..แปลว่า..เริ่มแก่แล้ว๗
พล นิกร กิมหงวน
จักรวาลและโลกนี้มีอายุยาวนานเหลือเกิน
ดังนั้นพอเราหวนกลับมามองวันเวลาของช่วงชีวิตมนุษย์เราแล้ว
ดูมันช่างแสนสั้นเสียเหลือเกิน มันช่างสั้นเสียนี่กระไร มันช่างสั้นอย่างน่าใจหาย วันเวลาของเราที่ผ่านล่วงไปแล้ว
หลายท่านคิดว่ามันนานมาแล้ว แต่แท้จริงแล้วมันสั้นนิดเดียว
มันช่างสั้นยิ่งนัก แต่เราก็ทั้งผ่านทั้งซ่อนเรื่องราวต่างๆกันมามิใช่น้อยเลย
ข้าพเจ้าผู้เขียนนี้ชักจะเริ่มระลึกถึงอดีตขึ้นมาบ่อยๆ
แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะมีกฏสี่ประการจากคำที่ว่า “คนแก่จะต้องคุยเรื่องเก่า
เล่าความหลัง กินของขม และท้ายที่สุดต้องชมเด็กสาว” ชักหวั่นๆเหมือนกัน แต่ผู้เขียนยังไม่รู้สึกว่า อยากจะสนใจชมเด็กสาวเลย(เรื่องจริง แบบว่าซื่อตรงต่อภรรเมีย) ดังนั้นเมื่อผู้เขียนมีองค์ประกอบไม่ครบทั้งสี่ประการดังกล่าว แสดงว่ายังไม่แก่อย่างแน่นอน
ไม่นานมานี้ผู้เขียนผ่านไปแถวย่านวังบูรพา ด้วยความที่เป็นหนอนหนังสือจึงอดแวะเข้าร้านหนังสือในย่านนี้ไม่ได้ หนังสือที่สะดุดตาอย่างคุ้นเคยมานานก็ยังเห็นอยู่ นั่นคือหนังสือชุดสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน ยังคงมีวางจำหน่ายอยู่ จึงนึกระลึกไปถึงอดีตว่า
ตอนเด็กๆนั้นชอบอ่านเรื่องชุดสามเกลอมาก ซึ่งนิยายชุดสามเกลอนี้สร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่ผู้เขียนเป็นเบื้องแรก
หลังจากนั้นก็ชอบอ่านหนังสือแนวต่างๆอีกสารพัด
มาถึงยุคนี้ก็ไม่ทราบว่าคนรุ่นใหม่ๆนั้น เขารู้จักหนังสือชุด พล นิกร กิมหงวน กันหรือไม่
นิยายชุดสามเกลอเรียกกันว่าหัสนิยาย อ่านแล้วจะตลกขบขันเพลิดเพลินดีมาก คนอ่านๆไปหัวเราะไป บางตอนก็ขำจนน้ำหูน้ำตาไหล
นับว่าเรื่องสามเกลอนี้เป็นนิยายที่อ่านแล้วคลายเครียดได้ดีมาก ทั้งให้ความบันเทิงแบบไม่ต้องถ่อสังขารไปเที่ยวถึงไหนๆ เพียงแค่มีหนังสือหัสนิยายชุดสามเกลอนี้นอนอ่านอยู่กับบ้าน ก็เป็นที่บันเทิงเริงรมย์ได้แล้ว เรื่องสามเกลอนี้มีมากถึงหนึ่งพันกว่าตอน
เข้าใจกันว่าจะเป็นนิยายที่มีจำนวนตอนมากที่สุดของไทย
ท่านผู้ประพันธ์หัสนิยายชุดสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน คือ
ป.อินทรปาลิต (ปรีชา อินทรปาลิต ๑๒พ.ค.๒๔๕๓ ถึง ๒๕ก.ย.๒๕๑๑) ไม่ทราบว่าท่านผู้ประพันธ์แต่งเรื่องสามเกลอมากขนาดนี้ได้อย่างไร
แถมยังอ่านแล้วขำแทบตาย
ป.อินทรปาลิต |
