เรื่องที่ ๙
กุศลสะท้อน
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ เวลาบ่ายวันหนึ่ง จำไม่ผิดว่าเป็นวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าพักอยู่กับบ้านไม่ได้ไปไหน และเด็กๆก็ไม่ไปโรงเรียน
ถัดบ้านข้าพเจ้าไปเป็นปลายซอยซึ่งมีโรงเพาะถั่วงอก
มีเสียงโจษกันว่าเด็กตกน้ำที่ข้างโรงเพาะถั่วงอก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็วิ่งไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เด็กในบ้านของข้าพเจ้าก็วิ่งไปดูด้วยเหมือนกัน แล้วกลับมาบอกว่ามีเด็กหญิงตกน้ำ และพอรู้ว่าตกก็งมขึ้นมาได้ เพราะบ่อขุดไว้เพื่อใช้น้ำรดถั่ว
พอตกลงไปก็มีคนเห็นรีบลงไปอุ้มขึ้นมาได้ทันที พวกญาติช่วยกันปฐมพยาบาลอยู่ยังไม่ฟื้น
ข้าพเจ้าขอให้ภรรยาของข้าพเจ้ากลับมาบอกว่าทำอย่างไรก็ยังไม่ฟื้น
ข้าพเจ้าให้ความเห็นว่าควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
ภรรยาข้าพเจ้าไปบอกกับญาติของเด็กและทางญาติของเด็กก็เห็นดีด้วย
ข้าพเจ้าจึงให้เอารถออกไปรับเด็กพร้อมทั้งญาติของเด็ก
และทางญาติของเด็กรีบนำส่งโรงพยาบาลเด็กทันที แต่แล้วก็ได้รับข่าวสลดใจ
นายแพทย์ทางโรงพยาบาลไม่สามารถช่วยเหลือเด็กนั้นไว้ได้ เด็กหมดลมก่อนถึงโรงพยาบาล เพราะมัวแต่แก้ไขกันเอง จึงสายไปที่จะช่วยชีวิตเด็กไว้ได้
เรื่องสลดใจเช่นนี้ทำให้อดหวนระลึกถึงบุตรชายของข้าพเจ้าไม่ได้ เรื่องมีว่าเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒
เกิดขึ้น
ภายหลังเมื่อระเบิดลงหนักในพระนคร
ครอบครัวที่มีบุตรมากก็อดเป็นห่วงเด็ก ๆไม่ได้
จึงจำเป็นที่จะต้องย้ายไปห่างจากจุดยุทธศาสตร์และที่ชุมชน
ข้าพเจ้านั้นมีเพื่อนที่รักใคร่และใจอารีเสนอให้ที่พักอาศัยที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากชุมนุมชนอยู่อำเภอชั้นนอก ข้าพเจ้าก็ยินดีและขอบใจเพื่อนผู้นี้ ตกลงใจย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนผู้นั้นทันที ข้าพเจ้าได้รับความสุขสบายเหมือนบ้านของตนเอง
แต่ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวใหญ่มีเด็กมาก ทั้งภรรยาของข้าพเจ้าก็เป็นคนขี้เกรงใจคน ทั้งๆที่เพื่อนภรรยาและลูกๆของเพื่อนต่างก็แสดงความยินดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ที่เราได้ไปอยู่ร่วมด้วยทั้งครอบครัว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าสงครามโลกครั้งที่ ๒
นี้คงจะไม่ยุติลงง่ายๆ
จึงอยากจะหาที่ดินปลูกบ้านของตนเองสักแปลง
จึงขอร้องให้เพื่อนผู้นั้นช่วยจัดการให้ด้วย
เพื่อนและครอบครัวก็หน่วงเหนี่ยวไม่อยากให้ย้ายจากไปเลย
ข้าพเจ้าได้อ้างเหตุผลต่างๆ เพื่อนผู้นั้นจึงยอมหาที่ให้หนึ่งแปลง ในเวลานั้นการซื้อที่ดินไม่สู้ยากนัก ข้าพเจ้าได้ที่และส่วนมากยังเป็นทุ่งนา ทั้งราคาก็ไม่สู้แพง ที่ตามความปรารถนาอยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อนผู้นั้นนัก
เมื่อตกลงเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าก็ถมดินล้อมรั้ว
การถมดินนั้นย่อมต้องถมให้เสมอกับถนนหรือสูงกว่าถนนก่อนจะปลูกบ้านเป็นธรรมดาของที่นา ดินที่จะขุดถมก็เอาในเนื้อที่นา การถมย่อมต้องใช้ดินมาก เพราะฉะนั้นในที่ดินของข้าพเจ้านั้นต้องขุดบ่อใหญ่กว้างประมาณ
๑๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๕ เมตร และลึกราว ๆ ๓ เมตร
