เรื่องที่ ๒ อารยะนคร
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.
๒๔๙๖ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆนี่เอง ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนแจ่มใสไม่เคยลืมเลือนไปจากความทรงจำเหมือนเรื่องอื่นๆที่เคยผ่านมาเลย
เรื่องมันเป็นดังนี้ คือ
วันหนึ่งเราได้นัดแนะกับเพื่อฝูงหลายคนว่าจะเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่โดยรถยนต์ รถออกจากกรุงเทพฯ เวลา ๖.๐๐ น. ที่บ้านคุณสนิท โชติกเสถียร
เดินทางไปตามถนนพหลโยธิน
มีคุณสนิทพร้อมด้วยครอบครัวและข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง
การเดินทางตลอดทางทุกสิ่งทุกอย่างสะดวกเรียบร้อย จนกระทั่งถึงปากน้ำโพประมาณ ๑๒.๐๐ น.
เราได้แวะพักผ่อนที่บ้านญาติข้างฝ่ายภรรยาของคุณสนิท ที่นั่นเราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ในที่สุดเราก็ตกลงพักค้างแรม ๑ คืน รุ่งขึ้นเช้าจึงออกเดินทางต่อไป คืนนั่นเองข้าพเจ้าได้ประสบเหตุการณ์ประหลาด
เราได้เดินทางโดยรถยนต์ผ่านสถานีต่าง ๆ
จนถึงทางระหว่างอำเภอเถินกับอำเภอลี้
ซึ่งทางการเพิ่งจะทำเสร็จใหม่ๆ เราต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่กรมทาง และผ่านไปได้ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี เราขึ้นรถมาสักพักใหญ่ก็จะต้องขึ้นเขา ที่เชิงเขามีป้ายเตือนผู้ขับขี่ยวดยานไว้ว่า
“หยุดตรวจดูห้ามล้อของท่าน น้ำ
และน้ำมัน ก่อนที่จะขึ้นไป”
เราได้ตรวจดูเครื่องทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว
ก็เริ่มเดินทางขึ้นไปทันทีการขึ้นเขาครั้งนี้รู้สึกว่าชันและเต็มไปด้วยความน่ากลัวอันตราย ทั้งถนนก็แคบและโค้งเลี้ยวก็อยู่ในระยะสั้น รถต้องเชิดหน้าขึ้นไปและต้องใช้เกียร์หนึ่งเกียร์สองอยู่ตลอดเวลา เครื่องยนต์ทำงานหนัก เครื่องร้อน
ทำให้หม้อน้ำเดือด
แต่พอไปถึงสันเขาก็หยุดพักรถเพื่อให้เครื่องเย็น
ระหว่างที่รถหยุดพักบนเขานั้นข้าพเจ้าได้ออกเดินไม่ห่างไปจากรถเท่าไรนัก พอเดินพ้นจากรถเพียงเหลี่ยมเขาบังรถอยู่ เบื้องหน้าก็มองเห็นทุ่งกว้างเป็นเนินเขาเขียวชอุ่มแลดูน่าเพลินตา หญ้าเขียวชอุ่มเป็นชั้นๆ สวยงามอย่างยิ่ง
ทำให้จิตใจหลงใหลในความงามของธรรมชาติอย่างเผลอตัว จึงรีบเดินลงจากเนินไปทันที
จะเป็นเวลานานเท่าใดข้าพเจ้าไม่ทราบ เท้าได้พาตัวเดินไปตามทางเล็กๆสายหนึ่ง อากาศสดชื่นทำให้ความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องนั่งรถขึ้นเขานั้นหายไปดังปลิดทิ้ง