สี่สหายออกผจญภัยแบบป่วนๆไปทั่ว ว่ากันตั้งแต่เรื่องผัวๆเมียๆ เรื่องสงครามในยุคสมัยนั้น เรื่องผีๆ เรื่องบู๊ๆ เรื่องรักๆ คณะพรรคสี่สหายจะผจญภัยตั้งแต่บนโลกจนถึงออกนอกโลกเลยก็มี โดยมีท่านเจ้าคุณปัจจนึกพินาศเป็นหัวหน้าคณะ ท่านเจ้าคุณปัจจนึกพินาศเป็นพ่อตาของนิกรและด็อกเตอร์ดิเรก
ทั้งยังเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของพลกับกิมหงวน
คณะพรรคสี่สหายมีเจ้าแห้วเป็นคนใช้ติดสอยห้อยตามเจ้านายไปตลอด
คาแร็คเตอร์ของสี่สหายนั้น ท่านผู้ประพันธ์วางไว้ให้ต่างกันไป
แต่กลับเสริมบทบาทให้แก่กันได้อย่างสุดยอดและสุดจะขำ
ท่านเจ้าคุณปัจจนึกพินาศกับเจ้าคุณประสิทธิ์นิติศาสตร์ เป็นคนหัวล้านใจน้อย
พลเป็นชายหนุ่มเก่งแบบพระเอกๆคือต่อสู้เก่ง มีเสน่ห์ เป็นสุภาพบุรุษ
นิกรเป็นคนรู้เรื่องศาสตร์โบราณบ้าง ชอบนอน กิน ล้วงกระเป๋า และร้องลิเก
อาเสี่ยกิมหงวนเป็นคนบ้ายอและรวยอันดับหนึ่งของประเทศชอบฉีกแบ็งค์
ด็อกเตอร์ดิเรกเป็นนายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอด ทุกๆคนเป็นผู้ที่มีจิตสำนึกในความดี และกลัวเมีย
เมียๆของสี่สหายมีนันทาเป็นเมียของพล
มีนิสัยแบบพี่คนโตคือดูรอบคอบเป็นเรื่องเป็นราวและดุแบบพี่ใหญ่ ประไพเป็นเมียนิกรมีนิสัยแบบจิ๊กกี๋ๆแก่นๆชอบพกหลาวทองเหลือง
นวลละออเป็นเมียเสี่ยหงวนนิสัยบุ่มบ่ามทันสมัยกล้าเกินหญิง ชอบซ้อมผัว อาจเพราะในเรื่องจบปริญญาทางพลศึกษา ประภาเป็นเมียดร.ดิเรก เรียนจบพยาบาล มีนิสัยไปทางเรียบร้อยๆ
ตัวละครอื่นๆก็ประทับใจทั้งนั้น
คุณหญิงวาดแม่ของพลชอบกินหมากและปากจัดแต่ใจดีขี้สงสาร เจ้าคุณวิจิตรบรรณาการ พ่อของนิกร เจ้าคุณนพรัตนไมตรี พ่อของด๊อกเตอร์ดิเรก เจ้าสัวกิมเบ๊เตี่ยเสี่ยหงวนมีบทบาทไม่มากนัก แต่ก็ช่วยให้เค้าโครงเรื่องดูดี ยังมีเจ้าสัวกิมไซ ที่เป็นลุงของเสี่ยหงวน ที่หอบสมบัติลงเรือหนีภัยสงครามจากจีนมาไทย แต่เรือล่มสมบัติจมทะเลหมด และเจ้าสัวกิมไซยังชอบสูบฝิ่น
ตัวละครลุงเชยเป็นคนบ้านนอกที่เปิ่นๆเหน่อๆไม่ทันสมัย
คำว่าเชยนี้ว่ากันว่ามาจากลุงเชยนี่เอง นอกจากนี้ยังมีคุณนายลิ้นจี่แม่ของนวลละออ
คุณท้าวใหญ่พี่สาวคุณหญิงวาด
ส่วนพวกคนใช้นอกจากเจ้าแห้วก็มีนางละม่อมต้นห้องคุณหญิงวาด ยายอิ่มแม่ครัว
กระทั่งมีเจ้าบาบูแขกยามเฝ้าประตู
และที่ปรากฏบทบาทอยู่เนืองๆก็คือเจ๊หนอมหรือถนอมศรี
ที่เป็นเจ้าของซ่องโสเภณีชั้นสูง ที่คณะพรรคสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึกชอบไปเที่ยว และไปติดโรคกันมาหลายครั้ง
หัสนิยามสามเกลอเป็นเหมือนการบันทึกเรื่องราวของเมืองไทยในช่วงยุคประมาณปีพ.ศ.๒๔๘๐จนถึงหลังพ.ศ.๒๕๐๐เล็กน้อย