พอการถมดินเสร็จเรียบร้อย
บ้านก็เกิดขึ้นพร้อมทั้งน้ำและไฟเรียบร้อย
ข้าพเจ้าและครอบครัวก็ย้ายจากบ้านเพื่อนผู้นั้นมาอยู่บ้านของเราทันที
เรื่องที่จะเกิดขึ้นนั้นข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำ คือวันอาทิตย์เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น.เศษ เป็นเวลาคนครัวจะทำกับข้าว
การที่จะไปทางครัวนั้นต้องเดินผ่านท่าน้ำทางหลังริมบ่อก่อนที่จะถึงครัว แม่ครัวได้เดินผ่านท่าน้ำ ทันใดนั้นได้เหลือบไปกลางบ่อ ก็เห็นอะไรขาว ๆ ตกอยู่กลางบ่อและปริ่ม ๆ
น้ำ จึงเข้าใจว่าผ้าที่ตากไว้บนราวนั้นตกลงไป
แต่ก็อดนึกไม่ได้ว่าผ้าบนราวทุกผืนนั้นก็มีไม้หนีบ ยากที่จะตกลงไปในบ่อได้ ทำให้สงสัยรีบหาไม้มาเขี่ยผ้าที่เห็นอยู่กลางบ่อ โดยยืนอยู่บนสะพานท่าน้ำ
ทันใดที่ปลายไม้ถูกผ้าน้ำกระเพื่อม แม่ครัวก็ตกใจร้องเสียงหลงเพราะปรากฏว่าไม่ใช่ผ้าธรรมดา เป็นเสื้อเด็ก
และเด็กคนซึ่งอยู่ในเสื้อนั้นคว่ำหน้า
เมื่อถูกเขี่ยก็มองเห็นผมและศีรษะของเด็ก
จึงร้องโวยวายด้วยความตกใจ
ภรรยาของข้าพเจ้าพอได้ยินว่าเด็กตกน้ำก็นึกถึงลูกๆ ตกใจจนออกประตูไม่ถูก เมื่อออกมาได้ก็ร้องโวยวายเหมือนไฟไหม้ ทำให้เพื่อนบ้านตกใจวิ่งมาในบ้าน
บางคนก็โดดลงไปอุ้มเด็กซึ่งกำลังลอยอยู่ขึ้นมาทำการปฐมพยาบาล เอาเด็กขึ้นใส่บ่าวิ่งรอบๆสนาม เพื่อให้น้ำออกจากท้องทางปาก มีทั้งน้ำและข้าวออกมาเป็นเม็ดๆ แสดงว่าท้องยังไม่ทันย่อยเหมือนว่าเคี้ยวๆแล้วก็คายออกมา
บังเอิญเพื่อนผู้หนึ่งมีญาติเป็นนางพยาบาลได้มาผายปอด และช่วยเหลือพยาบาลเท่าที่จะนึกได้
เวลานั้นเพื่อนและเพื่อนบ้านได้มาอยู่เต็มบ้าน เพราะทุกคนต่างเป็นห่วงและช่วยเหลืออย่างจริงใจ ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่บ้าน
มีเพื่อนผู้หนึ่งได้นำรถออกตามหาข้าพเจ้าในพระนครจนพบตัว เมื่อทราบเรื่องก็มิได้รอช้ารีบกลับไปบ้านทันที
เมื่อกลับถึงบ้านก็ได้ทราบว่าบุตรข้าพเจ้ารู้สึกตัว แต่ยังไม่ยอมลืมตา คำแรกที่พูดออกมาก็คือ “พ่อ” เวลานั้นข้าพเจ้ายังกลับไม่ถึงบ้าน
เพื่อนผู้ได้เคยให้ข้าพเจ้าอาศัยบ้านนั้นได้เข้าไปอุ้มและปลอบใจบุตรข้าพเจ้าและแสดงเป็นพ่อแทนตัวข้าพเจ้า
สามารถปลอบเด็กให้หายกระวนกระวายไปได้หลายครั้ง
เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้านก็เห็นเพื่อนที่รักใคร่นับถือมาอยู่ในบ้านของข้าพเจ้าเต็มบ้าน ต่างมีสีหน้าเศร้าตามๆ กัน
ทุกคนแสดงความเป็นห่วงเด็กเหมือนลูกหลานของเขาเอง ข้าพเจ้าเองมีความปลาบปลื้มอดที่จะนึกขอบพระคุณเสียมิได้ ข้าพเจ้ามีความดีใจที่สุดที่เห็นลูกฟื้นขึ้นมาได้ นายแพทย์ฉีดยาบำรุงหัวใจให้ ๑ เข็ม ให้พักผ่อนพอสมควรก็หายเป็นปกติในไม่ช้า เพื่อนฝูงซึ่งอยู่ในที่นั้นก็แสดงความดีใจที่เด็กนั้นปลอดภัย ทุกคนยิ้มแย้มขึ้นมาได้
ต่อมาทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบร้อยเป็นปกติทุกประการ เด็กที่ตกน้ำบุตรข้าพเจ้าผู้นี้ เป็นบุตรคนที่ ๔ ของข้าพเจ้ากับภรรยา ซึ่งมีอายุเพียง ๔-๕ ขวบ
ทราบความละเอียดภายหลังว่า แกรับประทานอาหารเที่ยงแล้วก็ไปล้างมือที่ท่าน้ำ
พอลงกระไดจะล้างมือหัวก็คะมำลงไปในบ่อ ต่อจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไร
เมื่อข้าพเจ้ามาคำนวณดูระยะที่กินอาหารเที่ยงเสร็จคงประมาณ ๑๒:๓๐ น. ไม่เกิน ๑๓:๐๐ น.
