อำแดงเหมือนกับนายริด
เมื่อสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
ได้เกิดมีเรื่องราวของผู้หญิงใจกล้า ที่เรียกร้องสิทธิที่จะมีคนรักที่ตนรักจริง
ไม่ยอมถูกบังคับให้ไปแต่งงานอยู่กินกับคนอื่น
นับว่าเป็นความคิดล้ำสมัยแหกกฏเกณฑ์เก่าๆอย่างแรง แถมเรื่องยังรู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยหญิงผู้กล้าหาญนั้นหนีมาถวายฎีกาถึงพระเจ้าอยู่หัวด้วย
ซึ่งทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยอย่างเที่ยงธรรม
เป็นการปลดทุกข์ให้หญิงผู้กล้าหาญที่มีชื่อว่า อำแดงเหมือน
เนื่องจากข้อความในต้นฉบับโบราณเขียนติดต่อกันยาวมาก จึงแบ่งจัดย่อหน้าให้อ่านง่ายขึ้น ส่วนข้อความและการสะกดคำยังรักษาไว้ตามต้นฉบับเดิม
อ่านแล้วจะต้องทึ่งไปการทัศนคติมุมมองหรือพระบรมราชวินิจฉัยของพระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับว่าทรงพระกรุณาต่อพสกนิกรเป็นที่ยิ่ง การตัดสินของพระองค์นับว่าเที่ยงธรรมและล้ำยุคสมัยจริงๆ
พระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ |
ประกาศพระราชบัญญัติลักษณะลักพา
ณ วันจันทร์ เดือนยี่
ขึ้น ๑ ค่ำ ปีฉลูสัปตศก
มีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาท
ให้ประกาศแก่ลูกขุนตุลาการโรงศาล แลราษฎรในกรุงหัวเมืองให้ทราบทั่วกันว่า
เมื่อวันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรม ๗ ค่ำ ปีฉลูสัปตศก๑๕
เสด็จออกหน้าพระที่นั่งสุทไธศวรรย์ มีหญิงสาวคนหนึ่ง ทำเรื่องราวฎีกามาทูลเกล้า ฯ
ถวาย ความในฎีกาดังนี้
ข้าพระพุทธเจ้าอำแดงเหมือนเป็นบุตรนายเกต
อำแดงนุ่น อายุข้าพระพุทธเจ้าได้ ๒๑ ปี ตั้งบ้านเรือนอยู่บางม่วง แขวงเมืองนนทบุรี
มีความทุกข์ร้อนขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสถวายเรื่องราวให้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
พระราชอาญาเป็นล้นเกล้าฯ เดิมข้าพระพุทธเจ้ากับนายริดรักใคร่เป็นชู้กัน
บิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าหารู้ไม่
ครั้นอยู่มา ณ เดือน ๔ ปีชวดฉศก๑๔
นายภูให้เถ้าแก่มาขอข้าพระพุทธเจ้าต่อบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้า บิดามารดาก็ยอมจะให้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นภรรยานายภู
ข้าพระพุทธเจ้ารู้ความว่า บิดามารดาจะยกข้าพระพุทธเจ้าให้เป็นภรรยานายภู
ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยอม บิดามารดาโกรธด่าว่าทุบตีข้าพระพุทธเจ้า
ครั้น ณ เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ ปีชวดฉศก๑๔
เวลาพลบค่ำ บิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าให้นายภูฉุดตัวข้าพระพุทธเจ้าไปที่บ้านเรือนนายภู
นายภูให้ข้าพเจ้าเข้าไปในห้องเรือน ข้าพระพุทธเจ้าไม่ไป
ข้าพระพุทธเจ้าก็นั่งอยู่ที่ชานเรือนนายภูจนรุ่งขึ้นเวลาเช้า
ชายหญิงชาวบ้านรู้เห็นเป็นอันมาก
แล้วข้าพระพุทธเจ้าก็กลับมาบ้านเรือนบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้า บิดามารดาก็ด่าว่าทุบตีข้าพระพุทธเจ้าอีก
จะให้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นภรรยานายภูให้จงได้
แล้วบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าให้นายภูฉุดตัวข้าพระพุทธเจ้าไปที่บ้านเรือนนายภูอีกครั้งหนึ่ง
ข้าพระพุทธเจ้าก็หาขึ้นไปบนเรือนนายภูไม่
แล้วข้าพระพุทธเจ้าก็กลับมาบ้านเรือนบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้า
บิดามารดาโกรธด่าว่าทุบตีข้าพระพุทธเจ้า
แล้วว่าถ้าข้าพระพุทธเจ้าไม่ยอมเป็นภรรยานายภู จะเอาปืนยิงข้าพระพุทธเจ้าให้ตาย
ข้าพระพุทธเจ้ากลัวก็หนีไปหานายริดชู้เดิมข้าพระพุทธเจ้า ได้สองสามวัน
บิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าสั่งผู้มีชื่อให้บอกนายริด ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนมาสมาบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้า
นายริดก็ให้ผู้มีชื่อเถ้าแก่เอาดอกไม้ธูปเทียนมาสมาบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้า
บิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าจึงพาเถ้าแก่เอาดอกไม้ธูปเทียนไปที่บ้านกำนัน
ในเวลานั้นนายภูไปคอยอยู่ที่บ้านกำนัน นายภูจึงอายัดตัวเถ้าแก่ไว้แก่กำนัน
ครั้น ณ เดือน ๗ ปีฉลูสัปตศก๑๕
มีหมายหลวงสยามนนทเขตรขยัน ปลัดไปเกาะข้าพระพุทธเจ้ากับนายริด กับบิดามารดานายริด
มาที่ศาลากลางเมืองนนทบุรี หลวงปลัดแลกรมการถามข้าพระพุทธเจ้า
ข้าพระพุทธเจ้าให้การว่า ข้าพระพุทธเจ้าหาได้รักใคร่ยอมเป็นภรรยานายภูไม่
พระนนทบุรีและกรมการเปรียบเทียบตัดสินว่า ถ้านายภูสาบานตัวได้ว่าข้าพระพุทธเจ้าได้ยอมเป็นภรรยานายภู
ให้นายริดแพ้ความนายภู นายภูไม่ยอมสาบาน แล้วกรมการเปรียบเทียบว่า
