เรื่องที่ ๘
นึกไม่ถึง
บันทึกต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่บังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า นับย้อนหลังจาก พ.ศ.๒๕๐๐
ไปแล้วกว่า ๓๐ กว่าปีก็จริง
หากแต่บรรยากาศของเหตุการณ์ในครั้งแรกกระนั้นยังแจ่มใสอยู่ในความทรงจำกระทั่งบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ตอนคับขัน หรือความซาบซึ้งอิ่มใจในพฤติกรรมของบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยคาดหวัง
และที่จริงก่อนหน้านั้นได้หลงลืมเขาไปเสียนานแล้ว แต่ชีวิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติการณ์เหล่านี้เป็นผลพิสูจน์ต้องตาม
“สัจธรรม” ที่ว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดยแท้
เห็นสมควรนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านได้ทราบไว้ จึงเสนอท่านดังต่อไปนี้…….
โดยปกติวิสัยข้าพเจ้าชอบท่องเที่ยวไปในต่างถิ่น
เพราะถือว่านอกจากเป็นการพักผ่อนในเวลาว่างงานแล้ว ยังได้ประโยชน์ในด้านการศึกษาเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ
เป็นต้นว่าภูมิประเทศหรือดินฟ้าอากาศตลอดจนสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น การดำรงชีพ
ผลิตผลการค้าขาย ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น
ข้าพเจ้าถือว่าเป็นกำไรของชีวิตทั้งนั้นโดยเหตุนี้ข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกสองคน จึงได้กำหนดกันว่าจะเดินทางไปเที่ยวหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออกแห่งหนึ่ง ในคราวหยุดงานปลายปีซึ่งข้าพเจ้ายังไม่เคยไป
หลังอาหารเที่ยงวันหนึ่ง
ข้าพเจ้ากับเพื่อนทั้งสองพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางและสัมภาระอื่นเล็กน้อยก็ไปที่ท่าน้ำราชวงศ์ ซึ่งเป็นที่จอดเรือเดินทะเลชายฝั่ง
เรือลำที่เราโดยสารไปนี้เป็นเรือไม้ขนาดไม่ใหญ่โตนัก ข้าพเจ้าจำชื่อเรือไม่ได้เสียแล้ว เราทั้งสามเลือกได้ดาดฟ้าตอนหัวเรือเป็นชัยภูมิ
เพราะค่อยห่างไกลจากเสียงอึกทึกโกลาหลของการขนสินค้าขึ้นบรรทุกระวาง ตลอดจนเสียงพูดคุยของเพื่อนโดยสารร่วม ทั้งแขก
ไทย จีน เราขอเช่าเตียงผ้าใบสำหรับนอนจากคนเรือได้ ๓
เตียงครบตัวคน เป็นอันว่า เราตระเตรียมพร้อมแล้วก็จะตระเวนท่องทะเลไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของเรา บนเรือขณะนี้ยังคงสับสนวุ่นวายอยู่ ทั้งการขนสินค้าขึ้นจากเรือลำเลียง ลงบรรทุกระวางเรือใหญ่
และความชุลมุนของผู้โดยสารซึ่งมีสินค้าติดตัวจัดวางข้าวของ ตลอดจนจองที่ทางเพื่อรอนแรมไปในทะเล
เวลาประมาณ
๑๓.๐๐ น. เศษ เสียงคนบนเรือร้องว่า “จุ้นจู๊ มาแล้ว” เรามองออกไปกลางน้ำ
เห็นเรือจ้างลำหนึ่งแจวมุ่งตรงมาที่เรือใหญ่ ภายในเรือมีชายจีนวัยกลางคนยืนมากลางลำ พร้อมกับชาวจีน ๓-๔
คนนั่งมาด้วยบุคลิดลักษณะของผู้ที่เรียกกันว่า “จุ้นจู๊”
นี้ภูมิฐาน ส่อให้เห็นว่าเป็นผู้มีเงินพอกับความเฉลียวฉลาดค่อนข้างเจ้าเนื้อ เตี้ยๆสวมกางเกงแพรดำ สวมเสื้อนอกกระดุม ๕
เม็ด
ซึ่งเป็นเครื่องต่างกายที่นิยมกันในสมัยนั้น เมื่อขึ้นมาบนเรือแล้ว “จุ้นจู๊” ก็ตรงเข้าซักถามคนจีนซึ่งเป็นพนักงานสินค้าของเรือ พูดจากกันอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่กัปตันหรือนายเรือก็สั่งให้กว้านสมอขึ้น
อีกสักครู่เดียวระฆังสัญญาณก็ดังขึ้นในห้องเครื่อง อันเป็นคำสั่งให้เครื่องที่กัปตันส่งจากสะพานเดินเรือ
เรือถอยหลังเดินหน้าอยู่สองสามครั้งก็ตั้งลำตรง แล้วใช้จักรมุ่งตรงไปตามลำน้ำ เพื่อบ่ายหน้าออกทะเล ซึ่งเป็นเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. เศษ
