยตลอดวันตลอดคืน  ถึงกับปัสสาวะออกมาเป็นเลือดสดๆ  ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้เพื่อนที่มาเยี่ยมไปเชิญนายแพทย์ประวัติ  ซึ่งขณะนั้นเป็นแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลกลาง และเป็นเพื่อนที่ข้าพเจ้านับถือผู้หนึ่ง 

     นายแพทย์ประวัติ  เมื่อทราบว่าข้าพเจ้าป่วยมากก็รีบมาดูอาการทันที  หลังจากตรวจอาการแล้วรีบฉีดยาและให้ยาไว้รับประทาน  หมอมีสีหน้าวิตกและแสดงทีท่าว่าหนักใจมาก  รีบกลับไปมอบเวรที่โรงพยาบาล  ในไม่ช้าก็กลับมาอีกเพื่อดูอาการไข้ตลอดคืน  ข้าพเจ้าเห็นใจหมอมาก  เพราะงานในโรงพยาบาลก็ล้นมืออยู่แล้ว  ยังอุตส่าห์อดหลับอดนอนมาเฝ้าไข้ตลอดรุ่ง

      คืนนั้นข้าพเจ้าหอบมากจนไม่สามารถนอนราบตามธรรมดาได้  ต้องเอาหมอนหนุนหลังให้สูงขึ้น  มิฉะนั้นจะรู้สึกแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก  หมอฉีดยาให้หลายเข็มแต่ก็สงบไปได้เป็นพัก ๆ เท่านั้น  บัดนี้ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าอาการหนัก  เพราะรู้สึกภายในร่างกายมีเสียงกระเทือนมาก  และไม่เป็นจังหวะคล้ายว่าส่วนใดส่วนหนึ่งจะพังออกมา คิดว่าก่อนที่ร่างกายจะแตกดับลงไป  ก็ขอทำจิตใจให้เข้มแข็งอยู่ในความสงบ ตัดความกลัว  ตัดความกังวล  และตัดความห่วงใยเสียทั้งสิ้น  คิดว่าความตายเป็นของธรรมดาของสัตว์โลก  ความกลัว ความกังวล  ห่วงใยเป็นทุกข์ที่ทรมานใจ  ไม่ให้สงบ  ความตายเท่านั้นไม่มีใครหนีพ้น  แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นยอดบุรุษของโลก  ก็ยังต้องเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน

      เราซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือจะหนีความตายพ้น  ผิดกันก็แต่ใครจะตายเร็วตายช้าเท่านั้น  แต่ลงท้ายก็ต้องตายด้วยกันทุกคน  เมื่อคิดได้เช่นนั้นพยายามทำจิตใจให้สงบ  โดยไม่มีความกังวลห่วงใยสังขารที่กำลังทรมานรอเวลาจะถึงที่สุด  ไม่ช้าก็รู้สึกว่าจิตใจกับร่างกายได้แยกออกเป็นคนละส่วน  แม้สังขารกำลังไข้หนักจะแตกดับแต่จิตใจนั้นปกติ  มิได้พลอยป่วยไปด้วย  ฉะนั้น  ความรู้สึกยังคงจำทุกสิ่งทุกอย่างได้  เพราะจิตใจอยู่เหนือความเจ็บป่วย

     เช้าวันรุ่งขึ้น หมอลากลับไปเพราะจะต้องไปอยู่เวรที่โรงพยาบาลกลาง ซึ่งเวลานั้นเรือนคนไข้ของโรงพยาบาลยังเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนนั้นสูงโปร่งปลูกเป็นแถวสี่ด้านล้อมรอบสนามหญ้า คนไข้ส่วนมากเป็นพวกอนาถา ซึ่งมาจากต่างจังหวัดที่เกี่ยวกับถูกยิงแทงและต้องได้รับการผ่าตัด หมอมีงานมากจนข้าพเจ้าเกรงใจที่จะรบกวนมากกว่านี้ เพื่อนผู้หนึ่งจึงแนะนำว่าควรไปเชิญนายแพทย์พันตรีหลวงประกิตเวชศักดิ์ (ขณะนี้เป็นพันเอก) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วย เพราะคุณหลวงผู้นี้เป็นอีกผู้หนึ่งที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ

     เมื่อเพื่อนคนนั้นไปเชิญท่านมาโดยบอกว่าข้าพเจ้าป่วย ท่านรีบขับรถส่วนตัวของท่านมาทันที เมื่อได้ลงมือตรวจอาการอย่างละเอียดแล้ว ท่านมีท่าทางตกใจบอกให้รีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะจำเป็นต้องอยู่ใกล้หมอ ท่านบอกให้ข้าพเจ้านอนนิ่งๆ อย่าพยายามพลิกตัวหรือกระดุกกระดิก เพื่อนอีกผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในที่นั้นด้วย มีร่างกายล่ำสันแข็งแรง จึงอาสาว่าเขาจะเป็นคนอุ้มตัวข้าพเจ้าขึ้นรถเอง

     คุณหลวงรีบร้องบอกว่า ไม่ได้ ไม่ได้ ห้ามอุ้มห้ามเคลื่อนที่อันตรายมากท่านบอกว่าท่านจะรีบส่งรถพยาบาลพร้อมด้วยเปลมารับ และให้พนักงานพยาบาลจัดการเอง แล้วท่านก็รีบกลับโรงพยาบาลทันที

     เวลานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทางบ้านโกลาหลกันที่สุด ในการที่ข้าพเจ้าจะต้องไปอยู่โรงพยาบาล เป็นครั้งแรกที่คนในครอบครัวไปรักษาในโรงพยาบาล แม่ได้เข้ามาลูบหน้าลูบผมข้าพเจ้าอย่างปลอบโยน แล้วก็แอบไปเช็ดน้ำตาไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าเห็น ทุกคนในที่นั้นซึ่งได้ทราบแล้วมีสีหน้าเศร้าไปตามๆกัน บิดาของข้าพเจ้าหลบเข้าไปในห้องและอยู่คนเดียวเงียบๆ เพื่อระงับใจ เห็นจะเป็นเพราะว่าข้าพเจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่นี่เอง จึงทำให้ท่านรักและเป็นห่วงมาก และจะต้องห่างจากบ้านไปอยู่โรงพยาบาล

     ในไม่ช้ารถพยาบาลก็มาถึง บุรุษพยาบาลได้นำเปลลงจากรถขึ้นไปถึงห้องข้าพเจ้าชั้นบน เขาช่วยกันค่อยๆเคลื่อนร่างของข้าพเจ้าจากที่นอนบนเตียงอย่างระมัดระวังลงสู่เปลโดยละมุนละม่อม ตามวิธีการของเขา แล้วหามข้าพเจ้าลงจากบ้านขึ้นมาใส่รถ ไม่ช้ารถก็มาถึงโรงพยาบาลติดตามมาด้วยญาติพี่น้อง เมื่อจัดการลงชื่อตามระเบียบแล้วเขาเอาเปลใส่รถเข็น เข็นผ่านห้องและตึกต่างๆ จนในที่สุดก็มาหยุดในชั้นบนของตึกวชิราวุธ

     ด้วยความกรุณาของคุณหลวงประกิตฯ ท่านได้สั่งเตรียมห้องชั้น ๑ อยู่ชั้นบนของตึกไว้เรียบร้อยแล้ว ห้องนั้นเป็นห้องใหญ่มีเตียงคนไข้อยู่เตียงเดียว เมื่อเคลื่อนข้าพเจ้าลงบนเตียงแล้ว นางพยาบาลซึ่งคอยท่าอยู่ก่อนจัดแจงฉีดยาและให้น้ำเกลือทันที คุณหลวงยังได้สั่งให้ระมัดระวังเอาใจใส่ข้าพเจ้าให้นอนนิ่งๆ ในตอนบ่ายวันนั้นบรรดาญาติมิตรที่รู้ข่าวต่างพากันไปเยี่ยมมากมาย

     นางพยาบาลได้เขียนป้ายติดไว้ว่า ห้ามผู้มาเยี่ยมทำเสียงดังรบกวนคนไข้

     ฉะนั้น  ในห้องนั้นแม้จะมีผู้คนมากหน้าหลายตา  แต่ก็เงียบคล้ายไม่มีคนอยู่ เพราะได้แต่นั่งมองดู  บางคนเช็ดน้ำตา  เห็นจะเป็นเพราะสงสารข้าพเจ้า

     ในวันนั้นเองแม่ได้ให้คนไปบอกนายพลบ  ซึ่งบ้านอยู่ในสวน  ตำบลวัดดอกไม้  คลองภูมิ (ขณะนี้เป็นนายแพทย์แผนโบราณและยังอยู่ที่เดิม)  นายพลบเป็นคนที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยรักใคร่นับถือและเรียกว่าพี่  เมื่อพี่พลบได้ทราบก็รีบมาอยู่เฝ้าไข้ด้วยความห่วงใยและอย่างเต็มใจ  เป็นอันว่าคืนนั้นข้าพเจ้ามีพี่พลบอยู่ดูแลนอนเป็นเพื่อน  ทางโรงพยาบาลได้จัดสำรับอาหารสำหรับผู้อยู่เฝ้าไข้ไว้ต่างหากทั้ง ๓ เวลา นอกจากนั้นก็มีเตียงผ้าใบ  มุ้ง  ผ้าห่ม  หมอน  ให้ด้วย