ราวกับว่าตนเองได้เข้ามาสู่ดินแดนมหัศจรรย์นอกจากธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวจะมีความงามประหลาดล้ำแล้ว ยังเกิดความรู้สึกว่าในดินแดนแห่งนี้จะไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นเลย ข้าพเจ้าเดินต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งเดินยิ่งทำให้จิตใจชื่นบานมากขึ้น
คิดแต่ว่าเป็นสถานที่ซึ่งมีความรื่นรมย์และสุขใจอย่างที่สุด ตามเนินเป็นไม้ป่าออกดอกนานาสี กลิ่นหอมระรื่น อยากจะกล่าวว่า
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีความสุขสบายใจเช่นนี้เลย เพราะสิ่งแวดล้อมนานาประการได้ทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงไป
ข้าพเจ้าเพลิดเพลินและจิตใจอบอุ่นไม่มีความหวาดกลัวแม้จะไม่พบผู้คนก็รู้สึกว่าปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว อยากจะเดินชมให้ทั่วบริเวณ
สักครู่ก็เห็นคนเดินมาแต่ไกล
ครั้นเข้ามาใกล้ก็มองเห็นว่าผู้นั้นเป็นชายอายุกลางคน ข้าพเจ้ามีความยินดีมาก เพื่อจะไต่ถามดูถึงตำบลและหมู่บ้านว่าชื่ออะไรแน่ จึงสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วทำความเคารพ
เมื่อมองเห็นหน้าพ่อลุงคนนั้นแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า แกมีสายตาที่เป็นมิตรน่าเคารพ การแต่งกายเรียบร้อย นุ่งผ้าสีน้ำเงินแก่แบบชาวบ้านเราหรืออย่างชาวเหนือที่เรียกว่าม่อฮ่อม
เป็นการน่าประหลาดที่เพียงแรกมาพบปะ ข้าพเจ้ารู้สึกเคารพรักชายผู้นี้
สายตาของพ่อลุงคนนั้นเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา และยิ้มแย้มอย่างผู้มีใจดี ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นว่า
“พ่อลุงอยู่ที่ตำบลนี้ใช่ไหม ผมอยากทราบว่าเมืองนี้ชื่อเมืองอะไรครับ
ช่างน่าอยู่เหลือเกิน ดินฟ้าอากาศสดชื้นอย่างนี้ ผมยังไม่เคยพบเห็นที่ไหนเลย”
“ใช่แล้วคุณ
ผมอยู่ในมืองนี้ ที่เราเรียกว่า “เมืองผา” คุณคงมาจากเมืองใต้กระมัง?”
รับคำแกแล้ว
ข้าพเจ้าถามถึงความเป็นอยู่ต่างๆ
ก็ได้รับคำตอบว่า
ที่นี่ไม่มีการลักขโมยหรือโจรกรรมอย่างไร
เขาอยู่กันด้วยความสงบสุขพ่อเมืองเป็นผู้ปกครองอย่างยุติธรรม และเป็นผู้พิพากษาคดีทุกอย่างทุกชนิด
“เอ!
ถ้าเช่นนั้น มิเป็นเผด็จการหรือพ่อลุง” ข้าพเจ้าสอดขึ้น แต่แกก็ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
“เอ..!
อ้ายเผด็จการเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ
แต่พ่อเมืองก็ปกครองมาด้วยความสุขสบายทั่วหน้ากัน” แล้วแกก็ทำทำท่าจะนึกขึ้นได้ “อ้อ..! วันนี้พ่อเมืองจะออกชำระคดีเรื่องหนึ่ง ถ้าคุณต้องการพบพ่อเมือง ผมจะพาไป”
ข้าพเจ้ารีบรับปากทันที เมื่อพ่อลุงมีไมตรีจิตออกปากจะพาไปเช่นนั้น
หลังจากสนทนาพอควรแล้ว