เวลาผ่านไป
ขณะที่เรากำลังเพลิดเพลินอยู่กับทิวทัศน์สองฟากแม่น้ำก็มีคนเรือ ๒ คน เป็นจีนคนหนึ่ง ไทยคนหนึ่ง
คนจีนเป็นคนเก็บเงิน
คนไทยเป็นเสมียนเขียนตั๋วโดยสารมาเก็บค่าโดยสาร เราต้องจ่ายค่าโดยสารเรือคนละ ๔ บาท ต่อมาสักครู่หนึ่ง ก็มีคนจีนอีก
๒-๓ คน
ยกกระบะไม้ทาสีแดงมีกับข้าว
และถังไม้ใบใหญ่ใส่ข้าวขึ้นมาวางเรียงบนดาดฟ้า คนโดยสารก็พากันเข้ายกกระบะซึ่งใส่ข้าว
พร้อมทั้งตักข้าวใส่ชามเอามาแบ่งกันรับประทาน
อาหารนี้เป็นอาหารที่ทางเรือจัดหาให้ผู้โดยสารโดยไม่คิดมูลค่าอีก อาหารมื้อนั้นมีผัดผักเปล่า ๆ สีเขียว ๑ จาน
ไข่เค็ม ๑ จาน และปลานึ่ง ๑ จาน
แม้ว่าอาหารมือนั้นจะเป็นอาหารธรรมดาที่มีราคาถูก แต่เราก็รับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากอาหารมือเย็นแล้ว เราก็นั่งชมวิวริมฝั่งเจ้าพระยาทั้งสองข้าง
เรือผ่านพระสมุทรเจดีย์เมื่อดวงอาทิตย์ลับทิวไม้ไปแล้ว เหลือแต่แสงอยู่ขอบฟ้าเบื้องตะวันตก แล้วก็ผ่านป้อมพระจุลฯ วิ่งออกร่องสันดอนกระทั่งผ่านสถานีวัดน้ำหรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากระโจมไฟนั้น แสงตะวันสิ้นไปแล้ว
แสงไฟที่กระโจมเริ่มทำงานเปิดปิดเปิดช่วงเป็นระยะ เพื่อให้เป็นที่สังเกตที่หมายของชาวเรือทะเลทั้งหลาย
ความมืดปกคลุมอยู่ทั่วไปในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ เรามองไม่เห็นฝั่งแล้ว หันมาดูทางทิศที่ตั้งของกรุงเทพฯ
เห็นแสงไฟสว่างขึ้นจับขอบฟ้า
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังก้องอยู่เป็นจังหวะสม่ำเสมอยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่อย่างน้อยเราก็ได้ยินอยู่เป็นเวลาถึง ๔
ชั่วโมงแล้ว
จึงรู้สึกค่อยชินหูขึ้นบ้าง
เราต่างคนต่างเอนกายลงบนเตียงผ้าใบในลักษณะเดียวกับผู้โดยสารอื่น ๆ แต่ก็มีอีกเป็นจำนวนมากที่เอนกายอยู่บนเสื่อที่ปูอยู่กับพื้นดาดฟ้า แล้วข้าพเจ้าก็หลับผล็อยไปด้วยความอ่อนเพลีย
รู้สึกตัวตื่นขึ้นหลังจากที่ได้หลับไปนาน ได้ยินเสียงเอะอะโครมคราม ผู้โดยสารต่างพากันลุกขึ้นจัดแจงเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวขึ้นบก
ข้าพเจ้าเห็นตะเกียงสองดวงแขวนอยู่กลางลำเรือ จึงรีบปลุกเพื่อนทั้งสองที่ยังหลับสนิทให้ตื่นเพื่อเตรียมตัว เรือถึงท่าที่หมายปลายทางของเราแล้วนายเรือเปิดหวูดสัญญาณ เสียงดังสนั่น
เพื่อให้ผู้คนที่อยู่บนฝั่งรู้ว่าเรือได้มาถึงแล้ว ต่อจากนั้นเรือก็ค่อยๆแล่นเข้าเทียบท่า เป็นสะพานไม้ยาวยื่นออกมาจากฝั่ง
ได้สร้างเป็นสะพานไว้ยาวมากสะพานหนึ่งสำหรับใช้เป็นท่าเรือเดินทะเลจอดเทียบ เมื่อเรือจอดท่าเรียบร้อยแล้ว กะลาสีเรือก็ยกไม้กระดานยาวพาดต่อจากเรือไปที่ท่าเพื่อให้คนโดยสารขึ้น ผู้โดยสารบางคนเห็นดึกแล้วก็นอนค้างในเรือ รุ่งเช้าจึงจะขึ้นฝั่งก็มี ผู้โดยสารที่จะขึ้นท่านี้รวมทั้งเราสามคนก็จัดแจงขนสัมภาระขึ้นบก ที่สุดเราก็เหยียบดินแดนชายทะเลแห่งนี้ ซึ่งเลือดน้ำเค็มของนักสู้แผ่ซ่านอยู่ทุกตัวคน จนได้ขนานนามว่า “เมืองนักเลง”
ข้าพเจ้าว่าจ้างกุลีท่าเรือคนหนึ่งให้ช่วยขนสัมภาระหีบห่อกระเป๋าเดินทางเราไปยังโรงแรมชั้นดีสักหนึ่งแห่ง
เพราะทราบว่าระยะทางจากท่าเรือไปตลาดนั้นไกลไม่ใช่น้อย เราเป็นบุคคลหน้าใหม่สำหรับเมืองนี้เสียด้วย สะพานท่าเรือนั้นยาวสมชื่อจริง ๆ
อาศัยแสงสว่างจากตะเกียงที่เขาจุดไว้เป็นระยะ เราจึงพอเดินได้สะดวก
แต่กว่าจะถึงฝั่งหรือเขตตลาดเราก็มีอันถึงเหงื่อออกโทรมกาย
จีนกุลีท่าเรือที่ขนของของเราพาเราไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
ตั้งอยู่ห่างจากท่าเรือประมาณเกือบหนึ่งกิโลเมตร
จีนกุลีบอกพวกเราว่า