      การป่วยเพียงไม่กี่วัน  ทำให้ร่างกายข้าพเจ้าทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว  จนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก  ข้าพเจ้ายังรู้สึกอ่อนเพลียแทบจะกระดิกตัวไม่ไหว  แม้แต่แมลงวันบินจากกองขยะที่กำลังถมสวนลุมพินีมาเกาะที่หน้า  ก็ไม่มีแรงจะยกมือขึ้นปัด  พี่พลบต้องคอยช่วยปัดอยู่ใกล้ๆ  แต่ตลอดเวลาข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าจิตใจเข้มแข็งไม่หวาดกลัว  มีสติดี  จะอยู่หรือตายก็รู้สึกเฉยๆอยู่เสมอ  แม้แต่นางพยาบาลพูดอะไรกับคนเฝ้าไข้หรือใครพูดกันก็รู้  จากคำพูดของนางพยาบาลที่คุยกับพี่พลบ  ข้าพเจ้าได้ทราบว่า  วันนั้นได้มีคนไข้อาการหนักมาอีกรายหนึ่ง  คือ  เรืออากาศโท….. จับคำพูดพอได้ความว่า ถูกไฟลวกขณะปฏิบัติการบินอยู่กลางอากาศ  ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังมาจากฟากตึกด้านตรงข้าม  อันเป็นห้องของนายทหารผู้นี้  แม้ข้าพเจ้าเองจะป่วยอยู่แต่ก็อดสงสารและเห็นใจไม่ได้ 


     คืนนั้นนอกจากจะมีพี่พลบอยู่เป็นเพื่อนแล้ว  ยังมีนางพยาบาลคอยฉีดยาและให้ยาเป็นระยะๆ  นอกจากข้าพเจ้าหลับ  ข้าพเจ้าหลับๆตื่นๆ  พี่พลบคอยเอาใจใส่ดูแลตลอดเวลา  คืนวันนั้น  ข้าพเจ้านอนหลับตานิ่งก็เอาสำลีมารอที่จมูกและจับชีพจร  แกรู้ว่าชีพจรเต้นอ่อนเต็มที  ทั้งๆที่ข้าพเจ้ารู้สึกตัวไม่ได้เป็นอะไร ต่อมา  นายแพทย์เวรเอารายงานประจำมาดู แล้วรีบสั่งให้ฉีดยาทันที

     รุ่งเช้า  คุณหลวงประกิตฯ มาตรวจอาการแต่เช้า  หลังจากให้ดูรายงานการวัดปรอท  จับชีพจร  และการถ่ายอะไรต่ออะไรแล้ว  บอกว่า  เมื่อคืนที่ผ่านไปไข้ยังสูง  ชีพจรอ่อนลงมาก  อาการไม่ดีขึ้นเลย  ท่านมีสีหน้ากังวล  และหนักใจไม่น้อย  ท่านได้สั่งเพิ่มยาและให้อาหารทางก้น  เพราะข้าพเจ้าทานอาหารไม่ได้เลยนอกจากน้ำ  วันนั้นเห็นจะเป็นวันอาทิตย์  ตกตอนสายจึงมีผู้มาเยี่ยมทยอยกันเข้ามา  มีทั้งแม่และเพื่อนของแม่พร้อมทั้งญาติมิตรสหาย

      เพื่อนบางคนอยู่ต่างจังหวัดแต่พอทราบว่าข้าพเจ้าป่วยก็รีบมาเยี่ยม  ทุกคนนั่งอยู่ด้วยอาการสงบไม่มีเสียงสนทนากัน  นอกจากจะแอบซุบซิบถามกันค่อย ๆ  หลังจากที่ได้เห็นป้ายที่นางพยาบาลติดไว้หน้าห้อง  แม้จะมาอยู่โรงพยาบาลแล้ว  อาการของข้าพเจ้าก็ยังไม่ดีขึ้น  หมอสั่งว่าให้นอนนิ่งๆ  ให้พยายามอย่าพูดอย่าออกเสียง  กระนั้น  ข้าพเจ้ามาทราบภายหลังว่า วันนั้นนางพยาบาลได้แอบเรียกแม่ออกไปนอกห้อง แล้วกระซิบว่า

     “คนไข้อาการหนักมาก  มีหวังน้อย  มาบอกให้คุณป้าทราบล่วงหน้า  ถ้าเกิดอะไรขึ้นคุณป้าจะได้ไม่เสียใจมาก”  แล้วนางพยาบาลคนนั้นก็รีบจากไป  เธอคงไม่อยากเห็นภาพอันน่าสลดในห้อง

     แม่เองได้กระซิบให้ผู้ที่นั่งในห้องทราบทั่วๆกัน  แล้วท่านเองก็นั่งเช็ดน้ำตา  มีเพื่อนและญาติหลายคนที่สงสารข้าพเจ้าถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา  ข้าพเจ้ายังจำได้แม่นยำ  คุณป้าเล็ก วิสุทธิพงศ์ ได้ลุกขึ้นกระซิบที่หูข้าพเจ้าด้วยน้ำตาคลอว่า

     “นึกถึงพระอรหันต์ไว้นะพ่อคุณของป้า  นึกถึงบุญกุศลที่เราเคยสร้างสมไว้นะลูกนะ”  เสียงของท่านสั่นเครือเพราะสะอื้นอยู่ในอก  ข้าพเจ้าพยักหน้ารับ  นึกในใจว่าพระอรหันต์ไม่เคยนึกมาก่อนเลย  เสียงแม่ร้องไห้สะอื้นค่อยๆ พอได้ยินเสียงว่า

    โถ  ตั้งแต่เกิดมาเป็นแม่เป็นลูกไม่เคยทำให้พ่อแม่เจ็บช้ำน้ำใจหรือทำให้พ่อแม่น้ำตาตก  เหมือนลูกคนอื่นบางคนเลย  ยังไม่ทันไรก็จะจากไปแล้ว”  พูดแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น 

     ข้าพเจ้าได้ยินคุณป้านรากร อนุรักษ์ (แตงกวย)  กระซิบกับแม่ว่า แกคงไม่อายุสั้นอย่างนั้นหรอกน่ะ  แม่บุญทำใจดี ๆ ไว้เถิด  บางทีบุญกุศลคงช่วยให้หายไข้ก็ได้  อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนเลย

     แต่กระแสเสียงของคุณป้าก็ปนสะอื้นไปด้วย ข้าพเจ้าทราบภายหลังว่า คุณป้าแตงกวยจับยามดูก่อนจะออกจากบ้าน ยามบอกว่ายังไม่ถึงที่สิ้นอายุ ครั้นมาเห็นสภาพของข้าพเจ้าเหมือนกำลังจะหมดลมอยู่แล้วก็ใจหาย ยามของท่านไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ท่านบอกว่าถ้ายามของท่านพลาดคราวนี้ท่านจะไม่ดูต่อไป เพื่อนของคุณแม่ทุกคนรักใคร่เอ็นดูข้าพเจ้าอย่างลูกหลานและหวังดีโดยแท้จริง

     บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่า มรณภัยกำลังใกล้เข้ามา แต่ใจนั้นสงบอย่างเดิม  มิได้เปลี่ยนแปลงหวาดหวั่น ตอนบ่ายมีมิตรสหายมาเยี่ยมมากมาย จนทำให้ห้องอันกว้างขวางนั้นแคบลงถนัดตาล้นออกมานอกห้อง เพราะทุกคนทราบข่าวว่าข้าพเจ้าป่วยหนักคิดว่าคงไม่มีทางรอดแน่ จึงหวังจะมาเห็นข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย

     ในเวลาที่มีคนมาเยี่ยมมากมายในห้อง ความรู้สึกของข้าพเจ้าว่ามีพระองค์หนึ่งมาเยี่ยมขณะที่ข้าพเจ้ามองไปทางปลายเตียง เห็นพระครองผ้าเหลืองผ่านแวบขึ้นมาทางหัวเตียง แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นองค์ท่านถนัดนัก ข้าพเจ้าจึงถามแม่ว่า

     “พระที่วัดไหนท่านมาเยี่ยม  ท่านเดินผ่านไปทางหัวเตียง

     ทุกคนที่อยู่ในห้องได้ยินข้าพเจ้าถามต่างมองดูตากันเลิกลั่ก เพราะไม่มีใครเห็นพระที่ไหนมา ไม่มีแม้แต่ใครที่ใส่เสื้อเหลือง ไม่มีใครตอบคำถามของข้าพเจ้า คงนึกว่าข้าพเจ้าเพ้อด้วยพิษไข้สูง แต่ข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่าไม่ได้เพ้อไม่ได้ฝัน สติข้าพเจ้ายังดีจิตใจก็เป็นปกติ ข้าพเจ้าเห็นพระห่มจีวรเดินผ่านไปหัวเตียงจริงๆ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจและประทับใจข้าพเจ้าอย่างไม่มีวันเลือน เพราะต่อมาภายหลังข้าพเจ้าจึงได้ทราบว่า แม่รู้ว่าการป่วยของข้าพเจ้าคราวนี้หมดหวังหายจึงได้หาธูป ๓ ดอก แอบไปจุดทางมุมห้อง ระลึกถึงหลวงพ่อองค์หนึ่งที่อยู่ทางแปดริ้ว ซึ่งแม่เคยเคารพนับถือมานานแล้วว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ขอให้ท่านช่วยการป่วยไข้ของข้าพเจ้าครั้งนี้ให้หายเป็นปกติ เมื่อหายแล้วก็บนตัวข้าพเจ้าบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ เห็นจะเป็นอำนาจของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าจึงได้เห็นผ้าเหลืองดังที่ข้าพเจ้าได้เรียนมาแล้ว