คือป.อินทรปาลิต ได้ประพันธ์ไว้ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๘๒ถึง๒๕๑๑
ในเรื่องสามเกลอนั้นคณะพรรคสี่สหายได้เข้าไปมีส่วนร่วมในสถานการณ์แห่งประวัติศาสตร์ของยุคสมัย ท่านผู้ประพันธ์ได้ใส่รายละเอียดเอาไว้มาก กลิ่นอายของยุคสมัยนั้นจึงสืบค้นหรือระลึกถึงได้จากเรื่องสามเกลอ แม้มีผู้อ่านที่เกิดไม่ทันยุค ก็ยังอ่านเรื่องสามเกลอแล้วจินตนาการตามไปได้
ถ้ามานึกเทียบกับสมัยนี้แล้ว
ยุคสมัยที่สี่สหายของเราโลดแล่นอยู่นั้นช่างสวยสดงดงามเหลือเกิน
เมื่ออ่านดูแล้วจะนึกจินตนาการเห็นกรุงเทพมหานครยังสงบยังเขียวชอุ่ม ผู้คนยังยิ้มแย้มแจ่มใสมีไมตรีจิตต่อกัน ทำให้นึกอยากย้อนเวลากลับไปอยู่ในยุคนั้น
ข้าพเจ้าเองได้อ่านหัสนิยายสามเกลอครั้งแรกตั้งแต่ยังเป็นเด็กประถม
ท่านผู้ประพันธ์เรื่องสามเกลอเพิ่งถึงแก่กรรมไปไม่กี่ปี
ขณะนั้นพออ่านๆไปก็นึกภาพตามเหตุการณ์ได้ตามสมควร
เพราะยังพอทันเห็นสถานที่ในนิยายอยู่บ้าง
ยังเข้าใจอัตราค่าของเงินในนิยายบ้าง ถึงแม้เงินจะมีค่าไม่เท่ากันแล้ว
ก็ตอนเรียนชั้นประถมหนึ่งนั้น ผู้เขียนได้สตางค์ไปโรงเรียนวันละ ๒ สลึงเอง
ยังซื้อกระเพาะปลาได้ ๑ ชามเลย
จำได้ว่าหลังจากนั้นไม่นานค่าของเงินมีการกระโดดไปอีกยุค
จำได้ตรงที่ป.๔ได้ค่าขนม ๑ บาท ป.๕ได้ ๓ บาท
พอถึงป.๗ต้องมีเงินไปโรงเรียน ๑๐ บาทถึงจะพอใช้
นับแต่นั้นมาค่าของเงินในเมืองไทยก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และยุคสมัยของสามเกลอก็ห่างออกไปเรื่อยๆ
ก็เลยต้องมานึกเรื่องเก่า เล่าความหลัง กินของขม แต่ยังไม่ชมเด็กสาว
หัสนิยายชุดสามเกลอได้บันทึกเหตุการณ์ร่วมสมัยเอาไว้ได้เป็นอย่างดีวิเศษ นับเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ได้ช่วงหนึ่ง สถานที่ต่างๆหลายแห่งในนิยายชุดนี้ ปัจจุบันได้ถูกรื้อเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย หลายๆที่ถึงกับถูกลืมเลือนไป แต่ยังปรากฏมีชีวิตชีวาอยู่ในหนังสือชุดพล นิกร กิมหงวน
หัสนิยายชุดสามเกลอได้บันทึกเหตุการณ์ร่วมสมัยเอาไว้ได้เป็นอย่างดีวิเศษ นับเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ได้ช่วงหนึ่ง สถานที่ต่างๆหลายแห่งในนิยายชุดนี้ ปัจจุบันได้ถูกรื้อเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย หลายๆที่ถึงกับถูกลืมเลือนไป แต่ยังปรากฏมีชีวิตชีวาอยู่ในหนังสือชุดพล นิกร กิมหงวน
หวนระลึกถึงยุคของคณะพรรคสี่สหายแล้ว ยุคนั้นเมืองไทยของเรานี้ช่างน่าอยู่ช่างโรแมนติคจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น