เป็นโรงแรมดีที่สุดซึ่งพอจะหาได้ในเมืองนี้ เราตกลงขอเช่าคนละหนึ่งห้อง
เป็นห้องที่มีเตียงเดียวสำหรับคนพักได้คนเดียว เมื่อจัดสิ่งของในกระเป๋าออกเรียบร้อยแล้ว ก็อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จเอาเกือบเที่ยงคืน เราจึงพากันเข้าห้องนอน และหลับได้เร็วกว่าปกติรวดเดียวตลอดคืน เนื่องจากความเหนื่อยอ่อนเพลียมาตลอดระยะทาง
รุ่งเช้าเราตื่นนอนแล้วก็แต่งตัวออกเดินชมบ้านเมือง และหาอาหารรับประทานที่ร้านใกล้บริเวณตลาด ข้าพเจ้าจะของดไม่กล่าวถึงสภาพบ้านเมือง หรือการเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ให้เป็นการเสียเวลาของท่านผู้อ่าน จะขอนำท่านไปสู่เหตุการณ์อันเป็นจุดหมาย และวัตถุประสงค์ของเรื่องนี้เลยทีเดียว
รุ่งขึ้นเช้าวันหนึ่ง หลังจากได้ตระเวนชมบ้านเมืองจนจุใจแล้ว ข้าพเจ้าก็กลับที่พักอาบน้ำชำระร่างกาย ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ ทั้งสองชวนข้าพเจ้าออกเดินไปเที่ยวแถวหน้าโรงภาพยนตร์หรือโรงลิเกก็จำไม่ได้แน่
ข้าพเจ้าขอตัวหยุดพักผ่อนเข้านอนก่อนเพราะเวลากลางวันได้เที่ยวมาอย่างสุดเหวี่ยงแล้ว อ่อนเพลียมาก
เมื่อทั้งสองคนเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ตกลงไปด้วยก็พากันออกไปเที่ยวตามลำพัง ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็เข้านอนแล้วก็หลับไปเพราะความเหน็ดเหนื่อย จะหลับไปนานเท่าใดไม่ทราบ
มาตกใจตื่นเมื่อเสียงทุบประตูห้องแทบจะพังทลาย เรียกให้ข้าพเจ้ารีบเปิดประตูโดยเร็ว
ข้าพเจ้าผุดลุกขึ้นมาเปิดประตูเห็นเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้าผลีผลามเข้ามาในห้อง ข้าพเจ้าตกตะลึงไปชั่วครู่ เพราะเครื่องแต่งกายเปรอะเปื้อนยับเยิน หน้าตาฟกช้ำบวมปูดเขียวโปผมยุ่งเป็นกระเซิง
ข้าพเจ้าเดาไม่ผิดว่าคงจะต้องเกิดการต่อสู้กับใครมาอย่างทรหดทีเดียว จึงรีบซักเรื่องราวทันที
คนหนึ่งก็เล่าให้ฟังอย่างเลา
ๆ ว่า
เมื่อเดินทางไปเที่ยวบริเวณหน้าโรงมหรสพ
บังเอิญพบหญิงผู้หนึ่งเคยอาศัยอยู่ที่บ้านกรุงเทพฯ
แล้วก็หลบหนีไปจากบ้านพร้อมกับขโมยเอาสิ่งของมีค่าบางอย่างติดตัวมาด้วย เมื่อมาเจอกันเข้าเช่นนั้น ในขั้นแรกก็พูดจากันด้วยดี
พอถึงตอนทวงของคืนก็เกิดกลายเป็นโต้เถียงกัน
ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าคงจะมีเหตุอะไรอย่างอื่นอีกหลายอย่างที่ไม่ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง
อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นเห็นว่าเป็นการข่มขู่รังแกผู้หญิง จึงช่วยกันกลุ้มรุมเล่นงานเพื่อนข้าพเจ้า
ที่หน้าโรงแรมนั้นเอง
ข้าพเจ้าเห็นชายฉกรรจ์หลายคนเดินเตร่มองเข้ามาในโรงแรมด้วยสายตาอันเหี้ยมกร้าว
สบตาข้าพเจ้าแล้วก็มองกราดเข้าไปในโรงแรมอีก ข้าพเจ้าพยายามแสร้งทำเป็นใจเย็นเดินผ่านออกมาเสมือนหนึ่งไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องอะไรทั้งหมด
สักครู่หนึ่งมีชายหนุ่มและกลางคนประมาณ
๒ คน พากันขึ้นไปชั้นบนของโรงแรม สักครู่หนึ่งก็กลับลงมา
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพูดจากคนกลุ่มนั้นอย่างชัดเจนว่า “ถ้าคงยังไม่กลับ ต้องคอยเล่นงานให้ได้ สอนให้มันรู้สำนึกว่า ที่บ้านเราไม่ชอบคนรังแกผู้หญิง”
ต่อมามีชายอีก
๒ คน เข้ามาถามชายกลุ่มแรกว่า “วันนี้เกิดเรื่องอะไรกันวะ ?”
เสียงชายกลุ่มแรกคนหนึ่งตอบว่า
“มีโว้ย!
วันนี้ต้องสั่งสอนอ้ายนักเลงบางกอกเสียหน่อย”
ต่อจากนั้นก็พูดซุบซิบกันเบา
ๆ
แล้วชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็บุ้ยปากมาทางข้าพเจ้า ได้ยินพอจับความได้ว่า “เฮ้ย!