     ค่ำวันนั้น คุณหลุย ครูวิเชียร เป็นหัวหน้าตึกนางพยาบาลอีกตึกหนึ่ง ซึ่งเคยรู้จักกับข้าพเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ได้ทราบข่าวป่วยก็มาเยี่ยม และเมื่อมีเวลาว่างก็มาถามข่าวอาการป่วยอยู่เสมอ ข้าพเจ้าอดที่จะขอบคุณน้ำใจอันงามของเธอมิได้ คืนนั้นข้าพเจ้าทราบว่ามีบุรุษพยาบาลอยู่เวรเพิ่มขึ้นมากกว่าปรกติ เพราะมีคนไข้อาการหนัก ข้าพเจ้าหลับๆตื่นๆเกือบตลอดคืน

     และแล้วเหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า เวลานั้นประมาณ ๕ นาฬิกาของวันใหม่ ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าลุกขึ้นนั่งได้ทั้งๆที่ตามปกติแม้แต่ยกมือขึ้นก็ไม่ไหว แขนขาก็ไม่มีกำลังที่จะยกขึ้นได้ แต่ขณะนี้ข้าพเจ้าลุกขึ้นได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย และมีกำลังแข็งแรงราวกับว่าไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน ข้าพเจ้าค่อยๆ แหวกมุ้งซึ่งนางพยาบาลเหน็บไว้ให้อย่างเรียบร้อย แล้วเคลื่อนตัวมานั่งห้อยเท้าแต่เท้าไม่ถึงพื้น เพราะเตียงสูงและไขไว้เป็นครึ่งนั่งครึ่งนอนข้าพเจ้าจึงใช้มือยันที่นอนแล้วพยุงตัวแล้วโดดลงจากเตียง ไฟในห้องยังสว่างไสว เพราะพี่พลบเปิดไว้ไม่ยอมปิด จึงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องได้อย่างชัดเจน รู้สึกตัวเบาเท้าเพียงแตะพื้นไว้เฉยๆ ราวกับว่าตัวเองเป็นลูกโป่งที่เป่าจากฟองสบู่

     ข้าพเจ้าค่อยๆ เดินออกไปจากห้อง แต่ก่อนจะออกไป ข้าพเจ้าหันมาดูภายในห้องอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมองไปในมุ้งของพี่พลบก็เห็นแกลุกขึ้นนั่ง ตาจ้องไปยังมุ้งที่ข้าพเจ้านอน ครั้นแล้วแกก็เปิดมุ้งออกมา ลุกขึ้นเดินตรงไปเปิดมุ้งเข้าไปดูเตียงที่ข้าพเจ้านอน คงจะเอาสำลีไปรอที่จมูก หรือไม่ก็จับชีพจรตามที่แกเคยทำมาแล้ว ข้าพเจ้านึกขันอยากจะทำให้พี่พลบประหลาดใจที่แกเปิดมุ้งแล้วไม่พบข้าพเจ้า จึงรีบออกเดินจากห้องไปทันที

     เมื่อออกไปถึงประตูห้อง ข้าพเจ้าจึงพบคนจำนวนมากออกันอยู่หน้าห้อง สังเกตดูรู้สึกว่าเป็นชาติต่างๆ เพราะเครื่องแต่งกายและหน้าตาผิดแปลกต่างกันไป ทุกคนถือขวดยาอยู่ในมือต่างก็ยื่นขวดยาให้ข้าพเจ้า ทั้งอวดสรรพคุณกันอย่างเซ็งแซ่ชักชวนให้ดื่ม ข้าพเจ้าก้มตัวแสดงความขอบใจโดยมิได้แตะต้องของผู้ใดเลย แต่พวกนี้ก็ไม่ยอมหลีกทางให้ผ่าน คงรุมล้อมรอบตัวอยู่เช่นนั้นให้รับขวดยาของผู้ใดผู้หนึ่งก่อน

     ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดหาทางออกว่าจะทำอย่างไรดีเพราะพวกนั้นมาจุกช่อง ถ้าไม่ยอมรับขวดยาของใครคนหนึ่งคงไม่ยอมให้ออกไปจากห้องแน่ ก็พอดีเห็นพวกที่ล้อมรอบตัวข้าพเจ้าแยกออกไปคนละทางเหมือนมีคนมาไล่ ครู่เดียวก็หายไปหมด ข้าพเจ้าจึงเดินออกมาได้โดยไม่มีใครรบกวน แต่แล้วข้าพเจ้าก็เห็นชายสี่คนยืนเรียงอยู่หน้าประตูแทน

     ชายทั้งสี่นี้รูปร่างล่ำสันใหญ่กว่าคนธรรมดา ผมหยิก ผิวเนื้อเป็นสีทองแดงค่อนข้างคล้ำ นุ่งผ้าแดงไม่สวมเสื้อ ทั้งสี่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นไม่เอาใจใส่ว่าข้าพเจ้าจะเข้าหรือออกอย่างไร ที่ระเบียงก็เปิดไฟไว้พอสว่างมองเห็นนางพยาบาลเข้าเวรนั่งอยู่ที่โต๊ะกลาง ๒ คน อีกคนเป็นบุรุษพยาบาลกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรอยู่ อีกคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน จนไม่รู้ว่าข้าพเจ้าได้เดินออกมาจากห้องแล้ว ข้าพเจ้ายังได้ยินเสียงคนไข้ตามห้องร้องครางด้วยความเจ็บป่วยเป็นระยะๆ เสียงคนไข้ละเมอร้องโวยวาย เสียงไอ เสียงจามนานๆครั้ง เสียงเด็กที่เจ็บป่วยร้องหาแม่ดังแว่วๆมาจากตึกอื่น

     ข้าพเจ้ากำลังคิดว่าออกจากห้องแล้วจะไปไหนดี แต่เมื่อมองไปริมระเบียงก็ต้องประหลาดใจ ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำว่าเราเคยพบชายผู้นี้มาแล้วในความฝันที่ลพบุรี ข้าพเจ้าจึงอุทานออกไปด้วยความดีใจ ท่านลุงและเมื่อหันไปดูทางหน้าห้องชายสี่คนที่ยืนอยู่ได้หายไป ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ถูก ที่ได้พบท่านลุงอีกครั้งหนึ่ง ท่านลุงยิ้มอย่างอ่อนโยนและชี้ทางให้กระโดดไปทางระเบียงแล้วเลี้ยวไปทางขวามือ ซึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่าเวลานั้นถนนแถวนั้นสองข้างทางเต็มไปด้วยกอไผ่เป็นระยะจนสุดถนน การกระโดดลงไปจากระเบียงตึกชั้นบนไปชั้นล่างนับว่าสูงพอใช้ แต่คิดว่าคงไม่มีอันตรายเป็นแน่ เพราะรู้สึกตัวเบาเวลากระโดดลงไปเหมือนขนนกที่ค่อยๆ ลอยหล่นลงไปโดยไม่ชอกช้ำ และถ้าหากเป็นอันตรายแล้วท่านลุงคงจะไม่ให้กระโดดแน่ เพราะท่านลุงผู้มีความกรุณาข้าพเจ้าเหมือนลูกหลาน คงไม่ต้องการให้ได้รับอันตราย

     คิดแล้วก็ปีนขึ้นไปบนราวลูกกรงและกระโดดลงไปทันที แต่….. แทนที่จะลอยลงมาข้างล่าง ตามธรรมดาของสูงย่อมตกลงมายังที่ต่ำคือพื้นดินเบื้องล่าง กลับเหมือนว่ามีลมอะไรมาหอบเอาตัวข้าพเจ้าลอยละลิ่วออกมาจากตึกในท่าตัวตรงศีรษะพุ่งตรงไปเบื้องหน้าในลักษณะนอนคว่ำพุ่งไปคล้ายลูกศรพุ่งออกไปจากแหล่งผ่านอากาศรอบตัวออกไปด้วยความเร็ว สังเกตดูระยะความสูงระหว่างตัวข้าพเจ้ากับพื้นดินก็สูงไม่เกินกว่าระดับยอดไม้มากนัก ความรู้สึกบอกตัวเองว่า มีอำนาจลึกลับอะไรสักอย่างหนึ่งมามีอิทธิพลอยู่เหนือตัวข้าพเจ้า เพราะตัวเองไม่สามารถบังคับให้ลอยต่ำหรือทำอะไรตามชอบได้

