เรื่องที่ ๑
ทานชีวิต
เมื่อก่อนหน้า พ.ศ. ๒๔๙๕ เล็กน้อย
ข้าพเจ้ามีกิจธุระทางถนนเยาวราช
ได้เดินผ่านไปแถวเจ็ดชั้น
บังเอิญสายตามองไปเห็นคนมุงดูอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นคนอยากรู้อยากเห็น จึงเดินไปชะโงกดูกับเขาบ้าง ก็ได้ทราบว่า
จีนขายเต่าคนหนึ่งกำลังอธิบายเรื่องเต่าเป็นภาษาจีน
ข้าพเจ้าถามจีนที่ยืนอยู่ก่อนว่าเขาพูดอะไรในเรื่องเต่า เพราะมองเห็นเต่าตัวหนึ่งนอนหงายอยู่กับพื้นซีเมนต์หน้าร้านค้านั้น ที่ตัวมีอักษร
เข้าใจว่าถูกจารึกลงไว้ด้วยเหล็กแหลม
จีนผู้ถูกถามนั้นคงจะพูดไทยไม่ได้มากนัก เพียงแต่ว่า “เต่าพะๆ” ข้าพเจ้าชักสงสัยที่จีนคนนั้นเรียกเต่าพะ จึงแหวกคนเข้าไปดูเต่าที่ตัวหงายท้องอยู่
เต่าตัวนั้นเป็นเต่าขนาดกลางที่ท้องจารึกเป็นตัวอักษรอยู่เต็ม ข้าพเจ้าจึงขอจีนหยิบออกมา แหวกคนให้แสงสว่างส่องเห็นตัวอักษรชัดเจนขึ้น
จึงเห็นได้ว่าตัวอักษรนั้นบางตัวเลือนรางเต็มที แต่ก็ยังพอจะอ่านได้มีใจความว่า
“ถ้าผู้ใดพบเต่าตัวนี้อย่าได้ฆ่า
โปรดกรุณานำมาให้ที่บ้านเลขที่……….ถนน………ตำบล…………… ถ้าผู้ใดรู้แล้ว ทำอันตรายเต่าตัวนี้ จงประสบภัยวิบัติทั้งปวงด้วย”
เมื่อข้าพเจ้าทราบข้อนั้นแล้ว จึงได้บอกกับจีนเจ้าของเต่าว่าควรจะนำเต่าตัวนี้ไปให้เจ้าของเดิม ตามตำบลบ้านที่จารึกอยู่บนท้องเต่านี้ คงจะได้รับรางวัลค่าป่วยการอย่างแน่นอน
และได้พยายามอธิบายให้ฟังแต่รู้สึกว่าจีนผู้ขายเต่าตัวนั้นไม่ค่อยสนใจ เขาอยากจะขายเต่าตัวนี้ให้พ้นๆไปเท่านั้น ซ้ำยังบอกว่าไปไกลและยังไม่รู้ว่าจะพบบ้านหรือไม่
ถ้าหากพบแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้รางวัลคุ้มกันหรือเปล่า เมื่อไม่มีใครซื้อจริง ๆ
เขาก็จะนำไปฆ่ากินเอง
เขาว่าได้เต่ามาหลายตัว
ทุกตัวขายไปหมดเหลือแต่ตัวนี้
คนซื้อเห็นเป็นเต่าประหลาดมีตัวอักษรอยู่ในตัว ชาวจีนจึงไม่กล้าซื้อไปกิน
เมื่อข้าพเจ้าชี้แจงให้คนขายนำไปให้เจ้าของเดิมไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าคิดว่าควรซื้อเสียเองแล้วปล่อยลงน้ำไปดีกว่า
เมื่อคิดแล้วก็ตกลงรับซื้อเต่านั้นไว้เป็นมูลค่า ๓๐ บาท
รู้สึกว่าจีนผู้ขายเต่านั้นยินดีมากที่ขายเต่าตัวนั้นไปได้ เมื่อซื้อแล้วนำมาบ้าน คนทางบ้านข้าพเจ้าต่างพากันแปลกใจ นึกว่าข้าพเจ้าคงจะทำการปาณาติบาตแน่ ข้าพเจ้าจึงได้อธิบายให้ฟังจนหายความเข้าใจผิด
ต่อไปนี้ก็เป็นปัญหาที่ข้าพเจ้าจะนำไปปล่อยที่ไหนดี จะไปปล่อยที่บ่อในบ้าน ในวัด หรือแม่น้ำ ซึ่งจะเป็นปลอดภัย เมื่อขบปัญหานี้ไม่ตก จึงคิดว่าควรนำไปให้ท่านเจ้าของเดิมดีกว่า