อ้ายคนที่เดินผ่านไปนั้นก็พวกมัน
มันมาด้วยกันสามคน
เอามันเสียก่อนหรือไง”
ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ให้รู้สึกเสียววาบตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงขากรรไกรทันที
แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือ
เดินอย่างใจเย็นผ่านไปสั่งกาแฟมานั่งดื่มอย่างไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น แต่ในใจนั้นคิดหาทางหนีทีไล่ต่างๆร้อยแปดประการ
แต่ก็มองไม่เห็นทางใดปลอดโปร่งสักวิธีเดียว นึกทอดอาลัยว่า คราวนี้ช่างเข้าที่คับขันเสียจริงๆ จะหาทางให้รอดพ้นจากอันตรายครั้งนี้ได้อย่างไร เพราะขณะนี้รอบๆตัวไม่ว่าจะเหลียวไปทางไหนพบแต่สายตาที่จ้องมาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญทั้งสิ้น จะมีอยู่บ้างก็น้อยคนที่มีท่วงทีเฉยๆ แต่ก็จะหวังพึ่งอะไรจากคนเหล่านั้น ซึ่งไม่เคยรู้จักกับพวกเรา ใครเขาจะกล้าช่วยเหมือนจะเอามือมาซุกหีบ
กาแฟที่สั่งมายังไม่ทันจะหมดแก้ว ข้าพเจ้าก็รีบสั่งน้ำเลโมเน๊ตมาดื่มอีกหนึ่งขวด เพราะเห็นว่าสถานการณ์เกี่ยวกับข้าพเจ้าไม่สู้จะดี ที่พอจะหวังพึ่งได้ก็คือขวดน้ำเลโมเน๊ต
ซึ่งพอจะเป็นเพื่อนเมื่อในยามคับขันนี้เท่านั้น
ขณะนี้โรงแรมชั้นล่างที่ข้าพเจ้านั่งดื่มกาแฟอยู่ มีผู้คนแต่งกายคล้ายๆกัน ทยอยเข้ามานั่งประจำอยู่ทุกโต๊ะ ต่างก็สั่งสุราอาหารมารับประทานกัน สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับจากบุคคลที่เข้ามาใหม่ก็คือ สายตาอันเหี้ยมเกรียมเหมือนพวกแรก คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี
จะเดินเข้าไปพูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างลูกผู้ชายอย่างเปิดอกหรือ ตรองแล้วตรองเล่าเห็นว่าไม่สำเร็จแน่
จะพึ่งตำรวจหรือ ข้อคิดประการหลังนี้ช้าไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่มีหวังที่จะออกจากโรงแรมได้แน่ ทางเข้าทางออกมีแต่คนยืนปิดทางบ้าง นั่งขวางอยู่บ้าง ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่า ถูกตรึงให้นั่งอยู่กับเก้าอี้เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ทั้งสิ้น จำเป็นเหลือเกินที่ต้องทนนั่งทำเป็นใจเย็นรับฟังคำเสียดสีท้าทายต่างๆนานา เพื่อจะให้ข้าพเจ้าเกิดโทสะ แต่ข้าพเจ้าทราบดีว่า ถ้าเกิดมีโทสะโต้เถียงก็เป็นการฆ่าตัวเองชัดๆ
สายตาเหล่านั้นมารวมจุดเดียวที่ข้าพเจ้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ด้วยความสัตย์จริงข้าพเจ้ากลัวก็กลัว แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นเยือกเย็นไม่แสดงสายตาตอบปฏิกิริยาอย่างใดเลย นั่งฟังเสมือนหนึ่งกำลังฟังเข้าเล่านิทานสนุกๆไม่เกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าเลย
สมองครุ่นคิดอยู่แต่ว่า
การมาเที่ยวครั้งนี้จะเป็นการหาที่เจ็บตัวของข้าพเจ้าและเพื่อนทั้งสองเสียละหรือ
ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงในกลุ่มใหญ่พอได้ยินว่า
“ข้าจะสอนไอ้หมอนี่เสียเดี่ยวนี้เลย เอาไหมวะ”
“เฮ้ย! อย่างเพิ่งไปทำอะไรก่อน
คนนี้ไม่ใช่ตัวการ
เขาคงจะยังไม่รู้เรื่องอะไรก็ได้
เราต้องการแต่ไอ้สองคนนั่นเท่านั้น” เสียงอีกคนหนึ่งห้ามไว้
แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะมีความหมายต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำเป็นนั่งไขสือ ฟังไม่รู้เรื่องไม่สะทกสะท้าน เรียกคนประจำโรงแรมถามว่า “มีเรือที่จะออกมากรุงเทพฯ
เมื่อไหร่ อาเฮีย”
จีนคนรับใช้ประจำโรงแรมนี้
เมื่อแรกที่เรามาพักเป็นคนเอาอกเอาใจพวกเราดี
มาในบัดนี้ความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าพลอยบอกความไม่เป็นมิตรกับข้าพเจ้าเสียอีกผู้หนึ่งแล้ว
“จับยี่เตี้ยม” นายนั่นแกตอบข้าพเจ้าห้วน ๆ
ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นทุกข์และหวาดกลัว
ที่ยามนี้จะหาผู้ใดเป็นมิตรพอเป็นที่พึ่งได้ยากยิ่ง แล้วก็มีเสียงเย้ยหยันตะโกนลอยๆขึ้น ทำให้เสียววาบไปตลอดสันหลัง “ไม่มีหวังกลับเสียแล้วโว้ยพวก”
ข้าพเจ้าทำเป็นไม่สนใจในถ้อยคำนั้น รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนสองคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นบน
เขาคงไมได้ยินและไม่มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังวิกฤตจะเข้าถึงจุดเดือดขณะนี้ หากข้าพเจ้าโต้ตอบออกไปแม้แต่เพียงคำเดียว โปรดกลับตานึกดูเถิดท่านที่รัก มันจะมีอะไรเกิดขึ้น นอกจากแหลก
ข้าพเจ้าจะต้องแหลกเหลวคามือคาเท้าของกลุ่ม มนุษย์ย่อมต้องกระเสือกกระสนให้ชีวิตรอดจนถึงที่สุดและทุกวิถีทาง เมื่อมีภัยมาถึงตัว ถึงหากจะไม่มีทางสู้อย่างใดเลย แม้เพียงรำลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนเชื่อ วิงวอนขอความคุ้มครองให้รอดพ้นจากอันตรายก็ยังดีกว่านิ่งตายอยู่เฉยๆ ข้าพเจ้าก็อยู่ในลักษณะนี้
เมื่อเหตุการณ์คับขันจนนาทีสุดท้าย จึงพลันนึกถึงที่ถึงสุดท้ายคือ “คุณพระ” ข้าพเจ้าตั้งจิตแน่วแน่อธิษฐานเสี่ยงบุญกุศล
ตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าไม่เคยก่อเวรกรรมให้ผู้ใดเดือดร้อน
หรือแม้แต่จะมุ่งร้ายปรารถนาให้ผู้อื่นพินาศฉิบหาย ขอบุญญานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย
จงคุ้มครองให้ข้าพเจ้ารอดพ้นอันตรายครั้งนี้ด้วยเถิด
ข้าพเจ้ากล่าวได้ว่าเป็นขณะอับจนที่สุดในชีวิต ก็มีชาย ๓ คนเดินเข้ามาในโรงแรม คนที่นำหน้านั้น
ข้าพเจ้ารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นที่ไหนจำไม่ได้ เขาเดินเข้ามาทักทายโต๊ะโน้นโต๊ะนี้อย่างสนิทสนมกันแซดไปหมด แล้วชายคนนั้นก็หันมาพบข้าพเจ้า ชะงักอยู่ไม่ถึงอึดใจ ก็เดินตรงรี่มาที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ ….. ข้าพเจ้าใจหายวาบคาดไม่ถูกว่าชายผู้นี้จะมาร้ายมีดีประการใด
รีบหยิบขวดเลโมเน๊ตมารินน้ำหวานลงจนหมดคอยทีเตรียมไว้ก่อน …..