     ข้าพเจ้าได้แต่ก้มมองดูเบื้องล่างเห็นทิวไม้ข้างถนน ซึ่งกำลังจะผ่านไปและเงยหน้าขึ้นมองดูข้างหน้าซึ่งกำลังจะผ่านไปถึงเท่านั้น ส่วนข้างๆตัวก็เหลียวไปมาได้พอสมควร มองไปข้างล่างจากสิ่งที่ผ่านไปๆ ปรากฏว่าบางตอนก็มีหมอกขาวจับอยู่หนาบ้างบางบ้างสลับด้วยควันดำๆอยู่เป็นระยะๆไป บรรยากาศรอบตัวไม่สว่างแต่ก็ไม่มืด พอจะเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องล่างได้ชัดเจน ต่อจากกลุ่มหมอกไปก็เห็นสองข้างทาง ขาวคล้ายหิมะเป็นทางยาวไป ขณะนั้นข้าพเจ้าไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและกำลังจะไปไหน เพราะภูมิประเทศไม่เหมือนกับที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักเคยพบเห็น เป็นถิ่นที่ออกจะแปลกประหลาด

     ผ่านมาสักครู่หนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าก้มลงมองดูเบื้องล่างอีกครั้งหนึ่ง ก็เห็นร่างตะคุ่มๆคล้ายคนเดินกันเป็นแถวยาวเหยียด พวกนั้นบ่ายหน้าไปทางเดียวกับข้าพเจ้า การเดินของพวกนี้เต็มไปด้วยความอิดโรยดูเชื่องช้าล้มลุกคลุกคลาน คล้ายไม่มีกำลังและจะหมดแรง ข้าพเจ้าพยายามเพ่งดูตลอดทางที่ผ่านไป ก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นสัตว์อะไร เห็นแต่ตัวดำจนเป็นตอตะโก คล้ายกับว่าจับเอาคนชุบลงไปในบ่อน้ำมันดิน แล้วก็ยกขึ้นมาปล่อยให้เดินไป เห็นแต่ส่วนใหญ่ เช่น หัว แขน ขา เป็นต้น ส่วนนิ้วมือ จมูก ปาก ตา ไม่เห็นเพราะดำไปหมดไม่รู้ว่าเพศไหนผู้หรือเมีย มองไปข้างหน้าพวกตัวดำๆ นี้ช่างมากมาย เดินกันเป็นแถวสุดสายตา และรู้สึกว่าตัวเองได้ลอยเร็วขึ้นจนมองไม่เห็นอะไร

     เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นภูเขาใหญ่อยู่ตรงหน้าพอดี ไม่มีทางหลีกพ้นแน่แล้ว ตัวเองคล้ายรูปหุ่นความเคลื่อนไหวแล้วแต่อำนาจลึกลับ ไม่สามารถยับยั้งให้หยุดได้ศีรษะคงจะต้องพุ่งเข้าชนภูเขามหึมานี้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วแต่บุญแต่กรรมเถิด ข้าพเจ้าคิดหลับตานิ่งรอวาระสุดท้ายที่กำลังจะมาถึง เหมือนวิ่งเอาหัวเข้าไปชนภูเขากำลังแรง หัวคงแหลกเป็นแน่ ในใจคิดว่าท่านลุงไม่น่าปล่อยให้ข้าพเจ้าต้องรับกรรมเช่นนี้

     ข้าพเจ้าหลับตาอยู่เป็นนานก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งได้ยินเสียงพูดว่า ลืมตาขึ้นเถิดหลานชาย

     ท่านลุงนั่นเอง ! ข้าพเจ้าคิด และเมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นท่านยืนยิ้มอยู่ที่หน้าผานั้น และบัดนี้ข้าพเจ้าก็ได้มายืนคู่กับท่านลุง หน้าผานั้นยื่นออกมาราวกับมีใครมาสร้างไว้ คล้ายๆกับที่ยืนรับการตรวจพลสวนสนาม บรรยากาศขณะนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่มืดไม่สว่าง เบื้องหน้าไกลออกไปเป็นหมอกสีดำ เหมือนใครเอาม่านดำมากั้นไว้ครึ่งท้องฟ้า

     ท่านลุงหันมาถามว่า เป็นอย่างไรหลานชาย การเดินทางมานี่สะดวกไหม

     ข้าพเจ้าจึงตอบว่า การเดินทางครั้งนี้ประหลาดมากไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนเลย ผมรู้สึกว่ามันตื่นเต้นโลดโผนดี

     ท่านลุงหัวเราะ นี่เราอยู่คนละโลกกับมนุษย์แล้ว มันก็ย่อมแตกต่างกันไปไม่เหมือนธรรมดา พูดแล้วท่านก็นิ่ง พูดต่อไปว่า

     “มีอะไรที่หลายชายสงสัยก็ถามลุงเถิด ลุงจะให้ความสว่างแก่หลานชายในทุกอย่างเท่าที่ลุงรู้

     บัดนี้เองข้าพเจ้าจึงได้สังเกตว่า คำโต้ตอบระหว่างท่านลุงกับข้าพเจ้าเราไม่ได้พูดกันด้วยปาก แต่เราพูดกันทางใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเรารู้และเข้าใจดีด้วยใจ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ในความรู้สึกของข้าพเจ้า คิดว่าการพูดทางใจนี้คงจะกำจัดอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ยินหรือเสียงดังไปค่อยไป แม้จะอยู่ในที่มีเสียงดังรบกวน ความแตกต่างทางภาษาก็คงหมดไปไม่ว่าชาติใด ภาษาใดคงเข้าใจกันดี


     ข้าพเจ้าจึงถามท่านลุงว่า ท่านลุงที่เคารพ ในระหว่างทาง  หลานได้เห็นตัวดำ ๆ เดินอย่างเชื่องช้า อิดโรย  เป็นจำนวนมากมาย  นั่นคืออะไร  และกำลังจะไปไหนกัน ?”

      ท่านลุงยิ้มแล้วตอบทางใจว่า นั่นคือวิญญาณบาปของผู้ที่มีใจชั่วหยาบช้า  กำลังเดินทางไปใช้กรรมที่ตนสร้างไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์  สีดำนั้นเป็นสีแห่งความทุกข์  เป็นเครื่องหมายแห่งความทรมาน  ได้ห่อหุ้มวิญญาณเหล่านั้นไว้  พวกนี้บางคนเมื่อยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์เป็นคนมีอำนาจวาสนา  บางคนก็มีทรัพย์สินมหาศาลเพราะบุญเก่าที่เคยสร้างสมไว้ปางก่อน  แต่กลับไม่คิดที่จะสร้างกุศลเพิ่มเติม  กลับมีใจหยาบช้าสามานย์  ไม่อิ่มในอำนาจวาสนา  ไม่จุใจในทรัพย์สินที่ตนมีอยู่ มีแต่ความโลภไม่มีที่สิ้นสุด  อาศัยอำนาจวาสนา  และอำนาจเงินตราสร้างแต่ความชั่ว  ทำความเดือดร้อนและเจ็บแค้นให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ขาดความกตัญญูต่อผู้มีคุณ  ทำให้พ่อแม่น้ำตาตก  ครั้นดวงจิตดับ วิญญาณก็ไปสู่ทุคติภพ  เพื่อใช้กรรมชั่วที่ตนสร้างไว้ ผู้สร้างกรรมชั่วไม่ว่าจะเป็นไพร่  ผู้ดี มหาเศรษฐี ยาจกเข็ญใจ ต่างก็ร่วมกันไปใช้กรรมดังที่หลานชายได้เห็นมาแล้วทั้งนั้น

      ข้าพเจ้าฟังด้วยความสนใจและถามท่านลุงต่อไปว่า แล้วผู้ที่สร้างแต่กรรมดี  และสร้างกุศลทำบุญถือศีลโดยบริสุทธิ์ใจ  เมื่อจิตดับแล้ว  ท่านเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน

     ท่านลุงยิ้ม อันผู้ที่สร้างกรรมดีมีจิตใจใฝ่กุศล  แม้เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์เขาเหล่านั้นจะมีความยากจนข้นแค้น  เป็นกระยาจกเข็ญใจเพียงใด แต่ผู้ที่มีความสัตย์ซื่อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ  อยู่ในศีลธรรมอันดี  ย่อมมีจิตใจละเอียดอ่อน  เมื่อจิตจวนจะดับก็จะเกิดนิมิตทางดีให้รู้ว่า  จะย้ายจากที่ต่ำไปอยู่ที่สูง  ซึ่งมีความสุขกว่าโลกมนุษย์นั้นมากมาย  เมื่อจิตดับแล้ววิญญาณนั้นก็ขาวสะอาด  ละเอียดจนโปร่งใส  เราไม่สามารถจะมองเห็นได้  นอกจากเจ้าของวิญญาณจะต้องการปรากฏตนให้เห็นท่านเท่านั้น  วิญญาณของท่านเหล่านี้มีทั้งวิญญาณของผู้ที่มีอำนาจวาสนา  ขุนนาง  เศรษฐี  ยาจกเข็ญใจ  ที่ได้สร้างกรรมดีแล้วย่อมไปสู่สุคติภพ   อันเป็นดินแดนที่มีความสุข  ไม่มีทุกข์

     ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า อากาศที่เห็นนี้ทำไมจึงแปลกประหลาด  คือจะมืดก็ไม่มืด  จะสว่างก็ไม่สว่าง  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้  หลานเห็นมานานก็ไม่สว่างขึ้น  และก็ไม่ค่ำลง ?”