แกก็พาข้าพเจ้าเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ยิ่งเดินไปก็ยิ่งใกล้หมู่บ้านซึ่งหนาแน่นเข้าไปทุกที ผู้คนก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น สังเกตดูกิริยาผู้คนทั้งหญิงชาย ต่างมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แสดงว่ามีความสุขสบายทั่วหน้ากัน แล้วทุกคนเป็นมิตรกัน ข้าพเจ้าหันมาทางพ่อลุงผู้อารีคนนั้นและพูดว่า
“พวกชาวบ้านนี้ ดูช่างมีความสุขสำราญ หน้าตาแจ่มใสทุกคน” พ่อลุงหัวเราะอยู่ในลำคอ
“พวกเราในเมืองนี้รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง
พร้อมที่จะยอมเสียสละให้แก่กันและกันโดยไม่เอารัดเอาเปรียบ ทุกคนเป็นผู้ยอมเสียสละทั้งสิ้น”
ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจในคำพูดเช่นนี้ จึงย้อนถามไปว่า
“ถ้าเช่นนั้น ในเมืองนี้ก็ไม่มีทหารและตำรวจ นะซิครับ”
“จำเลยสมัครใจมาเอง โดยไม่ต้องคุมตัว”
เราคุยกันมาตลอดทาง ชั่วครู่เดียวก็ถึงหุบผาแห่งหนึ่ง ผู้คนหนาแน่น
ช่องผาทางเข้านั้นใหญ่โต สว่างไสวด้วยแสงประหลาดไม่ต้องใช้ไฟ
มีลวดลายตามผนังงดงามมาก
มีผู้คนเดินเข้าออกไปมาไม่ขาดสายทุกคนมีหน้าตายิ้มแย้มต่อข้าพเจ้าเหมือนกับที่เห็นผ่านๆมาแล้ว ข้าพเจ้าหันมาถามพ่อลุงว่า
“การชำระคดีนี้ มีการชำระกันทุก ๆ วันตลอดปีอย่างนี้หรือ”
“นาน ๆจะมีสักครั้งหนึ่ง วันนี้นับว่าคุณมีโชคดี พอมาถึงก็ได้เห็นพ่อเมืองชำระคดี”
แกตอบเป็นปกติ แต่มันทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจมาก
ที่ผ่านผู้คนมาตั้งแต่น้อยจนหนาแน่นเข้าทุกที
ข้าพเจ้าเห็นยิ้มกับข้าพเจ้าไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ คล้ายว่าข้าพเจ้าเป็นเพื่อนรักหรือญาติสนิทที่จากกันไปนานๆ
แล้วมาพบกัน จากการสังเกตกิริยาท่าทาง เมื่อผ่านเข้ามาที่ประชุมใหญ่ในหุบผา ทุกคนที่ข้าพเจ้าเห็นหรือเห็นข้าพเจ้า ก็แสดงเช่นเดียวกันหมด เมื่อเดินมาถึงที่ชำระความของพ่อเมืองซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่
ตรงกลางเป็นแท่นศิลาใหญ่มีผู้คนล้อมรอบแท่น ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านพ่อเมืองจะออกว่าความ พวกชาวเมืองคงนั่งสนทนากันไปตามถนัด คอยพ่อเมืองจะออกมา
ข้าพเจ้ากระซิบถามว่าคนไหนเป็นโจทก์ คนไหนเป็นจำเลย พ่อลุงก็ชี้ให้ดูว่า คนที่ใส่เสื้อขาวคนนั้นชื่อผาคำ เป็นโจทก์
ส่วนคนที่ใส่เสื้อเป็นชาวนา (สีน้ำเงินแก่) คนนั้นชื่อโฉม เป็นจำเลย
และคู่พิพาทกำลังนั่งคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ไม่มีเค้าว่าจะมีการขัดแย้งกันจนเกิดคดีขึ้นโรงขึ้นศาล รู้สึกว่าทั้งสองฝ่ายรักใคร่กันดี
ไม่น่าเชื่อว่าเป็นความพิพาทกันเลยควรจะปรองดองกันให้เรียบร้อยได้ ทำให้ข้าพเจ้าสงสัยจริง ๆ จึงอดที่จะถามพ่อลุงไม่ได้ว่า
“เหตุใดทั้งคู่จึงเป็นความกัน ในเมื่อสังเกตดูว่าทั้งสองมีความรักใคร่กันมาก”