ต่อมาอีกวันหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็ได้นำเต่าตัวนั้นตรงไปยังบ้านที่จารึกไว้ การหาบ้านไม่ยากนักเพราะได้ปรากฏแจ้งชัดอยู่แล้ว
ลักษณะบ้านนั้นรู้สึกว่าท่านเจ้าของบ้านเป็นผู้มีอันจะกินผู้หนึ่งในย่านนั้น เมื่อข้าพเจ้ากดกริ่งหน้าบ้านสักครู่หนึ่ง
ก็มีเด็กหญิงรุ่นผู้หนึ่งออกมาเปิดประตูถามว่ามาหาใคร ข้าพเจ้าบอกว่ามาหาเจ้าของบ้าน
เด็กผู้นั้นพาข้าพเจ้าไปรออยู่ในห้องรับแขก สักครู่หนึ่งท่านเจ้าของบ้านก็เดินเข้ามา ข้าพเจ้ามองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า ท่านเป็นคนมีสง่าและใจดีสมกับเป็นผู้มีเมตตาสัตว์ ตามลักษณะสังเกตได้ว่าเคยเป็นผู้มีอำนาจวาสนามาก่อน ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นทำความเคารพทันที ท่านกล่าวขอโทษที่ทำให้ข้าพเจ้านั่งรอช้าไปหน่อย เพราะท่านกำลังให้ปุ๋ยต้นไม้อยู่หลังบ้าน แล้วท่านกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า มีอะไรที่จะให้ท่านช่วยเหลือบ้าง
ข้าพเจ้าถามว่า
“ท่านเคยทำบุญปล่อยเต่าบ้างไหมครับ”
ท่านตอบทันที
ไม่เหมือนคนมีอายุมากบางคนว่า
“เคยครับ เคยเมื่อ ๔-๕ ปีมานี้เอง
มีจีนนำเอาเต่ามาเที่ยวเดินขายผมสงสารเลยซื้อไว้ และได้จารึกหนังสือแล้วก็ปล่อยไป ผมคิดว่าถ้าปล่อยไปตามธรรมดาแล้ว มันคงไปไม่ได้นานคงมีคนจับได้อีก แล้วก็คงไม่พ้นถูกฆ่า เพื่อคุ้มครองให้มันมีชีวิตยืนยาวต่อไป จึงได้จารึกอักษร แล้วนำไปปล่อยที่ท่าน้ำหน้าวัด”
ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟังว่า ได้ไปพบและซื้อจากจีนคนหนึ่งทางเยาวราช เดิมทีก็จะนำไปปล่อย แต่มาคิดได้ว่า ท่านผู้เป็นเจ้าของคงอยากทราบว่า เต่าตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
และถ้ามันรู้ภาษา มันก็คงอยากพบท่านผู้มีคุณของมันเป็นแน่ เมื่อสนทนากันพอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าก็กลับออกมานำเต่าออกจากรถ
เห็นมันกำลังคลานต้วมเตี้ยมหาทางออกอยู่ เมื่อท่านเจ้าของบ้านได้พบมันแล้ว สังเกตเห็นว่าท่านดีใจมาก
ท่านหยิบขึ้นดูสักครู่ก็เรียกคนใช้นำไปเลี้ยงไว้หลังบ้านก่อน ภายหลังจะนำไปปล่อย
จากนั้นท่านก็พยายามที่จะนำมูลค่าที่ข้าพเจ้าได้ซื้อมาจากจีนนั้นมาให้ ข้าพเจ้าจึงเรียนให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าไม่ขอรับมูลค่าใดๆทั้งสิ้น ท่านขอบอกขอบใจข้าพเจ้ามาก เมื่อสนทนากันไป ข้าพเจ้ากราบลาท่าน รับพรด้วยความเคารพแล้วก็เดินออกจากบ้าน ขณะที่จะก้าวออกประตูก็พอดีเด็กหญิงซึ่งมาเปิดประตูครั้งแรกวิ่งมาร้องบอกว่า
ท่านขอเชิญให้ข้าพเจ้ากลับเข้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อข้าพเจ้าหวนกลับเข้าไปอีก ท่านเจ้าของบ้านได้บอกว่า