ถ้าข้าพระพุทธเจ้าสาบานตัวได้ว่าไม่ได้ยอมเป็นภรรยานายภู
ให้นายภูยอมแล้วความแก่กัน นายภูก็หาให้ข้าพระพุทธเจ้าสาบานไม่
ครั้นเดือน ๙ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีฉลูสัปตศก๑๕
นายภูกลับฟ้องกล่าวโทษนายริดกับบิดามารดานายริด กับผู้มีชื่อเถ้าแก่ ๒ คน
มีความแจ้งอยู่ในฟ้องนายภูนั้นแล้ว พระนนทบุรีแลกรมการ
เกาะได้ตัวนายริดกับบิดามารดากับผู้มีชื่อเถ้าแก่ ๒ คนมาแล้ว บังคับให้นายริดส่งตัวข้าพระพุทธเจ้า
นายริดก็ส่งตัวข้าพระพุทธเจ้าให้ตุลาการ นายริดกับบิดามารดานายริด
แลผู้มีชื่อเถ้าแก่ ๒ คนก็เป็นคู้สู้ความกับนายภู
แต่ตัวข้าพระพุทธเจ้าได้ให้การไว้ต่อตุลาการเป็นความสัตย์จริง
ข้าพระพุทธเจ้าหาได้เป็นภรรยานายภูไม่ แจ้งอยู่ในคำให้การนั้นแล้ว
นายเปี่ยม
พะทำรง คุมตัวข้าพระพุทธเจ้ากักขังไว้ที่ตะราง
แล้วมารดาข้าพระพุทธเจ้าก็มาขู่เข็ญจะให้ข้าพระพุทธเจ้ายอมเป็นภรรยานายภูให้จงได้
ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยอม ข้าพระพุทธเจ้าเตือนตุลาการให้ชำระความต่อไป ก็ไม่ชำระให้
นายเปี่ยม พะทำรงก็คุมตัวข้าพระพุทธเจ้ากักขังไว้ แกล้งใช้แรงงานต่างๆ
เหลือทนได้ความทุกข์ร้อนนัก ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้หนีมาทำฎีกาทูลเกล้าฯ
ถวายพระราชอาญาเป็นล้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยอมเป็นภรรยานายภู
ข้าพระพุทธเจ้าสมัครเป็นภรรยานายริดชู้เดิมของข้าพระพุทธเจ้าต่อไป
ขอพระบารมีปกเกล้าฯ เป็นที่พึ่ง ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ
แต่ถ้าความแปลกจะมีนอกจากที่ว่าในฎีกานี้
จะต้องตัดสินตามสักสองอย่าง คือ
กิริยาที่บิดามารดายอมยกให้บุตรหญิงของตัวไปแก่ชายนั้นกระมัง จึงต้องยอมให้เขาฉุด
ก็ถ้าการเป็นดังนี้ให้ตัดสินว่าบิดามารดาไม่ได้เป็นเจ้าของบุตรชายบุตรหญิง
ดังหนึ่งคนเป็นเจ้าของโคกระบือช้างม้า จะตั้งราคาขายตามชอบใจได้หรือ
ดังนายเงินเป็นเจ้าของทาสที่มีค่าตัว จนจะขายทาสนั้นตามค่าตัวเดิมได้
เมื่อบิดามารดาจนจะขายบุตร ต่อบุตรยอมให้ขายจึงขายได้ ถ้าไม่ยอมให้ขายก็ขายไม่ได้
หรือยอมให้ขาย ถ้าบุตรยอมรับหนี้ค่าตัวเพียงเท่าไร ก็ขายได้เพียงเท่านั้น
กฎหมายเก่าอย่างไรผิดไปจากนี้อย่าเอา
เพราะฉะนั้นในความเรื่องนี้
ถ้าบิดามารดาเอาชื่อหญิงนั้นไปขายให้แก่ชายที่มาฉุดเท่าไร ก็ให้บิดามารดาใช้เงินเขาเอง