ชายผู้นั้นเมื่อเข้ามาถึงกลับยกมือไหว้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารีบกระทำตอบ รู้สึกได้ทันทีในบัดนั้นว่า ชายผู้นี้มีสายตาเป็นมิตรอย่างจริงใจต่อข้าพเจ้าผู้เดียว
ในสถานที่ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ร้ายดังกล่าว
“คุณจำผมได้ไหมครับ?” เขากล่าวก่อน
ข้าพเจ้าตอบว่า “ขอโทษเถิดครับ ผมจำคุณไม่ได้จริง ๆ
แต่ในความรู้สึกนั้นดูเหมือนว่าจะเคยเห็นคุณมาก่อนที่ไหนก็จำไม่ได้”
ชายผู้นั้นหัวเราะแล้วกล่าวว่า
“คุณพบกับผมที่ราชวงศ์
เมื่อสองปีก่อนนี้ไงครับ
นึกออกไหมครับ”
ข้าพเจ้าพยายามทบทวนความทรงจำ ระลึกถึงความหลังเก่าๆ เมื่อ ๒
ปีก่อนโน้นในกรุงเทพฯ
แล้วทั้งน้ำเสียงท่าทีตลอดจนเค้าหน้าของเขาก็ช่วยให้ข้าพเจ้านึกออกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
……..
บ่ายวันนั้น
…….
ที่ร้านอาหารถนนราชวงศ์ไม่สู้จะมีคนมากนักเพราะเลยเวลาเที่ยงไปแล้ว
มีชายผู้หนึ่งนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะติดผนังห้องริมทางออกแต่ผู้เดียว
แกก้มหน้าก้มตารับประทานไม่ได้มองดูใครจะเข้าจะออก
กับข้าพเจ้าอีกผู้หนึ่งที่เข้ามานั่งรับประทานอยู่ในร้านนี้เป็นคนที่สอง เรานั่งห่างกันเล็กน้อย พอข้าพเจ้าสั่งอาหารเสร็จ ชายผู้นั้นก็อิ่ม เรียกจีนรับใช้มาคิดเงิน แล้วก็ล้วงกระเป๋า แล้วท่าสะดุ้ง
หน้าตาตื่น
ตบกระเป๋าซ้ายตบกระเป๋าขวาสีหน้าซีดเผือด
เพราะแกพยายามล้วงกระเป๋าที่มีอยู่บนเครื่องแต่งกายจนหมดทุกกระเป๋า ค้นหาจนสิ้นสงสัยก็ยังหาเงินไม่พบ มีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้า แกพึมพำเบา ๆ พอได้ยินว่า “หายหมด ตายแน่ ผมถูกล้วงกระเป๋าแน่ แย่จริง ๆ”
ข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น
ก็รู้สึกสงสารและเห็นใจในความโชคร้ายของชายคนนี้จึงลุกจากโต๊ะอาหารเข้าไปหาและถามเขาว่า
“คุณรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าอาจจะถูกล้วงที่ไหน หรือจะทำตกหล่นไว้ที่ใด”
“ผมสงสัยมากตอนที่เดินมาตรงหัวเลี้ยวห้างราชวงศ์ เพราะมีคนเดินสวนกระทบไหล่อย่างแรงทำให้เซไป
ผมไม่นึกเลยว่ามันจะไวทายาทอะไรอย่างนั้น”
ข้าพเจ้าซักต่อไปว่า
“ในกระเป๋าของคุณมีเงินอยู่เท่าใด”
แกตอบว่า “ห้าร้อยบาทครับ เดี๋ยวนี้ผมหมดตัว ค่าอาหารที่นี่ไม่มีชำระ ค่าที่พักก็ยังไม่ได้ให้ ค่าเดินทางกลับบ้านก็ไม่มี ผมแย่แล้ว”
คำพูดรำพันออกมา และใบหน้าซื่อๆ
ทำให้ข้าพเจ้าแน่ใจว่าคงมิใช่เล่ห์หรือมารยาอย่างใด รู้สึกสมเพชจับใจ คนเราไม่เลือกไพร่ ผู้ดี
เศรษฐีหรือยาจก
ถ้ายังต้องเวียนว่ายอยู่ในโลกอันไม่เที่ยง
ก็มีโอกาสที่จะต้องพบกับความพลาดพลั้ง หรือประสบเคราะห์กรรมได้เสมอ
ข้าพเจ้ากระซิบกับแกว่า
“ไม่เป็นไรครับ
ค่าอาหารของคุณขอให้คิดรวมกับโต๊ะผมเสียเลยและสำหรับค่าเดินทางของคุณ ผมอยากจะช่วยเหลือ อย่านึกว่าเป็นการดูหมิ่น ผมขอให้คุณรับเงินจำนวนนี้ไว้ด้วย
ผมยินดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในยามที่เคราะห์ร้าย”
แล้วข้าพเจ้าก็หยิบธนบัตรจำนวนยี่สิบบาทส่งให้ ชายผู้นั้นรับเงินอย่างงงๆ แล้วยึดมือข้าพเจ้าไว้ จ้องมองดูหน้าข้าพเจ้านิ่งอยู่เป็นครู่
แววตาที่โศกเชื่อมและเลื่อนลอยอยู่เมื่อแรก บัดนี้มีประกายแจ่มใสไปด้วยความหวัง แม้ภายในดวงตาทั้งคู่จะหล่อเยิ้มไปด้วยอัสสุชลแห่งความปลื้มปีติ