     ท่านลุงตอบว่า ที่เรายืนอยู่นี่เป็นภพกลางไม่สว่างและไม่มืด จะอยู่ตรงกลางระหว่างสุคติภพ จึงเป็นภพที่มีแต่แสงสว่างไม่มีความมืด  ควรเรียกว่า ภพขาวสำหรับภพกลางเป็นที่รวมของวิญญาณทั้งดีและชั่ว และทั้งไม่ดีและทั้งไม่ชั่ว  เหมือนกับเอาความมืดของกลางคืนมาบวกกับแสงสว่างของกลางวัน  หรือเอาย่ำรุ่งกับย่ำค่ำมาชนกัน  จึงไม่เคลื่อนที่ไม่สว่างและไม่มืดดังที่เห็นเช่นนี้ตลอดไปชั่วกัลป์  ความเป็นอยู่ของภพกลางนี้คล้ายคลึงกับโลกมนุษย์  มีวิญญาณที่ยังมีความโลภ โกรธ หลง ปะปนอยู่ วิญญาณเหล่านี้จิตดับลงโดยไม่ทันรู้ตัว  คือจิตดับอย่างกะทันหัน  ยังไม่ถึงกำหนดจิตดับ  เมื่อจิตดับก็ไม่มีแสงดำเข้าหุ้มห่อ  หรือโปร่งแสงลอยไปทางอากาศ  พวกนี้มีโอกาสกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก บางวิญญาณจิตดับอย่างธรรมดา  แต่ก็ยังวนเวียนในภพกลางเป็นพันปีก็มี  บางวิญญาณก็เกิดแล้วเกิดอีกหลายๆครั้ง จนกว่าจะถึงเวลาที่ทำชั่วหรือทำความดีมากพอที่จะนำไปสู่ทุคติหรือสุคติภพ  บางวิญญาณยังท่องเที่ยวไปในภพกลางเพราะหาโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้  แต่บางวิญญาณเมื่อจิตดับก็ไปเกิดใหม่ทันที  บางครั้งวิญญาณบางดวงเกิดเพื่อแก้แค้นด้วยจิตที่ผูกเวรจองเวรก่อเวร  หลานจงมองดูทางโน้นพูดพลางท่านลุงก็ชี้มือให้ข้าพเจ้ามองไปยังเบื้องล่าง 

     ข้าพเจ้ามองตามท่านลุงไปก็เห็นสัญญาณแห่งความทุกข์เหล่านั้นซึ่งก็คือตัวดำๆ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นเมื่อผ่านมา  กำลังเดินผ่านหุบเขาเข้าสู่ดินแดนที่ดำมืด ท่านลุงบอกว่านั่นคือทางสู่ทุคติภพ  ข้าพเจ้าเพ่งดูเมื่อพวกตัวดำเข้าไปใกล้จะถึงทางเข้าลับเหลี่ยมหุบผาไปสู่ความมือ  ต่างก็พากันกระโดดโลดเต้นโยนตัวขึ้นสูง ยกแขน ยกขา ราวกับว่ามันเหยียบเข้าไปกลางดงมดแดงหรือมดคันไฟ  แล้วกระโดดเช่นนั้นจนลับหายเข้าไปในช่องเขาสู่ดินแดนมืดน่าสะพรึงกลัว  พวกที่ตามมาข้างหลังก็แสดงกิริยาเช่นเดียวกัน  เมื่อถึงระยะที่ต้องผ่านเข้าสู่หุบเขา

     ข้าพเจ้าจึงหันมาถามท่านลุงว่า เหตุใดพวกนี้ต้องแสดงกิริยาเช่นนั้น  เมื่อเข้าไปใกล้หุบเขา

     ท่านลุงบอกว่า วิญญาณเหล่านั้นเมื่อเข้าใกล้เขตทุคติภพ  เป็นดินแดนเชื่อมต่อระหว่างภพกลางกับทุคติภพ พื้นที่บริเวณนั้นจะร้อนอย่างมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทนได้ จะถูกเผาไหม้เป็นผุยผงลงทันที  แต่วิญญาณเหล่านั้นล้วนแต่มีจิตหยาบช้าสร้างความชั่วไว้มากมาย จึงมีความอดทนเป็นพิเศษ เพื่อรับกรรมบาปทรมานใช้หนี้กรรมชั่วที่ตัวได้สร้างไว้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นเวรกรรม  บริเวณนั้นนอกจากจะร้อนอย่างแรงกล้าที่จะเผาทุกสิ่งเป็นผงไปได้แล้ว  ยังมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายแรง  เมื่อมนุษย์ธรรมดาได้กลิ่นแล้วจะสำลักตายทัน ที  แต่พวกเหล่านี้ทนได้เพราะกรรมบาปหนุนนำ  จากนั้นยังต้องผ่านเชื้อโรคที่ร้ายแรงที่สุดอย่างน่าสะพรึงกลัว  เมื่อเข้าเขตทุคติภพแล้ว ร่างที่หุ้มห่อไว้ด้วยสีดำตลอดเดินทางมาค่อย ๆ คลายจากสีดำ เหมือนหลุดจากจองจำ  จางออกไปคงในสภาพเดิมเป็นร่างที่เน่าเฟะไปด้วยน้ำเหลือง ต้องรับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทนทานไม่รู้จักตาย  ภายในภพนี้จะไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย นอกจากแสงเพลิงนรกที่ร้อนแรงคอยเผาผลาญตลอดไป จนกว่าจะพ้นกรรมชั่วที่ได้ทำไว้ในโลกมนุษย์

     ข้าพเจ้าถามท่านลุงว่า วิญญาณเหล่านี้ บางคนมีความฉลาด ทำความผิดแต่ไม่มีหลักฐานที่ทางโลกมนุษย์จะเอาโทษผิดได้ จึงไม่ได้รับโทษ เมื่อชีวิตพวกนี้ดับแล้วสามารถจะหลีกเลี่ยงความผิดไม่ต้องใช้หนี้กรรมบาปเหมือนอยู่บนโลกมนุษย์ได้หรือไม่?”

     ท่านลุงหัวเราะแล้วตอบว่า วิญญาณใดก็ตาม เมื่อได้ทำกรรมชั่วกรรมบาป ซึ่งทางโลกมนุษย์ไม่สามารถจะหาหลักฐานมาลงโทษได้ก็ดี แต่เมื่อจิตดับมาแล้วก็ไม่สามารถหลีกพ้นไปได้ เพราะที่นี่เป็นสถานที่เที่ยงตรงยุติธรรม ใครสร้างกรรมดีก็ไปทางดี  ใครสร้างกรรมชั่วก็ไปรับโทษของตน  ตามความชั่วมากน้อย

     ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า จะทราบได้อย่างไรว่าวิญญาณใดสร้างความชั่ว

     ท่านลุงตอบว่า ผู้ใดที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์ได้สร้างแต่กรรมชั่วด้วยประการใดๆก็ดี กรรมชั่วเหล่านั้นก็จะบันทึกอยู่ในตัวผู้สร้างกรรมนั้นเอง ไม่มีใครคอยจดจำไว้ให้ การบันทึกนี้เป็นบันทึกที่เที่ยงตรง แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้หรือลืมไปก็มี จำไม่ได้ก็มี แต่สิ่งที่บันทึกอยู่ในตัวนั้นไม่ลืม เมื่อจวนจะหมดลม  การบันทึกก็จะฟ้องออกมาเป็นนิมิตให้เห็นให้รู้  ตัวได้เคยทำความชั่วอะไรที่ฉกรรจ์ไว้บ้าง  ผู้สร้างบาปเมื่อรู้สึกว่าได้สร้างกรรมไว้มากก็ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น  เมื่อตัวเองกำลังใกล้จะตาย ก็เกิดกลัวความชั่วที่ตนได้ทำไว้ รู้ตัวว่าจะต้องไปรับทุกข์ทรมานเมื่อจิตดับ  ความชั่วที่สร้างไว้ก็เริ่มกลายเป็นสีดำพันธนาการวิญญาณเอาไว้  ดังที่หลานได้เห็นมาแล้ว

     ข้าพเจ้าถามท่านลุงต่อไปว่า อันภพกลางซึ่งมีบรรยากาศที่ไม่สว่างและไม่มืดก็ดี หรือทุคติภพที่มีแต่ความมืดไม่มีสว่างก็ดี หรือสุคติภพซึ่งมีแต่ความสว่าง ไม่มีความมืดก็ดี ทั้งสามภพนี้ตั้งอยู่แห่งใด ห่างจากโลกมนุษย์เพียงไร ขอให้ท่านลุงให้ความสว่างแก่หลานด้วย

     ท่านลุงยิ้มอย่างใจเย็น  และอธิบายว่า อาณาจักรแห่งภพทั้งสามนี้กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด สำหรับภพกลางนั้นซ้อนอยู่กับโลกมนุษย์ ฉะนั้น วิญญาณที่อยู่ในภพนี้จึงมีความรู้สึกคล้ายคลึงกับมนุษย์ ยังมีความโลภ หลง รัก โกรธ อยู่เหมือนเดิม ผิดแต่ไม่มีร่างเป็นตัวตน เหมือนมนุษย์เท่านั้น