อย่าให้ชายชู้เดิมแลตัวหญิงต้องใช้ เพราะเห็นชัดว่าตัวหญิงไม่ยอมให้ขาย
แลหญิงนั้นเมื่อหนีบิดามารดาตามชู้ไป
ถ้าเอาเงินทองสิ่งของของบิดามารดาติดตัวไปด้วย ถ้าบิดามารดาไม่ยอมให้ก็เร่งคืนให้
เว้นไว้แต่ผ้านุ่งห่มแลเบี้ยเงินหรือสิ่งของราคาสักสามตำลึง ให้บิดามารดาลดให้หญิง
เพื่อจะเป็นเสบียงเลี้ยงตัวอยู่สักเดือนหนึ่งสองเดือน
กว่าจะมีที่ทำมาหากินกับชายที่ตัวหญิงนั้นยอมเป็นเมียเขา ความวิวาทอายัดแลฟ้องเถ้าแกให้เลิกเสีย
ตามลัทธิผู้ชายในบ้านเมืองทุกวันนี้
พอใจถือว่าหญิงคนใด ชายได้พาเข้าไปในที่ลับจับต้องถึงตัวแล้ว
ก็พอใจถือตัวว่าเป็นเจ้าผัว ความก็ว่าอย่างนั้น ผู้ตัดสินก็ว่าอย่างนั้น
แล้วตัดสินให้ผัวเป็นเจ้าของ แลให้เมียเป็นดังสัตว์เดียรัจฉาน เพราะลัทธิอย่างนั้น
แลจึงได้ตัดสินในเวลาหนึ่ง
ให้เลิกกฎหมายเก่าว่าหญิงหย่าชายหย่าได้นั้นให้ยกกฎหมายนั้นต้องยุติธรรมอยู่ให้เอาเป็นประมาณ
ความเรื่องนี้ที่เปรียบเทียบพิจารณาว่าเป็นเมียว่าไม่ได้เป็นเมียให้ยกเสีย
เอาแต่ตามใจหญิงที่สมัครไม่สมัครเป็นประมาณ หญิงใดมีชายมาขอ บิดามารดายกให้
ตัวยอมไปอยู่ด้วยกัน มีผู้รู้เห็นด้วยกันมากกว่าสองคน เป็นผัวเมียกัน
ร่วมสุขทุกข์รุนรอนเดียวกันอยู่นานหลายวันหลายเดือนประจักษ์แจ้งแก่คนรอบบ้านรอบเมือง
ไม่มีใครขัดใครเถียง จึงควรตัดสินว่าเป็นผัวเมียกัน ในความเรื่องนี้จะให้เป็นถึงอย่างนั้นจะไม่ได้
จึงต้องให้เป็นไปตามใจหญิงสมัคร
ความคล้ายกับเรื่องนี้แต่ก่อนก็เคยตัดสินมา
แต่ก่อนมีผู้มีชื่อพาบุตรหญิงไปขายไว้แก่พระยาสิงหราชฤทธิไกร ผู้บิดาหลวงเสนาภักดี
แต่หญิงนั้นยังเป็นเด็ก ครั้นหญิงนั้นเจริญเป็นสาว หลวงเสนาภักดีสมคบเป็นภรรยา
ครั้นภายหลังบิดามารดาของหญิงมายุยงหญิง ให้ถอนตัวจากหลวงเสนาภักดี
ไม่ยอมเป็นภรรยา จะสมัครคืนไปกับบิดามารดา หลวงเสนาภักดีก็ยอมปล่อย
บิดามารดาจึงเอาเงินค่าตัวมาส่งหลวงเสนาภักดี แล้วรับตัวหญิงไปไว้
ไม่ช้าก็ไปบอกขายให้ผู้อื่นยอมยกหญิงนั้นให้เป็นภรรยาผู้อื่น
หญิงนั้นไม่สมัครมาร้องทุกข์
จะขอกลับคืนมาเป็นภรรยาหลวงเสนาภักดี หลวงเสนาภักดีก็ยอมใช้เงินแรงกว่าค่าตัวเดิม
แต่ยังน้อยกว่าจำนวนเงินที่บิดามารดาขืนใจบุตรไปขายให้ผู้อื่น
ความเรื่องนี้ก็ได้โปรดตัดสินให้ตามใจหญิงแลหลวงเสนาภักดี ไม่ยอมให้ตามใจบิดามารดา
แลชายซึ่งจะเข้ามาเป็นเจ้าของใหม่
ความสองเรื่องนี้โปรดตัดสินให้ตามหญิงแลชายที่รักใคร่กัน