แต่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่ามันแฝงไว้ด้วยความกตัญญูรู้คุณอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ยากจะอธิบายให้ชัดเจนได้ ข้าพเจ้าเห็นแกนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกจึงรีบตัดบทว่า
“คุณลองนึกเค้าหน้าคนที่เดินกระทบไหล่คุณให้ได้ แล้วรีบตามไปให้พบตัว เผื่อว่าเป็นโชคของคุณ
เมื่อพบแล้วก็บอกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว ก็จะได้เงินคืน ถึงแม้จะมีหวังน้อยก็ควรจะลองพยายาม”
ชายผู้เคราะห์ร้ายนั้น ได้พยายามถามถึงตำบลที่อยู่ข้าพเจ้า เพื่อจะได้นำเงินมาคืนให้ ข้าพเจ้าบอกว่าอย่าต้องลำบากเลย ไม่จำเป็นสำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
แล้วข้าพเจ้าก็เร่งให้แกรีบออกไปตามคนร้ายต่อไป
เมื่อแกหมดหวังที่จะทราบที่อยู่ของข้าพเจ้าแล้วแกก็จากไป
ข้าพเจ้าจัดการชำระค่าอาหารรวมกันกับโต๊ะของข้าพเจ้าแล้วก็กลับบ้าน
ต่อมาก็ลืมเรื่องราวในร้านอาหารและชายผู้นั้นเสียสนิท และไม่เคยนึกตลอดมา
นั่นคือเหตุการณ์ของชายผู้นี้กับข้าพเจ้าเมื่อ
๒ ปีก่อน ที่ได้หลงลืมไปแล้ว
บัดนี้
ชายผู้เคราะห์ร้ายนั้นกำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้าข้าพเจ้า ปรากฏขึ้นในยามคับขันอับจนที่กำลังต้องการผู้ช่วยเหลือ ข้าพเจ้าดีใจจนพูดไม่ถูก รู้สึกเหมือนพระบนสรวงสวรรค์ทรงเมตตาปราณีประทานผู้ช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าอย่างทันเหตุการณ์
เสียงเขากล่าวต่อไปว่า “ตั้งแต่วันนั้นผมยังไม่เคยลืมเค้าหน้าของคุณ ผมพยายามจดจำไว้พอแลเห็นคุณ ผมก็จำได้ทันที ในวันนั้นถ้าผมไม่ได้คุณ ผมก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เพราะญาติของผมที่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่ตั้งใจไปหาก็ย้ายไปต่างจังหวัดเสีย ผมงงจนทำอะไรไม่ถูก ไม่ทราบว่าจะไปหาใครเป็นที่พึ่งได้” พูดแล้วก็ขอตัวไปพบกับคนในหมู่ที่กำลังกระหายเลือด
จะลงประชาทัณฑ์แก่ข้าพเจ้าซึ่งไม่มีความผิด
เห็นแกเดินเข้าไปพูดซุบซิบกันสักพักใหญ่รู้สึกว่าบรรยากาศค่อยผ่อนคลาย และแจ่มใสขึ้นตามลำดับสายตาและสีหน้าที่มองมายังข้าพเจ้า
ค่อยลดความเหี้ยมเกรียมดุร้ายลงจนหมดสิ้นไป บรรยากาศของความเป็นมิตรเริ่มมีเค้าขึ้นบ้าง
อีกครู่หนึ่งชายผู้นั้นกลับมานั่งที่โต๊ะข้าพเจ้าเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนไปบอกว่า
คนมาจากกรุงเทพฯ
รังแกผู้หญิงที่หน้าโรงหนัง
ตนไม่ทราบว่าเป็นใครก็อยากจะมาดูหน้า
เพราะผู้หญิงคนนั้นยังได้บอกว่า
พวกเราเป็นพวกต้มมนุษย์
คงจะมาต้มคนในเมืองนี้
ความจริงผู้หญิงคนนั้นยังไม่เคยรู้จักเห็นหน้ามาก่อนเลย คงจะมาจากที่อื่น
และเดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าพักอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ ครั้นมาเห็นข้าพเจ้าและได้ทราบว่ามาด้วยกันกับคนที่รังแกผู้หญิงคนนั้น เมื่อเห็นข้าพเจ้าก็จำได้ จึงคิดว่าน่าจะมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง เพราะคนที่ช่วยเหลือคนในยามทุกข์ยากนั้นคงไม่ใช่นักต้มมนุษย์แน่
ข้าพเจ้าจึงอธิบายให้ฟังว่า หญิงคนที่เกิดเรื่องนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหรือเคยรู้จักมาก่อน เพราะไม่ได้ร่วมทางไปด้วย เพียงแต่ได้ทราบจากเพื่อนของข้าพเจ้าที่รู้เรื่องของหญิงคนนั้นว่า จู่ๆก็หายไปจากบ้าน ไม่หายไปแต่ตัวเปล่าๆ
ยังนำเอาสิ่งของบางอย่างอันมีค่าติดตัวไปด้วย
เมื่อมาพบกันที่หน้าโรงหนังซึ่งเป็นการพบกันโดยบังเอิญ จะหลบก็ไม่ทัน
