กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว..โดย ท.เลียงพิบูลย์
เรื่องที่ ๓
สิ่งหนึ่งในน้ำใจโจร
เมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒
เล็กน้อย
มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอย่างไม่รู้จักลืมเลย
ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่าในวันนั้นเราได้นัดเพื่อนฝูงทางจังหวัดลพบุรีรวมด้วยกันทั้งข้าพเจ้าเป็นสามคน ข้าพเจ้าได้จดหมายนัดไปเพื่อนฝูงทางจังหวัดลพบุรี เราจะขึ้นไปเที่ยว โดยกำหนดวันแน่นอน
เวลานั้นทางสายนี้เปิดขึ้นใหม่ๆ
เป็นทางยาวที่สุดเพียงสายเดียวคือ
กรุงเทพฯ – ลพบุรี
ครั้นถึงกำหนดเวลาจะเดินทางไปจริงๆเข้า
เพื่อนทั้งสองที่นัดไว้เผอิญติดธุระสำคัญไปด้วยไม่ได้ ไม่มีทางจะแก้ไขอย่างไรได้ นอกจากจะเลือกเอาว่าจะไปหรือไม่ ถ้าไปก็ต้องไปคนเดียว
แต่ถ้าไม่ไปเพื่อนทางลพบุรีก็จะประณามได้ว่าเป็นคนเล่นตลก ตกลงเลือกเอาว่าไปคนเดียวดีกว่า ไม่อยากให้เสียคำพูด เพราะจะไปนัดเพื่อนคนอื่นๆก็ไม่มีเวลาพอ จึงขับรถออกจากกรุงเทพฯไปคนเดียวแต่เช้ามืด โดยรู้สึกไม่สนุกและเงียบเหงา แต่เพื่อรักษาคำพูด
เวลานั้นระยะทางจากกรุงเทพฯถึงลพบุรี ทางไม่ค่อยจะสะดวกนัก
บางแห่งถนนก็ไม่เรียบร้อย
แต่ข้าพเจ้าก็ได้ขับรถไปถึงลพบุรีโดยเรียบร้อย เวลาก่อนเพล
ได้รับการต้อนรับจากเพื่อนผู้มีใจอารีทางลพบุรีเป็นที่พอใจที่สุด มีการพาไปชมสวนสัตว์ ชมสถานที่ต่างๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ พอบ่ายประมาณ
๑๕.๐๐ น.
เพื่อนก็เตือนให้กลับ
เพราะระยะทางระหว่างเขาแถวพระพุทธบาทมีช้างป่าโทนตัวหนึ่งกำลังอาละวาดในย่านนั้น ก่อนกลับข้าพเจ้าถือโอกาสไปเยี่ยมร้านขายของที่เคยติดต่อการค้า มีร้านหนึ่งเจ้าของผู้จัดการขอชำระหนี้สินที่ค้างอยู่มาด้วย
ซึ่งข้าพเจ้าเองก็มิได้นึกฝันว่าจะได้เงินรายนี้
เพราะเพิ่งจะได้ส่งสินค้าไปยังไม่ทันถึงกำหนดจ่ายเงิน
จึงจำเป็นต้องรับเงินจำนวนมากนี้ซึ่งเป็นธนบัตรปลีกย่อยส่วนมาก ต้องใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อ ซึ่งเมื่อห่อเข้าแล้วมีขนาดห่อไม่เล็กเลย ข้าพเจ้าวางทิ้งไว้บนเบาะหลังรถ เพื่อมิให้ใครสงสัยว่ามันเป็นธนบัตรอันมีค่า
เวลาผ่าน
๑๕.๐๐ น. ไปเล็กน้อย
ข้าพเจ้าก็ได้ลาเพื่อนผู้อารีและผู้ที่เคยคิดติดต่อการค้าเพื่อกลับกรุงเทพฯ ไม่อยากให้ค่ำในระหว่างระยะทางกับเขตตำบลพระพุทธบาท ด้วยเกรงจะพบกับช้างโทนเข้า ข้าพเจ้ามีปืนพกออโตเมติก ๙ มม.