พ่อลุงยิ้ม
แล้วตอบว่า
“เรื่องมันตกลงกันไม่ได้ซิคุณ จึงร้อนถึงท่านพ่อเมือง”
“มันร้ายแรงอะไรนักหรือ จึงตกลังกันไม่ได้ พ่อลุงรู้หรือเปล่า”
พ่อลุงจึงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
“นายโฉมผู้เป็นจำเลยมีนาแปลงหนึ่ง มีข้าวออกรวงเหลืองอร่ามไปทั้งท้องทุ่ง นายผาคำผู้เป็นโจทก์ ก็มีควายอยู่หนึ่ง ได้เดินผ่านนาของนายโฉม เห็นข้าวในนาน่ากิน ก็ลงไปกินแต่กินไม่มากนัก พอนายผาคำมาถึง ก็รีบจูงความกลับบ้าน แล้วก็รีบไปสารภาพความผิดของตนที่ได้ปล่อยให้ควายกินข้าวในนาของนายโฉม
ตนเองยินดีให้ค่าเสียหายเป็นข้าวแต่ฝ่ายนายโฉมเจ้าของนาไม่ยอมรับ ถือว่าไม่ใช่ความผิดของนายผาคำหรือของควาย ถ้าจะเอาความผิดแล้ว ควรจะเอาผิดกับข้าวของนายโฉมมากกว่า เพราะถ้าในนาไม่มีข้าว ควายก็คงไม่กิน เรื่องก็คงไม่มี แล้วต่างคนก็ไม่ตกลงกัน หรือตกลังกันไม่ได้”
ก่อนที่จะซักถามพ่อลุงอีกต่อไป ได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้น ๓
ครั้ง เสียงพูดกันว่าพ่อเมืองออกแล้ว
เรามัวแต่ก้มหน้าคุยกัน
พอเงยหน้าขึ้นไปดูก็เห็นพ่อเมืองนั่งอยู่บนแท่น ทุกคนก้มลงทราบ ข้าพเจ้าทำตามเขาบ้างโดยความสมัครใจ
เมื่อกราบเสร็จแล้ว
พ่อลุงก็พาข้าพเจ้าเข้าไปใกล้แท่นที่ประทับของพ่อเมือง ทุกคนหลักทางให้ด้วยความยินดี
เมื่อเข้าไปใกล้แท่น
ข้าพเจ้าได้มองเห็นท่านพ่อเมืองชัดเจนถนัดตา ทำให้ข้าพเจ้าต้องตะลึง รูปร่างของท่านพ่อเมืองนั้น ไม่ผิดแปลกกับพระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕
ของเราเลย
พระองค์มีพระพักตร์ยิ้มแย้มดวงเนตรแจ่มใส
ครั้นแล้วพ่อเมืองก็พูดกับฝ่ายโจทก์และจำเลยเป็นการซักถามปากคำจากโจทก์และจำเลย ตามเรื่องที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว
เมื่อพ่อเมืองได้พิจารณาเสร็จแล้ว ก็วินิจฉัยและตัดสินว่า การที่นายโฉมจำเลยไม่ยอมรับค่าเสียหายจากนายผาคำผู้เป็นเจ้าของควาย ซึ่งลงไปกินข้าวในนาของเขานั้น โดยอ้างเหตุว่า
เป็นความผิดของตนเองที่ได้ปลูกข้าวไว้ทางเดินของควาย เพราะฉะนั้น
จึงไม่ยอมรับค่าเสียหายเพราะควายเป็นสัตว์ที่ไม่มีความคิดว่า ทำแล้วจะเกิดความเสียหายหรือไม่ ส่วนนายผาคำผู้เป็นโจทก์
แถลงว่า ตามปกติควายของตนไม่เคยที่จะไปกินข้าวในนาของใคร แต่บังเอิญควายนี้เกิดตั้งครรภ์ ทำให้ความรู้สึกแปรปรวนไป เนื่องด้วยลูกในท้องทำให้อยากกิน ฉะนั้น
พ่อเมืองจึงตัดสินให้ยกลูกควายที่อยู่ในท้อง จะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียให้นายโฉม ๑ ตัว ไม่ว่าจะออกมากี่ตัวก็ตาม