จึงต้องเผชิญหน้ากัน
แล้วก็พูดกันไปพูดกันมา
จนฉุดกระชากลากแขนโดยพลการ
ในสายตาและความรู้สึกของผู้ที่ได้แลเห็น
ซึ่งไม่เคยทราบความเป็นมามาก่อน
ก็ต้องเข้าใจว่าคงจะรังแกผู้หญิง
จึงเข้าช่วยหญิงคนนั้นจนหลบหนีไปได้
เหตุการณ์ต่อจากนั้น
ก็คือสถานการณ์ตรึงเครียดอย่างที่เห็นนี้แหละ
เมื่อผู้ชายที่รู้จักกับข้าพเจ้าได้ทราบความจริง
ก็ได้ทำหน้าที่เป็นคนกลางชี้แจงให้พรรคพวกเข้าใจถูกต้อง
แล้วเรื่องที่เกือบจะร้ายก็กลายเป็นดีขึ้นโดยฉับพลัน
เราถูกเชิญให้ไปพักบ้านของเพื่อนผู้สงบศึกผู้นั้น ข้าพเจ้าแสดงความขอบคุณ และขอตัวว่าอยากจะกลับกรุงเทพฯ ในเที่ยวเรือเที่ยงคืนวันนั้น
เพื่อนผู้นั้นรู้สึกผิดหวังและเสียใจมากที่ข้าพเจ้ารีบกลับเร็วเกินไป ไม่ทราบว่าได้มาเที่ยวถึงบ้าน มิฉะนั้น
เขาจะขอรับรองพาไปเที่ยวทุกหนทุกแห่งที่ข้าพเจ้าต้องการ ข้าพเจ้าต้องขอบคุณเขาอีกครั้งหนึ่ง แล้วยืนยันว่า
ข้าพเจ้าได้ตั้งใจว่าจะกลับเรือเที่ยวนี้แล้ว จึงขอตัวไว้โอกาสต่อไปภายหน้า
เพื่อนผู้นั้นจึงเรียกบรรดาเพื่อนฝูงชายฉกรรจ์เหล่านั้นมาให้รู้จักกับข้าพเจ้า
ในฐานะได้เคยให้ความอุปการะช่วยเหลือในยามเคราะห์ร้ายที่กรุงเทพฯ เกี่ยวกับเรื่องถูกล้วงกระเป๋า
ทุกคนเข้ามาแสดงความเป็นมิตร และกล่าวคำขอโทษ ข้าพเจ้าตอบด้วยอัธยาศัยไมตรี มีบางคนชมด้วยใจจริงว่าเป็นคนใจเย็น ข้าพเจ้าคิดขันอยู่ในใจ
ที่จริงความหวาดกลัวมีส่วนช่วยให้ข้าพเจ้าอดทนต่อคำรุกรานและก้าวร้าวนั้นเป็นอันมาก
เราต่างสนทนากันฉันท์มิตรสักครู่ใหญ่ คนเหล่านั้นก็ลากลับไป
เพื่อนผู้อารีแจ้งว่าจะมาส่งข้าพเจ้าที่ท่าก่อนเรือออก ๑ ชั่วโมง แล้วก็ลากลับไป ส่วนข้าพเจ้าขึ้นไปห้องพัก ไขกุญแจเปิดห้องที่ปิดขังเพื่อนทั้งสองไว้
แล้วบอกว่าได้จัดการเรื่องให้สงบเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งสองคนต่างรีบชิงกันถามว่า “คุณแจ้งความตำรวจมาจัดการแล้วหรือ”
ข้าพเจ้าก็เรียกคนรับใช้ประจำโรงแรมมาเพื่อคิดบัญชีค่าห้องพักและค่าอาหาร จีนคนรับใช้คนนี้
เมื่อสักครู่แสดงตนไม่ยอมเป็นมิตรให้เห็นเลย แต่ขณะนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เขายิ้มย่องพินอบพิเทายิ่งกว่าเมื่อแรกมาเสียอีก ข้าพเจ้าบอกให้คิดบัญชีรวมทุกอย่างเพื่อจะชำระเงินให้ คนรับใช้ลงไปข้างล่าง สักครู่กลับขึ้นมาแจ้งว่า ค่าห้องค่าอาหารทุกอย่างมีผู้ชำระให้หมดแล้ว
ข้าพเจ้าเดาไม่ผิดว่าผู้ชำระเงินให้แทนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้
นอกจากชายที่ข้าพเจ้าได้เคยช่วยด้วยเงินเพียงเล็กน้อย ที่ร้านอาหารราชวงศ์เมื่อสองปีก่อน
ประมาณ
๒๓.๐๐ น. เพื่อนผู้นั้นก็มาถึง มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งมาด้วย เขาแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักว่าเป็นภริยา ข้าพเจ้าแสดงคารวะตอบด้วยความยินดี
ภริยาของเพื่อนผู้นั้นกล่าวขอบคุณที่ได้มีใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือสามีของเธออย่างจริงใจว่า
“ดิฉันเคยทราบว่าคุณเป็นผู้มีใจกรุณา
อยากจะรู้จักเพื่อจะได้ขอบพระคุณด้วยตัวดิฉันเองมานานแล้ว เพิ่งจะได้มีโอกาสครั้งนี้”
“เป็นธรรมดาครับ” ข้าพเจ้าตอบ “เมื่อใครพบผู้ที่เคราะห์ร้ายเช่นนั้นก็ต้องช่วยเหลือ ผมคิดว่าไม่น่าเป็นบุญคุณใหญ่โตอะไร แม้ไม่พบกับผม
ผู้อื่นพบเข้าก็คงให้ความช่วยเหลือเหมือนกัน” แล้วข้าพเจ้าก็ถือโอกาสแนะนำเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้าให้สองสามีภรรยารู้จัก