ไม่ตามใจบิดามารดา ชะรอยคนบางจำพวกที่มีคดีของตัว
ที่ตัวสำคัญว่าคล้ายกับเรื่องสองเรื่องนี้ แต่ได้ถูกตัดสินไปอย่างอื่นแต่ก่อนแล้ว
จะมาบ่นหรือคิดว่าทรงตัดสินความต่างๆ ครั้งก่อนไม่เหมือนกัน
การนั้นทรงพระราชดำริทราบแล้วว่า จะมีผู้ว่าอย่างนั้นจะคิดอย่างนั้น
ขอให้ผู้สังเกตคดีถ้อยความพิจารณาดูให้ละเอียด ซึ่งทรงตัดสินต่างๆ ไปนั้น
ตามบรรดาศักดิ์ชาติตระกูลของหญิงแลชาย แลเกี่ยวข้องในที่สูงที่ต่ำ
มีที่กำหนดผิดกันอยู่จึงทรงตัดสินยักเยื้องไป
ชักเรื่องเทียบให้เห็นว่า แต่ก่อนนี้ไป
นายไทยมหาดเล็ก ซึ่งแต่ก่อนเป็นนายรองชิด บัดนี้เป็นขุนนครเกษมศรี
รองปลัดกรมกองตระเวนขวา แต่เถ้าแก่ไปขอทรัพย์บุตรพระยาเทพอรชุน เป็นภรรยา
ได้ปลูกหอปลูกเรือนอยู่ด้วยกัน แล้วได้ให้ท้าวสมศักดิ์นก
พาทรัพย์เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทข้างใน
ได้พระราชทานเงินตราให้ทรัพย์เมื่อเวลาเข้าไปเฝ้าบ้าง
ครั้นภายหลังทรัพย์กับนายรองชิดโกรธขึ้งขุ่นเคืองกัน
นายรองชิดมาอยู่บ้านเดิมไปมาหาสู่ทรัพย์แต่ห่างๆ
ภายหลังทรัพย์มีชู้กับพันสรสิทธิ์ปั่น ในกรมพระตำรวจ
แลเมื่อพระยาเทพอรชุนไม่ได้อยู่บ้าน
ไปราชการมณฑลนครศรีธรรมราช นายรองชิดไปหาทรัพย์
จับได้พันสรสิทธิ์ปั่นชายชู้ในที่นอน เถียงไม่ได้
นายรองชิดเห็นว่าทรัพย์เคยได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงรู้จักอยู่
จึงนำความนั้นกราบทูบพระกรุณา จึงมีพระบรมราชโองการให้ลูกขุนปรับชายชู้ตามศักดินานายรองชิด
เสร็จแล้วหญิงสมัครจะไปอยู่กับชายชู้ ชายชู้ก็สมัครจะรับไป
เพราะได้เสียเบี้ยปรับมากแล้ว มีพระบรมราชโองการดำรัสว่า
ทรัพย์เป็นบุตรขุนนางมีบรรดาศักดิ์ ไม่เป็นหญิงบุตรบิดามารดาสามัญเสมอราษฎร
จะโปรดให้เป็นไปตามใจสมัครทรัพย์และชายชู้ของทรัพย์ไม่ได้
พระยาเทพอรชุนบิดาของทรัพย์ก็ไปราชการอยู่ไกล ภายหลังเกิดความเรื่องนี้ขึ้น
พระยาเทพอรชุนจะว่าอย่างไรก็ยังไม่ทราบ
จึงโปรดให้หาตัวนายพิศาลหุ้มแพรในพระบวรราชวัง
แลบุตรพระยาเทพอรชุนที่เป็นมหาดเล็กหลายนายมาแล้ว มีพระบรมราชโองการดำรัสถามว่า
ทรัพย์บุตรพระยาเทพอรชุนนอกใจนายรองชิดผู้ผัว ยอมให้พันสรสิทธิ์ทำชู้จนนายรองชิดผู้ผัวจับได้
บัดนี้ชายชู้ก็เสียเบี้ยปรับเสร็จแล้ว ตัวทรัพย์จะสมัครไปอยู่กับชายชู้
ญาติพี่น้องจะยอมให้หรือไม่ คาดเห็นว่า พระยาเทพอรชุนจะยอมยกให้ชายชู้หรือไม่
บุตรพระยาเทพอรชุนทุกนายกราบทูลพระกรุณาว่าไม่ยอม