เมื่อพ่อเมืองทรงตัดสินเรียบร้อยแล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ร้องสาธุ ฝ่ายโจทก์ก็มีจิตใจชื่นบาน ที่ได้ชดใช้ค่าเสียหายเรื่องข้าวให้เป็นที่เรียบร้อยไป ต่อจากนั้นพ่อเมืองก็ลุกขึ้นก้มศีรษะรอบๆตัวรับความเคารพของปวงชนที่อยู่ในนั้น แล้วก็เสด็จขึ้นเข้าไปหุบผาทันที ก่อนที่จะเสด็จไปนั้น ท่านได้หันมายิ้มกับข้าพเจ้า แล้วกล่าวเรียบ ๆ ว่า
“ขอให้สูเจ้า
จงเดินทางต่อไปโดยความปลอดภัยเถิด”
ข้าพเจ้ายกมือขึ้นประนมทำความเคารพ ท่านที่รัก
ข้าพเจ้าเห็นท่านพ่อเมืองเพียงครั้งเดียวก็รู้สึกมีความจงรักภักดี มีความเคารพด้วยจิตใจอันสุจริต ความจงรักภักดีนี้ดื่มด่ำอยู่ในความรู้สึก
มันเกิดขึ้นจากส่วนลึกของดวงใจอย่างสะอาดบริสุทธิ์
ยากที่จะบรรยายให้ถูกต้องได้ความจงรักภักดีนี้ ทำให้ข้าพเจ้าสามารถจะยอมพลีชีวิตของข้าพเจ้าเพื่อพ่อเมืองได้ทุกเวลา ทั้ง ๆ
ที่พ่อเมืองยังไม่เคยที่จะชุบเลี้ยง
หรือให้ความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าแต่ประการใดเลย
แล้วพ่อลุงก็ชวนข้าพเจ้าลุกขึ้น
และเดินทางออกจากหุบผาข้าพเจ้าไม่ได้พูดจาอะไรกับพ่อลุงอีกเลย
สมองต้องขบคิดอย่างหนักต่อเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับหุบเขาที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นมานี้ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังใช้ความคิดอยู่นี้เอง
ข้าพเจ้าลืมตาขึ้น ก็เห็นคุณสนิทกำลังเขย่าตัวอยู่บอกว่า
จวนเวลาแล้วจะเดินทางต่อไป
ข้าพเจ้าก็ได้รู้สึกตัวว่าข้าพเจ้าได้ฝันไป ฝันอย่างยืดยาว ฝันอย่างประหลาด
ข้าพเจ้าอยากให้เป็นความจริง
ข้าพเจ้าจึงเล่าให้คุณสนิทฟังถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบหลังจากนั้นเราได้รับประทานอาหารกันราวตี
๕ ของวันใหม่ แล้วก็ออกเดินทางกันต่อไป
พอเข้าสู่ภูมิประเทศที่ถนนไต่ขึ้นไปบนไหล่เขา
ช่างน่าประหลาดอะไรเช่นนั้น ต้นไม้ และทิวเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนสันเขาที่ข้าพเจ้าจะเลี้ยวเดินลงที่ลาดเชิงเขา ช่างเหมือนกับภาพในฝันของข้าพเจ้าทุกแห่ง แต่ไม่มีทุ่งลาด ข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายอาลัยอาวรณ์ยิ่ง เมื่อจะจากกไป
รู้สึกราวกับว่าข้าพเจ้าได้จากสาวที่รักยิ่งคนหนึ่ง อย่างไม่มีโอกาสที่จะพบกันได้อีกต่อไปในชีวิตนั้น
ซึ่งสถานที่นั้นมีปรากฏอยู่จริง ๆ และข้าพเจ้าก็ได้ผ่านไปทั้งฝันและทั้งตื่น
จบตอนที่ ๒
ความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
และขอมอบอุทิศแด่ ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรรกรรมอิงธรรมะชุดนี้
ความดีงามจงบังเกิดกับท่านผู้อ่าน
และขอมอบอุทิศแด่ ท่านอาจารย์ ทองหยก เลียงพิบูลย์ เจ้าของวรรรกรรมอิงธรรมะชุดนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น