ข้าพเจ้ามองดูเพื่อนทั้งสองแล้วอดขำในใจไม่ได้
เพราะคนหนึ่งหน้าโปปูดอีกคนหนึ่งขอบตาเขียวเห็นถนัด ชายผู้เป็นสามีก็แสดงความเสียใจ ขอโทษแทนพวกที่ได้กระทำไปด้วยความเข้าใจผิด
เมื่อใกล้เวลาเรือออก คนรับใช้ก็มาขนกระเป๋าลงข้างล่าง เราพากันเดินตามลงมา เห็นมีผู้คนมายืนรออยู่ชั้นล่างหลายคน
จำไม่ผิดว่าท่านเหล่านั้นคือพวกที่มาคอยจะอบรมสั่งสอนพวกเราเมื่อตอนหัวค่ำ แต่บัดนี้ทุกคนได้กลับกลายเป็นมิตรที่ดีแล้ว
ข้าพเจ้าสังเกตดูเห็นว่ามีบางคนที่ปรากฏริ้วรอยของกานต่อสู้ ใบหน้าบวมปูด
เขียวโป ด้วยเหมือนกัน
นอกจากนั้นมีชะลอมบรรจุเครื่องบริโภคอยู่หลายชะลอม เมื่อเราออกจากโรงแรม สามีภรรยาคู่นั้นพร้อยด้วยเพื่อนชาวเมืองคนอื่น
ๆ อีกหลายคนก็พากันตามมาส่ง หิ้วชะลอมเดินตามมาบนสะพานยาว กว่าจะถึงปลายสะพานยาวก็ร่วมครั้งชั่วโมง
พอถึงเรือ
ภริยาของเพื่อนข้าพเจ้าผู้นั้นก็ฝากของให้ข้าพเจ้าสามชะลอม
และขอโทษที่เป็นเวลากะทันหันหาของที่เหมาะสมมาฝากให้ไม่ทัน ข้าพเจ้าตอบขอบคุณที่ทำให้ต้องลำบากโดยไม่จำเป็น และทั้งขอบคุณในการที่จ่ายค่าพักโรงแรม อาหาร
ให้ข้าพเจ้าทั้ง ๓ คน
เพื่อนผู้นั้นยิ้มแล้วบอกว่ายังน้อยกว่าที่ข้าพเจ้าได้เคยช่วยเหลือยามยากมาแล้วมากมายนัก สนทนากันอีกเพียงเล็กน้อย เรือเปิดหวูดสัญญาณแล้วก็สั่งปล่อยเชือก ข้าพเจ้าก็ลาผู้ที่มาส่งทั่วกัน
เรือค่อย
ๆ เคลื่อนที่ออกจากท่า ทิ้งแสงไฟที่สะพานท่าเรือไว้เบื้องหลัง
พร้อมทั้งเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นหวาดเสียวไว้ด้วย ทันใดปรากฏตัวพนักงานเรือเก็บค่าโดยสารจัดการปลุกผู้โดยสารบางคนที่กำลังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นชำระค่าโดยสาร พอเก็บเรื่อยมาถึงที่เรานั่งอยู่ ข้าพเจ้าก็เตรียมหยิบเงินค่าเรือส่งให้ ข้าพเจ้าสงสัยเกรงว่าเขาลืม
ต้องหยิบเงินเดินตามไปยื่นให้ก็ได้รับคำตอบว่า มีผู้ชำระเงินให้แทนแล้วทั้งสามคน
ข้าพเจ้าจึงทราบได้อีกว่าเป็นการกระทำของเขาผู้นั้น
ซึ่งเป็นการแสดงออกของความกตัญญูรู้คุณของเขา เราทั้งสามหลับมาตลอดทางที่เรือวิ่งอยู่ในทะเล
เราตื่นเอาตอนใกล้ย่ำรุ่ง ลุกขึ้นดูเห็นเรือกำลังผ่านวัดพระยาไกรแล้ว สักพักใหญ่ก็ถึงราชวงศ์ เรือทิ้งสมอกลางน้ำเรียบร้อย มีเรือสำปั้นเรือจ้างเกาะอยู่รอบเรือใหญ่
ผู้โดยสารก็พากันทยอยลงเรือจ้างข้ามสู่ฝั่งพระนครพร้อมด้วยข้าพเจ้าและเพื่อนทั้งสอง พอขึ้นจากเรือได้เราก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตน
ข้าพเจ้ายังจดจำเรื่องนี้อยู่เสมอ และเชื่อว่าอานุภาพของผลกรรมแห่งความมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ดังที่ได้อุบัติมา ช่วยปัดเป่าให้ข้าพเจ้าพ้นจากวิกฤตการณ์ที่จวนเจียนจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้วได้อย่างมหัศจรรย์ยิ่ง ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในกรรมดีว่า จะต้องช่วยผู้ประพฤติปฏิบัติดีอยู่เสมอ ดังที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาแล้ว
จบเรื่องที่๘
จบเรื่องที่๘
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
ขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์
เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
และขอขอบพระคุณท่าน พลเรือเอก ทวิชัย
เลียงพิบูลย์ และทายาท(เจ้าของลิขสิทธิ์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น