วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กฏแห่งกรรม เรื่องที่ ๙..กุศลสะท้อน

กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว..ท.เลียงพิบูลย์
เรื่องที่ ๙
กุศลสะท้อน




     เมื่อปี  พ.ศ.๒๕๐๐  เวลาบ่ายวันหนึ่ง  จำไม่ผิดว่าเป็นวันอาทิตย์  ข้าพเจ้าพักอยู่กับบ้านไม่ได้ไปไหน  และเด็กๆก็ไม่ไปโรงเรียน  ถัดบ้านข้าพเจ้าไปเป็นปลายซอยซึ่งมีโรงเพาะถั่วงอก  มีเสียงโจษกันว่าเด็กตกน้ำที่ข้างโรงเพาะถั่วงอก  ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็วิ่งไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น  เด็กในบ้านของข้าพเจ้าก็วิ่งไปดูด้วยเหมือนกัน  แล้วกลับมาบอกว่ามีเด็กหญิงตกน้ำ  และพอรู้ว่าตกก็งมขึ้นมาได้  เพราะบ่อขุดไว้เพื่อใช้น้ำรดถั่ว  พอตกลงไปก็มีคนเห็นรีบลงไปอุ้มขึ้นมาได้ทันที  พวกญาติช่วยกันปฐมพยาบาลอยู่ยังไม่ฟื้น

     ข้าพเจ้าขอให้ภรรยาของข้าพเจ้ากลับมาบอกว่าทำอย่างไรก็ยังไม่ฟื้น  ข้าพเจ้าให้ความเห็นว่าควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน  ภรรยาข้าพเจ้าไปบอกกับญาติของเด็กและทางญาติของเด็กก็เห็นดีด้วย  ข้าพเจ้าจึงให้เอารถออกไปรับเด็กพร้อมทั้งญาติของเด็ก  และทางญาติของเด็กรีบนำส่งโรงพยาบาลเด็กทันที  แต่แล้วก็ได้รับข่าวสลดใจ  นายแพทย์ทางโรงพยาบาลไม่สามารถช่วยเหลือเด็กนั้นไว้ได้  เด็กหมดลมก่อนถึงโรงพยาบาล  เพราะมัวแต่แก้ไขกันเอง  จึงสายไปที่จะช่วยชีวิตเด็กไว้ได้

     เรื่องสลดใจเช่นนี้ทำให้อดหวนระลึกถึงบุตรชายของข้าพเจ้าไม่ได้  เรื่องมีว่าเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น  ภายหลังเมื่อระเบิดลงหนักในพระนคร  ครอบครัวที่มีบุตรมากก็อดเป็นห่วงเด็ก ๆไม่ได้  จึงจำเป็นที่จะต้องย้ายไปห่างจากจุดยุทธศาสตร์และที่ชุมชน  ข้าพเจ้านั้นมีเพื่อนที่รักใคร่และใจอารีเสนอให้ที่พักอาศัยที่บ้าน  ซึ่งอยู่ห่างจากชุมนุมชนอยู่อำเภอชั้นนอก  ข้าพเจ้าก็ยินดีและขอบใจเพื่อนผู้นี้  ตกลงใจย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนผู้นั้นทันที  ข้าพเจ้าได้รับความสุขสบายเหมือนบ้านของตนเอง

      แต่ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวใหญ่มีเด็กมาก  ทั้งภรรยาของข้าพเจ้าก็เป็นคนขี้เกรงใจคน  ทั้งๆที่เพื่อนภรรยาและลูกๆของเพื่อนต่างก็แสดงความยินดีอย่างบริสุทธิ์ใจ  ที่เราได้ไปอยู่ร่วมด้วยทั้งครอบครัว  แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี้คงจะไม่ยุติลงง่ายๆ  จึงอยากจะหาที่ดินปลูกบ้านของตนเองสักแปลง  จึงขอร้องให้เพื่อนผู้นั้นช่วยจัดการให้ด้วย  เพื่อนและครอบครัวก็หน่วงเหนี่ยวไม่อยากให้ย้ายจากไปเลย

       ข้าพเจ้าได้อ้างเหตุผลต่างๆ  เพื่อนผู้นั้นจึงยอมหาที่ให้หนึ่งแปลง  ในเวลานั้นการซื้อที่ดินไม่สู้ยากนัก  ข้าพเจ้าได้ที่และส่วนมากยังเป็นทุ่งนา  ทั้งราคาก็ไม่สู้แพง  ที่ตามความปรารถนาอยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อนผู้นั้นนัก 

     เมื่อตกลงเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าก็ถมดินล้อมรั้ว  การถมดินนั้นย่อมต้องถมให้เสมอกับถนนหรือสูงกว่าถนนก่อนจะปลูกบ้านเป็นธรรมดาของที่นา  ดินที่จะขุดถมก็เอาในเนื้อที่นา  การถมย่อมต้องใช้ดินมาก  เพราะฉะนั้นในที่ดินของข้าพเจ้านั้นต้องขุดบ่อใหญ่กว้างประมาณ ๑๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๕ เมตร และลึกราว ๆ ๓ เมตร  พอการถมดินเสร็จเรียบร้อย  บ้านก็เกิดขึ้นพร้อมทั้งน้ำและไฟเรียบร้อย  ข้าพเจ้าและครอบครัวก็ย้ายจากบ้านเพื่อนผู้นั้นมาอยู่บ้านของเราทันที

