เรื่องที่ ๕
ปัญหาชีวิต
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าต้องประสบกับปัญหาอันใหญ่ยิ่ง
มันเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความลังเลจนไม่อาจตัดสินใจลงไปได้
แม้ว่าจะไม่ใช่ปัญหาที่ลึกซึ้งหรือสลับซับซ้อนจนมองไม่เห็น ความจริงเป็นกรณีง่ายๆ ซึ่งเกือบจะไม่ต้องใช้สติปัญญา หรือความรู้ความสามารถอะไรเลย
แต่ทว่ามันก่อความกังวลใจอย่างหนักให้ข้าพเจ้าตลอดเวลา
ทั้งนี้ก็เพราะมีบุคคลผู้หนึ่งมาติดต่อขอร้องให้ข้าพเจ้ากระทำการสิ่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นงานอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของข้าพเจ้าเอง และจะสำเร็จได้โดยไม่ยากเย็น ถ้าหากข้าพเจ้าจะตัดสินใจกระทำลงไป
บุคคลผู้นั้นได้พยายามติดต่อขอร้องให้ข้าพเจ้ารับปาก พร้อมด้วยสินบนลาภก้อนใหญ่ แต่ดังที่กล่าวมาแล้วมันเป็นปัญหาอันยิ่งใหญ่ที่ข้าพเจ้ายังตกลงใจไม่ได้
จึงได้ผัดผ่อนขอเวลาตรึกตรองให้รอบครอบเสียก่อนจึงจะให้คำตอบ
จริงอยู่ ถ้าข้าพเจ้ารับปากจัดการลงไปแล้ว
การนั้นเป็นความผิดที่กฎหมายไม่อาจทำอะไรข้าพเจ้าได้ถนัดนัก แต่ทว่าข้าพเจ้าจะต้องทำลายศีลธรรม และมนุษยธรรมของตนเองลงอย่างสิ้นเชิง
โดยเหตุผลข้อหนึ่งและอาจเป็นเหตุผลข้อนี้ก็ได้
ที่ทำให้เกิดปัญหาในการตัดสินใจของข้าพเจ้า นั่นคือ
ตั้งแต่เยาว์ข้าพเจ้าได้รับการอบรมจากคุณพ่อสั่งสอนให้ทำแต่กรรมดี ให้เป็นผู้อยู่ในศีลสัตย์ ท่านกล่าวเสมอว่า ถ้าเราทำแต่ความดี จะทำให้เรามีความสุขใจไปตลอดชาติ
ถ้าเช่นนั้น
เหตุใดข้าพเจ้าจึงไม่ปฏิเสธการขอร้องนั้นเสีย ข้อนี้ขอสารภาพอย่างเปิดเผยว่า ข้าพเจ้ายังเป็นปุถุชน ไม่อาจล่วงพ้นไปจากความโลภ โกรธ
หลง ได้ และโดยเฉพาะเรื่องนี้ ถ้าหากเพียงรับปากตกลงเท่านั้น มันหมายถึงลาภก้อนใหญ่
ซึ่งสามารถเปลี่ยนฐานะของข้าพเจ้าได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว
ทั้งข้าพเจ้าเองก็มีฐานะปานกลาง ต้องทำงานเลี้ยงครอบครัว พอทำพอกิน
ไม่อยู่ในฐานะมั่งคั่งร่ำรวย
แต่ความพอของมนุษย์ในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งหายาก จิตใจของข้าพเจ้ากำลังตกอยู่ในความโลภ มีความอยากได้แรงกล้า อยากได้จำนวนเงินก้อนใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าจะไม่สามารถหาได้ในชั่วชีวิตนี้
แต่อีกส่วนหนึ่งของความรู้สึกซึ่งแฝงอยู่ในกมลสันดานนั้น
เป็นความรู้สึกที่เกิดความละอายและหวาดกลัวต่อการที่จะกระทำการดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งเลวและร้าย จะเป็นต้นเหตุย้อมจิตใจไปในทางชั่ว
เพราะคนเราได้ทำชั่วเพียงครั้งแรกครั้งเดียว ต่อไปก็เห็นความชั่วเป็นของธรรมดา
ฉะนั้น ในเมื่อจิตใจของข้าพเจ้าเพียงคนเดียวได้บังเกิดความรู้สึกนึกคิดแตกแยกออกไปเป็นหลายทาง
ในขณะเดียวกันมีทั้งความปรารถนาอยากได้อาลัยอาวรณ์ แต่ก็ไม่กล้าที่จะตัดสินใจลงไป เพราะเกิดความละอายใจ และประหวั่นพรั่นพรึงต่อความผิดความชั่ว ความรู้สึกต่างๆเหล่านั้น จึงรวมตัวกลายเป็นความทุกข์กังวลใจอย่างหนักของข้าพเจ้า ทำให้จิตใจฟุ้งซ่านไม่อาจสงบได้
เป็นความจริงอีกประการหนึ่ง