กระบอกหนึ่งไปด้วย
รู้สึกว่าอุ่นใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะหากพบกับพ่อช้างโทนตัวนั้นเข้า
ปืนก็ไม่มีความหมายอะไรเลย นอกจากจะยิงขู่ขึ้นฟ้าให้มันหนีไป ถนนระยะนี้ไปไม่สะดวกนัก ฉะนั้น กว่าจะถึงสระบุรีก็ประมาณ ๑๗.๐๐ น. แล้ว
ข้าพเจ้าหยุดพักเติมน้ำมัน
แวะตลาดสระบุรี รู้สึกโล่งใจที่ได้ผ่านดงช้างโทนตัวนั้นมาได้พบชายผู้หนึ่งแต่งตัวเป็นชาวชนบท เดินเข้ามาหาในร้านอาหารและถามข้าพเจ้าว่า
“คุณครับ คุณจะไปทางไหน”
ข้าพเจ้าตอบว่า
“จะกลับกรุงเทพ”
แกบอกอีกว่า
“ผมอยากจะขอโดยสารไปด้วยคน
เพราะมันเย็นมากแล้ว
ไม่มีรถไปอีก ผมมีความจำเป็นจะต้องกลับบ้านจริงๆครับ คุณนึกว่ากรุณาผมเอาบุญเถิด”
“ตกลงจ้ะ พ่อลุง
ยินดีที่จะได้เป็นเพื่อนคุยกัน
ผมก็มาคนเดียวเท่านั้น
ขอเชิญรับประทานอาหารด้วยกัน เสร็จแล้วจะได้ออกเดินทางเลย”
ครั้งแรกแกไม่ยอมที่จะรับประทานอาหารร่วมกับข้าพเจ้า แต่ภายหลังเสียอ้อนวอนข้าพเจ้าไม่ได้ แกก็เลยรับประทานด้วย นอกจากอาหารแล้วข้าพเจ้าได้สั่งสุรามาให้แกเป็นพิเศษ
ส่วนข้าพเจ้านั้นไม่ดื่มสุราและสังเกตดูแกออกจะระวังตัวสักหน่อย สุราที่สั่งมาแกก็ไม่ค่อยจะรับประทานนัก ทั้งนี้แกอาจเกรงใจข้าพเจ้าก็เป็นได้
สำหรับจิตใจข้าพเจ้านั้นไม่เคยนึกรังเกียจอย่างไร เมื่อเรารับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าชำระค่าอาหารเสร็จก็ชวนแกขึ้นรถ แกรีบขนสิ่งของของแก ชะลอม
๑ ใบกรุด้วยใบตองสดมิดชิด เข้าใจว่าเป็นผลไม้ มีห่อกระดาษอีก ๑
ห่อ และถุงผ้าใบอีก ๑ ถุง คงเป็นเครื่องใช้ ดูแกเกรงใจข้าพเจ้ามาก
ข้าพเจ้าให้แกนั่งข้างหน้าด้วยกัน
เราได้คุยกันถึงดินฟ้าอากาศ
เห็นว่าแกมีความรู้รอบตัวไม่แพ้คนในกรุง
การคุยกันนั้นทำให้รู้สึกสนิทสนมมากขึ้น
ตอนหนึ่งแกเอ่ยขึ้นว่า
“ผมรู้สึกชอบนิสัยคุณ
คุณไม่เหมือนคนชาวกรุงบางคน
บางคนถือตัวมาก
นี่ผมไม่ได้ยกยอคุณ
เพราะคุณเลี้ยงอาหารผม
หรือให้ผมนั่งรถโดยสารมาด้วย
นี่ผมพูดถึงความรู้สึกในจิตใจของชาวบ้านนอกทั่วๆไปนะครับ ผมพูดตามความจริงใจไม่ยกย่องใคร คุณไม่เหยียดหยามใครประเดี๋ยวผมก็จะถึงที่ที่ผมจะลงแล้ว จะพบกันอีกหรือไม่ก็ไม่ทราบ หรือเราอาจจะไม่ได้พบกันตลอดชีวิต
ก็เพราะเราเดินกันคนละทาง”
ข้าพเจ้ารู้สึกชอบในคำพูดของแกมาก
จึงบอกแกว่า “ไม่จริงหรอกพ่อลุง โลกมันกลม
เราอาจพบกันอีกก็ได้
ถ้าพ่อลุงพบผมในถนนสายนี้หรือสายไหนก็ตาม
หากผมไม่เห็นไม่ทันได้ทักก็ขอให้ตะโกนเรียกเลยและหวังว่าคราวหน้าคงมีโอกาสได้นั่งคุยกันอย่างนี้อีก”
แกถอนหายใจยาว แล้วพูดขึ้นด้วยเสียวเศร้า ๆ ว่า “คนเรามันอนิจจังไม่เที่ยงนะคุณ”
ข้าพเจ้าเสริมว่า
“จริง พ่อลุง
คนเรามันอนิจจังไม่เที่ยง
แต่ว่าถ้ามีลมหายใจตราบใด
เราก็ย่อมมีความหวังตราบนั้น”
“ไม่ต้องกลัว คุณเฉยๆไว้
ผมจะจัดการกับมันเอง”
ทันใดนั้น แกก็ร้องตวาดลงไปว่า “เฮ้ย..! อ้ายพวกนี้หยุด”
ฉับพลันนั้น พวกเหล่าร้ายหยุดชะงัก พ่อลุงก็เปิดประตูรถออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
จากแสงไฟหน้ารถและไฟฉายในมือของเหล่าร้าย
ทำให้เห็นหน้าพอจะจำกันได้
เหตุการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่นึกไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้น คือ พวกเหล่าร้ายนั้นเห็นหน้าชายคนที่ลงจากรถข้าพเจ้า ต่างก็ตกตะลึงและต่างก็ร้องออกมาได้คำเดียวว่า
“พี่”
เสียงพ่อลุงผู้นั้นพูดว่า “เออ..! กูเอง
พวกเอ็งจะทำอะไรคุณแกไม่ได้
จะแตะต้องอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
ยกที่กีดขวางทางออก
คุณท่านมีคุณกับข้ามาก
ข้าได้กินข้าวของท่าน
ได้อาศัยรถของท่าน เอ้าเฮ้ย..! ช่วยยกของให้ข้าด้วย”
แกพูดขาดคำ
สมุน ๒
คน ก็เปิดประตูขึ้นยกของอันเป็นสมบัติของสหายร่วมทางของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้เหลียวไปดูว่า เจ้าพวกนั้นมันจะทำอะไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่สนใจ นึกแต่ว่าเมื่อไรจะพ้นจากที่นี่ไปได้ยิ่งไปเร็วที่สุดยิ่งดี เสียงของสมุนรายงานลูกพี่ว่า
“ขนหมดแล้วพี่”
ทันใดนั้น “พ่อลุง” ซึ่งพวกเหล่าร้ายเรียกว่าพี่ก็เดินตรงมาทางข้าพเจ้า พูดอย่างสุภาพ
“ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณตกใจ
และขอบใจคุณมากที่เลี้ยงอาหารและให้โดยสารรถ ขอให้คุณเดินทางโดยความปลอดภัยเถิด ผมขอลาที่ตรงนี้แล้ว”
ข้าพเจ้าโล่งใจถนัด พลางกล่าวขอบใจอำลาแก เข้าเกียร์หนึ่งเร่งเครื่องยนต์ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตะโกนอีก
“คุณครับ หยุดก่อน”
พอข้าพเจ้าห้ามล้อหยุด ในใจนึกว่ามันเรื่องอะไรกันอีก เมื่อไรจะไปพ้นจากแดนนรกนี้เสียที
ทันใดนั้นพ่อลุงก็เดินถือห่อกระดาษหนังสือพิมพ์พลางส่งให้ข้าพเจ้า แล้วพูดว่า
“อ้ายเด็กมันไม่รู้มันขนของคุณลงไปด้วย
ผมต้องขอโทษ เอาล่ะ ขอให้คุณเดินทางโดยปลอดภัยนะครับ”
ข้าพเจ้ากล่าวขอบใจแก
แล้วเอาห่อธนบัตรคืนมา
มองดูห่อนั้นเวลานี้อยู่ในสภาพไม่สู้จะเรียบร้อย เพราะกระดาษมีรอยขาดออกบางตอนทำให้มองรู้ว่าเป็นธนบัตร มีสีเขียวๆแดงๆแลบออกมา ข้าพเจ้าไม่ได้พิจารณาอะไรอีก
เมื่อรับจากมือแกก็โยนลงเบาะข้างหลังทำให้กระดาษขาด เชือกที่ผูกไว้ก็ไม่สามารถคุมให้เป็นระเบียบได้
ธนบัตรเหล่านั้นก็แตกกระจายอยู่บนเบาะข้างหลังรถ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาใจใส่ว่า มันจะอยู่ในสภาพอย่างไร
เร่งเข้าเกียร์เหยียบน้ำมันวิ่งเข้ากรุงเทพฯ
ทิ้งพวกสมุนและชายนั้นไว้เบื้องหลังในความมืด ภายหลังเมื่อถึงบ้านแล้ว ปรากฏว่าเงินจำนวนนั้นไม่ขาดหายไปเลยจนบาทเดียว
ตราบกระทั่งทุกวันนี้ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าหัวใจสั่น สั่นไปด้วยเหตุสองประการคือ หวาดเสียวต่อภัยอันตราย แต่ที่มันฝังลึกลงในความรู้สึกของข้าพเจ้านั้นก็คือ คุณธรรมอันสูงส่งของชายผู้รับสมญาว่า “พี่” ของหมู่โจร เพียงข้าวหนึ่งมื้อกับการให้โดยสารรถ แกก็ตอบแทนข้าพเจ้าด้วยความกตัญญูกตเวที อันเป็นคุณธรรมสูงล้ำค่ากว่าสิ่งทั้งหลาย และสิ่งนี้ท่านคิดหรือว่าจะเป็นของหาง่ายในน้ำใจคน
อย่าว่าแต่ฝูงโจรเลยแม้ที่เรียกว่าผู้เจริญแล้วด้วยการศึกษาอย่างปัจจุบันนี้
จบเรื่องที่ ๓
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
และขออุทิศแด่ ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรรกรรมอิงธรรมะชุดนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น