     เรื่องที่จะเกิดขึ้นนั้นข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำ  คือวันอาทิตย์เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น.เศษ  เป็นเวลาคนครัวจะทำกับข้าว  การที่จะไปทางครัวนั้นต้องเดินผ่านท่าน้ำทางหลังริมบ่อก่อนที่จะถึงครัว  แม่ครัวได้เดินผ่านท่าน้ำ  ทันใดนั้นได้เหลือบไปกลางบ่อ  ก็เห็นอะไรขาว ๆ ตกอยู่กลางบ่อและปริ่ม ๆ น้ำ  จึงเข้าใจว่าผ้าที่ตากไว้บนราวนั้นตกลงไป  แต่ก็อดนึกไม่ได้ว่าผ้าบนราวทุกผืนนั้นก็มีไม้หนีบ  ยากที่จะตกลงไปในบ่อได้  ทำให้สงสัยรีบหาไม้มาเขี่ยผ้าที่เห็นอยู่กลางบ่อ  โดยยืนอยู่บนสะพานท่าน้ำ

     ทันใดที่ปลายไม้ถูกผ้าน้ำกระเพื่อม  แม่ครัวก็ตกใจร้องเสียงหลงเพราะปรากฏว่าไม่ใช่ผ้าธรรมดา  เป็นเสื้อเด็ก  และเด็กคนซึ่งอยู่ในเสื้อนั้นคว่ำหน้า  เมื่อถูกเขี่ยก็มองเห็นผมและศีรษะของเด็ก  จึงร้องโวยวายด้วยความตกใจ  ภรรยาของข้าพเจ้าพอได้ยินว่าเด็กตกน้ำก็นึกถึงลูกๆ  ตกใจจนออกประตูไม่ถูก  เมื่อออกมาได้ก็ร้องโวยวายเหมือนไฟไหม้  ทำให้เพื่อนบ้านตกใจวิ่งมาในบ้าน  บางคนก็โดดลงไปอุ้มเด็กซึ่งกำลังลอยอยู่ขึ้นมาทำการปฐมพยาบาล เอาเด็กขึ้นใส่บ่าวิ่งรอบๆสนาม  เพื่อให้น้ำออกจากท้องทางปาก  มีทั้งน้ำและข้าวออกมาเป็นเม็ดๆ  แสดงว่าท้องยังไม่ทันย่อยเหมือนว่าเคี้ยวๆแล้วก็คายออกมา 

     บังเอิญเพื่อนผู้หนึ่งมีญาติเป็นนางพยาบาลได้มาผายปอด  และช่วยเหลือพยาบาลเท่าที่จะนึกได้  เวลานั้นเพื่อนและเพื่อนบ้านได้มาอยู่เต็มบ้าน  เพราะทุกคนต่างเป็นห่วงและช่วยเหลืออย่างจริงใจ  ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่บ้าน  มีเพื่อนผู้หนึ่งได้นำรถออกตามหาข้าพเจ้าในพระนครจนพบตัว  เมื่อทราบเรื่องก็มิได้รอช้ารีบกลับไปบ้านทันที

     เมื่อกลับถึงบ้านก็ได้ทราบว่าบุตรข้าพเจ้ารู้สึกตัว  แต่ยังไม่ยอมลืมตา  คำแรกที่พูดออกมาก็คือ พ่อ  เวลานั้นข้าพเจ้ายังกลับไม่ถึงบ้าน  เพื่อนผู้ได้เคยให้ข้าพเจ้าอาศัยบ้านนั้นได้เข้าไปอุ้มและปลอบใจบุตรข้าพเจ้าและแสดงเป็นพ่อแทนตัวข้าพเจ้า  สามารถปลอบเด็กให้หายกระวนกระวายไปได้หลายครั้ง 

     เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้านก็เห็นเพื่อนที่รักใคร่นับถือมาอยู่ในบ้านของข้าพเจ้าเต็มบ้าน  ต่างมีสีหน้าเศร้าตามๆ กัน  ทุกคนแสดงความเป็นห่วงเด็กเหมือนลูกหลานของเขาเอง  ข้าพเจ้าเองมีความปลาบปลื้มอดที่จะนึกขอบพระคุณเสียมิได้  ข้าพเจ้ามีความดีใจที่สุดที่เห็นลูกฟื้นขึ้นมาได้  นายแพทย์ฉีดยาบำรุงหัวใจให้ ๑ เข็ม  ให้พักผ่อนพอสมควรก็หายเป็นปกติในไม่ช้า  เพื่อนฝูงซึ่งอยู่ในที่นั้นก็แสดงความดีใจที่เด็กนั้นปลอดภัย  ทุกคนยิ้มแย้มขึ้นมาได้