คาดใจพระยาเทพอรชุนว่าเห็นจะไม่ยอมให้ไปคบกับชายชู้
จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้มอบตัวทรัพย์ให้นายพิศาลพี่ชายของทรัพย์รับตัวทรัพย์ไปจำไว้คอยท่าพระยาเทพอรชุน
การต่อไปข้างหน้าสุดแต่พระยาเทพอรชุนผู้บิดา
อนึ่งกฎหมายเก่าว่าผัวเมียหย่าร้างกันแยกย้ายกันไป
บุตรชายให้ได้แก่มารดา บุตรหญิงให้ได้แก่บิดา
กฎหมายบทนี้มีพระบรมราชโองการดำรัสว่า
ให้ใช้ได้แต่ในบุตรของบิดามารดาที่เป็นศักดิ์ต่ำ
ก็ถ้าว่าบุตรของบิดามารดาที่เป็นศักดิ์สูงศักดินากว่า ๔๐๐ ขึ้นไปให้ตามใจบิดา
ถ้าบิดาไม่รับเลี้ยงขับไล่บุตรเสียด้วย บุตรจึงตกเป็นของมารดา
ถ้าบิดารักชาติตระกูลยศศักดิ์อยู่ ไม่ยอมให้ไปกับมารดา บุตรก็ต้องเป็นของบิดาหมด
ด้วยนัยนี้ ถ้าในบางที่บางคราว หญิงที่มีศักดิ์สูงจะไปได้ผัวไพร่มีบุตรเกิดด้วยกัน
บุตรนั้นก็ต้องเป็นของมารดา หรือของตาแลญาติข้างมารดาหมดตามบรรดาศักดิ์ เมื่อตัดสินดังนี้
จะว่าเข้าข้างผู้ดีข่มขี่ไพร่เกินไปก็ตาม
แต่เห็นว่าผู้ดีมีบรรดาศักดิ์เป็นอันมากจะเห็นชอบด้วย ถ้าจะไม่ตัดสินอย่างนั้น
จะว่าไปตามกฎหมายเก่าก็จะเป็นที่เสียใจแก่ผู้มีบรรดาศักดิ์มากนัก
ชักเรื่องว่ามาทั้งนี้จะให้เห็นหลักความที่ทรงพระราชดำริแล้วตัดสิน
อย่างความบางเรื่องคล้ายๆ กับความที่ร้องฎีกาสองเรื่องนี้
คือผู้หญิงสมัครจะไปอยู่กับผู้ชาย ผู้ชายก็สมัครจะรับ
แต่ญาติพี่น้องของหญิงเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์สูงเขาไม่ยอมเลย
ก็ในความเรื่องนั้นตามรูปความก็ควรจะทรงตัดสินให้ตามใจหญิงสมัคร
เหมือนกับความฎีกาสองเรื่องนี้
ท่านทั้งหลายเป็นอันมาก
ที่ไม่ได้มาพิจารณาการให้ละเอียด ก็ดูเหมือนจะเห็นไปอย่างนั้นด้วย
แต่เมื่อพิเคราะห์ให้ละเอียดไป ระลึกดูการแต่หลังมา
เห็นว่าหญิงในตระกูลนั้นไม่เคยตกไปเป็นภรรยาผัวที่ต่ำศักดิ์เสมอกับชายที่หญิงนั้นรักนั้นเลย
ชายคนนั้นมักใหญ่ใฝ่สูงเอื้อมเข้าไปสมคบกับหญิงในตระกูลสูงเช่นนั้น
เป็นที่แปลกใจคนในตระกูลนั้นทั้งสิ้น ถ้าจะตัดสินให้ตามใจหญิงแล้ว
คนในตระกูลนั้นทั้งสิ้นเขาคงคิดว่าผู้ครองแผ่นดินลดศักดิ์ตระกูลเขาให้ต่ำไป
ตัวอย่างจะเป็นที่เขาเสียใจไม่รู้หาย
ถึงจะบังคับชายให้เสียเบี้ยละเมิดให้แก่เขาตามกฎหมาย อย่าว่าเลย
ถึงจะเสียให้เขาสัก ๑๐๐ ชั่งเป็นเบี้ยปรับ
เขาก็ลั่นวาจาว่าไม่ยอมยินดีรับเป็นอันขาดทีเดียว