ที่คนเราเมื่อเกิดความทุกข์หรือรู้สึกกลัดกลุ้ม ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรถูก ก็มักจะนึกถึงพระเป็นที่พึ่ง
อย่างน้อยก็ไปสนทนากับท่านพอให้จิตใจสงบได้บ้าง ความกลัดกลุ้มก็คงผ่อนคลายลง ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้น
ในตอนเช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันหยุดงาน
เมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว
ก็ตรงไปที่วัดซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านนัก
เพื่อไปกุฏิท่านมหาฯ
พระภิกษุรูปนี้เป็นที่คุ้นเคยกับข้าพเจ้ามานาน เคยไปมาหาสู่ท่านอยู่เสมอ ก่อนจะถึงกุฏิท่านมหาฯ ข้าพเจ้าต้องเดินผ่านลานใหญ่ภายในวัด ทำให้หวนนึกถึงหลายปีก่อนโน้น
เมื่องานศพบิดาของข้าพเจ้าซึ่งได้จัดงานที่วัดนี้ และลานนี้เต็มไปด้วยท่านที่เคารพและเพื่อนฝูงของคุณพ่อ ข้าพเจ้ายังได้ยินแขกที่มาในงานบ่นถึงคุณพ่อว่า
น่าเสียดายที่ต้องเสียคนที่ซื่อสัตย์และอารีอารอบไป ท่านเป็นคนซื่อต่อการงานและอารีอารอบต่อเพื่อนบ้าน ข้าพเจ้ายังจำได้ว่า เมื่อชาวบ้านแถบนั้นทราบว่า ท่านได้ถึงแก่กรรมลง บางคนถึงกับร้องไห้โฮ ราวกับญาติสนิทได้ตายจากไป ฉะนั้น
บางคนถึงจะไม่ปล่อยโฮก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้ เมื่อข้าพเจ้านึกถึงความหลังเช่นนี้แล้ว
จิตใจที่กำลังพะวักพะวนเกิดทุกข์เพราะความโลภอยากได้ ค่อยเบาบางลงบ้าง เมื่อหวนระลึกถึงความดีของคุณพ่อที่เป็นที่เคารพของผู้อื่น พอถึงกุฏิท่านมหาฯแล้ว ได้ทราบจากลูกศิษย์ว่าท่านไปลงโบสถ์ทำวัตร จึงถือโอกาสนั่งคอย ตั้งใจจะคุยกับท่านมหาฯให้สบายใจแล้วจะกลับบ้าน
แต่นั่งคอยก็แล้วนอนคอยก็แล้ว
ท่านก็ยังไม่กลับขึ้นจากโบสถ์
ในขณะที่ข้าพเจ้าจะเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงกุกกักทางเบื้องศีรษะ ในความรู้สึกขณะนั้นข้าพเจ้าว่าท่านมหาฯกลับมาแล้วจึงเงยหน้าขึ้น ข้าพเจ้าต้องสะดุ้งทั้งตัว
เพราะผู้ที่อยู่เบื้องศีรษะของข้าพเจ้านั้นไม่ใช่อื่นไกล
คุณพ่อของข้าพเจ้านั่นเอง
“คุณพ่อ..!” ข้าพเจ้าร้องออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว
ท่านยิ้มอย่างเอ็นดูพลางกวักมือเรียก ข้าพเจ้าไม่ได้พูดอะไร ลุกขึ้นเดินตามคุณพ่อออกไปอย่างเลื่อนลอย ออกจากกุฏิท่านมหาฯ ผ่านลานวัดอันกว้างใหญ่ ผ่านเข้าไปใกล้โบสถ์ได้ยินพระท่านสวดมนต์
แต่ตัวข้าพเจ้ามีความรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด บังคับให้ติดตามไปอย่างใกล้ชิดผ่านทุ่งผ่านป่าอย่างเลือนราง ผ่านหมอกขาวๆที่คล้ายควัน ยิ่งไปไกลก็ยิ่งพบหมอกขาวมากขึ้น เหมือนลอยอยู่บนกลุ่มเมฆขาว อากาศเยือกเย็นมีแสงสว่างสลัวๆ
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคุณพ่อพูดว่า “ลูกรัก เจ้าลืมคำสั่งสอนของพ่อแล้วหรือ”
ในความรู้สึกขณะนั้น ข้าพเจ้าตอบคุณพ่ออยู่ในลำคอว่า “ผมไม่เคยลืมเลยครับ คุณพ่อ”
“แต่ทำไมเจ้าจึงไม่ถือให้มั่นคง”
เสียงท่านพูดต่อไป
“ผมยังไม่เคยทำความเสียหายเลยครับ
คุณพ่อ”
คุณพ่อถอนหายใจ "แต่เจ้ากำลังจะตัดสินใจเดินทางผิด ด้วยเห็นแก่ลาภอามิส เจ้ากำลังจะทำผิดศีลธรรม ทำให้คนอื่นเดือดร้อน" ท่านพูดหน้าเศร้าๆ
ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “ผมยังไม่ได้ตัดสินใจลงไปเลยครับ คุณพ่อ”
ท่านยิ้มอย่างฝืนๆ แล้วพูดว่า
“พ่อรู้ดี แต่มันยังไม่สายนักหรอกอยากให้เจ้าหูตาสว่าง
ให้เจ้าเห็นเหตุการณ์เพื่อขัดเกลาจิตใจของเจ้า พ่อจึงเรียกเจ้ามา อยากจะบอกกับเจ้าว่า เวลาเป็นคนอยู่ในโลกมนุษย์นี้มันสั้นมาก เมื่อพ้นจากโลกมนุษย์แล้ว
มันเป็นเวลาที่ยาวนานอย่างเทียบกันไม่ได้เลย พ่อจะยกตัวอย่างให้ฟัง”
“เมื่ออยู่ในเมืองมนุษย์นั้น
เหมือนกับว่าเจ้าเพียงแต่แสดงละครเพียงฉากเดียว
และการแสดงละครนี้เจ้าแสดงในเวลาอันสั้นมาก การแสดงละครชีวิตเพียงระยะสั้นๆนี้ ถ้าเราแสดงดี
ความดีก็จะติดตัวไปตลอด ถ้าแสดงชั่ว
เราก็จะได้รับกรรมชั่วไปตลอด
จนกว่าจะสิ้นกรรม พูดง่ายๆก็คือ
เมื่อเป็นมนุษย์อยู่นั้น
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะสร้างความดีและความชั่วได้เหมือนกันหมด
การสร้างความดีหรือความชั่วนี้มีเพียงในโลกมนุษย์เท่านั้นในโลกอื่นไม่มี
มีแต่กรรมดีและกรรมชั่วที่สร้างไว้ในโลกมนุษย์เท่านั้นที่ตามสนอง”
ข้าพเจ้านิ่งฟังอย่างเข้าใจตลอด
ทั้งที่รู้สึกว่าตัวเรายังเบาและลอยไปที่ใดไม่ทราบ ที่สุดคุณพ่อยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วพยักหน้ามายังข้าพเจ้าบอกว่า “มาเถิด พ่อจะให้เจ้าได้ยินได้ฟังสำหรับผู้ที่รับเวรสถานเบา”
ทันใดนั้น คุณพ่อก็หันมากดบ่าข้าพเจ้าไว้
ตัวข้าพเจ้ารู้สึกตกลงจากที่สูงลอยละลิ่วลงไป ได้ผ่านเมฆขาวมากบ้างน้อยบ้าง
แต่ก็ค่อยหมดแสงสว่างไปทุกทีจนกระทั้งมืดมิดลง ข้าพเจ้าสุดจะทนสงสัยจึงได้ร้องถามคุณพ่อ “คุณพ่อครับ คุณพ่อจะพาผมไปไหน”
“พ่อก็บอกเจ้าไม่ได้เหมือนกันว่า
พ่อจะพาเจ้าไปที่ไหน
พ่อจะเปรียบให้ฟังว่าพ่อกำลังพาเข้าไปสู่ใจกลางของโลก เปรียบก็เหมือนว่าเราอยู่บนพื้นโลกแล้วขุดลงไป
ขุดลงไป สู่ศูนย์กลางของโลกนั่นแหละ”
ความจริงข้าพเจ้าไม่มีความสบายเลยที่ต้องต่อสู่กับความมืด
รู้สึกไม่มีความสุขแต่ก็ยังอุ่นใจที่ผู้พาข้าพเจ้าไปไม่ใช่คนอื่น
ท่านเป็นบิดาบังเกิดเกล้าที่เคยให้ความเมตตากรุณาแก่ลูกๆ เคยช่วยเหลือเพื่อนบ้านเป็นร่มโพธิ์
ซึ่งให้ความร่มเย็นแก่ลูกๆ
และเวลานี้ดูท่านไม่ผิดแปลกไปกว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้น
ข้าพเจ้าไม่สู้หวาดกลัวนัก
ยิ่งดิ่งลึกลงไปยิ่งมืดลงทุกที จนกระทั่งเหมือนกับว่า
เอาผ้าดำมาผูกตาไว้สักร้อยชั้น ต่อมารู้สึกค่อยๆช้าลงจนหยุด เสียงคุณพ่อพูดว่า
“นี่แหละลูก
ที่สำหรับลงโทษสถานเบา
เจ้าจงฟังดูนะ”
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังถูกขังเดี่ยว กำลังคลุ้มคลั่งบางทีก็ร้องโวยวาย บางครั้งก็ร้องโหยหวน เยือกเย็น
มันเป็นกระแสเสียงของผู้ที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
ข้าพเจ้าเริ่มหวาดกลัวต่อเสียงอันมีกังวานเยือกเย็นเข้าจับหัวใจ ขนลุกชันไปทั้งตัวขณะนั้นเกือบไม่มีความรู้สึกเป็นอย่างอื่น มีแต่ความหวาดกลัวเข้าสิงใจประการเดียว ข้าพเจ้านั้นได้เกาะคุณพ่อไว้แน่น ท่านก็เอามือตบบ่าเพื่อปลอบโยนข้าพเจ้า แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก
“โอย..!