     ท่านลุงหันมาถามข้าพเจ้าว่า หลานยังมีอะไรที่จะถามลุง ที่ยังข้องใจสงสัยบ้าง
     ข้าพเจ้าขอบคุณท่านลุงที่ได้กรุณาให้ถาม ข้าพเจ้าจึงถามว่า อันมนุษย์เราที่เกิดมาในโลกมนุษย์นั้นมีหลายชนิดหลายภาษา และมีศาสนาที่นับถือต่างกัน นอกจากนั้นยังมีชาวป่าชาวเขาที่ยังไม่มีศาสนาอีกมากมาย หลานอยากทราบว่าคนพวกนั้นเมื่อจิตดับแล้ว จะไปสู่แห่งเดียวกันทุกรูปทุกนาม ทุกศาสนา หรือว่าต่างคนต่างอยู่ แยกกันตามศาสนาตามที่ตนนับถือ และคนป่าคนดอยเหล่านั้นจะไปอยู่แห่งใด เมื่อจิตดับไปแล้ว เพราะไม่มีศาสนา ขอท่านลุงแจ้งให้หลานทราบด้วย
     ท่านลุงจึงตอบว่า ดูก่อนหลาน อันมนุษย์ในโลกนี้มีหลายชาติหลายภาษา  ทั้งศาสนาก็แตกต่างกัน หรือชาวป่าชาวเขาที่ไม่มีศาสนาก็ดี ทุกคนเมื่อมีชีวิตอยู่นั้น ทุกคนทุกรูปนามย่อมมีอาณาจักรแห่งความฝันของตนเอง ซึ่งไม่มีขอบเขต ความตายหรือจิตดับไปนั้นก็เป็นความฝันเหมือนกัน  แต่เป็นความฝันที่แจ่มแจ้งกว่านอนหลับฝัน และก็ผิดกันที่เป็นความฝันไม่รู้จักตื่น  เป็นความฝันที่ไม่มีสังขารร่างกายที่จะตื่นได้  และความฝันติดต่อกัน  เมื่อยังมีลมหายใจอยู่ หากผู้ใดสร้างกรรมดี ผู้นั้นก็มีจิตใจผ่องใสชุ่มชื่นเป็นสุข ถ้าฝันก็ย่อมฝันในทางสุข  และดีงามคือสุคติภพ ใครสร้างกรรมชั่วก็ย่อมทุกข์ ฝันในทางทุกข์  คือทุคติภพ และก็มีทั้งภพกลาง สุคติภพ ทุคติภพ  เหมือนกันทุกชาติทุกภาษา ที่ลุงอธิบายนี้หลานฟังแล้วจะเข้าใจดี ไม่ว่าชาติใดภาษาใดย่อมมีความฝันด้วยกันเราฝันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าหลับหรือตื่น ไม่ว่าเราตายหรือไม่ตาย ไม่ว่ามีสังขารหรือไม่มี ถ้าหลานพิจารณาแล้วจะเห็นได้

     “บัดนี้ ลุงอยากจะให้หลานเห็นสุคติภพ หลานจงหลับตา

     ข้าพเจ้าหลับตาอย่างว่าง่าย พอท่านลุงบอกให้ลืมตาขึ้น เมื่อข้าพเจ้าลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก็รู้ได้ว่ามายืนอยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในภพนี้สวยสดงดงามไปหมด บรรยากาศที่สว่างไสว  ต้นไม้ใบใหญ่ ดอกไม้  และภูผาใหญ่สูงตระหง่านเรียงรายออกไปเป็นชั้นๆ มีสีต่างๆกัน เรายืนอยู่บนหญ้าที่อ่อนนิ่มราวกับเส้นไหมหรือกำมะหยี่ สิ่งที่แปลกกว่าธรรมดาก็คือต้นไม้  เพราะลำต้นตรงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าไม่หงิกงอ และไม่มีกิ่งก้านสาขายื่นออกไป  มีแต่ใบและดอก ซึ่งออกมาเป็นพุ่มกลมบ้างเป็นยอดแหลมบ้าง  แต่ละต้นมีสีงามอย่างประหลาดผิดแปลกกันไป  พอเห็นก็รู้สึกว่าจิตใจเกิดมีความสุขอย่างประหลาด  ความทุกข์วิตกกังวลในเมืองมนุษย์หายไปสิ้น ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นตาตื่นใจ และมีใจเบิกบานอย่างบอกไม่ถูก เห็นจะเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมที่สวยสดงดงามที่สุดที่เคยพบมา เป็นปัจจัยนำมาส่งความสุข เมื่อรู้สึกตัวหันไปเห็นท่านลุงยืนยิ้มอยู่อย่างพอใจ ที่เห็นข้าพเจ้ามีความสุขและตื่นเต้น ข้าพเจ้าจึงถามว่า ดินแดนแห่งนี้คงเป็นสุคติภพใช่หรือไม่

     ท่านลุงบอกว่า นี่เป็นดินแดนแห่งความสุขปราศจากความทุกข์ หรือสิ่งเศร้าหมองทั้งหลาย เป็นดินแดนที่มีแต่ความสว่างไม่มีความมืดมาแอบแฝงแม้แต่น้อย ฉะนั้น ใครที่เข้ามาสู่ภพนี้ จิตใจก็เป็นสุขมีความปีติยินดีขึ้นมาเองที่ได้พบได้เห็นสิ่งที่สวยงามเหล่านี้  เป็นดินแดนของผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ภพนี้จะไม่มีความมืดแอบแฝงอยู่เลย ไม่ว่าตามซอก ตามมุม ตามถ้ำ แม้จะล้ำลึกเพียงไร แสงสว่างก็แผ่เข้าไปทั่วถึงหมด ไม่มีแม้แต่เงามืดแม้แต่ใบไม้ซ้อนกันบนต้น แสงสว่างสาดไปทั่วถึงหมด

     ข้าพเจ้าสังเกตเห็นแสงสว่างขาวนวลปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่มิใช่ว่ามีบ่อเกิดของแสง  เช่นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาว หรือดวงไฟก็หาไม่  มันสว่างได้เช่นนี้ด้วยอะไรก็ไม่สามารถทราบได้ แต่ถ้าจะบรรยายถึงความสว่างให้ใกล้ความจริงแล้ว ก็เปรียบได้กับเอาแสงของดวงจันทร์ในวันเพ็ญสัก ๑๐๐ ดวง มารวมแสงสว่างกระจายออกส่องแสง แผ่ออกไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าตามซอกหรือในที่ลับ  กว้างไปทั่วหมด จึงดูนวลเย็นตาไปทั่ว ข้าพเจ้าชี้ไปยังภูเขาที่เห็นอยู่ไกลลิบ ๆ เห็นเป็นสีต่าง ๆ ทอแสงประกายซึ่งเรียงรายเป็นทิวแถว บอกกับท่านลุงว่า ภูเขาเหล่านี้สวยงามมากเหลือเกิน ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ข้าพเจ้าอยากจะไปให้ถึง แต่คงจะต้องเดินไปอีกนานกว่าจะถึงภูเขาที่เห็น

     ท่านลุงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า ภูเขางามที่อยู่ลิบๆนั้น ภูเขาลูกแรกที่เห็นเป็นสีขาวทอแสงสวยสดงดงามนั้น   ถ้าจะพูดทางโลกมนุษย์แล้วเรียกว่า ภูเขาเงินและภูเขาลูกถัดต่อไปสูงตระหง่านสีเหลืองดังขมิ้นนั้น  เรียกว่า ภูเขาทองคำต่อจากนั้นที่เห็นเป็นสีชมพู เป็น ภูเขาพลอยและถัดไปลูกที่ ๔ เห็นเป็นสีขาวใสสะอาดและส่งแสงประกายแวววับเป็นสายรุ้ง สวยยิ่งกว่าภูเขาอื่น นั้นคือ ภูเขาเพชรและยังมีลูกต่อ ๆ ไป มี ภูเขาทับทิมสีแดงงดงามสดใส โน่น ภูเขามรกตสีเขียวเจริญตาแก่ผู้พบเห็นและมีอีกมากมายเรียงรายสวยงาม ล้วนแต่มีค่าสำหรับมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่สามารถจะจดจำให้หมดอีก ดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลมากจนไม่มีขอบเขต ภูเขาที่เห็นมันใหญ่โตมาก เราจึงเห็นได้ในระยะไกล แต่ถ้าจะเดินอย่างธรรมดาของโลกมนุษย์แล้ว  ก็จำต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ กว่าจะถึง แต่เราไปโดยใช้ทางจิตนึกถึงสถานที่นั้น และในชั่วพริบตาเดียวเราก็จะไปถึงสถานที่แห่งนั้น  เมื่อหลานชายอยากจะไปภูเขาลูกแรกก็จงหลับตาแล้วใช้จิตมุ่งไป

     ข้าพเจ้าทำตาม คือหลับตา รู้สึกแปลกใจมากที่แม้จะไม่เห็นการเคลื่อนไหวภายนอกก็ดี แต่ตาที่ปิดนั้นก็ยังเห็นแสงสว่างนวลที่ม่านตาผิดธรรมดา แทนที่จะมืดมองไม่เห็นแสงสว่าง พอลืมตาดูก็เห็นมายืนอยู่ที่เชิงภูเขาเงิน โดยมีท่านลุงยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ ภูเขานี้สูงมากจนแม้จะแหงนคอตั้งบ่าก็มองไม่เห็นยอด นอกจากนั้นยังสวยงามมาก ประกอบด้วยแร่เงิน  บริสุทธิ์แท้ทั้งก้อนเล็กก้อนใหญ่  แทนที่จะเป็นหินเป็นกรวดเช่นเขาธรรมดา  และไม่ใช่แร่เงินที่ต้องไปหลอม  มันเป็นเนื้อแท้ของเงินบริสุทธิ์ที่โลกมนุษย์ต้องการ

      เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่งก็มองเห็นภูเขาทองคำก็เช่นเดียวกัน  เป็นทองก้อนเล็กก้อนใหญ่เนื้อบริสุทธิ์  ไม่มีสิ่งเจือปนเหลืองอร่ามงดงาม ภูเขาแต่ละลูกสูงใหญ่ไม่แพ้ดอยสุเทพที่เคยเห็นมาแล้ว ข้าพเจ้าบอกเป็นเชิงขออนุญาตท่านลุงว่า อยากขึ้นไปยอดภูเขาเพชร แล้วก็หลับตา  เมื่อลืมตาขึ้นพบตัวเองอยู่บนยอดเขาเพชร

     ข้าพเจ้าเคยทราบว่าตามธรรมดาเพชรนั้นอยู่ในหิน  ต้องขุดหาแล้วนำมาเจียระไนจึงจะได้เพชรน้ำหนึ่ง แต่ ณ ที่นี้บนยอดเขาเพชร  ซึ่งภูผาอันมหึมานี้ประกอบขึ้นด้วยเพชรที่ไม่ต้องกะเทาะจากหิน เป็นก้อนเพชรที่บริสุทธิ์ใสโปร่งเพียงแต่ตัดออกจากก้อนใหญ่ๆ เจียระไนเป็นเหลี่ยมเท่านั้น ส่องประกายแวววับอยู่ตลอดเวลา มีตั้งแต่ก้อนเล็กก้อนใหญ่ ทุกขนาดเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งภูเขา  ไม่มีสิ่งอื่นปะปนอยู่เลย

     แม้ข้าพเจ้าจะไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ก็ดี แต่เข้าใจว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่งที่หายากที่สุดในเมืองมนุษย์ นอกจากนั้นยังมีภูเขาที่เป็นหินมีค่าสีต่าง ๆ เช่นสีชมพู สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีความรู้จึงไม่ได้สนใจ  แต่ท่านลุงอธิบายว่า ทุกอย่างมีค่าที่สุดในเมืองมนุษย์ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าหันไปถามท่านลุงว่า วิญญาณที่มาอยู่ในภพนี้ตลอดไปแล้ว นาน ๆ เข้าไม่เบื่อหรือ เพราะติดนิสัยสันดานของมนุษย์ไม่ชอบอะไร ที่ซ้ำๆซากๆ จำเจ เมื่อชินแล้วก็เบื่อ

     ท่านลุงหัวเราะชอบใจ แล้วบอกว่า จิตใจของวิญญาณในภพนี้ไม่เหมือนจิตใจของโลกมนุษย์ ท่านเหล่านั้นได้ชนะแล้วซึ่งโลภะ โทสะ โมหะ แต่ยังไม่นิพพานตามศาสนาพุทธเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่มีการเจ็บ แก่ ตาย แต่ยังมีการจุติเพื่อไปเกิดในโลกมนุษย์  เมื่อหมดบุญกุศลที่ได้สร้างมาก็ไปสร้างบารมีในโลกมนุษย์ต่อไป ณ ที่นี้ไม่มีสร้างบุญ  สร้างกุศล ไม่มีคนตกทุกข์ได้ยากที่จะช่วยเหลือ ไม่มีคนที่อดอยากยากแค้นจะให้สร้างทานบารมี ไม่มีพ่อแม่ที่จะต้องกตัญญูต่อ มันเป็นแต่ที่เสวยสุขไม่ใช่ที่สร้างบุญบารมี ที่สร้างบุญกุศลความดีหรือความชั่วมีอยู่แห่งเดียว คือโลกมนุษย์ การเสวยสุขในภพนี้ไม่มีเบื่อ ไม่มีสิ้นสุด เวลาจะไปไหนเพียงแต่จิตนึกเท่านั้นก็สามารถไปถึงได้  ที่โน่น  หลานจงดู

     ท่านลุงชี้มือไปเบื้องบน ข้าพเจ้าเห็นลูกกลมมีแสงรุ้งงดงามมาก    ลอยอยู่ไกลลิบๆมากมาย ที่นั่นก็เป็นที่เสวยสุขเหมือนกัน ทุกๆแห่งมีแต่สีแปลกๆไม่ซ้ำกัน ถ้าจะเทียบระยะทางจากนี่  วิมานแก้วนั้น ก็เหมือนดวงดาวที่อยู่ห่างจากโลกมนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถจะเดินทางไปดวงดาวได้ แต่วิญญาณแห่งภพนี้ไปถึงได้ชั่วพริบตาเดียว   เมื่อไปถึงแล้วก็จะเห็นวิมานแก้วนั้นอีกมากมายต่อๆไป ไม่มีที่สิ้นสุดต่อๆกันไป แปลก ไม่มีในโลกมนุษย์"

    ท่านลุงที่เคารพ เหตุใดในดินแดนแห่งความสุขนี้ จึงไม่มีวิญญาณของผู้ที่มาเสวยสุข แม้แต่วิมานที่อยู่อาศัย ซึ่งหลานได้เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ครั้งโบราณ

     ท่านลุงผู้ใจดีจึงอธิบายทางใจในความรู้สึกว่า หลานชายนั้นยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์ ฉะนั้น ท่านผู้เสวยสุขในสถานที่ซึ่งเนรมิตของท่านจึงไม่แสดงตนให้เห็น แต่เท่าที่หลานได้เห็นมาแล้วก็คงพอที่จะนำไปคิดได้ว่า ผู้ที่ประกอบกรรมดีและผู้ประกอบกรรมชั่วได้รับผลตอบแทนอย่างไร ต่างกันอย่างไร อ้อ! เวลาที่หลานได้มาชมภพทั้งสามก็จะสิ้นสุดลงแล้ว  แต่ลุงอยากจะให้หลานสัญญากับลุงว่า จะไม่นำเรื่องราวที่หลานได้พบเห็นนี้ไปเล่าให้ใครฟัง จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร เพราะเวลานี้อายุของหลานยังน้อยเกินไปที่จะไปเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้

     ข้าพเจ้าตอบว่า หลานยินดีจะสัญญากับท่านลุงทุกอย่าง ท่านลุงมีพระคุณกับหลาน ได้กรุณาพาหลานมาพบสิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ซึ่งมีคนน้อยนักที่จะได้ประสบกับเรื่องเช่นนี้ หลานจะรักษาสัญญาจนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านลุงอนุญาต

     ท่านลุงยิ้มอย่างใจดีแล้วบอกว่า ถ้าหลานคิดได้เช่นนี้มันก็เป็นมงคลแก่ตัวเอง เรื่องนี้จะเปิดเผยได้ต่อเมื่อ บุตรของหลานมีบุตรตั้งแต่สามคนขึ้นไปจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ ลุงคิดว่าถึงเวลานั้น หลานคงจะจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ดี ข้าพเจ้าตกลงรับปากสัญญาทันที

     บัดนี้  ข้าพเจ้าได้ไปประสบมาแล้ว  ผู้สร้างกรรมชั่วมีใจบาปหยาบช้าเหล่านั้นวิญญาณจะไปสู่ ภพมืดไม่มีแสงสว่างใดๆจะสามารถส่องเข้าไปถึงได้ ฉะนั้น  จึงมีแต่ความมืดที่น่าสะพรึงกลัว  ความดำมืดคือเครื่องหมายแห่งกรรมชั่ว ที่ผู้มีใจบาปได้เข้าไปสู่เพื่อรับกรรม ภพสว่างซึ่ง ณ ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่างสดใส  แสงสีขาวเป็นเครื่องหมายของผู้ที่มีใจบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน เต็มไปด้วยจิตกุศลละเอียดอ่อน ฉะนั้น วิญญาณจึงขาวใสบริสุทธิ์ 

     ส่วนภพกลาง  ซึ่งมีความสัมพันธ์กับโลกมนุษย์  ทั้งวิญญาณดีและวิญญาณชั่วมีความเป็นอยู่คล้ายกับโลกเรา  นอกจากจะไม่มีเลือดเนื้อเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ทุกๆสิ่งซึ่งได้พบได้เข้ามาบันทึกอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า เป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลบเลือน

     ท่านลุงเตือนข้าพเจ้าว่า ถึงเวลาแล้วที่หลานจะต้องกลับไปยังโลกมนุษย์ สำหรับเรื่องสัญญา อย่าลืม และลุงขอบใจหลานมากที่ให้คำมั่นสัญญากับลุงเอาไว้ จงหลับตาเสีย

     ข้าพเจ้าหลับตาอย่างว่าง่าย   แต่ก็มีความอาลัยท่านลุงอยู่ไม่น้อย และพอหลับตาความรู้สึกก็หมดลงเหมือนหลับ  ข้าพเจ้าได้หมดสติไปนานเท่าใดไม่ทราบ   มารู้สึกตัวลืมตาขึ้นอีกทีก็พบตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องเดิมที่โรงพยาบาลนั่นเอง   ภายในห้องไม่มีใคร พี่พลบก็ไม่ได้อยู่ในห้องนั้น  ไม่ทราบว่าไปไหน สักครู่นางพยาบาลผู้หนึ่งเข้ามาทำความสะอาด  ข้าพเจ้ารู้สึกคอแห้ง  อยากจะดื่มน้ำโซดาใจจะขาด  จึงพยายามรวบรวมกำลังเรียกนางพยาบาลและบอกกับเธอว่า