อนึ่งถ้าจะตัดสินให้ชายหญิงคู่นั้นได้อยู่ด้วยกันตามสมัครรักใคร่กันแล้ว
ผู้ตัดสินก็ดูเป็นโง่งมนักไม่รู้เท่ารู้ทันคนเสียคมเสียคาย
ถูกหลอกถูกลวงกล้ำกรายเข้ามาในพระราชวัง โทษเสมอขบถแต่แผ่นดินเก่ามาจนแผ่นดินใหม่
ก็จะเป็นอันไม่รู้เท่าอ้ายขบถเสียการที่ปรากฏว่าไม่รู้เท่านั้น
จะเป็นที่จะให้คนลามๆ ต่างๆ เดินทางนั้นมาลูยลายพระราชฐานต่อไปในภายหน้า
จึงประกาศมาขอให้ผู้มีปัญญาตริตรองดู
แต่ความสามัญในโรงศาลในกรุงแลหัวเมืองทั้งปวง
ให้ตุลาการพิจารณาสังเกตตระกูลหญิงตระกูลชาย
แลเปรียบเทียบให้คล้ายกับกระแสพระราชดำริ ก็ซึ่งถือลัทธิว่าชายถูกต้องหญิงแล้ว
ก็เชื่อว่าเป็นเมียนั้นใช้ไม่ได้ ให้บังคับตามใจสมัครในตระกูลหญิงที่ต่ำ
แลตามใจบิดามารดาพี่น้องหญิงในตระกูลที่สูงศักดิ์ ตามบังคับนี้เถิด
วิสัยตระกูลต่ำมีแต่คิดจะหาเงินหาทอง
ย่อมข่มขืนบุตรหลานของตัวแล้วเอาไปขายไปให้
ให้ไปต้องทนยากอยู่ในที่ที่ตัวจะได้เงินได้ทองมาก
แต่บุตรไม่ควรที่จะต้องยากเพราะบิดามารดา จึงต้องตัดสินให้ตามใจบุตรสมัคร
ประการหนึ่ง หญิงก็ไม่ควรจะสึกหรอมากไปหลายแห่ง ในตระกูลต่ำ
ถ้าตัดสินให้เป็นของบิดามารดาแล้ว
ก็จะทำให้สึกหรอมากไปดังเช่นเป็นในความฎีกาสองเรื่องนี้
ก็ในตระกูลสูงโดยว่าหญิงพลัดไปสึกหรอในสถานที่ต่ำ
เป็นที่อับอายขายหน้าแก่ญาติพี่น้อง
ก็เมื่อคืนมาให้ญาติพี่น้องถึงต้องสึกหรอเป็นสองซ้ำสามซ้ำ ญาติพี่น้องทั้งปวงคงจะไม่ยอมให้ไปสึกหรอในตระกูลต่ำ
โดยจะต้องสึกหรอเขาคงจะให้ไปสึกหรอในที่มีศักดิ์สูงเป็นที่ยำเยงกลัวของคนเป็นอันมาก
คนทั้งปวงเกรงใจไม่ออกปากพูดถึงความเรื่องนั้นได้ ก็เป็นอันแก้อายให้หายไปโดยลำดับ
เพราะจะทำคนทั้งหลายให้ลืมความนั้นเสีย
ประกาศมา ณ วันจันทร์ เดือนยี่ ขึ้น ๑ ค่ำ
ปีฉลูสัปตศก ศักราช ๑๒๒๗ หรือเป็นวันที่ ๕๓๓๒ ในรัชกาลปัตยุบันนี้
จะเห็นได้ว่า พระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยที่ยุติธรรมยิ่ง พูดอย่างชาวบ้านก็คือ ตัดสินได้เป็นธรรมทุกด้าน ทรงตัดสินด้วยมุมมองที่ก้าวหน้าล้ำยุค ทรงให้ความสำคัญกับสิทธิสตรีทั้งๆที่ในยุคนั้นสตรีแทบไม่มีสิทธิไม่มีเสียงอะไรเลย การตัดสินของพระองค์ยังทรงคำนึงถึงความยุติธรรมของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย มิได้ตัดสินลำเอียงเข้าข้างใครเลย
ประกาศพระราชบัญญัติลักพา จาก www.fusionkm.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น