นี่ไม่รู้กี่เดือนกี่ปีแล้ว แสงสว่างเท่ารูเข็มก็ไม่เคยเห็น โอย..!
นี่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้อักสักเท่าใด
ไม่ไหวแล้ว ขอให้ข้าไปเถิด ข้าเข็ดแล้ว เข็ดแล้ว โอย..!
ขอแสงสว่างข้าหน่อย แสงสว่าง แสงสว่าง ฯลฯ”
ข้าพเจ้าทนฟังต่อไปอีกไม่ไหว หัวใจเกือบจะหยุดเพราะความกลัวจึงบอกคุณพ่อว่า “คุณพ่อครับ ขอให้ผมกลับเถิด ผมจะไม่ยอมทำกรรมใดๆ ให้เดือดร้อนเบียดเบียนคนอื่นเป็นอันขาด ลูกของพ่อยังไม่เคยทำกรรมชั่วใดๆมาก่อน และขอปฏิญาณว่า จะไม่ก่อกรรมชั่วเป็นอันขาด”
“สาธุ.. พ่อยินดีมาก เป็นกุศลของพ่อและของลูกเอง มาเรากลับกันเถิด”
ทันใดนั้น ร่างเราก็พุ่งขึ้นทันที พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ความมืดค่อยๆ จางลง มีแสงสว่างมากขึ้นจนเห็นหมอกจางๆ แล้วสว่างขึ้น
บัดเดี๋ยวเราก็รู้สึกว่า
เราได้ขึ้นมาบนโลกแล้ว
ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีมากที่ได้ขึ้นมาบนพื้นโลกอีกครั้งหนึ่ง เหมือนขึ้นจากนรกมาสู่สวรรค์
“เอาล่ะลูกของพ่อ
ต่อไปจงสร้างแต่ความดีเถิด
พ่อลาแล้ว” สังเกตเห็นท่านน้ำตาไหลซึม
ข้าพเจ้ามีความอาลัยคุณพ่อมาก หันมาจะเข้าไปกอดเท้า
แต่ฉับพลันนั้นภาพของท่านก็เลือนรางจากไปทันที ข้าพเจ้าแสนอาลัยท่าน ทันใดนั้นข้าพเจ้ามองเห็นลานวัดอันกว้างใหญ่ เห็นท่านมหาฯ กำลังเดินขึ้นกุฏิ
และยังเห็นพระอีกหลายองค์กำลังออกจากโบสถ์และแยกย้ายกันขึ้นกุฏิ
พอรู้สึกตัวลืมตาขึ้นก็รู้ว่าหลับอยู่บนกุฏิท่านมหาฯนั่นเอง ท่านกำลังเปลื้องจีวร ท่านถามข้าพเจ้าว่ามานานแล้วหรือ ข้าพเจ้าลุกขึ้นนมัสการท่านแล้วเรียนว่า
มานานแล้ว หลับไปตื่นหนึ่ง ท่านบอกว่าวันนี้มีสวดปาฏิโมกข์จึงลงโบสถ์ช้าหน่อย
ข้าพเจ้ายังตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาใหม่ๆ ข้าพเจ้าสนทนากับท่านเพียงเล็กน้อย แล้วก็นมัสการลาท่านกลับ
อย่างไรก็ตาม ตอนกลับบ้านนี้จิตใจของข้าพเจ้าแจ่มใสสิ้นทุกข์สิ้นกังวล และเกิดความสว่างเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า
วิญญาณอันบริสุทธิ์ของคุณพ่อได้มีส่วนดลบันดาลให้ข้าพเจ้าไปประสบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว และใคร่จะเรียนให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าได้ปฏิเสธการขอร้องของบุคคลนั้นไปอย่างเด็ดขาดแล้ว
จบตอนที่ ๕
ขอความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
และขออุทิศแด่ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรณกรรมอิงธรรมะชุดนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น