     ต่อมาทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบร้อยเป็นปกติทุกประการ  เด็กที่ตกน้ำบุตรข้าพเจ้าผู้นี้  เป็นบุตรคนที่ ๔ ของข้าพเจ้ากับภรรยา  ซึ่งมีอายุเพียง ๔-๕ ขวบ ทราบความละเอียดภายหลังว่า แกรับประทานอาหารเที่ยงแล้วก็ไปล้างมือที่ท่าน้ำ พอลงกระไดจะล้างมือหัวก็คะมำลงไปในบ่อ ต่อจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไร เมื่อข้าพเจ้ามาคำนวณดูระยะที่กินอาหารเที่ยงเสร็จคงประมาณ ๑๒:๓๐ น.  ไม่เกิน ๑๓:๐๐ น.  แล้วเมื่อพบเวลาลอยขึ้นมานั้นบ่าย ๓ โมงกว่า  เมื่อคิดเวลาที่ตกลงไปในบ่อกับเวลาที่พบนั้นไม่ต่ำกว่า ๒ ชั่วโมง  เป็นอย่างน้อย  แต่แล้วก็ไม่ตาย 

     ภรรยาข้าพเจ้ากลัวจะถูกดุว่าไม่ดูแลลูกทำให้ลูกตกน้ำ  แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ปริปากพูดเรื่องนี้เลย  เพราะสิ่งที่ได้เป็นไปนั้น  เป็นบทเรียนที่มีค่าสูงอยู่แล้ว  และบ่อนั้นอยู่หลังบ้าน  ส่วนมากเด็ก ๆ มักจะอยู่หน้าบ้าน  และเมื่อรับประทานอาหารเที่ยงแล้วทุกคนก็เข้านอนตามปกติ  วันธรรมดานั้นข้าพเจ้าจ้างครูมาสอนเพื่อนทบทวนหนังสือ  มีเด็กๆมาเรียนที่บ้านข้าพเจ้า  แต่วันนั้นเป็นวันหยุดเรียน

     ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้  เหตุที่บุตรข้าพเจ้าตกน้ำแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอันตรายเช่นนี้แล้ว  ข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงเมื่อครั้งข้าพเจ้าอายุราว ๒๕ ปี  ข้าพเจ้ากับแม่ของเด็กตกน้ำผู้นี้ได้ยืนสนทนากันอยู่ที่ริมคลองแห่งหนึ่ง  มีน้ำไหลเชี่ยวออกมาจากใต้สะพาน  ขณะที่เรายืนคุยกันอยู่นั้นสายตาของข้าพเจ้ามองดูน้ำกำลังไหลออกมาจากใต้สะพาน  ทันใดนั้นเห็นมือเล็ก ๆ ชูขึ้นเหนือน้ำแวบเดียวก็จมไหลตามกระแสน้ำไป  สัญชาตญาณทำให้นึกถึงเด็กตกน้ำ  ใจเร็วเท่าความคิด  ข้าพเจ้ารีบกระโจนลงในคลองทันที่  หมายตากำหนดระยะของกำลังน้ำที่จะพัดพาไป

      แต่เป็นบุญเหลือเกินข้าพเจ้าว่ายน้ำไม่นานนักก็ควานหาเด็กพบ  รีบอุ้มว่ายทวนน้ำเข้าหาฝั่ง  รู้สึกดีใจที่ร่างกายของเด็กยังมีความอุ่นและยังหายใจ  เมื่อข้าพเจ้าพาเด็กว่ายน้ำเข้าถึงท่า  ก็มีประชาชนมายืนออกันอยู่เต็มท่าน้ำ  ข้าพเจ้าได้ส่งเด็กให้พลเมืองดีผู้หนึ่ง  แล้วขอร้องให้นำไปส่งตำรวจเพื่อจัดการสืบหาพ่อแม่ของเด็กต่อไป  ส่วนข้าพเจ้าเมื่อหมดหน้าที่แล้วก็รีบกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว  เพราะเปียกปอนหมด  ส่วนเด็กนั้นจะชื่ออะไร  อยู่ที่ไหน  เป็นลูกใคร  ข้าพเจ้ามิได้ติดตาม  และข้าพเจ้าไม่ทราบตลอดจนทุกวันนี้ 


     ข้าพเจ้าคิดว่า  อานิสงส์ที่ข้าพเจ้าช่วยชีวิตเด็กผู้นั้นไว้ผลได้สนองให้บุตรของข้าพเจ้าตกน้ำจึงไม่เป็นอันตราย  จะผิดหรือถูกอย่างไรข้าพเจ้าต้องขออภัยด้วย  ส่วนเพื่อนฝูงที่กรุณาช่วยเหลือ  ข้าพเจ้าอดที่จะนึกขอบคุณอย่างยิ่งไม่ได้

     โดยเฉพาะเพื่อที่ได้กรุณาให้ที่พักอาศัยในยามสงครามแก่ข้าพเจ้าและครอบครัว  ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมเลย  และคิดว่าจะเป็นอนุสรณ์แก่ตระกูลของข้าพเจ้ารุ่งหลังจะได้ทราบว่าท่านผู้นั้นคือ คุณ ตุ๊ วัชราธร

จบเรื่องที่ ๙
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้

และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวีชัย เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น