“ผมอยากจะให้ของคุณไว้เป็นที่ระลึกสักอย่างหนึ่ง” ท่านพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คนอย่างคุณเวลานี้คงหาไม่ได้ง่ายนัก ผมรักคุณมาก รักน้ำใจคุณ แม้เราจะพบกันเวลาชั่วเพียงเล็กน้อย ผมก็อ่านคุณออกเพราะฉะนั้น ผมขอมอบพระองค์นี้ให้คุณไว้บูชาเป็นที่ระลึก” แล้วท่านก็มอบห่อให้ข้าพเจ้าห่อหนึ่ง ข้าพเจ้ากราบท่านด้วยความเคารพอย่างจริงใจ
“คุณนำไปบูชา จะป้องกันภัยต่าง ๆ
ได้
ตลอดจนอัคคีภัยด้วยเป็นของเก่าหาได้ยากแล้วในสมัยนี้”
เมื่อข้าพเจ้ากลับถึงบ้านแล้วแก้ห่อออก
ก็เห็นพระพุทธรูปเก่าแก่องค์หนึ่ง
ข้าพเจ้าได้นำไปตั้งไว้บนที่บูชาที่หัวนอน
ต่อจากนั้นประมาณ
๑ ปี คืนหนึ่ง หลังจากข้าพเจ้ากลับมาบ้านได้นำรถเข้าโรงเรียบร้อยก็เข้านอนตามปกติ ประมาณราว ๒ นาฬิกาของวันใหม่
ข้าพเจ้าต้องตกใจลุกขึ้นทันทีเพราะมีเสียงมากระซิบที่หู
“ลุกขึ้น..! ไฟกำลังไหม้โรงรถ ลุกขึ้น..!
ไฟกำลังไหม้โรงรถ”
ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นเปิดไฟดู ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในห้องสักคนหนึ่ง ประตูหน้าต่างก็ลงกลอนเรียบร้อย เมื่อนึกขึ้นได้
ข้าพเจ้ารีบวิ่งไปที่โรงรถก็ได้กลิ่นสายไฟไหม้คล้ายกับเคี่ยวยางมะตอยลาดถนน ข้าพเจ้ารีบเปิดประตูรถเข้าไปทันที เห็นแสงไฟแลบออกมาจากกระโปรงเครื่อง ข้าพเจ้ารีบกระโดดขึ้นไปสตาร์ทเครื่อง เคราะห์ดีเครื่องติด แล้วรีบถอยรถออกไปกลางสนามหญ้าหน้าบ้าน จากนั้นก็เอากระสอบข้าวเก่า ๔-๕ ใบ
เปิดฝากระโปรงออก
ใช้กระสอบข้าวฟาดแล้วคลุมไว้จนดับ
กว่าจะเรียบร้อยข้าพเจ้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทบแย่
เหตุการณ์นี้ คนในบ้านไม่มีใครทราบเรื่องและตื่นเลย เพราะตั้งแต่เริ่มจนดับ ข้าพเจ้าไม่ได้พูดหรือร้องเรียกใครช่วยสักคำเดียว
เหตุการณ์จึงผ่านไปและยังความปลอดภัยแก่ข้าพเจ้าอย่างน่าพิศวง ข้าพเจ้าได้รอดพ้นภัยพิบัติได้ด้วยอะไร ถ้าไม่เกี่ยวกับอานิสงส์แห่งทานชีวิตที่ได้บำเพ็ญโดยมิได้หวังผลตอบแทนอย่างใดเลย
จบตอนที่ ๑
ความดีงามจงบังเกิดอยู่กับท่านผู้อ่าน
และมอบอุทิศแด่ ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
เรื่องเต่านี้ผมได้เคยอ่านในหนังสือกฏแห่งกรรมเมื่อครั้งยังเป็นเด็กๆ เป็นหนังสือเล่มใหญ่แลหนามากๆ จําเรื่อง"เต่าพะ" นี้ได้ และอีกเรื่องที่เกี่ยวกับลุงแก่คนนึงที่ฆ่าเพื่อนรักที่ชื่อสาย(ผลักตกนํ้า) และได้มีอายุยืนจนแก่เพื่อที่ชดใช้กรรมตัวเอง. หนังสือกฏแห่งกรรมนี้มีคุญค่ามากๆที่ทําให้คนตระหักถึงบาปบุญคุญโทษที่โลกนี้นับวันจะมีน้อยคนนักที่เชื่อ , ฝรั่งเรียกว่าKarma
ตอบลบ