     ผมอยากดื่มน้ำโซดา

     นางพยาบาลผู้นั้นเป็นผู้มีจิตใจงดงามน่าสรรเสริญ ข้าพเจ้าอดที่จะขอบคุณเธอเสียไม่ได้  เธอรับปากข้าพเจ้าทันที และบอกให้ข้าพเจ้ารอสักครู่แล้วเธอก็ออกจากห้องไป ข้าพเจ้ามาทราบภายหลังว่าในโรงพยาบาลไม่มีโซดา เธอคงจะต้องออกไปซื้อเอง หรือไม่ก็วานคนอื่นออกไปซื้อนอกโรงพยาบาล โดยเธอเป็นผู้ออกทุนทรัพย์เอง แม้ว่าโซดาจะเป็นของมีค่าเพียงเล็กน้อยก็จริง   แต่เวลานั้นสำหรับข้าพเจ้ามีค่ายิ่งกว่าทองคำและเพชร เพราะมันอยากจนบอกไม่ถูก เธอได้แสดงให้เห็นถึงน้ำใจอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจผู้ป่วย  สำหรับข้าพเจ้าเวลานั้น  น้ำโซดาเหมือนน้ำทิพย์   เมื่อเธอนำมาให้  ข้าพเจ้าดื่มไปแล้ว  รู้สึกว่าสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น  ในไม่ช้าข้าพเจ้าก็หลับไป

     เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  ก็เห็นแม่และญาติๆ พร้อมทั้งพี่พลบมานั่งอยู่  แล้วข้าพเจ้ามองดูก็รู้ว่าทุกคนผ่านการร้องไห้มาแล้ว  แต่พอเห็นข้าพเจ้าลืมตาขึ้นดู ก็ดีอกดีใจยิ้มได้  ข้าพเจ้าทราบภายหลังอีกว่า  ตอนตี ๕ วันนั้น พี่พลบได้ย่องเข้าไปดูข้าพเจ้าที่เตียงได้จับชีพจรดูปรากฏว่าชีพจรหยุด เอาสำลีมารอที่จมูกก็ไม่มีลมหายใจ! พี่พลบตกใจมากแทนที่จะไปบอกนางพยาบาลหรือนายแพทย์   แกกลับรีบตะลีตะลานออกไปจากโรงพยาบาล ทั้งๆที่ไม่ได้ใส่เสื้อชั้นใน  ฉวยได้ผ้าขาวม้าผืนเดียว ตรงไปยังที่บ้านเพื่อบอกพ่อแม่และญาติๆทันที แกทำอะไรไม่ถูกเลยด้วยความตกใจ นอกจากบอกว่าข้าพเจ้าหมดลมเสียแล้ว

     พ่อแม่เมื่อทราบข่าวก็เศร้าโศกมาก คิดว่าข้าพเจ้าตายแล้ว  ครั้นมาถึงโรงพยาบาล   เมื่อเห็นข้าพเจ้ายังไม่ตายก็ดีใจ   จากนั้นข้าพเจ้าก็หายวันหายคืน  อาการดีขึ้นเป็นลำดับ   ร่างกายซึ่งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ค่อย ๆ มีเนื้อมีหนังขึ้น  มีกำลังขึ้นเพราะอาหารค่อยๆทานได้ ต่อมาข้าพเจ้าก็เริ่มหัดเดินเหมือนเด็กๆ เกาะข้างเตียง  ค่อยๆก้าวเดินทีละก้าวๆ เป็นเวลานานกว่าจะแข็งแรงเหมือนเดิม 

     เมื่อเดินได้คล่องแล้ว  ก็อยากกลับบ้านคิดถึงบ้าน   เพราะข้าพเจ้าต้องมานอนแรมเดือน คุณหลวงประกิตเวชศักดิ์ก็กำหนดวันกลับบ้านได้ วันนั้นข้าพเจ้าได้ให้ช่างมาตัดผมที่โรงพยาบาล เพราะมันยาวจนเกือบจะเป็นผมบ๊อบในสมัยนั้น คุณหลวงประกิตฯ ได้เข้ามาเยี่ยมและบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดีมากที่หายจากโรคเช่นนี้ได้โดยเรียบร้อย เพราะความจริงมีโอกาสหายเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น และเป็นคนที่สองที่รอดได้เมื่ออาการอยู่ในขั้นนี้แล้ว คนแรกที่ท่านรักษาหายเป็นนายทหารม้า คนที่สองคือข้าพเจ้า เมื่อแรกที่ท่านเห็นข้าพเจ้าป่วยที่บ้านและให้รีบส่งโรงพยาบาล ก็นึกว่าหมดหวังแล้ว ข้อสำคัญอย่างหนึ่งคือเป็นด้วยกำลังใจเข้มแข็งดีมาก ซึ่งเป็นการช่วยรักษาได้ดี

     ข้าพเจ้าอยากจะพูดว่า ความเอาใจใส่ดูแลอย่างดีที่สุดและความสามารถของคุณหลวงฯ เป็นสิ่งสำคัญอันหนึ่งที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้มีโอกาสได้ชมโลกอีกครั้งหนึ่ง พระคุณครั้งนี้ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมเลย  ภายหลังข้าพเจ้าได้ระลึกถึงนางพยาบาลผู้มีใจกรุณาให้น้ำโซดาข้าพเจ้าดื่ม เมื่อยามกระหายทันที ถามหาก็ไม่มีใครทราบ เพราะเปลี่ยนเวรกันบ่อย ข้าพเจ้าก็ได้นึกถึงพระคุณไม่รู้ลืม

     เมื่อหายเป็นปกติแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ตามที่แม่ได้บนเอาไว้ โดยที่ท่านเจ้าคุณฯ เจ้าอาวาสวัดมหาพฤฒาราม (ท่านได้มรณภาพไปแล้ว) เป็นอุปัชฌาย์จารย์ พระครูกัลยาณวิสิทธิ์ เจ้าอาวาสวัดดอน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม (อธิการ แส) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (ท่านได้มรณภาพไปแล้ว) ข้าพเจ้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดดอน เมื่อได้ครองเพศสมณะแล้ว ก็ได้แผ่ส่วนกุศลให้แก่ท่านที่ได้ช่วยชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์เพียง ๗ วัน ก็ลาสิกขาออกดำเนินชีวิตฆราวาสต่อไป และยังระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาครั้งหนึ่งในชีวิตอย่างไม่รู้ลืม ครั้งจะเล่าสู่กันฟังก็ยังไม่ถึงเวลา

     ครั้นเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔ นี้เอง ข้าพเจ้าได้ทราบทางโทรศัพท์ว่า ลูกสาวได้คลอดบุตรออกมาเป็นชายที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เวลา ๐๗.๐๗ น. ข้าพเจ้ายินดี  เพราะหลานชายคนนี้เป็นหลานคนที่สามของข้าพเจ้า แม้จะไม่ได้คลอดจากบุตรคนเดียวกันก็ดี ฉะนั้น  คำมั่นสัญญาที่ข้าพเจ้าได้สัญญาไว้กับท่านลุงก็เป็นอันถูกต้องและสิ้นสุดลง ข้าพเจ้าจึงได้เขียนเรื่องนี้โดยจุดธูปเทียนบูชา และบอกกล่าวขออนุญาตท่านอีกครั้งหนึ่งเป็นการเคารพ  ข้าพเจ้ามิได้มีความประสงค์ที่จะให้ท่านเชื่ออย่างงมงาย ในเรื่องฝันที่หาเหตุผลไม่ได้ แต่เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง  แต่ถ้าท่านผู้ใดอ่านแล้วเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันไม่น่าเชื่อก็ขอให้ผ่านไป และคิดว่าเป็นเพียงนิทานที่ผู้เล่าได้เล่าโดยเพ้อฝันไป  ตามอำนาจพิษไข้สูงในเวลาสลบไปเท่านั้นเอง

     เพียงเท่านี้ก็เป็นที่พอใจและยินดีของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ายังเชื่อเสมอว่า    คงจะมีบางท่านที่ได้ประสบเหตุการณ์คล้ายคลึงกับข้าพเจ้าที่ได้พบมาแล้ว แต่ท่านเหล่านั้นคงไม่กล้าเขียนหรือเล่าให้ใครฟัง เพราะสมัยนี้เป็นสมัยวิทยาศาสตร์ เกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ หรือไม่ก็โดนหัวเราะเยาะเป็นแน่

     หากเรื่องนี้มีความดีและเป็นประโยชน์ในทางกุศลแล้ว ข้าพเจ้าขอแผ่ส่วนบุญให้ท่านเจ้ากรรมนายเวร และท่านที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตลอดจนสัตว์โลกที่ต้องทนทุกข์ทรมาน และที่รับกรรมอยู่ในคติภพให้ทั่วถึงกันด้วย

จบเรื่องที่ ๑๐
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวีชัย เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น