แล้วเมื่อพบเวลาลอยขึ้นมานั้นบ่าย ๓ โมงกว่า
เมื่อคิดเวลาที่ตกลงไปในบ่อกับเวลาที่พบนั้นไม่ต่ำกว่า ๒ ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย
แต่แล้วก็ไม่ตาย
ภรรยาข้าพเจ้ากลัวจะถูกดุว่าไม่ดูแลลูกทำให้ลูกตกน้ำ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ปริปากพูดเรื่องนี้เลย เพราะสิ่งที่ได้เป็นไปนั้น เป็นบทเรียนที่มีค่าสูงอยู่แล้ว และบ่อนั้นอยู่หลังบ้าน ส่วนมากเด็ก ๆ มักจะอยู่หน้าบ้าน และเมื่อรับประทานอาหารเที่ยงแล้วทุกคนก็เข้านอนตามปกติ
วันธรรมดานั้นข้าพเจ้าจ้างครูมาสอนเพื่อนทบทวนหนังสือ มีเด็กๆมาเรียนที่บ้านข้าพเจ้า แต่วันนั้นเป็นวันหยุดเรียน
ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้
เหตุที่บุตรข้าพเจ้าตกน้ำแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอันตรายเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงเมื่อครั้งข้าพเจ้าอายุราว
๒๕ ปี
ข้าพเจ้ากับแม่ของเด็กตกน้ำผู้นี้ได้ยืนสนทนากันอยู่ที่ริมคลองแห่งหนึ่ง มีน้ำไหลเชี่ยวออกมาจากใต้สะพาน ขณะที่เรายืนคุยกันอยู่นั้นสายตาของข้าพเจ้ามองดูน้ำกำลังไหลออกมาจากใต้สะพาน ทันใดนั้นเห็นมือเล็ก ๆ
ชูขึ้นเหนือน้ำแวบเดียวก็จมไหลตามกระแสน้ำไป
สัญชาตญาณทำให้นึกถึงเด็กตกน้ำ
ใจเร็วเท่าความคิด
ข้าพเจ้ารีบกระโจนลงในคลองทันที่
หมายตากำหนดระยะของกำลังน้ำที่จะพัดพาไป
ข้าพเจ้าคิดว่า
อานิสงส์ที่ข้าพเจ้าช่วยชีวิตเด็กผู้นั้นไว้ผลได้สนองให้บุตรของข้าพเจ้าตกน้ำจึงไม่เป็นอันตราย จะผิดหรือถูกอย่างไรข้าพเจ้าต้องขออภัยด้วย ส่วนเพื่อนฝูงที่กรุณาช่วยเหลือ ข้าพเจ้าอดที่จะนึกขอบคุณอย่างยิ่งไม่ได้
โดยเฉพาะเพื่อที่ได้กรุณาให้ที่พักอาศัยในยามสงครามแก่ข้าพเจ้าและครอบครัว ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมเลย
และคิดว่าจะเป็นอนุสรณ์แก่ตระกูลของข้าพเจ้ารุ่งหลังจะได้ทราบว่าท่านผู้นั้นคือ
“คุณ ตุ๊ วัชราธร
จบเรื่องที่ ๙
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์
เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวีชัย
เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น